ธรรมดาคนมีกิเลสมาก ชอบจะติดอยู่ในของที่สมมติว่าใหม่ ๆ ล้าน ๆ เปอร์เซ็นต์ เมื่อหลงและติดของใหม่ก็หลงและติดของเก่าอยู่ในตัว เมื่อหลงสมมติก็ต้องหลงวิมุตติ เมื่อหลงได้ก็ต้องหลงเสีย เมื่อหลงหนังก็ต้องหลงกระดูก เมื่อไม่หลงหนังก็ไม่หลงกระดูกเลย
ไม่ต้องกล่าวไปไยในตอนนี้ก็ได้ เรื่องหลงๆ ใหลๆ หลำๆ นี้ ย่อมไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายอวิชชา
ถ้าหากข้ามทะเลหลงด้วยพระสติพระปัญญา
อันถ่องแท้โดยสิ้นเชิงได้แล้ว ชั่วลัดมือเดียวก็ข้ามโลกได้ จะเอาเครื่องยนต์กลไกหรือเหาะไปบินไปภายนอกเร็วเท่าใดสิ้นเวลาล้านๆ ปี ก็ข้ามโลกไม่ได้เลย...
คำว่าเฉยก็ดีก็คือใจเป็นผู้เฉย ไม่สำคัญว่าตนเป็นเฉย เฉยเป็นตน เป็นแต่สักว่าเฉย แล้วมันก็ปล่อยเฉยอยู่ในตัวแล้วเพราะรู้เท่าทัน ถ้าไม่ว่าเรารู้เท่าทันก็ใช้คำว่า “ปัญญารู้ทัน” และบางแห่งพระบรมศาสดาก็บอกว่า มีสติกับอุเบกขาวางเฉยต่อสังขารทั้งปวง เป็นการทำลายความโง่ไปในตัวที่เรียกว่า อวิชชา เป็นโลกุตรด้วย
อนึ่ง มันก็มีเฉยหลายอย่าง เฉยเกียจคร้านทำงานทำการมันก็เป็นโมหะ การงานในที่นี้หมายเอาปัญญาภาวนาที่เรียกว่า “วิปัสสนา” เห็นสังขารเกิดดับพร้อมกับลมหายใจออกเข้าแล้ววางเฉย จะเรียกโมหะไม่ถูกเพราะพักปัญญาชั่วคราว และเมื่อเราชอบความว่าง เป็นอรูปฌานก็มีไม่เป็นก็มี ที่ไม่เป็นนั้นคือความว่างจากเรา จากเขา จากสัตว์ จากบุคคลนั้นมันเป็นว่างที่มีปัญญา รู้ชอบเรียกว่ารู้ตามเป็นจริงแห่งปัญญา และก็ไม่สำคัญว่าว่างนั้นเป็นตน ตนเป็นว่างด้วย ถ้าไม่สำคัญอย่างนั้นกิเลสก็แตกกระเจิงไปหมดแล้ว ไม่ใช่อรูปฌานเลย ที่เป็นอรูปฌานนั้นเพราะไม่มีปัญญาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาสัมปยุตอยู่ในขณะเดียวก็เลยกลายเป็นอรูปฌาน อรูปฌาน ๔ นั้นโดยใจความคือไม่เห็นอนัตตาธรรมนั่นเอง และก็เข้าใจว่าอรูปฌานนั้นเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนอยู่...
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
หลวงปู่หล้า สนทนาธรรม กับหลวงปู่บุญฤทธิ์
เมื่อได้เห็นสังขารว่าไม่เที่ยง เป็น ทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมหน่ายในทุกข์ นั้นแหละทางแห่งวิสุทธิ นั้นแหละ ทางแห่ง ศีล สมาธิ และปัญญาวิสุทธิ กลมกลืนกันอยู่”
“เมื่อไม่เอาปัจจุบันเป็นพยาน ฉะไหนจะสิ้นความสงสัยของตนได้”
“เห็นอนิจจังขณะจิตเดียว เห็นโลกทั้งโลกแล้ว เพราะโลกเต็มไปด้วยอนิจจัง”
“ผู้รู้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เร็วที่สุด จิตก็เหมือนกัน ติดต่อกันอยู่ หาระหว่างไม่ได้ ใครว่าจิต ไม่เกิด ไม่ดับ ผู้นั้นเป็น มิจฉาทิฏฐิ เหตุฉะนั้นท่านจึงบัญบัติว่า รูป จิต เจตสิก นิพพาน ไม่ได้บัญญัติว่า จิตเป็นพระนิพพาน ไม่ได้บัญญัติว่าพระนิพพาน เป็นจิต”
“เพราะอยู่เหนือจิต อยู่เหนือสังขารแล้ว ไม่สำคัญว่าจิตเป็นตน ตนเป็นจิต ก็ไม่ลำบากในจิต ไม่สำคัญว่าทุกข์ เป็นตน ตนเป็นทุกข์ ก็ไม่ลำบากในทุกข์ สิ่งไหนถ้ามีตนเข้าไปสอดแทรก สิ่งนั้นก็มีเรื่องมาก ถ้าเข้าไปสำคัญสอดแทรกว่าตัวกู ของกูก็ต้องตามไปด้วย เมื่อของกูตามไปด้วย ที่นี้ของมึงก็ตามมาด้วย แล้วก็เกิดทะเลาะกัน ถูกไหม๊?”
