“กระแสแห่งชีวิต” เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรู้จัก
.
“สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้น มีกระแสที่ไหลไป ไหลไป จะเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าเรายืนดูในที่สูง ก็เห็นน้ำในแม่น้ำไหลไป ไหลไปในลำน้ำ ไหลไปๆ มีอะไร ไปอย่างไร ยืนดูแล้วก็เห็นกระแสที่มันไหลไปนั้น ถ้าตามดูไปได้ตลอดเวลา ตลอดกระแส ก็จะมีความรู้มีความเข้าใจ กระทั่งว่า..สิ่งนั้นไปถึงทะเลหรือไม่ กระทั่งว่า..มันไปจมเสียกลางทาง หรือกระทั่งว่า..มันไปติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เน่าผุพังอยู่ที่ตรงนั้น หรือว่ามีใครลากเอาท่อนไม้ท่อนนั้นในกระแสน้ำนั้นขึ้นบกเสีย ไม่มีโอกาสที่จะไปตามกระแส
.
ชีวิตนี้มันก็มีการไหลในทำนองเดียวกัน เป็นกระแสแห่งการปรุงแต่งตามส่วนของมันๆ ที่เป็นส่วนของวัตถุหรือร่างกาย มันก็มีกระแสไหลไปตามแบบของวัตถุ ก่อตัวขึ้นมาอย่างไร มีเหตุปัจจัยอย่างไร ปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไร งอกงามขึ้นมาอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงก็เหมือนกับกระแสแห่งการไหล นี้เป็นเรื่องทางวัตถุที่มีกระแส
.
ทีนี้ มองดูในทาง“จิต” มันก็มีการปรุงแต่งอีกนั่นแหละ มีอะไรถึงกันเข้า เกิดความรู้สึกทางจิต แล้วก็ปรุงกันต่อไป ให้ไหลไปตามเรื่อง อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกถึงกันเข้า ก็เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ และเกิดทุกข์ ก็เรียกว่าเป็นการปรุงแต่ง เป็นการเปลี่ยนแปลง มีกระแสของการเปลี่ยนแปลง ไหลไปจนเกิดความทุกข์ หรือในทางที่ตรงกันข้ามก็ไม่เกิดความทุกข์ เพราะมันมีการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงในทางที่ตรงกันข้าม
.
ความปรุง(สังขาร)ทำให้เกิดทุกข์
ทีนี้ เรามาดูกันตรงที่ว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรจึงจะไม่เกิดทุกข์ หรือว่าที่มันเกิดทุกข์ กันก่อนดีกว่า แล้วจึงดูว่าที่มันไม่เกิดทุกข์นั้นอย่างไร มันจะง่ายดี
.
เมื่อมีการกระทบทาง“อายตนะ” (อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, อายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ บางทีก็เรียกว่า “อารมณ์ ๖”) เช่น ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส เป็นต้น ในโอกาสนั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วว่ากระทบ ถ้ามันไม่มี"วิชชา"เข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ปรุงแต่งไปในทางธรรมชาติ ธรรมดา ที่ไม่มีวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้อง คือมันจะเกิดเวทนาสำหรับให้ยินดียินร้าย เวทนาทำให้โง่ นี่จิตมันก็ไปตามทางของ"อวิชชา" มีเวทนาอย่างนี้แล้วมันก็ปรุงแต่ง เกิดตัณหา เกิดความอยาก ที่น่าพอใจก็อยากได้ ที่ไม่น่าพอใจก็อยากทำลาย เป็นตัณหาขึ้นมา คือความอยากตามอำนาจของอวิชชา
มีความอยากแล้วก็เกิดความรู้สึกเป็น"กูผู้อยาก"ขึ้นมา นี้ก็เป็นอุปาทาน จนกระทั่งว่าเข้มข้นๆ เป็น"ตัวกู-ของกู"ที่เข้มข้น เป็นภพขึ้นมา เป็นชาติขึ้นมา ชาติแห่งตัวกูที่เต็มที่ หรืออุปาทานที่แก่จัด จนคลอดออกมาเป็น“ตัวกู” สำหรับจะวุ่นวายภายนอก "ตัวกู"ที่แสนจะโง่เขลา อย่างนี้ มันก็ทำอะไรไปตามความโง่เขลานั้นๆ มันก็ไปเอานั่น เอานี่ เข้ามาเป็นของกู จนเกิดเรื่องเกิดราว เป็นความยุ่งยากลำบาก ทนทุกข์ทรมาน เอาอะไรๆของธรรมชาติมาเป็น"ของตัวกู" เช่น เอาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของธรรมชาติ มาเป็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย “ของกู” แล้วมันก็ได้ความทุกข์เองแหละ ได้ความทุกข์เองอย่างสาสมกันทีเดียว สาสมกับความโง่ ที่ไปเอาธรรมชาติมาเป็น"ของกู" ในลักษณะที่เหมือนกับว่าแย่งชิงเอามา ปล้นเอามา หลอกลวงเอามา นี่คือ "กระแสของชีวิต" ตามธรรมดาที่มีอยู่ในคนเรา แต่ละวัน แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ตลอดชีวิต มันก็ได้รับความทุกข์"
พุทธทาสภิกขุ
ในชีวิตของเรา มีทางเลือกอยู่สองทาง คือ.
