พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 8 เมษายน 2561
ตอนที่ 312 **พระสกิทาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม เรื่องของ*พระสกิทาคามี* น่ะเจ้าค่ะ
เพื่อเป็นองค์ความรู้ เป็นปัญญาธรรมให้กับลูก และให้กับทุกๆคนที่ได้ฟังธรรมะคลิปนี้
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรม เรื่องของ *พระสกิทาคามี* ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ ว่าพระพระสกิทาคามีนั้น.. มีสภาวธรรมเป็นแบบไหน ละอะไรได้บ้าง ทรงอารมณ์อยู่ในสภาวธรรมใดบ้าง
.. และมีความแตกต่างจาก*พระโสดาบัน* อย่างไรบ้าง น่ะเจ้าค่ะ ? “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็ลองนั่งให้สงบ ปรับจิตปรับใจของตนให้นิ่ง
ทำใจให้สว่าง ทำกายให้มันเบาๆ ปรับความนึกคิดต่างๆให้มันว่าง
วางอัตตาตัวตน ความเห็นของเรา ความเห็นว่าเราถูก / ว่าเขาผิด
วางความคิดต่างๆทั้งหลาย - วางทิ้งไปเสีย
ปล่อยใจให้มันว่างๆ ให้มันเป็นกลาง…
เปรียบเสมือนกระดาษขาวแผ่นใหม่ ที่เราหยิบขึ้นมาไว้ในความทรงจำ ไว้ในจิต ไว้ในตัว ไว้ในความรู้สึกของเรา
แล้วพร้อมที่จะเขียน ถึงเรื่องราวของ *พระสกิทาคามี*
- ตามที่เราได้ยินได้ฟัง ได้เรียนรู้ ในธรรมะคลิปนี้ -
พระยาธรรมเอ๋ย.. *พระสกิทาคามี* นั้น..
ย่อมละสังโยชน์ได้ 3 ประการ เหมือนกันกับพระโสดาบัน
แต่การละนั้น สามารถละได้ลึกกว่า ได้มากกว่า ได้ละเอียดกว่า พระโสดาบัน
เช่น การเข้าใจ เข้าถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเข้าใจ เข้าถึงได้ -ในระดับที่ละเอียดกว่า
การมั่นใจในคุณความดี ในแนวทางการปฏิบัติขององค์พระพุทธเจ้า มั่นใจในพระนิพพาน
.. ก็มากกว่า ละเอียดอ่อนกว่า
การเข้าถึงองค์พระธรรม ก็เช่นเดียวกัน..
สามารถฟังธรรมที่ละเอียดอ่อน ลึกขึ้น
สามารถพิจารณาธรรม เข้าใจในธรรมนั้นได้ - ในระดับที่สูงขึ้น ละเอียดขึ้นกว่า พระโสดาบัน
สามารถเข้าใจในองค์พระสงฆ์ ได้มากกว่า ละเอียดอ่อนกว่า พระโสดาบัน
และเข้าใจ เข้าถึง ในพระพุทธ ในพระธรรม และในพระสงฆ์ จนตนนั้นค่อนข้างเกิดความสงบสุข ในจิตในใจ
และการดำรงชีวิต ก็จะมีองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ - อยู่ในใจเสมอ..
จิตจะตั้งมั่น นึกถึงแต่องค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
จนสามารถถอดถอน ความลังเลสงสัยในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ ในกุศลธรรม
สามารถถอดถอนความลังเลสงสัย เหล่านี้ออกไปจากตนได้..
จนไม่มีความสงสัย องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ และเข้าถึงอย่างละเอียดอ่อนขึ้นมากกว่า พระโสดาบัน
จนมีจิตใจที่สงบ ตั้งมั่นอยู่ในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
อยู่ในกุศลธรรม คือ การทำความดีทั้งหลาย
ตั้งมั่นอยู่ในสิ่งเหล่านี้.. ด้วยจิตใจ ที่สำรวมขึ้น ละเอียดขึ้น
และการรักษาศีล - ก็สามารถรักษาศีลได้อย่างถูกต้องขึ้น อย่างละเอียดขึ้น
รักษาได้ อย่างไม่รู้สึกว่า นั่นฝืนต่อใจ หรือต้องรักษา
แต่จะรักษาศีลทั้งหลาย ในทุกข้อที่ตนสมาทานเอาไว้ ด้วยจิตด้วยใจ ด้วยการรักษาศีลเหล่านั้น..อย่าง
- ไม่รู้สึกทุกข์
- ไม่รู้สึกตึงเครียด
- ไม่รู้สึกว่า มันเป็นกรอบ - ที่จะต้องมาตีกรอบให้ตนอยู่ในขอบเขตนั้น
เพียงแต่จิตนั้นจะระลึกรู้ผิดชอบชั่วดีได้ โดยพื้นฐานของจิตเอง
คือ ไม่มีกรอบ.. ตนก็สามารถอยู่ในกรอบของศีลได้ ด้วยจิตด้วยใจแห่งตน ++
จิตใจอันบริสุทธิ์ ของพระสกิทาคามี ที่เข้าถึง องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
เข้าถึงกุศลธรรม การทำความดีทั้งหลาย - ด้วยใจที่สงบสุข
ย่อมสามารถดูแลตน..