“จะมาหาพระอรหันต์ในสกณร่างกาย มันก็ไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ จะมาหาพระอรหันต์ในขันธ์ 5 มันก็ไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ จะมาหาพระอรหันต์ในบุคคล มันก็ไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ”
“ตัวสติแท้ๆ มันเกิดไว ไม่ทันรู้ตัวหรอก แปล๊ปอย่างกะไฟฟ้า ทีเดียวมันก็ทำลายโมหะหมดแล้ว มากน้อย มันไม่ทันรู้ตัว มันเกิดหนเดียวแล้วก็ดับไป ไอ้ตัวที่เป็นมรรคแท้ๆ มันเกิดไม่ทันรู้ตัว มันแว๊ปเดียวไม่ถึงวินาที มันไม่มีถามตอบอะไร แปล๊บเดียว เหมือนมือจิ้มไฟ ก็ร้อนเลย ไ้อ้สติที่ว่าเดินเหินข้างนอก มันเอาไว้ใช้ในทางโลกเท่านั้นเอง”
“ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่ต้องปฏิบัติออกจากทุกข์ มันมีทุกข์ จึงปฏิบัติออกจากทุกข์ เราหนีทุกข์ หรือให้ทุกข์หนีจากเรา เรารู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็หนีเอง ถ้าเราไม่รู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็ไม่หนี”
"เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก. ทั้งจักรวาล" อย่าติดมัน !!
เห็นแสงเม้าๆ กะแล่นใส่ !! เห็นแส่งดาวแสงเดือนกะคือกัน. พวกเหาะเหิรเดินอากาศ. เดินบนฟ้า. ตีลังกา. เดินจงกลม. เห็นเทวบุตรเห็นเทวดา.
*** เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก. เห็นแสงสว่างครอบทั้งจักรวาล. นี่กะคือกัน. อย่าติดมัน !! ***
*** พวกนี่พวกหมาตาเหลือง***
ได้ยินเสียงคนคุยกะดี !! เห็นแสงสว่างกะดี !!. สิ่งเหล่านี้มันเป็น "อุปจาระฌาน" เป็น "อุปจาระภาวนา" เป็น "ภวังคจลนะ" กะอันเดียวกัน !!
"คันสิเอาแสงสว่างครอบโลกธาตุ. เป็นความบริสุทธิ์" !! กะเอาแสงสว่างของพระอาทิตย์ ของดวงจันทร์. เป็นความบริสุทธิ์" คือกัน !!
*** บ่อเห็นมันบริสุทธิ์หยังเลย !! กิเลสกะมีคือเก่า !!.***
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ)บ้านแวง อ.หนองสูงใต้ จ.มุกดาหาร
เกิดวันจันทร์ 19 กพ.2454 - ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน - บ้านกุดสระ อ.เมือง อุดร
ละสังขาร 19 มค.2539 เวลา 13.59
- ถวายเพลิงศพ 28 มค.2539 โดยหลวงตามหาบัวเป็นประธาน
- 84 ปี 52 พรรษา
" สติปัญญาเป็นที่รวมศีลสมาธิปัญญา.
ที่ใดมีศีลสมาธิปัญญาที่นั่นก็คือศีลสมาธิปัญญานั่นเอง.
จะเป็นโลกีย์หรือโลกุตระก็แล้วแต่เหตุกรณีแต่ละรายของบุคคล ที่จะแยบคายในกรณีนั้นๆ."
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.