คล้อยตามไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้
อยู่เหนือโลก..พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงปฏิบัติ
จนพระองค์เองทรงพ้นโลก ด้วยการตรัสรู้
สัมมาสัมโพธิญาณ.
ในทำนองเดียวกัน ปัญญก็มีสอง คือ ปัญญา
โลกีย์ กับปัญญาโลกุตตระ หากเราไม่ภาวนา
ฝึกปฏิบัติอบรมตนเอง ถึงจะมีปัญญาปานใด
ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัย จะ
หลุดพ้นโลกไปไม่ได้.
เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อ
เวียนคล้อยไปตามโลก จิตก็เป็นโลก คิดอยู่
แต่จะหามาใส่ตัว อยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ
วิชาโลกีย์เลยกลายเป็นอวิชชา หาใช่วิชชา
ความรู้แจ้งไม่.
มันจึงเรียนไม่จบสักที เพราะมัวไปตามลาภ
ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติด
ข้อง เป็นกิเลสกองใหญ่.
เมื่อได้มาก็หึงก็หวง เห็นแก่ตัว สู้ด้วยกำปั้น
ไม่ได้ ก็คิดสร้างเครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่อง
กลเครื่องไก สร้างศาสตราอาวุธ สร้างลูกระ
เบิดขว้างใส่กัน นี่คือโลกีย์ .
มันไม่หยุดสักที เรียนไปก็เพื่อจะเอาโลก
จะครองโลก ได้อะไรก็หวงอยู่นั่นแหละ
นี่คือโลกียวิสัย เรียนไปแล้วมันจบไม่ได้.
มาฝึกทางโลกุตตระ โลกุตตระนี้อยู่ได้ยาก
ผู้ใดหวังมรรค หวังผล หวังนิพพาน จึงจะทน
อยู่ได้ จึงทำตนให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ
กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำให้มันหมด
โลกีย์.
ถ้าเชื้อโลกีย์ไม่หมด มันก็ยาก มันยุ่งไม่หยุด
สักที แม้มาบวชแล้วก็ยังคอยดึงให้ออกไป
มันมาคอยให้ความรู้ความเห็น มันมาคอยปรุง
คอยแต่งความรู้อยู่นั่นแหละ.
ทำให้ใจติดข้องอยู่ในกามคุณทั้งห้า คือ รูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ อารมณ์
ของใจเป็นกาม คือความใคร่ในความสุข ความ
ทุกข์ ความดี ความชั่ว สารพัดอย่าง มีแต่กาม
ทั้งนั้น.
คนที่ไม่รู้จักก็ว่า จะทำสิ่งในโลกนี้ให้มันเสร็จ
ให้มันแล้ว เหมือนคนที่มาเป็นรัฐมนตรีใหม่
ก็คิดว่าตนต้องทำได้ บริหารได้ แล้วก็เอาอะไรๆ
ที่คนเก่าทำไว้ออกไปเสีย เอาวิธีบริหารของตน
เข้ามาใช้แทน ก็เลยต้องหามกันออก หามกันเข้า
อยู่อย่างนั้น ไม่ได้เรื่องสักที ที่ว่าจะทำให้เสร็จ
มันก็ไม่เสร็จ เพราะจะทำให้ถูกใจทุกคนนั้น มัน
ทำไม่ได้หรอก.
คนหนึ่งชอบน้อย คนหนึ่งชอบมาก คนหนึ่งชอบ
สั้น คนหนึ่งชอบยาว คนหนึ่งชอบเค็ม คนหนึ่ง
ชอบเผ็ด จะให้เหมือนกันนั้น ไม่มีในโลก.
คนอยู่ครองโลก ครองบ้าน ครองเมือง ทำทุก
อย่างก็อยากให้มันสำเร็จ แต่ไม่มีทางสำเร็จ
หรอก เรื่องของโลกมันจบไม่เป็น ถ้าทำตาม
โลกแล้วจบได้ พระพุทธเจ้าท่านก็คงทรงทำ
แล้วเพราะท่านครองโลกอยู่ก่อน..แต่นี่มันทำ
ไม่ได้..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.