- ให้คิดดี พูดดี ทำดี
- ให้รักษาศีลได้ ด้วยกาย วาจา และใจ อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย..
และ*องค์พระสกิทาคามี* นั้น.. ยังเป็นผู้รู้แจ้ง เข้าใจ ในสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ทั้งตัวของตน ตัวของบุคคลผู้อื่น คือ ร่างกายแห่งมนุษย์ และสัตว์
รวมถึงสิ่งของ ข้าวของ ลาภ ยศ สรรเสริญ
สิ่งทั้งหลายบนโลกนี้ *พระสกิทาคามี* ย่อมสามารถ
มองเห็นความไม่เที่ยงแท้ / ความไม่สวยไม่งาม ของสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้..
/ มองเห็นกาย
/ มองเห็นลาภยศ สรรเสริญ ข้าวของเงินทอง
/ มองเห็นแต่ความเสื่อม ความไม่มี - ที่ซ่อนอยู่ในความมี
-- จนสามารถถอดถอนตนเอง ได้เบาบางมากขึ้นกว่า พระโสดาบัน --
พระสกิทาคามี มีจิตใจที่สงบ
พระสกิทาคามี มีอารมณ์ตั้งมั่น ในการประพฤติ ปฏิบัติ
จนละเรื่องของ ความลุ่มหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ คือ กิเลส / และความอยาก กับไม่อยากนั้น ได้เบาบางลงมาก..
- อยู่ในระดับที่ถือว่า เบาบางลงมาก
- อยู่ในระดับที่ถือว่า มีชีวิตที่สงบสุขดี
จิตนั้นไม่มัวหมอง / ไม่เศร้าหมอง / ไม่เพลิดเพลินไปกับกิเลสตัณหา
จนทำให้ตนนั้นถึงกับเป็นทุกข์ - ในระยะเวลาที่ยาว
ถึงแม้ว่าจะมีความทุกข์จรเข้ามาบ้าง.. แต่ก็เป็นเพียงทุกข์ ที่จรเข้ามา ให้ตนได้พิจารณาตรึกตรองเหตุนั้นๆ แล้วก็วางลง..
*พระสกิทาคามี* สามารถทรงอารมณ์อยู่ในความตั้งมั่น เช่นนี้ละ..พระยาธรรม
ตัดความลังเล สงสัยใน องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
ในกุศลธรรม
แล้วก็มีศีลบริสุทธิ์ - ไม่ทำผิดศีล ผิดธรรม
สามารถอยู่ในกรอบแห่งศีล ด้วยจิตอันละเอียด ด้วยการรักษาศีล อย่างละเอียดขึ้น
สามารถถอดถอนความลุ่มหลง ในตน /ในของของตน / และในตัวของบุคคลผู้อื่น
** มองเห็นความไม่สวยไม่งาม ความไม่เที่ยงแท้ ของทุกสิ่ง จนจิตใจนั้น..
/ ทรงอารมณ์อยู่ในความตั้งมั่น มุ่งตรงต่อพระนิพพาน
/ ตั้งอารมณ์ตรง กับองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
/ ตั้งจิตให้มั่นอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย
/ ตั้งจิตให้มั่น อยู่ในศีล ด้วยกาย วาจา และใจ
/ ตั้งจิตรู้ตื่น กับสิ่งทั้งหลาย
จน *พระสกิทาคามี*นั้น - บางกลุ่มก็จะต้องหาวิธีออกบวช ไม่ครองเรือนแล้ว ++
.. เพราะว่าตนนั้น เห็นแจ้งในสิ่งทั้งหลายของการครองเรือน การเป็นปุถุชนธรรมดา
ว่า..มันมีทุกข์เช่นไร
และเห็นถึงความรุ่มร้อน เร่าร้อน ในการครองเรือน.. จนตน
ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่กับเรือนได้
ไม่ปรารถนาที่จะมีคู่ หรือครองเรือนอีก
*พระสกิทาคามี* จึงพยายามหาหนทาง ที่จะออกจากเรือน
/ เพื่อหาที่ที่สงบ เพื่อให้ตนได้มีเวลาในการปฏิบัติให้มากเพิ่มขึ้น
/ เพื่อตนจะได้ไม่ต้องไปอยู่ ในที่ที่วุ่นวายจิตใจ
พระสกิทาฯ ผู้ที่ยังครองเรือนอยู่ คือ หมายถึง ยังอยู่ในบ้านในเรือน..
