พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 2 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 329 **พระอรหันต์ละความหลงในสิ่งที่ไม่มีรูป**
+ +
ในเช้าของวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงเรื่องการละสังโยชน์ ข้อที่ 7* ขององค์พระอรหันต์
องค์พระอรหันต์นั้น.. ท่านสามารถละสังโยชน์ข้อที่ 7* ได้ คือการละอะไร และท่านนั้นละได้แบบไหนหรือเจ้าคะ ?
ขอพระองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. สังโยชน์ ข้อที่ 7* ที่องค์พระอรหันต์ทั้งหลาย สามารถที่จะฝึกฝนตนจนละได้นั้น ก็คือ การลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่มีรูป
เช่น สิ่งที่เรามองไม่เห็นเป็นรูปธรรม ว่ามีรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้
แต่สัมผัสผ่านได้ทางอารมณ์ เสียงที่เพราะ เสียงที่ไม่เพราะ
หรือว่าสัมผัสที่รู้สึกดี / สัมผัสที่รู้สึกไม่ดี
- ย่อมสามารถอยู่เหนือสิ่ง ทั้งหลายเหล่านี้ได้ -
และองค์พระอรหันต์นั้น.. ก็สามารถประพฤติปฏิบัติตน จนอยู่เหนือ *อรูปฌาน*
คือ ฌานที่ไม่มีรูป ตั้งแต่ฌาน 5 - 8
ฌานที่ประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนไปแล้ว..
ก็จะดับการมีไปเรื่อย
ก็จะไม่ต้องมีอะไรอีก ว่าง ดับ หายไป
จะมีความสบายอย่างยิ่ง ที่มันไม่ต้องมีอะไร..
-- มันจะคล้ายกันกับพระนิพพาน *
ความรู้สึกเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้..
องค์พระอรหันต์ ก็ไม่ลุ่มหลง ไม่ยึดติด ไม่จมอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้
องค์พระอรหันต์ ย่อมมีสติ มีปัญญา รู้ตื่นอยู่เสมอว่า..
สิ่งทั้งหลาย.. ที่กระทบผ่านเข้ามา ทางความรู้สึกสุขทุกข์ต่างเหล่านั้น - มันเป็นของไม่เที่ยง
มันเป็นสิ่งที่..
/ ไม่ควรยึดเอา ถือเอา
/ ไม่ควรลุ่มหลง จมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นว่า ดี
/ ได้ยินเสียงไพเราะ.. ก็รู้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่จะทำให้ตนลุ่มหลงอยู่กับเสียงเพราะ เสียงไพเราะนั้น
/ ได้ยินเสียงที่ไม่เพราะ ไม่ไพเราะ ไม่ถูกใจ.. ก็จะมีอารมณ์นิ่งเฉย สักว่าได้ยิน
และก็รู้ว่า.. สิ่งเหล่านั้น
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา
ไม่ใช่ตัวของเรา ไม่ใช่ตัวของเขา
- เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามา และก็ผ่านไป…
จะไม่น้อมเอา ยึดเอามาใส่ใจ
สัมผัสต่างๆที่รู้สึกสุข หรือรู้สึกทุกข์ ก็ตาม.. สิ่งเหล่านี้ ไม่มีผลอะไรต่อจิตใจขององค์พระอรหันต์
เพราะว่า องค์พระอรหันต์ รู้แจ้งดีแล้วว่า.. สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี
สิ่งเหล่านี้ คือ ของไม่เที่ยงแท้
คือ กิเลส ที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เป็นสัมผัส /ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ไม่มีรูป..
- ไม่ให้เรารู้เท่าทัน
- ไม่มีรูปให้เราเห็นว่า เป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้
แต่ถ้าจิตใจของเราไปพัวพัน ลุ่มหลง ยึดเอา ถือเอาสิ่งเหล่านั้นไว้.. เราย่อมไม่พ้นจากความทุกข์ !
-- องค์พระอรหันต์ ย่อมไม่มีความลุ่มหลง กับสิ่งที่ไม่มีรูปเหล่านั้น ++
และองค์พระอรหันต์.. ย่อมเป็นผู้รู้ตื่น รู้ดีว่า..
การที่เราเข้าสู่ฌานที่ไม่มีรูปทั้งหลาย คือ การทำสมาธิ
/ เพื่อทรงฌาน ในระดับสูง
/ เพื่อที่จะน้อมเอากำลังของฌานนั้น กลับมาถอดถอนกิเลส - ด้วยการทำตนให้รู้แจ้ง รู้ตามความเป็นจริง ของสรรพสิ่งทั้งหลายในวัฏสงสารนี้
/ เพื่อให้ตนนั้น สามารถที่จะดับกิเลสตัณหาแห่งตนได้.. ไม่ใช่สิ่งที่ตนจะไปหลงอยู่ ติดอยู่ ในสิ่งที่เป็นฌานต่างๆ
* นั่นไม่ใช่หนทางแห่งพระนิพพานเลย *
- แต่เป็นการหลงอยู่ในฌานต่างหาก !