"อริยบุคคล"--------หลวงปู่หล้า
คำถาม
ในเพศฆราวาส การศึกษาเล่าเรียนจะเริ่มจากประถม - มัธยม - มหาวิทยาลัย -
ปริญญาตรี - โท - เอก อยากทราบว่าในเพศนักบวช การบรรลุธรรมตั้งแต่ โสดา -
สกิทาคา - อนาคา - อรหันต์ มีขึ้นตอนอย่างไร เหมือนกันกับทางโลกไหมครับ
คำตอบ
ขั้นตอนของพระอริยบุคคล ๔ จำพวก มีดังต่อไปนี้
๑. พระโสดาบันไม่เสียดายอยากล่วงละเมิดศีล ๕ ไม่เสียดายอยากจะถือ
ศาสนาอื่น ๆ ไม่เสียดายอยากเล่นอบายมุขทุกประเภท ไม่เสียดายอยากจะผูก
เวรสาปแช่งท่านผู้ใด ไม่เสียดายอยากค้าขายเครื่องประหาร มีศาสตราอาวุธ เป็นต้น
หรือยาเบื่อเมาที่ทำให้สัตว์ต่าง ๆ ตาย
๒. ส่วนพระสกิทาคามีนั้น ก็มีความหมายอันเดียวกัน แต่ละเอียดไปกว่า
พระโสดาบันบ้าง ให้เข้าใจว่าอยู่ในภูมิเดียวกัน ถ้าจะเทียบใส่ในของหยาบ ๆ ที่
เป็นผู้ทรงครรภ์มีลูกแฝด พระสกิทาคามีต้องออกมาก่อน พระโสดาบันออกมาที
หลังจำเป็นต้องได้เรียกผู้ออกมาจากครรภ์ก่อนว่าพี่ชาย หรือพี่หญิง และมีความ
ฉลาดลึกกว่ากันบ้าง ถ้าจะเทียบในชั้นมัธยมก็หยาบ ๆ ก็พระสกิทาคามีสอบได้ที่
หนึ่ง พระโสดาบันได้ที่สองแต่เป็นชั้นเดียวกัน
๓. พระอนาคามี เว้นจากไม่นึกถึงกามวิตก ความตริ ในทางกามเพราะ
ราคะขาดไปหมดแล้ว และกิเลสพระอนาคามียังมีอยู่แจกออกเป็นพิเศษ ๙ ข้อ
โดยใจความก็คือมานะถือตัว ๙ ข้อ
๑. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
๒. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
๓. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา
๔. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
๕. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
๖. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา
๗. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
๘. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
๙. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา
นี่แหละกิเลสของพระอนาคามี และยังอยู่อีก คือ อวิชชา คือ ความโง่อันละเอียด
ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้จักทางดำเนินให้ถึง
ความดับทุกข์ ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จักทั้งอดีต อนาคตโยงใส่กัน ไม่รู้
จักลูกโซ่ที่เกี่ยวข้องกันเป็นสายที่เป็นวงกลมผูกคออยู่ แต่ในโซ่นั้นดังนี้...มีอวิชชา
ความโง่คืออวิชชา ๔ ดังกล่าวแล้วนั้นเอง เมื่อมีความโง่ใน ๔ ข้อนี้แล้วก็เป็นเหตุ
ไม่รู้จักสังขาร สังขารนั้นแบ่งเป็น ๓ ปุญญาภิสัขาร อภิสังขารคือบุญที่สร้างขึ้น
ด้วย ทาน ศีล ภาวนาเป็นต้น อปุญญาภิสังขาร อภิสังขาร คือบาปอันตรงกันข้าม
กับบุญ อเนญชาภิสังขาร อภิสังขาร คือ อเนญชา ได้แก่สมาบัติ ไปติดสมาบัติจน
ถือว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นสัตว์เป็นบุคคล จนแกะไม่ได้คายไม่ออก และขออธิบาย