- ก็จะอยู่กับครอบครัวและคนรอบข้าง..
ด้วยความเมตตา เอื้อเฟื้อ แก่เขาเหล่านั้น
ด้วยความเอ็นดู
ด้วยหน้าที่ ที่อยู่เพื่อที่จะทำหน้าที่แห่งตนให้สมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง
ดูแลกันไป อย่างผู้..
- มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
- มีเมตตา ต่อผู้ที่เป็นครอบครัวด้วยกัน
*พระสกิทาคามี*
/ อยู่อย่างไม่ยึดติด ไม่ยึดมาเป็นของตน
/ อยู่อย่างไม่หวังครอบครอง เพียงแต่อยู่กันไปตามเหตุตามปัจจัย
/ จะไม่มีการยึดถือตัวบุคคล ในสามี หรือภรรยา ว่า..นั่นคือของตน หวังครอบครองร่างกายของเขา
/ ละเรื่องกามลงได้
/ อยู่กันอย่างผู้ที่ต้องดูแล ซึ่งกันและกันเท่านั้น..
เพราะ*พระสกิทาคามี* มองเห็นความไม่สวยไม่งาม ในกายของมนุษย์ทั้งหลาย
จนละกิเลส คือ กาม
จนละสิ่งที่ปุถุชนธรรมดาทั่วไปนั้นเขาทำกัน..ได้เสียแล้ว
จึงอยู่กันไป - อย่างผู้เอื้อเฟื้อต่อกัน มีเมตตาต่อกัน
*พระสกิทาคามี* จะละการยึดถือในบ้านในเรือน
ในบุคคล และสิ่งของ
ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญต่างๆ
.. จะละลงได้เสียแล้ว..
เพราะว่าพระสกิทาคามี มองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นของไม่สวยไม่งาม ของไม่เที่ยงแท้
จะสักแต่ว่า อยู่เพื่อทำหน้าที่ ตามเหตุและปัจจัย
และอยู่อย่างสงบ
สติตั้งมั่นอยู่ ในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
การที่จะลุ่มหลง ถือครองในตัวบุคคล สิ่งของข้าวของ
ยึดติดเข้าไว้จนตนนั้นรุ่มร้อนนั้น..ไม่มี !
จิตของพระสกิทาคามี จึงเป็นผู้ที่ละกิเลส ได้เบาบางกว่า พระโสดาบัน
จิตของพระสกิทาคามี จึงเป็นผู้สงบกว่า พระโสดาบัน
**และผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติตน จนถึงการเป็นพระสกิทาคามีแล้วนั้น..
- จะมาเกิดอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น.. ก็จะสามารถบรรลุเข้าถึงพระนิพพานได้ **
นี่ละ พระยาธรรม.. คือ สภาวธรรมของ *พระสกิทาคามี*
นี่ละ พระยาธรรม.. คือ สิ่งที่ *พระสกิทาคามี* ท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นกัน
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือเปล่า.. พระยาธรรมเอย
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วเจ้าค่ะ..
*พระสกิทาคามี* เป็นผู้ละสังโยชน์ได้ 3 ประการ เหมือนกับพระโสดาบันเลย
แต่ว่าเป็นผู้ละ ที่ได้ลึกว่า เข้าใจละเอียดอ่อนกว่า สงบกว่า..
และสามารถมองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ได้ชัดเจนกว่า..
จนถอดถอนความลุ่มหลง ในตัวบุคคล และสิ่งของข้าวของ.. จนได้ลึกกว่าพระโสดาบัน
และไม่มีกิเลสที่หนาเท่าพระโสดาบัน คือ มีกิเลสที่เบาบางกว่าอีก..
จนสามารถ มีจิตใจที่สงบ
และละความยึดติด ลุ่มหลง พัวพัน มัวเมา ในตัวบุคคล และข้าวของ ลาภ ยศ สรรเสริญ ทั้งหมดเหล่านั้นได้
จนมีจิตใจตั้งมั่น อยากจะออกบวช
หรือถึงแม้ว่าครองเรือน.. ก็จะทรงแต่อารมณ์ อยู่ในการทำความดี
-- เพื่อหวังที่จะ มุ่งตรงต่อพระนิพพาน **
... เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ.. พระยาธรรมเอย
ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ฟังแล้วตรึกตรองให้ลึก ทำความเข้าใจให้ถี่ถ้วน..
จะได้ไม่ผิดไม่พลาด !
พระยาธรรมเอย.. เมื่อเรานั้นเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว
- เราก็จะได้สื่อธรรมออกไป อย่างถูกต้อง.. ลูก
สาธุเจ้าค่ะ