การหลงฌาน ไม่ว่าจะหลงดี หรือว่าไม่ดี หลงในสัมผัสสุข ทุกข์ต่างๆ
-- ความลุ่มหลงเหล่านี้.. ย่อมไม่มีในองค์พระอรหันต์ *
พระอรหันต์.. เป็นผู้รู้แจ้ง รู้ตื่น ในทุกสิ่งทุกอย่าง - จนไม่มีอะไรทำให้เกิดความลุ่มหลง ได้อีกต่อไป..
จิตสว่างไสว มองเห็นตามความเป็นจริง ที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งที่มันมีอยู่
มีจิตที่สว่างไสว รู้แจ้ง รู้ทัน ในสิ่งที่มันเกิด มันดับ ในจิตของตน
นั่นคือ การลุ่มหลงอยู่
นั่นคือ การจมอยู่
แล้วก็เลยสามารถถอดถอนจิตของตน..
อยู่เหนือความหลง หลงในสิ่งทั้งหลาย สัมผัสทั้งหลาย
อยู่เหนือความรัก รักในสิ่งทั้งหลาย สัมผัสทั้งหลาย
อยู่เหนือความโลภ รักในสิ่งทั้งหลาย สัมผัสทั้งหลาย
อยู่เหนือความโกรธ
องค์พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ละกิเลสได้แล้ว อย่างสิ้นเชิง
- จึงสามารถมีปัญญาที่รู้ตื่น ละสังโยชน์เหล่านี้ได้ด้วย.. พระยาธรรมเอ๋ย
บุคคล ผู้ที่ยังไม่เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์นั้น.. อาจเกิดความหลงดี ยึดดี ถือดี
คือ ทำความดีไปได้ระดับหนึ่ง - ก็เลยไปยึดเอา / ถือเอาความดีนั้นไว้..
สิ่งที่ดีนั้น.. ก็เลยเป็นเหตุให้ตนหยุดอยู่ตรงนั้น - ไม่สลายความดีนั้นได้
หากว่า สามารถเข้าสู่ฌานที่ไม่มีรูป ทรงฌานอยู่ สัมผัสที่เป็นสุข ที่รู้สึกว่าดี.. ก็จะไปติดอยู่ในสัมผัส ในฌานเหล่านั้น โดยที่ไม่สามารถถอดถอนตนออกจากสิ่งเหล่านั้นได้..
แล้วก็จะไปยึดเอา ถือเอาว่า ตนดีแล้ว
-- ซึ่งองค์พระอรหันต์นั้น จะไม่มีการยึดเอา ถือเอาสิ่งเหล่านี้ไว้เลย ++
ความดีที่ทำไปแล้ว.. ก็รู้ว่าทำเพื่ออะไร ?
รู้ว่าทำไป.. เพื่อสลาย ดับกิเลสตัณหาในตัวของตน
- แต่ไม่ใช่ทำไป - ยึดถือเอาไว้ !
สิ่งที่ใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับตน ดี หรือไม่ดี
องค์พระอรหันต์.. ย่อมมีปัญญาแจ่มแจ้ง รู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น..
.. แล้วก็นำมาถอดถอนกิเลสแห่งตน..
แต่คนที่ยึดดี ถือดี - อาจหลงทางได้.. ลูกเอ๋ย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้นะลูก มันเป็นกิเลสละเอียด - ที่ซ่อนเร้น ซ่อนลึกอยู่ในดวงจิตของผู้คน
ซึ่งการที่เราจะประพฤติปฏิบัติ จนเข้าสู่ความเป็นองค์พระอรหันต์นั้น..
.. เราต้องข้ามสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ลูก !
หากเราเพียงไม่หลงในรูป ที่เป็นวัตถุต่างๆ
หากเราเพียงไม่หลงในรูป ที่เป็นรูปฌาน
.. นั่นยังถือว่า ยังไม่ใช่ที่สิ้นสุด แห่งการถอดถอนความหลง +
-- เราต้องมาดู มาละสังโยชน์ ข้อที่ 7* ด้วย คือ การ
/ ไม่หลงในสิ่งที่เป็นอรูป สิ่งที่มันไม่มีรูป
/ ไม่หลงในฌานที่เป็นอรูป ฌานที่ไม่มีรูปนั้น
* จึงถือว่า เราสามารถข้ามพ้น ข้ามผ่าน ความลุ่มหลง ที่ละเอียดเหล่านี้ได้ *
จงหมั่นฝึกฝน ทบทวนดูตนให้ดี..
/ ฝึกสมาธิ ได้เพียงเล็กน้อย.. อย่าเพิ่งหลงว่า ตนดีแล้ว ทำได้ดีแล้ว มีสมาธิอยู่แล้ว
/ ฝึกฝนตนเอง ได้เพียงแค่การทำความดีเพียงเล็กน้อย.. อย่าเพิ่งหลงในการทำความดีแห่งตน ว่าได้ทำดีแล้ว
/ ฝึกฝนตน จนเข้าสู่ฌาน 4.. ก็อย่าเพิ่งหลงว่าเข้าถึงฌาน 4 มีความเป็นทิพย์เกิดขึ้น มีคุณวิเศษเกิดขึ้น
รู้ เห็น สัมผัส สื่อสารได้ รู้ภพชาติ คือ เกิดคุณวิเศษอันใด ก็ตาม..
.. อย่าเพิ่งหลงยึดว่า ตนดีแล้ว
เพราะสิ่งเหล่านี้..
ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งความพ้นทุกข์
ยังไม่ถือว่า ดับกิเลสได้ทั้งหมด
ยังไม่ถือว่า จบกิจในการในการทำความดี
- เพียงแต่มันจะเป็นมารแห่งความดี ที่ขวางกั้นไม่ให้เราเข้าถึงความดีต่อไปได้อีก เท่านั้นละลูก !
จงอย่ายึดเอาถือเอา ความดีเพียงเล็กน้อยนั้นเลย..
.. เพราะมันจะเป็นเหตุขวางกั้นความดี ที่ตนพึงจะได้รับ.. ที่มากกว่านั้น *
หากว่าประพฤติปฏิบัติ จนเกิดฌาน หรือได้สัมผัสในสิ่งที่เป็นสุข ที่ละเอียด
ก็จงรู้ไว้เถิดว่า.. สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดเอา ถือเอา ++
เมื่อเรายังยึดเอา ถือเอาอยู่ / ความลุ่มหลงยังมีอยู่ในตัวของเราอยู่..
- ยังถือว่า เรายังไม่จบกิจ !
เป็นเพียงสิ่งทดสอบที่ละเอียดมาก ที่เรารู้ไม่เท่าทันมัน..
แล้วก็เผลอหลง ไปยึดติดอยู่กับมัน !
เมื่อเรานั้นสามารถยกระดับจิตของตน จน
อยู่เหนือความดีทั้งหลาย ทั้งหยาบ และละเอียด
อยู่เหนือคำว่าดี ทำความดีอย่างไร้ตัวตน
ถึงในความดีที่ละเอียดแค่ไหนแล้วก็ตาม..
ยังมีสติ รู้ตื่นอยู่เสมอ พิจารณาตนอยู่เสมอว่า..
ตนอยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือตัณหาแล้วหรือยัง ?
ตนอยู่เหนือกิเลสที่หยาบ.. แล้วอยู่เหนือกิเลสที่ละเอียด แล้วหรือยัง ?
หมั่นพิจารณาถอดถอนตน จนตนนั้นสามารถละกิเลสละเอียดได้
เช่น กิเลส ในเรื่องของอรูป หรือว่าอรูปฌาน - สามารถที่จะละได้แล้วในสิ่งเหล่านั้น
/ ไม่ได้ติดว่า ดี
/ ไม่ได้ยึดว่า ตนทำได้
/ ไม่ได้เห็นความสำคัญ
- เพียงแต่หยิบยกและเอาสิ่งเหล่านี้.. กลับมาทำให้เกิดคุณ เกิดประโยชน์แก่ตน +
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. จึงถือว่าเป็นจิต - ที่จบกิจในการทำความดี เพราะ..
.. สามารถอยู่เหนือกิเลสทุกอย่างได้ ทั้งหยาบ และละเอียด
.. สามารถถอดถอนตนออกจากกิเลสตัณหา เป็นองค์พระอรหันต์ได้ อย่างแท้จริง
ลูกเอ๋ย.. การเป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น ต้องถอดถอนสิ่งเหล่านี้ได้ ลูก
-- ถ้ายังถอดถอนไม่ได้.. ถือว่ายังไม่ถึงซึ่งการเป็น *องค์พระอรหันต์* --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่า..
บุคคลผู้ที่เป็น *องค์พระอรหันต์* นั้น.. จะสามารถถอดถอนกิเลสอันละเอียด
เช่น การหลงอยู่ในสิ่ง ที่มันไม่มีรูป
เพียงแต่มันผ่านมาทางสัมผัส ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
แล้วก็ไม่หลงในสิ่งที่มันเป็น ฌานที่ไม่มีรูป
ไม่ติดสุข อยู่ในฌาน
ไม่คิดว่าตนดีแล้ว -
ไม่ยึดเอาสิ่งใดมาเป็นตน เป็นของตน ว่าดี
.. อย่างนั้นเจ้าค่ะ
* จะรู้ตื่น และอยู่เหนือความลุ่มหลงทั้งหลายทั้งปวง *
.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกคงจะขอลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ...
สาธุ