อีกว่า ในคำว่า"บุญ" ในทางพระพุทธศาสนาหมายเอาพระอนาคามีเท่านั้น จะเหนือ
นั้นไปไม่บัญญัติว่าเป็นบุญ ส่วนในทางตรงกันข้าม คือ บาป หมายเอามหาอเวจี
นรกและโลกันตะนรกเท่านั้น
ทีนี้กล่าวถึงวิญญาณ จักขุวิญญาณ วิญญาณทางดวงตา โสตวิญญาณ
วิญญาณทางหู ฆานะวิญญาณ วิญญาณทางจมูก ชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้น
กายวิญญาณ วิญญาณทางกาย มโนวิญญาณ วิญญาณทางใจ เมื่อไม่รู้เท่า
วิญญาณทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นวิญญาณปฏิภพปฏิสนธิ
ทีนี้กล่าวนามรูปต่อไป นามังแปลว่าชื่อมัน มีเวทนา สัญญาสังขาร
วิญญาณเป็นต้น ส่วนรูปหมายเอาดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันเป็นกายเรียกว่า รูป
ส่วนอายตนะมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นต้น ที่เรียกว่า อายตนะภายใน
ส่วนอายตนะภายนอก มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ที่มาสัมผัส
กับอายตนะภายในให้ปรากฏขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ชอบใจก็เกิดเป็นสุขเวทนา ถ้าเป็นสิ่งที่
กลาง ๆ ไม่รักไม่ชังก็เป็นอุเบกขาเวทนา ถ้าเป็นสิ่งที่รังเกียจก็เป็นทุกขเวทนา จะ
เรียกว่าเวทนาทั้ง ๓ ก็ได้ แต่เวทนาทั้ง ๓ นี้แหละถ้าเป็นเวทนาสุขก็จัดเป็นกาม
ภพที่เรียกว่า กามตัณหา ถ้ากำหนดไว้ก็เรียกว่า ภวตัณหา ถ้าไม่ชอบก็เป็น วิภวตัณหา
เมื่อเกิดเป็นตัณหาทั้งหลายเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ชอบก็เป็น "กามุปาทาน" มีทิฎฐิ และ
ความเห็นผิดก็เป็นทิฏฐุปาทาน ถ้าสงสัยลูบคลำก็เป็น "สีลัพพัตตุปาทาน" ถ้าถือมั่น
ว่าเรา ว่าเขา ว่าสัตว์ ว่าบุคคลก็เป็น "อัตตวาทุปทาน" แล้วก็กลายเป็นภพ เป็นรูปภพ
เป็นอรูปภพ สิ่งที่ไม่ชอบใจก็เป็นวิภวภพแล้วก็เกิดเป็นโยนิ ๔ ที่เรียกว่า ชาติที่เกิด
ในครรภ์ ในไข่ ในเถ้าในไคล และเกิดผุดขึ้นเหมือนเทวดา และสัตว์นรก ส่วนเกิด
ในครรภ์เราก็รู้ดีอยู่แล้ว พวกเกิดในฟองไข่เราก็รู้ดีอยู่แล้ว พวกที่เกิดในเถ้าไคล
ของหมักหมมมีพวกเลือดขาวเป็นต้นเราก็รู้ดีอยู่แล้ว ที่เรียกว่าชาติความเกิดมี ๔
ประเภท เมื่อชาติความเกิดมีแล้วความแก่ เจ็บ ตายก็เป็นเบี้ยบำเหน็จบำนาญไป
ตลอด ส่วนความปรารถนาไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์หัวใจอีก สังสารวัฏฏ์ก็วนเวียน
กันอยู่อย่างนี้ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ถ้าตามแต่ปลายไปหาต้นก็ไปเจออวิชชาดังกล่าว
แล้วนั้น (ความโง่) ถ้าตามอวิชชาลงมาเป็นลำดับก็มาเป็นวงกลมจรดกันกับ
"โทมนัสอุปายาส"
จะอย่างไรก็ตาม เรารู้ดีอยู่แล้วว่าที่กล่าวมานี้เป็นบ่วงลูกโซ่ที่คล้องคอของ
สัตว์ทั้งหลายเป็นบ่วงอยู่ซึ่งตัดไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าตัดอวิชชาความโง่แล้วก็ดีหรือ
ตัดตอนใดตอนหนึ่งที่เป็นบ่วงวงกลมอยู่นั้นก็ขาดออกจากวงกลมไปหมดก็เป็นอัน
ว่าหลุดจากบ่วงไปแล้ว
ส่วนพระอรหันต์ ท่านรู้เท่าถึงการณ์สิ่งเหล่านี้ไปแล้ว รู้เท่าด้วย ปฏิบัติเท่า
ด้วย ตัดขาดเท่าด้วย แห่งใดแห่งหนึ่ง สายโซ่ก็ยึดออกไม่มีวงกลม ก็เป็นอันว่า
หลุดพ้นไปหมด
ส่วนทางโลกจะเรียนถึงปริญญาไหนก็ตาม เพราะเป็นเพียงความจำเท่านั้น
ถ้ากิเลส โลภ โกรธ หลง ไม่เบาลง มันก็ใช้ไม่ได้ ฝ่ายทางพระศาสนาเมื่อเห็นชัดใน
พระโสดาบันแล้ว ส่วนธรรมเบื้องสูงก็ต้องเปิดประตูไปเอง เร็วหรือช้าก็ต้องขึ้นอยู่
กับสติปัญญาของแต่ละคน และความเพียรที่แยบคายด้วย แต่ให้เข้าใจว่าเมื่อถึง
โสดาบันแล้ว เป็นผู้มองเห็นฝั่งพระนิพพาน คือฝั่งที่ไม่มีโลภ ไม่โกรธ ไม่หลงด้วย
พระปัญญา ไม่ใช่ตานอกตาเนื้อ เหมือนพวกโลกีย์เสียแล้ว พวกโลกีย์นั้นมันหลาย
บางที บางทีขึ้นหน้าก็มี บางทีถอยหลังก็มี บางทีปลีกไปทางอื่นเสีย ยกอุทาหรณ์
เราจะเรียนถึงเปรียญ ๙ ประโยคก็ตาม แต่ถ้ากิเลสไม่ลดละ ทุกข์ทั้งหลายก็ไม่
ลดละออกจากใจเหมือนกัน ให้เราเข้าใจว่า ครั้งพุทธกาลยังไม่ได้บัญญัติปาราชิก ๔
หรือวินัยข้อใดทั้งนั้น เมื่อผู้ฟังเข้าใจความหมายทั้งการฟังและการละ การถอน
กิเลสอยู่ในขณะฟัง ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลังก็ถึงพระโสดาบันในขณะนั้นแล้ว ก็
เตลิดจนถึงพระอรหันต์ในขณะจิตเดียวนั้น แผล็บเดียวนั้นเหมือนเราเปิดสวิตช์ไฟฟ้า
การเปิดกับการสว่างไม่อยู่ห่างกันพอขณะใจ
ส่วนผู้ใดทีได้พระโสดาบันไม่เตลิดถึงพระอรหันต์ในขณะนั้น จะใส่ชื่อลือนามว่า
เป็นพระโสดาบันตลอดชาติไม่ได้ เช่น พระอานนท์ เป็นต้น ได้พระโสดาบันแต่นาน
แล้ว เมื่อพุทธองค์เข้าสู่ปรินิพพานแล้วจึงได้พระอรหันต์ในวันทำสังคายนาครั้งที่ ๑
นั้น จะบัญญัติว่าเป็นพระโสดาบันเอกพีชีก็ไม่ได้ เพราะสามารถเป็นอรหันต์ใน
ชาตินั้นอยู่ เช่นพระสุทโธทนะในชาตินั้นเมื่อได้พระโสดาบัน แล้วก็ยังอยู่หลายปีจึง
ได้พระอนาคามี ได้พระอรหันต์ในเวลาจวนจะสิ้นพระชนม์หรือพร้อมกับสิ้นพระ
ชนม์ดังนี้ จะเรียกว่าเป็นภูมิพระอนาคามีก็ไม่ได้ เพราะภูมิพระอรหันต์สามารถ
สำเร็จในชาติปัจจุบันอยู่
เทียบทางฆราวาสกับทางบรรพชิตก็เทียบได้เหมือนกัน ฆราวาสที่ถึงโลกุตร
นับแต่พระโสดาบันเป็นต้น บางท่านออกจากนั้นแล้ว ก็ไปยังอยู่สกิทาคาอนาคาก็มี
อยู่ บางท่านก็ไมค้างอยู่ เตลิดไปถึงพระอรหันต์ ส่วนบรรพชิตในข้อนี้ก็คงหมายเป็น
อันเดียวกัน แต่พระเณรที่เป็นโลกีย์ก็คงหมายเหมือนฆราวาสเหมือนกัน แต่ว่ามี
เพศต่างกัน ส่วนกุศลผลบุญถ้ามีศีลพอเป็นไปได้ ก็ต่างจากคฤสต์บ้าง แต่นี่
หมายความว่าคฤหัสถ์ที่ไม่มีศีล ส่วนคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบัน เขามีศีล ๕
ไม่ด่างพร้อยแล้ว แม้พระภิกษุสามาเณพเป็นปุถุชนคนหนาอยู่ ก็สู้พรโสดาบันที่
รักษาศีล ๕ บริสุทธิ์อยู่บ้านไม่ได้
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ)
อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
" รวม...
กาย เวทนา จิต ให้เป็น...หนึ่ง
กายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี
ยกขึ้นสู่เมืองขึ้นของ ไตรลักษณ์ให้กลมกลืน
กันเป็น เชือกสามเกลียว เป็นเป้าอันเดียวกัน
ไม่ต้องแยก
ไม่ต้องเรียง
ไม่ต้องขยาย
เห็นอยู่ ณ ซึ่งหน้าสติ ซึ่งหน้าปัญญา
พร้อมกับลมออก-เข้า
ไม่มี อันใดก่อน ไม่มี อันใดหลัง
ติดต่ออยู่
พิจารณาอยู่ ไม่ขาดสาย
อย่าได้ลืมลมออก-เข้า
เพราะลมออก-เข้า เป็นแม่เหล็กอาจารย์เดิม
ลมจะละเอียดสักเพียงใด อย่าได้ลืมเลย
เพราะ จิตจะฟุ้งซ่าน เป็นว่าวเชือกขาด
ข้อนี้ สำคัญมากนักหนา
ชั่วขณะลมออก เป็นชาติหนึ่ง
ลมเข้าเป็นชาติหนึ่ง ๆ ของส่วนกายสังขาร
ส่วนจิตสังขารนั้น เป็นชาติอันละเอียดเร็วนัก
เกิด--ดับติดต่อกัน เร็วนัก
อนิจจา อันละเอียดมากมายแท้ ๆ
เมื่อ...อนิจจาละเอียดเข้าสักเพียงไร ก็ดี
ทุกขา อนัตตา ก็ละเอียดเข้าเป้าเดียวกัน
ขณะเดียวกัน
ถ้าส่งส่ายไปทางอื่น
ก็ยิ่งตื่น ไม่เห็นชัดได้ เชื่อตนเองไม่สนิทได้
ย่อมขบถตน คืนอีก
ผู้ที่ทิ้ง กรรมฐานเดิม ที่ตนตั้งไว้
ย่อมไปตาม นิมิต ภายนอกต่าง ๆ นานา
นิมิต แปลว่าเครื่องหมายสารพัดจะรู้
จะหมายไป
อานาปานสติ...
เป็นกรรมฐานในพระพุทธศาสนา ชั้นที่หนึ่ง
เป็นยอดแห่งกรรมฐาน ทั้งปวงด้วย
ผู้เจริญชำนาญแล้ว จะดึงกรรมฐาน
และ วิปัสสนาภาวนา ปัญญามารวมเข้าก็ได้
ไม่ขัดข้อง ไม่แสลงเลย
เช่น นิโรธความดับตัณหา เป็นธรรมอันละเอียด จะดึงเข้ามาให้เห็นพร้อมกับลม
ออก-เข้า ก็ได้ทั้งนั้น
ยาขนานเดียวแก้โลกได้ทั้งล้าน ๆ อย่าง
ก็คือ...พระอานาปานสติ นี้
ไม่แยบคายใน อานาปานสติแล้ว ไฉนจะเห็น
เจตสิก ที่เกิด-ดับ ได้ง่าย ๆ เล่า ?
เพราะ...ตามลมเข้า-ออก ไม่ถึงจิต
และ เจตสิก
เมื่อ...ไม่เห็น ความเกิด-ดับ ได้ละเอียด
ไฉนจะเห็น ไตรลักษณ์ละเอียดเล่า ?
นิพพิทา ความเบื่อหน่ายคลายหลง
จะเปิดประตู และ หน้าต่างช่องใดให้ปรากฏ
แก่ตาปัญญาญาณเล่า ? ย่อมเป็นไปไม่ได้
ทั้งโลกอดีต
ทั้งโลกอนาคต
ทั้งโลกปัจจุบันด้วย
พระบรมศาสดา เทสนาสั่งสอน
ด้วยทรงพระมหากรุณาธิคุณ อันหาประมาณ
มิได้ จนครบ ๔๕ พรรษา ก็หนักเน้นลงใน
ไตรลักษณ์มากกว่า พุทธภาษิตอื่น ๆ
เพราะเป็น...
ธรรมอันจะหลุดพ้น ได้ง่าย."
______________________________________
(หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ)