“ธรรมะของพระพุทธเจ้างดงามในเบื้องต้น งดงามในท่ามกลาง งดงามในที่สุด ไพเราะจับอกจับใจ
ยิ่งเราศึกษาปฏิบัติจะพบว่า ความทุกข์กระเด็นหายไปจากใจเราอย่างอัศจรรย์ที่สุดเลยท่านสอนให้เราช่วยตัวเอง ไม่ต้องร้องขอให้ใครมาช่วย ไม่ได้สอนให้พึ่งพาผู้อื่นสิ่งอื่น
ท่านให้เรามีสรณะคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แต่ที่พึ่งไม่ใช่แปลว่าท่านจะมาช่วย เราให้พ้นทุกข์ แต่ท่านเป็นแบบอย่างของผู้พ้นทุกข์
ท่านสอนทางพ้นทุกข์ที่ท่านเดินมาแล้ว ท่านทําได้แค่นั้นเอง ที่เหลือเราต้องทํา ต้องปฏิบัติเอาเอง
ทางที่ท่านสอนนั้นชัดเจน ไม่มีอะไรที่คลุมเครือ ไม่มีอะไรที่ จะต้องสงสัยเลย ขอให้ลงมือทําให้ถูกเท่านั้นเอง
ซึ่งมีสองอย่าง อย่างแรกทําให้ถูกทาง อย่างที่สองทําให้สมควรกับธรรม
ไม่ใช่ทํา นิดๆ หน่อยๆ หลายคนใจร้อน สะสมกิเลสมานับเวลาไม่ถ้วน พอมาภาวนา ๓ เดือน อยากบรรลุธรรมแล้ว
ธรรมะนั้นต้องปฏิบัติให้ถูกทาง เมื่อถูกแล้วก็ต้องขยัน ทำบ้างเล่นบ้างมันก็ได้แต่ธรรมะถูๆ ไถๆ ไปวันหนึ่งๆ
ถ้าอยากฝึกจนจิตใจเราเข้าถึงฝั่ง พ้นทุกข์ แล้วไม่ต้องตะเกียกตะกายต่อไป จะต้องสู้ตาย มันไม่เหลือวิสัยที่คนธรรมดาๆ อย่างพวกเราจะทําได้
มันเหลือวิสัยเฉพาะคนที่ไม่รู้ทาง ดิ้นรนแทบตายเหนื่อยแทบตายก็ ได้แค่นั้นแหละ”
หนังสืออริยสัจเพื่อความพ้นทุกข์ เรื่อง “มรรค คือ ทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์”
จากพระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แผ่นที่ ๔๓ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๕ (550107)
ทางบรรลุธรรม เมื่อภาวนาเป็นแล้ว ก็ต้องภาวนาให้เต็มที่ เพื่อเข้าถึงภาวะ สักว่ารู้ สักว่าเห็น
หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำไปเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งก็พบว่า เอ๊.. ทำยังไง ดีก็ไม่ถาวร สุขก็ไม่ถาวร สงบก็ไม่ถาวร ตัวผู้รู้ก็ไม่ถาวรนะ ตัวผู้รู้เกิดได้ก็กลายเป็นตัวผู้คิดได้ ยังกลายเป็นตัวผู้เพ่งได้ มีแต่ของไม่ถาวร ก็พย้ามพยามนะ อยากจะให้ดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร
ถามใจของพวเราดู ที่เราปฏิบัติ เราอยากได้ตรงนี้ใช่มั้ย อยากได้ มรรค ผล นิพพาน จริงๆเพราะอะไร มรรค ผล นิพพาน มันน่าจะดีถาวร มันน่าจะสุขถาวร มันน่าจะสงบถาวร เราอยากได้สิ่งเหล่านี้
ถ้ามีสติปัญญามาก ก็อยากจะได้ มรรค ผล นิพพาน เพื่อจะดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร ถ้าโง่กว่านั้นนะ ก็ไปทำสมาธิ ทำอะไรขึ้นมา ก็ดีเหมือนกัน ดีช่วงที่มีสมาธิอยู่ สงบช่วงที่มีสมาธิอยู่ สุขช่วงที่มีสมาธิอยู่ พอมันเสื่อมแล้วก็หาย
ไปอีก ก็ต้องมาทำอีก นี่ก็แล้วแต่สติ แล้วแต่ปัญญา บางคนก็อยากได้มรรค ผล นิพพาน ก็เพราะว่ามันดี มันสุข มันสงบ นั่นแหละ
ทีนี้ตะเกียกตะกายนะ หาสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อย คิดว่าถ้าเราฝึกได้ดี เต็มที่แล้ว วันหนึ่งจิตของเราจะดีถาวร สุขถาวร สงบถาวร แล้วคิดก็ว่าจิตเป็นเรานั่นแหละ คิดจะทำมันให้ดีให้ได้ คิดจะทำมันให้สุขให้ได้ คิดจะทำมันให้สงบให้ได้ ดีชั่วคราว สุขชั่วคราว สงบชั่วคราว เราก็ไม่พอใจ จะเอาถาวร
สุดท้ายเนี่ย พากเพียรแทบล้มแทบตายนะ ก็พบว่า ดีก็ชั่วคราว สุขก็ชั่วคราว สงบก็ชั่วคราว จิตผู้รู้ก็ชั่วคราว อะไรๆก็ชั่วคราวไปหมดเลย ไม่เห็นมีตรงไหนเลยที่มันจะถาวรได้ จิตยอมรับความจริงตรงนี้ได้นะ จิตก็หมดแรงดิ้นละ จะดิ้นไปทำไมล่ะ ดิ้นหาดี หาสุข หาสงบ ดิ้นยังไงก็ไม่มี มีก็มีชั่วคราวเดี๋ยวก็หายไปอีก เนี่ย จิตจะหยุดแรงดิ้นนะ หมดแรงดิ้น แต่จิตที่หมดแรงดิ้นเพราะดิ้นมาสุดขีดแล้วนะ สติก็สุดขีดแล้ว สมาธิก็สุดขีดแล้ว ปัญญาก็สุดขีดแล้ว
สติสุดขีดก็คือ ไม่เจตนาจะรู้ ก็รู้ๆๆ รู้ทั้งวันเลย รู้ทั้งคืนด้วย สมาธิก็จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อยู่อย่างนี้ ไม่เป็นผู้หลงนะ อย่างมากก็หลงแว้บๆ แล้วก็กลับมาเป็นผู้รู้อย่างรวดเร็ว จะทำสมาธิให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะทำสติให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง จะเจริญปัญญาให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันจนมุมไปหมดเลย
คือสติก็ทำมาจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว สมาธิทำจนไม่รู้จะทำยังไง ปัญญาก็ไม่รู้จะพลิกแพลงไปพิจารณาอะไรอีกต่อไปแล้ว เนื่ยจิตถ้าภาวนามาจนสุดขีดนะ มันจะเข้ามาสู่ภาวะแห่งความจนมุมนี้ มันจะหยุดแรงดิ้น มันจะหมดความอยากว่าจะทำยังไงจะพ้นทุกข์ได้ ทำยังไงจะสุขถาวร ทำยังไงจะดีถาวร ทำยังไงจะสงบถาวร เพราะมันดิ้นมาสุดฤทธิ์สุดเดชแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง มันทำไม่ได้สักทีหนึ่ง
พอจิตหมดแรงดิ้นแล้ว จิตก็สักว่ารู้ว่าเห็น ตรงนี้แหละสักว่ารู้ว่าเห็นขึ้นมา…
"ทุกข์เป็นสิ่งควรรู้รอบ
รู้รอบคือ รู้ด้วยสติรู้ด้วยปัญญา
รู้ด้วยสติ คือรู้ถึงตัวสภาวะของมัน
รู้ด้วยปัญญาก็จะเห็นลักษณะของมัน
รู้ด้วยสติ ก็คือเห็นสภาวะ
เช่น ความโกรธเกิดขึ้นเห็นความโกรธโผล่ขึ้นมา
รู้ด้วยปัญญา ก็คือ
เห็นความโกรธนั้นไม่เที่ยง ความโกรธเป็นทุกข์
ความโกรธไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้ ห้ามไม่ได้
รู้ด้วยปัญญาก็คือเห็นไตรลักษณ์นั่นแหละ
ถ้ารู้ด้วยสติก็เห็นรูปนาม
รู้ด้วยปัญญาเห็นไตรลักษณ์
วิปัสสนาต้องเห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์
เพราะฉะนั้นต้องรู้ด้วยสติและปัญญา
รู้ด้วยสติอย่างเดียวไม่ได้"
...............................................................................
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้กาย พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ใจ
พระพุทธเจ้าไม่สอนกำหนดนะ
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้
"ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยัง :
ทุกข์เป็นสิ่งควรรู้รอบ"
รู้รอบคือ รู้ด้วยสติรู้ด้วยปัญญา
รู้ด้วยสติ คือรู้ถึงตัวสภาวะของมัน
รู้ด้วยปัญญาก็จะเห็นลักษณะของมัน
รู้ด้วยสติ ก็คือเห็นสภาวะ
เช่น ความโกรธเกิดขึ้นเห็นความโกรธโผล่ขึ้นมา
รู้ด้วยปัญญา ก็คือ
เห็นความโกรธนั้นไม่เที่ยง ความโกรธเป็นทุกข์
ความโกรธไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้ ห้ามไม่ได้
รู้ด้วยปัญญาก็คือเห็นไตรลักษณ์นั่นแหละ
ถ้ารู้ด้วยสติก็เห็นรูปนาม
รู้ด้วยปัญญาเห็นไตรลักษณ์
วิปัสสนาต้องเห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์
เพราะฉะนั้นต้องรู้ด้วยสติและปัญญา
รู้ด้วยสติอย่างเดียวไม่ได้
บางคนไปเดินจงกรม เอาจิตไปจ่อไว้ที่เท้า
เท้าเคลื่อนไหวอย่างไรรู้หมดเลย อันนั้นไม่มีปัญญา
ถ้ารู้ด้วยปัญญาจะเห็นเลย ตัวที่เดินอยู่ไม่ใช่เรา
ตัวที่โกรธ ความโกรธนั้นไม่ใช่ตัวเรา
สภาวธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา
ไม่ว่าสภาวธรรมใดๆ ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม
ล้วนแต่ไม่ใช่ตัวเรา นี่อย่างนี้ถึงจะเรียกมีปัญญา
บุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
ถึงความบริสุทธิ์เป็นอย่างไร ถึงพระอรหันต์นั่นเอง
บุคคลถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญานะ
ปัญญาเกิดจากอะไร
ปัญญาเกิดจากการมีสติ
รู้สภาวะของรูปธรรมและนามธรรมที่ปรากฏ
แต่ปัญญาที่มีสติรู้อย่างเดียวไม่พอ
ต้องมีเงื่อนไขที่สำคัญที่ทำให้เกิดปัญญา
คือสัมมาสมาธิ
ในพระอภิธรรมถึงสอนว่า
"สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา"
สัมมาสมาธิไม่ใช่มิจฉาสมาธิ
สมาธิที่พวกเราฝึกอยู่เกือบทั้งหมดคือมิจฉาสมาธิ
สมาธิเพ่ง สมาธิจ้อง สมาธิบังคับ สมาธิกำหนด
สมาธิเครียดๆ แข็งๆ สมาธิเคลิ้มๆ สมาธิลืมเนื้อลืมตัว
สิ่งเหล่านี้เป็นมิจฉาสมาธิทั้งสิ้น
หรือสมาธิเข้าไปนอนแช่
รู้ลมหายใจก็ไปนอนอยู่กับลม จิตไปแช่อยู่กับลม
รู้ท้องพองยุบจิตไปแช่อยู่ที่ท้อง
รู้เท้ายกเท้าย่างเท้าจิตไปแช่อยู่ที่เท้า
ขยับมือจิตไหลไปอยู่ในมือ
อย่างนี้เป็นมิจฉาสมาธิ
ถ้าสัมมาสมาธิใจจะตั้งมั่น สักว่ารู้สักว่าเห็นอยู่
ใจตั้งมั่นเป็นแค่คนดู สติระลึกไป
แต่ใจเป็นคนรู้เฉยๆ ใจไม่เข้าไปปรุงแต่งต่อ
ใจเป็นผู้รู้ผู้ดูอย่างนั้นเอง
พอใจมันไม่ปรุงแต่งต่อ
มันจะเห็นความจริงของสภาวธรรมทั้งปวง
ทั้งรูปธรรมนามธรรมที่เกิดขึ้น
สภาวธรรมทั้งปวงไม่มีตัวเราในสภาวะเหล่านั้น
ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา จิตใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา
เห็นซ้ำๆ ๆ อย่างนี้นะเห็นไป วันหนึ่งก็จะแจ้งขึ้นมา
บางคนบอกทำไมหลวงพ่อเทศน์เหมือนกันทุกวันเลย
ฟัง CD ก็เหมือนกันทุกวัน
แต่รับรองว่าความรู้ความเข้าใจไม่เหมือนกันหรอก
ฟังไปเถอะ
มีอยู่วันหนึ่งนั่งอยู่ที่นี่แหละ ตอบปัญหาของบุญทวี
บุญทวีมาถามเรื่องการปฏิบัติ ตอบคุณบุญทวีว่า
คนเราไปสร้างตัวตนขึ้นมาจากความไม่มีตัวตน
ในความเป็นจริงตัวตนไม่มี
พอพูดประโยคนี้มีคนปิ๊งขึ้นมาเลย
ตัวตนไม่มี เห็นโลกธาตุว่างจากตัวตนเลยนะ
เห็นธรรมะที่ไม่มีตัวมีตน
ไปเทศน์ที่ศาลาลุงชินรอบที่ผ่านมา คนตั้งพันกว่า
เทศน์กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา
ก็ฟังกันทุกวันนะ แต่มันยังไม่พอ
วันนั้นก็มีคนพอ มีคนปิ๊งขึ้นมา
โอ้ ไม่มีเราจริงๆ นะ โลกธาตุนี้ว่างไปหมดเลย
ฉะนั้นวันหนึ่งเราก็จะปิ๊งขึ้นมาได้นะ ไม่แป๊ก
ถ้าไปเพ่งเอาๆ ก็แป๊กนะไม่ปิ๊งหรอก
การภาวนาเหมือนการกินข้าวนะ
กินไปเรื่อยๆ มันอิ่มเอง
การภาวนาก็เหมือนกัน มีหน้าที่เจริญสติไป
รู้กายรู้ใจด้วยจิตที่เป็นกลางไป แล้วมันจะอิ่มเอง
วันที่มันอิ่มมันพอนี่แหละ มันจะหมดความปรุงแต่ง
แล้วมันจะเห็นนิพพาน
เข้าสู่ความพ้นทุกข์ในลำดับเบื้องต้น
เรียกว่าพลันตกลงในกระแสน้ำแห่งสัมมาทิฏฐิแล้ว
ผู้ที่ตกลงในกระแสน้ำแห่งสัมมาทิฏฐิแล้ว
วันหนึ่งจะถูกพัดพาไปสู่มหาสมุทรคือนิพพาน
การชำนาญในสมาธิเนี่ยมี ๔ อย่าง
ถ้าทำได้สี่อย่าง ก็ถือว่าเก่งเรื่องสมาธิ
ชำนาญในการเข้าสมาธิ นึกจะเข้า ก็เข้าได้เลย
ชำนาญในการทรงอยู่
จะตั้งอยู่จะนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่พอใจ
ชำนาญในการเจริญปัญญาในสมาธิ
อันนี้ยากที่สุดเลย
แล้วก็ชำนาญในการออกจากสมาธิ
งั้นออกจากสมาธิต้องชำนาญด้วย
ถ้าไม่ชำนาญนะ อยู่ๆ นั่งสมาธิ
อยู่ๆจะออกปุ๊บ ออกมานะปวดหัวเลย
จะปวดหัวเลย นั่นไม่ชำนาญ
งั้นต้องค่อยๆ ฝึก มีเทคนิคในการเคลื่อนจิตขึ้นมา
อยู่ๆ ดึงพรวดขึ้นมานี่ปวดหัวเลย
อันนี้พวกเราไม่ต้องทำขนาดนั้น
ให้พวกเราไปเลือก
เอาอารมณ์กรรมฐานสักอย่างหนึ่งนะ
ที่อยู่แล้วมีความสุข
แล้วเราก็ไปรู้อารมณ์อันนั้นน่ะอย่างมีความสุข
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
ถ้าอยากสงบจะไม่มีความสุข
ถ้าความอยากเกิดเมื่อไหร่
ความทุกข์เกิดเมื่อนั้น
ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือตัวสมุทัย
งั้นอย่าอยากให้สงบ
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
พุทโธไป หายใจไปนะ ทำตามสบาย
แล้วก็เคล้าเคลียอยู่กับพุทโธ
อยู่กับลมหายใจอะไรของเราไป
ไม่ชอบพุทโธ ไม่ชอบลมหายใจ
ใช้(กรรมฐาน)อย่างอื่นก็ได้
อย่างหลวงพ่อเทียนขยับมือ
ขยับมือแล้วมีความสุข ก็ขยับไป
ดูท้องพองยุบ แล้วมีความสุข ก็ดูไป
(ใช้อารมณ์)อะไรก็ได้กรรมฐาน
สมถะไม่เลือกอารมณ์ อะไรก็ได้
แต่ต้องไม่เกิดกิเลสง่ายนะ
แล้วก็ต้องมีความสุข
ตัวสำคัญ ใช้ใจที่มีความสุข
ไปรู้อารมณ์ที่มีความสุข
(จะ)สงบอย่างรวดเร็ว
ไปหัดนะ เราเป็นฆราวาสก็ต้องหัด
เพราะว่าชีวิตเราเคร่งเครียดมาก ดีไม่ดีบ้า
เหน็ดเหนื่อยมาก เครียดมาก โรคจิตกิน
ถ้าเรามีสมาธินะ จิตใจมีความสุข
แต่อย่าไปติดมิจฉาสมาธินะ
มันจะติดในรสของความสงบ
แล้วมันจะอยู่กับโลกไม่ได้
งั้นบางคนทำสมาธิ
แล้วพอออกไปกระทบกับอารมณ์นิดๆ หน่อยๆนะ
ยังกับลูกระเบิดลงเลย
ตูมตาม โมโห โครมครามขึ้นมา
อันนั้นมิจฉาสมาธิ
ใครเป็นมั้ย นั่งสมาธิแล้วขี้โมโหเนี่ย
คนที่สี่นั้น เออนั่นแหละสารภาพมา หน้าตาฟ้อง
ถ้าทำสมาธิแล้วยิ่งโมโห อันนั้นมิจฉาสมาธิ
ทำไปเพราะอยากสงบ
เนี่ยถ้าทำไปเพราะกิเลส ก็ได้มิจฉาสมาธิ
อยากสงบ มันก็กิเลสนั่นแหละ
ทำเป็นพุทธบูชา
นี่เราปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
หรือปฏิบัติเพื่อทำตามที่ครูบาอาจารย์สอน
เนี่ยไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะเอาอะไรนะ
ปฏิบัติเพื่อเอาความสุข เอาความสงบ เอาความดี
ยังเจือโลภอยู่ ยังใช้ไม่ได้ ไม่สงบจริงหรอก
นี่หลักของการทำสมาธิชนิดสงบนะ
.
สมาธิอีกชนิดหนึ่งสำคัญที่สุด
คือสมาธิชนิดจิตตั้งมั่น
สมาธิอย่างนี้เรียกว่า"ลักขณูปนิชฌาน"
สมาธิที่จิตสงบในอารมณ์อันเดียว
เรียกว่า"อารัมมณูปนิชฌาน"
อารัมมะ คืออารมณ์นั่นเอง
อารัมมณูปนิชฌาน(คือ)จิตสงบในอารมณ์อันเดียว
ส่วนสมาธิที่จะใช้เจริญปัญญา
นี่เรียกว่า "ลักขณูปนิชฌาน"
จิตตั้งมั่น จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์ไม่เป็นหนึ่งนะ
อารมณ์เป็นแสนเป็นล้านเลย
แต่จิตเป็นหนึ่ง เป็นคนดู
เห็นอารมณ์เนี่ยไหลผ่านไปเรื่อยๆ
ใจเราเป็นแค่คนดูสบายๆ
ไม่กระโดดลงไปคลุกกับอารมณ์
แต่ถ้าเป็นอารัมมณูปนิชฌานนะ
จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง
หนึ่งกับหนึ่งอยู่ด้วยกัน
อันนี้จะได้ความสงบ
จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นลักขณูปนิชฌาน
ใช้เดินปัญญาเนี่ย
จิตเป็นหนึ่ง คือตั้งมั่นเป็นคนดูอย่างเดียว
ไม่ทำอย่างอื่น ไม่ทำหน้าที่อื่นนะ
จิตทำหน้าที่เห็นอย่างเดียว
จิตทำหน้าที่รู้เห็น อารมณ์เนี่ยเท่าไหร่ก็ได้
อารมณ์จะมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ได้หมดเลยทุกช่องทาง
แต่เข้ามาแล้ว มันจะมารวมลงที่จิตดวงเดียว
เรามีสติรู้ทันอยู่ที่จิตเนี่ย
จิตเคลื่อนไปหาอารมณ์-เรารู้
จิตเคลื่อนไปที่อารมณ์-เรารู้
.
งั้นวิธีที่เราจะฝึกให้ได้ลักขณูปนิชฌานเนี่ย
ทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง
อย่างที่เคยทำนั่นแหละแล้วสงบนั่นแหละ
ใช้กรรมฐานเดิมนั่นแหละทำได้
อย่างเวลาเราทำกรรมฐานเพื่อสงบนะ
จุดเด่นอยู่ที่ตัวอารมณ์
ให้จิตไปอยู่ที่ตัวอารมณ์
เวลาเราจะทำกรรมฐานให้จิตตั้งมั่นเนี่ย
จุดเด่นอยู่ที่จิต
ไม่ใช่อยู่ที่ตัวอารมณ์
เราจะคอยรู้ทันจิต
ไม่ใช่รู้อารมณ์
จะกลับข้างกันนะ
ถ้าต้องการความสงบอย่างรวดเร็วเนี่ย
น้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง
เนี่ยสงบ
แต่ถ้าต้องการจิตตั้งมั่น
เอาจิตเป็นพระเอก เอาจิตเป็นนางเอก
อารมณ์เป็นสิ่งมายั่วจิตเท่านั้นเอง
เราจะเห็นอย่างเราอยู่กับพุทโธ ๆ ๆ อยู่ดีๆเนี่ย
จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น เรารู้ทันจิต
เราไม่ได้รู้พุทโธ
เรารู้ทันจิตว่าหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
หรือเรารู้ลมหายใจอย่างนี้
หายใจออก หายใจเข้านะ ใจเป็นคนดู
เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู
ประโยคนี้จำให้ดีนะ
"เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู"
ไม่ใช่เห็นลมหายใจนะ
ถ้าเห็นลมหายใจ
มันจะน้อมไปหาอารัมมณูปนิชฌาน
ถ้าเห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดูเนี่ย
พอใจเราเป็นคนดูแล้วหายใจอยู่
บางทีใจเราไหลลงไปอยู่ที่ลมหายใจ
ตรงที่ใจไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ
ให้เรารู้ทัน มันจะกลับมาเป็นผู้รู้ใหม่
บางทีหายใจไปนะ
ร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู
หายใจไป ๆ ใจหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
เรารู้ทันใจที่หนีไปคิดเรื่องอื่น
งั้นตัวที่เราจะรู้ทัน
ในการทำสมาธิชนิดจิตตั้งมั่น
คือ(รู้ทัน)จิตของเราเอง
ไม่ใช่รู้อารมณ์นะ
รู้จิต แต่อารมณ์เป็นตัวล่อ ล่อเพื่ออะไร ?
เพื่อว่า จิตหนีไปจากอารมณ์นี้
หรือจิตถลำไปใส่อารมณ์นี้ เราจะได้รู้ว่องไว
ไม่ใช่หลงไปทีนึงวันหนึ่ง
ถ้าเราไม่มีเครื่องอยู่ของจิตเลยนะ
จิตจะหนีไปทั้งวันเลย
กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอเนี่ย
จะนอนแล้วพึ่งรู้ว่า เฮ้ย วันนี้เผลอทั้งวันเลย
ใครเคยเป็นมั้ย วันนี้เผลอทั้งวันเลย ?
เคยทั้งนั้นแหละ ทำมาอ้อล้อ
แบบไม่เคย หนูไม่เคย โธ่เอ๊ย
เนี่ยตอนที่หัวเราะเนี่ย
จิตก็หนีไปแล้ว รู้สึกมั้ย
ให้รู้จิต รู้ทันจิตไป จิตหนีไปแล้วรู้
จิตหนีแล้วรู้ไปเรื่อยๆ จิตมันจะถลำไป
ถลำไปคิด ถลำไปเพ่ง
จิตมันเคลื่อนเมื่อไหร่ รู้ไป
อย่าไปบังคับจิตว่าห้ามเคลื่อน
จิตเคลื่อนแล้วรู้ เคลื่อนแล้วรู้ไป
แล้วจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา
โดยที่เราไม่ได้เจตนาให้ตั้งมั่น
ตรงนี้เราจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา
.
วิธีได้จิตผู้รู้ มี ๒ วิธีนะ
วิธีหนึ่ง ก็คือทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง
แล้วรู้ทันจิตที่เคลื่อนไหวไปมา
นี่วิธีนี้ง่าย สำหรับคนไม่ได้ฌาน
วิธีที่จะได้จิตผู้รู้อีกวิธีหนึ่ง
คือเข้าฌานอย่างที่หลวงพ่อบอก
จนถึงฌานที่สองจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา
จิตผู้รู้ตัวนั้นนะ เกิดจากอัปปนาสมาธิ
งั้นกำลังมันมาก
ตอนที่เราถอยจิตออกมาแล้วเนี่ย
มันยังทรงตัวอยู่ได้อีก ๗ วัน ไม่เกิน ๗ วัน
ในขณะที่ จิตไหลแล้วรู้ ไหลแล้วรู้เนี่ย
อยู่ได้ชั่วขณะ ชั่วขณะคือเป็นขณิกสมาธิ
แต่อย่าดูถูก เผลอแล้วรู้ ๆ นะ
ท่านที่เป็นพระอรหันต์ส่วนใหญ่
ใช้ขณิกสมาธิเท่านั้นแหละ
ไม่ใช่ว่าได้อัปปนาสมาธิมาก่อน
งั้นอย่าดูถูกขณิกสมาธิ
เอาสิ่งที่เราทำได้จริง คือขณิกสมาธิ
อัปปนาสมาธิพวกเราทำยาก ฟุ้งซ่านจะตายไป
งั้นเราใช้สิ่งที่เราเป็นไปได้
.
ต่อไปนี้ให้การบ้าน
ทุกวันจะต้องฝึกสมาธินะ
ถือศีล ๕ ไว้ ตั้งใจรักษาศีล ๕ ไว้
ไหว้พระสวดมนต์นิดหน่อย
แล้วทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
ที่ทำแล้วสบายใจ
แล้ววันไหนเราไม่มีแรง เราเหน็ดเหนื่อย
เราก็น้อมใจนะ ใช้ใจทำใจสบายๆ
ไปอยู่กับอารมณ์สบายๆ เราจะได้พักผ่อน
จะได้สมาธิชนิดพักผ่อน
วันไหนเรามีแรงพอ
ใจเรามีกำลังนะ เราก็รู้ตัวอยู่
หายใจไป พุทโธไป รู้ตัวไปนะ
แล้วพอใจเราเคลื่อนไปหาลมหายใจ
เคลื่อนไปหาพุทโธ เรารู้ทัน
ใจเคลื่อนไปคิดเรื่องอื่น เรารู้ทัน
รู้ทันใจที่เคลื่อน
เราจะได้สมาธิชนิดตั้งมั่น
(คือ)ได้ลักขณูปนิชฌานขึ้นมา
พอเราวันไหนนั่งสมาธิไปแล้ว
ใจตั้งมั่นเข้มแข็งดีแล้วนะ
ก็เดินปัญญาต่อไปเลย
.
วิธีเดินปัญญาที่ง่ายๆเลยนะ
ถ้าเราเห็นใจที่เคลื่อนแล้วเรารู้ ใจเคลื่อนเรารู้
เราต่อยอดจากจุดตรงนี้เลย
การเดินปัญญาเนี่ย
ต่อยอดจากจุดที่เห็นจิตเคลื่อนนี่เลย
เราก็เป็นคนดูไป จิตเคลื่อนแล้วรู้
จิตเคลื่อนแล้วรู้ไป
แต่คราวนี้สมาธิเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
เพราะว่าจิตเคลื่อนปุ๊บ รู้ปั๊บ สมาธิเกิด
ไม่ต้องสนใจสมาธิแล้ว
เราก็รู้สึกตัวไปเรื่อยๆนะ
แล้วต่อไปปัญญามันจะเกิด
มันจะเห็นว่า จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง
จิตผู้ไหลไป หลงไป ก็ไม่เที่ยง
จิตผู้รู้บังคับไม่ได้
จิตผู้ไหลไป ก็ห้ามไม่ได้
จิตผู้ถลำไป ห้ามไม่ได้
ตัวนี้เห็นอนัตตา
งั้นเราดูจิตที่เคลื่อนเนี่ย
ไหล กริ๊ก-รู้ กริ๊ก-รู้ ๆ ไปเรื่อย
เราจะเห็นจิตเป็นอนิจจังบ้าง อนัตตาบ้าง
แล้วแต่ แต่ละคน แล้วแต่จะเห็น
(เห็น)อันใดก็ได้ ตรงนี้คือการเจริญปัญญานะ
งั้นเวลาที่เราดูจิตของเรา
ฝึกจิตตสิกขาของเราให้ดีเนี่ย
พอถึงขั้นเจริญปัญญาเนี่ย
ต่อเข้าที่จิตนี่ได้เลย
หลวงปู่ดูลย์สอนหลวงพ่อเนี่ย
ต่อเข้าที่จิตเลย
เพราะหลวงพ่อทำสมาธิได้ตั้งแต่เด็ก
พอหลวงปู่ดูลย์เจอหน้าหลวงพ่อ
หลวงพ่อไปกราบเรียนท่าน
บอก หลวงปู่ผมอยากปฏิบัติ
หลวงปู่ท่านนั่งหลับตาเงียบๆไป
ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เกือบชั่วโมงนะ
แล้วท่านก็ลืมตาขึ้นมา
ท่านก็สอน บอกว่า
"การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ
อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง"
งั้นท่านไม่ได้สอนว่าทำความสงบ
อย่างโน้นอย่างนี้ หรือว่าไปทำกรรมฐานอย่างอื่น
ท่านให้ต่อเข้าที่จิตเลย เพราะเรามีสมาธิอยู่แล้ว
จิตเราเคลื่อน เราเห็นแล้ว
งั้นเวลาเรียนจากหลวงปู่ดูลย์นะ
หลวงพ่อเห็นจิตที่เคลื่อนเนี่ย
จิตเคลื่อนไหวปุ๊บ รู้สึก
จิตหลงไปแล้วรู้ ๆ
จิตหลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ เรื่อยๆไป
ใช้เวลาไม่นานมันก็เกิดปัญญาขึ้นมา
รู้ว่าจิตนี้ไม่เที่ยง จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา
เนี่ยต่อยอดเข้าตรงนี้ได้เลยนะ
ถ้าเราเดินตามเสต็ปจนเราฝึกสมาธิที่ดีเกิดขึ้นแล้ว
จิตเป็นผู้รู้ ผู้ดูแล้ว เราก็ดูจิตมันทำงานไปเลย
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม
21 ตุลาคม 2561
CD แผ่นที่ 78 File:611021A
พระธรรมเทศนาระหว่างนาที 19:09--30:58
ดาวน์โหลดไฟล์เสียงธรรมะได้ที่
.....
กราบคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูง
กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
.....
-บทเรียนเรื่องการเจริญปัญญา-
วันนี้หลวงพ่อจะสอนเรื่องการเจริญปัญญาให้
การเจริญปัญญานั้น
ไม่ใช่เพื่อให้เราฉลาดแต่เพื่อให้จิตเข้าใจ
ความฉลาดของเราไม่มีความหมายอะไร
อย่างเรามีความรู้อะไรต่ออะไรไว้
พอเราแก่มันก็ลืมไปหมดแล้ว
พอตายไปก็ลืมหมดไม่มีอะไรเหลือ
พวกเราชาติก่อนเป็นอะไรมาเราก็จําไม่ได้
แต่เราจะมาฝึกจนกระทั่งจิตมันเกิดความเข้าใจ
ความเป็นจริงของรูป-นาม กาย-ใจ
ถ้ามันเข้าใจแล้ว มันจะเบื่อหน่าย
คลายความยึดถือแล้วก็หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว
ก็คือ หลุดออกจากกองทุกข์ เรียกว่า พ้นทุกข์
ขันธ์ยังมีอยู่แต่จิตมันพ้นจากขันธ์ นี่มันพ้นทุกข์
ดํารงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไปเต็มเปี่ยม
ไม่มีพร่องซักนิดเลยนะ จนกระทั่งวันที่ตาย
วันที่สิ้นขันธ์ วันสิ้นขันธ์ก็คือวันสิ้นทุกข์
เป็นวันดับขันธ์ ดับสนิทแห่งทุกข์
เราจะเข้าถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ได้
ก็ต้องอาศัยการได้เห็นรูป-นามตามความเป็นจริง
เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย
เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ
เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น เป็นอิสระ
พ้นจากทุกข์ พ้นจากรูป-นาม
.
การที่จะให้จิตเห็นความจริงได้
ไม่ต้องไปโฆษณาชวนเชื่อ
ไม่ต้องไปพร่ำสอนจิตว่า เชื่อเถอะๆ
ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
คิดยังไงก็ไม่ได้ผลหรอก จิตมันจะดื้อ
ต้องพาจิตให้ดูของจริง
.
วิปัสสนากรรมฐานคือ วิชาที่จะพาจิตให้ดูความจริง
ของกาย-ใจ ของรูป-นาม
จิตที่จะดูความจริงของรูป-นามของกาย-ใจได้
ต้องมีเครื่องมือที่สําคัญอย่างน้อย ๒ ตัว
ตัวที่หนึ่ง สติ
ตัวที่สอง สมาธิชนิดตั้งมั่น
มีสติอย่างเดียวไม่พอ มีสมาธิแต่ไม่ใช่สมาธิตั้งมั่น
เป็นสมาธิสงบอยู่เฉยๆก็ไม่ได้
ฉะนั้น เราต้องพัฒนาเครื่องมือ ๒ ตัวนี้ขึ้นมา
.
เครื่องมือตัวแรกคือ สติ
สติเป็นเครื่องระลึกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกาย-ในใจ
เช่น หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก
ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก
มีสุขมีทุกข์รู้สึก เฉยๆรู้สึก
เกิดกุศลรู้สึก โลภโกรธหลงรู้สึก
นี่สติจะเป็นตัวระลึกได้ถึงความมีอยู่ของสภาวะ
.
【สติ】เป็นตัวรู้ความมีอยู่ของสภาวธรรม
สิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรมคือ รูปธรรมกับนามธรรม
【ปัญญา】เป็นตัวเข้าใจความเป็นจริงของสภาวธรรม
รูป-นามทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
【สมาธิคือความตั้งมั่น】 จิตจะถอนตัวออกมา
จากการเป็นผู้แสดงมาเป็นแค่ผู้ดู ผู้สังเกตการณ์
จิตจะเป็นผู้สังเกตการณ์ สังเกตอะไร?
สังเกตการทํางานของกาย การทํางานของใจ
จิตอยู่ต่างหาก จิตไม่เข้าไปยุ่งด้วย
ไม่ใช่ว่าคอยไปบังคับว่าต้องนั่งท่านี้ ต้องเดินท่านี้
ต้องหายใจแบบนี้ อันนั้นไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าบังคับว่าต้องเดินท่านี้อย่างอื่นไม่ใช่
อันนี้ต้องรู้เลยว่าเป็นแค่สมถะ
เราจะดูอย่างที่มันเป็นจริงๆนะ เราไม่เข้าไปแทรกแซง
ตรงที่ไม่เข้าไปแทรกแซงได้ รู้ตามความเป็นจริงได้นี่
จิตจะต้องเป็นคนดู ฉะนั้นจิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จึงเป็นตัวสําคัญมาก หลวงพ่อสังเกตดู
พวกที่เข้าคอร์สนะฝึกสติมา แต่สมาธิยังไม่ค่อยดี
ไม่ค่อยถูกไม่เข้าบ้านเรียกว่า ขาดสัมมาสมาธิตัวจริง
ที่จะเอาไว้ใช้เดินปัญญา
.
สติเป็นความระลึกได้ สติเกิดจากอะไร?
สติสั่งให้เกิดไม่ได้และสติเป็นอนัตตา
ไม่มีใครสั่งสติให้เกิดได้ พระพุทธเจ้าสอน
วิธีที่ทําให้สติเกิดคือ การเจริญสติปัฏฐาน
สติปัฏฐานในเบื้องต้นทําไปเพื่อให้เกิดสติ
สติปัฏฐานในเบื้องปลายทําไปเพื่อให้เกิดปัญญา
สติปัฏฐานมี ๒ ขั้นนะ
.
อันแรกสติเป็นตัวระลึกรู้สภาวะ
สติทําหน้าที่คุ้มครองรักษาจิต
เช่น จิตมีอกุศลอยู่ พอสติเกิดอกุศลดับเองเลย
มันคุ้มครองจิตไม่ให้ตกสู่ที่ชั่ว มันคอยคุ้มครองเกื้อกูล
ให้จิตพัฒนาไปในทางที่ดี นี่คือหน้าที่ของมัน
สิ่งที่ทําให้สติเกิดคือ การจําสภาวะได้แม่น
จิตจําสภาวะได้แม่น มันก็เหมือนอย่างเรา
เห็นคนๆหนึ่งเดินผ่านหน้าบ้านเราทุกวัน
เราจําได้แม่น เราอาจไม่รู้จักชื่อเขาก็ได
สภาวะบางอย่างเราไม่รู้หรอกมันคืออะไร
ไม่รู้จะเรียกชื่ออะไรแต่เห็นมันมาเรื่อยๆ
การที่มันมาแล้วเราก็เห็น มาแล้วเราก็เห็น
เราจะจําแม่น ต่อไปไปเจออีตาคนนี้ที่ไหน
มันก็จําได้ โอ้ย!คนนี้มาอีกแล้ว
.
วิธีฝึกให้เกิดสติก็คือ หัดรู้สภาวะเนืองๆ
พระพุทธเจ้าถึงใช้คําว่า “หัดรู้กายในกายเนืองๆ
รู้เวทนาในเวทนาเนืองๆ รู้จิตในจิตเนืองๆ
รู้ธรรมในธรรมเนืองๆ” รู้เนืองๆรู้บ่อยๆ
ถ้ารู้บ่อยๆจิตก็จะจําได้ พอสภาวะนั้นผ่านเข้ามา
ผ่านเข้ามาในกาย ผ่านเข้ามาในจิตใจ
สติก็จะระลึกได้โดยไม่ต้องสั่งให้ระลึก
เราอยู่ๆนึกว่าฉันจะมีสติ
เห็นเขียนป้ายโฆษณาตามถนน ขับรถให้มีสติ
พูดง่าย สติมันไม่ได้สั่งให้เกิดได้นี่
แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย เขียนป้ายให้มีสติอยู่ซักหน่อยก็ยังดี
แต่ว่าสติจะเกิดไหม ยังไม่เกิดหรอก
“สติเกิดจากจิตจําสภาวะได้แม่น
เพราะสติเป็นตัวรู้ทันว่ามีสภาวะอะไรเกิดขึ้น
ถ้ามันไม่รู้จักสภาวะ มันจําสภาวะไม่ได้”
ถึงสภาวะมามันก็ไม่เกิด ฉะนั้นเราต้องมาหัดรู้สภาวะ
.
เบื้องต้นจะรู้อะไรก็ได้ในรูป-ในนาม
พระพุทธเจ้าท่านจัดสรรตัวอย่างเอาไว้ให้เราดู
ท่านเลือกเอาไว้ให้แล้ว ไปดูในมหาสติปัฏฐานสูตร
มี ๔ หมวดใหญ่ๆเรียกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย...ท่านบอกว่ามีกายในกาย
อะไรเรียกว่า กายในกาย หรือเวทนาในเวทนา
จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นศัพท์เฉพาะ
หมายถึงว่า เราเรียนรู้กายบางอย่าง
ถ้าเข้าใจแล้วเราจะเข้าใจกายทั้งหมด
เราเรียนรู้เวทนาบางอย่าง ถ้ารู้เวทนานั้นแล้ว
เราจะเข้าใจเวทนาอื่นทั้งหมด
เราดูจิตใจบางอย่างเช่น คนขี้โกรธ โกรธก็รู้
ความโกรธเกิดก็รู้ สุดท้ายจะเข้าใจจิตทั้งหมด
อย่างนี้เรียกว่า สุ่มตัวอย่างมาเรียน
.
กายในกายก็คือ เรียนรู้กายบางอย่าง
ไม่ต้องเรียนรู้กายทั้งตัว อย่างพวกหมอ
ต้องเรียนรู้กายทั้งตัวใช่ไหม
ตั้งแต่หัวถึงเท้าจับผ่า ดูตรงโน้นดูตรงนี้
เราไม่ต้องเรียนอย่างนั้น
เราเรียนกายในกายคือ เรียนกายบางอย่าง
เช่น กายที่หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว
คอยรู้สึกตัวอยู่ หายใจออกรู้สึก-หายใจเข้ารู้สึก
เรียนอยู่แค่นี้นะ ต่อไปถ้าหายใจออก “รู้สึก”
หายใจเข้า “รู้สึก” มันรู้สึกทั้งวันอยู่แล้วล่ะ
เพราะทั้งวันมีแต่หายใจออก-หายใจเข้านึกออกไหม
เราฝึกไปเรื่อยนะ จนสติมันเกิดเวลาหายใจ
หายใจออกก็รู้สึก หายใจเข้าก็รู้สึก
สุดท้ายสติเกิดทั้งวัน
เพราะว่าทั้งวันมีแต่หายใจออก-หายใจเข้า
.
หรือยืนก็รู้สึก เดินก็รู้สึก นั่งก็รู้สึก
นอนก็รู้สึก หัดรู้สึกไปเรื่อย
จนกระทั่งสติมันระลึกได้เอง จะขยับเขยื้อน
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน มันรู้สึกได้เอง
รู้สึกได้โดยไม่เจตนารู้สึก
พอมันรู้สึกได้โดยไม่เจตนารู้สึก
เรียกว่า รู้กายบางอย่างแล้ว
คือ รู้กายที่ยืน เดิน นั่ง นอน
ถ้ายืน เดิน นั่ง นอน เรารู้สึกได้ เราก็รู้สึกได้ทั้งวัน
เพราะอิริยาบถใหญ่ๆของเรามีอยู่แค่นี้เอง
อย่างบางคนกระโดดใช่ไหม?
บอกว่าไม่ใช่ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นกระโดด
แต่ตอนกระโดดต้องยืนก่อนใช่ไหม?
ช่วงกระโดดมีนิดเดียวหรอก
ใครมันจะเป็นจิงโจ้กระโดดทั้งวันใช่ไหม?
มันไม่ได้ทําอย่างนั้น
.
เพราะฉะนั้น ยืน เดิน นั่ง นอน “รู้สึก”
สติจะเกิดได้ทั้งวันอยู่แล้ว
หรือขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว “รู้สึก”
หยุดนิ่ง “รู้สึก” เคลื่อนไหว “รู้สึก”
หยุดนิ่ง “รู้สึก”
นี่แค่ดูกายอย่างเดียว ดูกายในมุมเดียว
ของความเคลื่อนไหวแล้วก็หยุด
เคลื่อนไหวแล้วก็หยุด ดูมันมุมนี้เท่านั้น
นี่เรียกกายในกายนี้หนึ่งมุม
ถ้าเคลื่อนไหวก็รู้สึก-หยุดนิ่งก็รู้สึก
ก็จะรู้สึกได้ทั้งวันแล้ว
เพราะทั้งวันมีแต่เคลื่อนไหวกับหยุดนิ่ง
นี่คําว่า กายในกาย
เรียนรู้กายบางอย่างก็จะเกิดสติตลอดเวลาได้
แล้วต่อไปก็จะเข้าใจความเป็นจริงของกายได้
จะรู้สึกเลยร่างกายที่หายใจออกไม่ใช่เรา
ร่างกายที่หายใจเข้าไม่ใช่เรา ถ้ารู้สึกอย่างนี้นะ
ร่างกายตอนไหนก็ไม่ใช่เราแล้ว ร่างกายยืนไม่ใช่เรา
เดินไม่ใช่เรา นั่งไม่ใช่เรา นอนไม่ใช่เรา
ร่างกายตอนไหนๆก็ไม่ใช่เราแล้ว
ร่างกายไม่เป็นเราอีกแล้ว
ร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่ใช่เรา
ร่างกายที่หยุดนิ่งไม่ใช่เรา กายก็ไม่เป็นเรา
ตอนไหนก็ไม่เป็นเราอีกแล้ว อันนี้เรียกว่ามีปัญญา
.
เพราะฉะนั้นทีแรกหัดดูสภาวะเรื่อยๆนะ จนสติเกิด
แล้วฝึกจนสติเข้มแข็งเกิดได้อัตโนมัติ เกิดได้ทั้งวันเลย
หายใจออกรู้สึกตัว-หายใจเข้ารู้สึกตัว
ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึกตัว
เคลื่อนไหว-หยุดนิ่ง รู้สึกตัว นี่ฝึกอย่างนี้
แล้วอย่างเดินจงกรมเดินไปเพื่ออะไร?
เดินเพื่อรู้สึกตัวในเบื้องต้น
ในเบื้องปลายเดินเพื่อเห็นความจริง
ว่าไอ้ตัวที่เดินอยู่ไม่ใช่เรา
ไอ้คนที่ไปดูร่างกายที่เดินก็ไม่ใช่เรา นั่นเป็นปัญญา
.
การปฏิบัติมันจะมี ๒ ขั้น
ขั้นให้มีสติ กับ ขั้นให้มีปัญญา
ขั้นให้มีสติก็หัดรู้สภาวะบ่อยๆจนกระทั่งมันรู้ได้เอง
เช่น เราเคยดูความโกรธ ความโกรธผุดเรารู้ๆ
ทีแรกต้องจงใจดู เพราะคนทั่วไป
จะไปดูคนที่ทําให้โกรธ เรามัวแต่ดูคนอื่น
เราเปลี่ยนมาคอยรู้ทันความโกรธที่เกิดขึ้นในใจ
โกรธขึ้นมาเราคอยรู้ โกรธขึ้นมารู้ ต่อไปนะ
มันโกรธขึ้นมาเรารู้โดยไม่ต้องเจตนาจะรู้
นี่เรียกว่าสติเกิดแล้ว แล้วพอเราฝึกไปเรื่อยๆ
ทั้งวันเราเห็นจิตเกิดอยู่ ๒ ชนิด
จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ อย่างคนขี้โมโห
เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หาย ทั้งวันมีแต่เรื่องแค่นี้
เราก็ใช้ความโกรธสุ่มตัวอย่างของจิตมาเรียนอันเดียว
คือ จิตโกรธสําหรับคนขี้โกรธ
คนขี้โลภก็สุ่มตัวอย่างมาเรียนอันเดียวคือ จิตโลภ
จิตมีโลภะก็รู้ ไม่มีโลภะก็รู้ คอยดูอย่างนี้
ดูมันคู่เดียวก็พอ คนไหนมี
ตัวไหนมากก็เอาตัวนั้นแหละมาดูบ่อยๆ
ต่อไปพอจิตมันโกรธขึ้นมา โลภขึ้นมา
มันรู้โดยที่ไม่เจตนาจะ ทีแรกมันต้องจงใจหน่อยๆ
เพราะมันเคยชินที่จะไปรู้สิ่งอื่น
เวลาราคะเกิดก็จะไปดูคนที่เราชอบ
เวลาโทสะเกิดก็จะไปดูคนที่เราเกลียด
มันไม่ดูว่าจิตกําลังชอบจิตกําลังเกลียด
หัดย้อนมาดูความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ
ต่อไปความรู้สึกเกิด สติจะเกิดเอง
จะรู้ทันว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้ว
สติเป็นตัวรู้สภาวะว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้ว
พอฝึกมากเข้าๆนะ ต่อไปมันจะรู้ทั้งวัน
เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมาให้เรา
แต่ละกลุ่มๆนั้นเกิดขึ้นทั้งวัน หายใจออก-หายใจเข้า
หายใจทั้งวันไหม? ทั้งวันมีอยู่แค่นี้เอง
หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว รู้สึกทั้งวัน
.
แต่ก่อนที่จะรู้สึกต้องตั้งใจรู้สึกก่อน
ไม่งั้นใจมันจะล่องลอย เราก็มานั่งหายใจ
เห็นร่างกายหายใจออก รู้สึก
เห็นร่างกายหายใจเข้า รู้สึก
ต่อไปเห็นร่างกายมันหายใจนะ มันจะรู้สึกเอง
นี่ถ้าต่อไปหายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก
ความรู้สึกตัวก็จะต่อกันเป็นสายเลยนะ
สติของเราก็จะดี รู้สึกได้ทั้งวันเลย
ไม่ได้เจตนารู้สึกด้วยนะ
.
ถ้าจะเป็นขั้นปัญญา
ก็เห็นไอ้ตัวที่หายใจอยู่ก็ไม่ใช่เรา
จิตที่เป็นคนรู้ร่างกายก็ไม่ใช่เราจะเห็นอย่างนั้น
หรือเห็นว่า ตัวสุข-ทุกข์ไม่ใช่เรา
จิตที่ไปรู้สุข-ทุกข์ก็ไม่ใช่เรา
กายที่สุข-ทุกข์ไปอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่เรา
จะเห็นอย่างนั้นนะ นี่เป็นปัญญา
หรือเห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ
หายใจออกเกิดแล้วก็ดับ หายใจเข้าเกิดแล้วก็ดับ
ยืนเกิดแล้วก็ดับ นั่งเกิดแล้วก็ดับ
นอนเกิดแล้วก็ดับ อย่างนี้ก็เป็นปัญญา เห็นอนิจจัง
ตรงที่เห็นว่าไม่ใช่เรานั้นเรียกว่า เห็นอนัตตา
นี่เรียกว่า หัดเจริญสติปัฏฐาน ให้ได้สติให้ได้ปัญญา
.
สรุปว่า ขั้นแรกทํากรรมฐานซักอย่างหนึ่ง
ให้การบ้านแล้วนะ ทํากรรมฐานซักอย่างหนึ่ง ต้องทํา
ถ้าอยากได้มรรคผลนิพพานแล้วไม่ทําอะไรเลย
นอนกระดิกเท้าทุกวันๆ
คงกระดิกเข้าโลงอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ได้กินหรอก
กิเลสมันไม่ยอมเราง่ายๆนะ
ต้องอดทน ต้องต่อสู้ อยากได้ของดีต้องทํา
อยากจะพ้นทุกข์ต้องทํา
มันเรื่องอะไรที่พวกเราได้ยินได้ฟัง
ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วจะปล่อยชีวิต
ให้เป็นไปตามยถากรรมเหมือนสัตว์โลก
ที่ไม่เคยได้ยินธรรมะ สัตว์โลกที่ไม่ได้ยินธรรมะ
มันโตมาหาอยู่หากิน มีลูกมีเมีย
ออกลูกออกหลานไปแล้วก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตายไป
ชีวิตเราต้องการแค่นั้นเหรอ ต่ำต้อยขนาดนั้นเหรอ
เรามีโอกาสเรามีบุญวาสนา ถือว่ามีบุญมากนะ
คนที่ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้ๆ
เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วต้องลงมือทํากรรมฐานนะ
ถือศีล ๕ ไว้ก่อน แล้วทํากรรมฐานซักอย่างหนึ่ง
เป็นเครื่องอยู่ของจิต
.
หลวงพ่อตอนเด็กๆเวลาทําความสงบ
จะใช้ลมหายใจ แต่พอมาเจอหลวงปู่ดูลย์
มาเจริญปัญญา หลวงพ่อใช้จิตตานุปัสสนา
ดูความรู้สึกของจิต จิตดีก็รู้ จิตชั่วก็รู้
คอยดูอย่างนี้หัดดูไปเรื่อย สุดท้ายปัญญามันเกิด
เห็นเลยว่าทุกอย่างมันไม่ใช่เรา
ตัวเราไม่มี นี่เป็นปัญญาขั้นต้น
ปัญญาขั้นสูงสุดก็คือ เมื่อตัวเราไม่มีแล้วอะไรมีอยู่
ก็ทุกข์มีอยู่ ขันธ์ ๕ นี่คือตัวทุกข์
ทุกข์มีแต่ไม่มีเจ้าของเพราะไม่มีเรา
ทุกข์มีอยู่แต่ไม่มีเจ้าของ
ขันธ์มันทํางานไม่ใช่เราทํางาน มันสักแต่ว่าทํางาน
พอจิตไม่เข้าไปทําด้วยนะ
มันจะเป็นขันธ์ทํางานอย่างเดียว
เรียกว่า เป็นแค่กริยาของขันธ์
กริยาของจิตที่ทํางาน แต่ไม่มีการกระทํากรรม
มีการทํางานแต่ไม่ใช่การกระทํากรรม
เพราะไม่มีโลภเจตนาใดๆเข้าไปเจือเลย
.
นี่ต้องค่อยๆฝึกทุกวันนะ
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องสู้แหละ
สู้กันหลายปีแหละ ยกเว้นคนที่มีบุญมากๆนะ
อย่างหลวงปู่บุดดาท่านภาวนาอยู่ ๓ พรรษาเอง
บางองค์ก็ภาวนา ๑๐ กว่าพรรษา
บางองค์ภาวนาไม่กี่เดือน
หลวงปู่ดูลย์ใช้เวลาสั้นมากเลย เพราะอะไร?
แต่ละคนสะสมมาไม่เท่ากัน
บางคนเคยสะสมที่จะฝึกสติ...สติก็เกิดเร็ว
บางคนเคยฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยมีสติด้วย
จิตก็ตั้งมั่นเร็ว บางคนเคยฝึกแยกธาตุแยกขันธ์
เจริญปัญญา มันก็เจริญปัญญาเร็ว
ถ้าบารมีแก่กล้าพอมรรคผลก็เกิดขึ้น
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
วัดสวนสันติธรรม ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
จาก หนังสือการเดินทางสู่...ความดับสนิทแห่งทุกข์ หน้าที่ ๘๙-๙๘
โยม: กระผมมีความทุกข์
ไม่ทราบว่าจะหาทางออกยังไงครับ?
หลวงพ่อ: ทุกข์ให้ ”รู้” ทุกข์ไม่ได้ให้ละ
ทุกข์กายหรือทุกข์ใจ?
โยม: ทุกข์ใจครับ
หลวงพ่อ: ทุกข์ใจเหรอ
ทุกข์ใจก็ดูไป...แก้ไม่ได้
เราไม่ได้ภาวนาเพื่อหนีทุกข์นะ
เราไม่ได้ภาวนาเพื่อละทุกข์
เราจะภาวนาเพื่อให้ใจยอมรับความจริง
ว่าเราบังคับอะไรไม่ได้จริง
อย่างเรื่องราวที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นกับเรา
แล้วจิตใจมีความทุกข์เนี่ย ห้ามไม่ได้
เราจะภาวนาจนเห็นความจริง
ว่าจิตใจนี้มันไม่ใช่ตัวเราหรอก
แล้วต่อไปปัญญามันแก่กล้าขึ้น
มันจะเห็นว่าใจมันทุกข์นะ เราไม่ได้ทุกข์ด้วย...ไม่มีเรา
ค่อยๆฝึกไป ไม่ใช่ฝึกเพื่อให้หายทุกข์นะ
แต่ฝึกเพื่อให้ยอมรับความจริง
ยอมอยู่กับความทุกข์ได้โดยที่ไม่เดือดร้อน
วันใดที่เราอยู่กับทุกข์ได้โดยไม่เดือดร้อน
เห็นทุกข์ตามที่มันเป็นนั่นแหละเราจะเข้าใจธรรมะ
.
พระพุทธเจ้าบอก "ทุกข์ให้รู้"
สมุทัยคือ ความอยาก ให้ละเสีย
ของเรามีความอยากจะละทุกข์ใช่ไหม?
มันกลับข้างกับที่พระพุทธเจ้าบอก
เพราะฉะนั้นเราไม่พ้นทุกข์หรอก
ให้รู้ทุกข์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใจ
“เราเป็นกลางต่อความทุกข์”
ความทุกข์จะเข้ามาไม่ถึงใจเราอีกต่อไป
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
"เราอยู่ในยุคที่วิเศษที่สุดแล้ว
ถ้ายุคนี้เอาไม่ได้ ยุคต่อไปลำบากแล้ว
พระเมตไตรยท่านมาด้วยวิริยะ
เราจะเดินตามท่านไหวหรือเปล่า ...
สู้เอานะ สู้ยุคนี้ง่ายแล้วล่ะ
เพราะพระพุทธเจ้าเราปัญญามาก
สอนธรรมะแจกแจงได้ประณีต
เดินตามรอยท่านไป มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา"
.
พระธรรมเทศนา
#หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๑
ไฟล์ 610908B ซีดีแผ่นที่ ๗๘
สติปัฏฐาน ๔ เหมือนประตูเมือง ๔ ทิศ
เข้าประตูเมืองเราต้องเข้าทั้ง ๔ ทิศไหม ไม่ต้องเข้านะ
เข้าประตูเดียวก็เข้าเมืองได้
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
ฉะนั้น ในกาย เวทนา จิต ธรรม นี่แหละ
ใช้อะไรก็ได้ที่เราคุ้นเคย
เราถนัดรู้กาย เราก็รู้กาย
ถนัดรู้เวทนาก็รู้เวทนา
ถนัดรู้จิตก็รู้จิต
ถนัดรู้ธรรมก็รู้ธรรมไป
อะไรก็ได้เหมือนๆ กันทั้งหมดนั่นแหละ
ถ้ารู้ถูกต้องแล้ว
สติเกิด
สัมมาสมาธิเกิด
ปัญญาเห็นไตรลักษณ์เกิดขึ้น
ในตำราเราสอนเอาไว้ชัดเลยว่า
สติปัฏฐาน ๔ เหมือนประตูเมือง ๔ ทิศ
เข้าประตูเมืองเราต้องเข้าทั้ง ๔ ทิศไหม ไม่ต้องเข้านะ
เข้าประตูเดียวก็เข้าเมืองได้
บางท่านท่านรู้กายก็ถึงพระอรหันต์
บางท่านรู้เวทนาก็ดูไปถึงพระอรหันต์
บางท่านรู้จิตก็ถึงพระอรหันต์
บางท่านรู้ธรรมก็ถึงพระอรหันต์
ไม่ใช่ต้องมี step (ขั้นตอน) อย่างโน้นอย่างนี้
ไม่จำเป็นหรอก
มีตัวอย่างที่ชัดๆ เลย
ท่านที่รู้กายแล้วเป็นพระอรหันต์ คือพระอานนท์
ในพระไตรปิฎกบอกว่า คืนสุดท้าย
พระอานนท์ยังราตรีสุดท้ายให้ล่วงไปด้วยกาย
มีสติรู้กายไป
ท่านที่รู้เวทนาแล้วก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์
คือท่านพระสารีบุตร
พวกกายจะสู้พวกเวทนาไม่ได้
พวกเวทนาแตกฉานกว่าอีก
เพราะกายาฯ นี่ทำง่าย เวทนาทำยาก
เหมาะกับพวกที่อินทรีย์แก่กล้ามากๆ บารมีเยอะๆ
ท่านที่บรรลุด้วยการดูจิตก็มี คือท่านพระอนุรุทธะ
ท่านพระอนุรุทธะดูจิต จิตมีกิเลสอะไรท่านคอยรู้
รู้ด้วยความเป็นกลาง รู้แล้วไม่เข้าไปปรุงแต่ง
ท่านไปถามท่านพระสารีบุตร
บอกข้าแต่ท่านพระสารีบุตรผู้เจริญ
ผมมีทิพยจักษุเลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ผมเห็นโลกธาตุตั้งพันโลกเกิดดับในเวลาครู่เดียว
ทำไมผมไม่บรรลุพระอรหันต์สักที
ท่านพระสารีบุตรก็สอนท่านพระอนุรุทธะให้ดูจิตเลย
ดูจิตนี่
ไม่จำเป็นต้องส่งจิตไปดูเขานะ ไม่จำเป็นหรอก
แค่เขาพูดออกมา
ถ้าเขาไม่แกล้งพูด
มันก็สะท้อนสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเขาออกมาแล้ว
อย่างท่านพระสารีบุตร
ท่านแค่ฟังปุ๊บก็รู้แล้วว่ามีกิเลสอะไร
ท่านก็แยกให้พระอนุรุทธะฟัง บอกตรงที่ท่านบอกว่า
"กระผมมีทิพยจักษุเลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"
ท่านมีอติมานะ กูเก่งๆ เก่งกว่าคนอื่น
ตรงที่ท่านบอกว่า "ท่านดูโลกธาตุตั้งพันโลก"
ทำไมท่านไม่ดูกาย ดูใจตัวเอง ท่านไปดูของภายนอก
นี่จิตท่านฟุ้งซ่าน มีอุทธัจจะ ฟุ้งซ่าน
ตรงที่ท่านบอกว่า
"เอ้ ทำไมผมไม่บรรลุพระอรหันต์สักที"
ท่านมีกุกกุจจะ คือความรำคาญใจ
เห็นไหม
ท่านแยกด้วยคำพูดที่พระอนุรุทธะพูดออกมานี่เอง
สะท้อนเลยว่ามีกิเลสอะไรซ่อนอยู่
สำหรับคนที่ฟังเป็นก็รู้เลย
ท่านพระสารีบุตรท่านก็สอนพระอนุรุทธะว่า
ให้ท่านรู้ทันธรรม ๓ อย่างนี้
ก็คือ ความอวดเก่งอวดดีกูเก่งกูแน่
ความฟุ้งซ่านของจิตที่ไปดูอันโน้นอันนี้ไม่ดูตัวเอง
นี่ให้รู้ทันใจที่ฟุ้งซ่านแส่ส่ายออกข้างนอก
จิตส่งออกนอก
ให้รู้ทันใจที่เร่าร้อนว่าทำไมมันไม่บรรลุสักที
บอกให้ท่านรู้ทันธรรม ๓ อย่างนี
น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ
อมตธาตุคือนิพพาน คือความไม่ปรุงแต่ง
ก็เห็นเลยธรรม ๓ อย่างนี้เป็นความปรุงแต่ง
พ้นจากความปรุงแต่งก็คือความไม่ปรุงแต่ง
นี่ท่านก็บรรลุพระอรหันต์ด้วยการดูจิต
ท่านที่บรรลุพระอรหันต์ด้วยการเจริญธัมมานุปัสสนา
ใครรู้จักไหม นึกออกไหม
คือพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเจริญอะไร เจริญธัมมานุปัสสนา
ในบทไหน ในบรรพไหน ในหมวดไหน
ในสัจจบรรพ ⭐รู้อริยสัจ
ฉะนั้น ท่านรู้แจ้งเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา
เพราะท่านรู้แจ้งอริยสัจนะ
ตอนหลวงพ่อเด็กๆ นะเซ้อเซ่อ
อ่านพุทธประวัติ โอ้ ท่านทำอานาปานสตินี่
แล้วก็เลยคิดว่าท่านรู้แจ้งเป็นพระพุทธเจ้า
เพราะอานาปานสติ ไม่ใช่
อานาปานสติของท่านทำเพื่อให้สติตั้งมั่นเท่านั้นเอง
เสร็จแล้วท่านน้อมจิตที่ตั้งมั่นนี่ไปรู้แจ้งอริยสัจ
อริยสัจ ก็คือกระบวนการเกิดขึ้นของความทุกข์
กระบวนการเกิดขึ้นของความทุกข์
เริ่มจากอวิชชา ความไม่รู้แจ้งอริยสัจ
ความไม่รู้แจ้งในกองทุกข์
กองสมุทัย กองนิโรธ กองมรรค
จิตก็จะหลงปรุงแต่งเกิดความอยากเกิดความยึดถือ
เกิดการทำงานของจิต
เกิดความเป็นตัวเป็นตนเป็นทุกข์อะไรขึ้นมา
นี่ท่านรู้แจ้งอริยสัจขึ้นมา
เห็นไหมดูจิตกับธรรม
พวกธรรมเหนือกว่า ดูออกไหม
ฉะนั้น ~กายกับเวทนานี่คู่หนึ่ง
เหมาะกับพวกตัณหาจริต
พวกรักสุขรักสบาย รักสวยรักงาม
~จิตกับธรรมนี่เหมาะกับพวกทิฏฐิจริต พวกคิดมาก
อย่างท่านพระสารีบุตรท่านดูเวทนา ท่านปัญญากล้า
พวกดูกายนี่อ่อนกว่าเวทนา
จิตนี่อ่อนกว่าธรรม ธรรมะเป็นคู่ๆ
ฉะนั้นถ้าอินทรีย์ยังอ่อนนะ ดูกายหรือดูจิตไป
ถ้าอินทรีย์กล้านี่
จิตจะพลิกไปดูเวทนาหรือดูธัมมานุปัสสนาเอง
ทางใดทางหนึ่งก็เข้าไปถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นอันเดียวกัน
อันนี้ในตำราเรามีเยอะแยะ
คนที่ภาวนาเข้าใจแจ้งแล้วนี่เหมือนคนขึ้นยอดเขาได้
คนที่ขึ้นถึงยอดเขานี่มองไปรอบตัวได้แล้ว
รู้เลยทางขึ้นเขามีทั้ง ๔ ทิศ
ทางที่ต้องปีนหน้าผาก็ยากหน่อย
บางคนให้ขึ้นดีๆ ไม่ชอบนะ ต้องปีนภูเขาขึ้นไป
บางคนชอบสบาย มีถนนขึ้นมา ขับรถขึ้นมาเลย
ขึ้นยอดเขาเหมือนกัน ภูเขาเดียวกันนั่นแหละ
พวกไหนเคยขับรถขึ้นมา ยังไม่สุดทาง
ก็คิดว่าขับรถขึ้นไปดีที่สุด
พวกชอบปีนหน้าผาก็ว่าปีนหน้าผาดีที่สุด
แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก
ฉะนั้นเราก็ดูตัวเราเอง จับหลักให้แม่นๆ
มีสติรู้กายมีสติรู้ใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางนะ
รู้ไปเรื่อย รู้ลงปัจจุบันไป
ไม่ใช่คิดไปถึงอดีต ไม่ใช่ฝันไปถึงอนาคต
รู้กายรู้ใจที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
รู้ไปเรื่อยๆ
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ถ้ามีสติก็จะมีศีล
ถ้ามีสติก็จะมีสมาธิ
ถ้ามีสติก็จะมีปัญญา
มีสติมันก็จะละชั่วทำดี จิตใจผ่องแผ้วหลุดพ้น
ค่อยๆ ดูใจของเรานะ
มีสติสำรวจจิตใจของเราไปเรื่อยเลย
มันไปติดมันไปข้องอะไรนะ
คอยเรียนรู้ไป
มันไปติดสมถะก็รู้ทันมันไป
ทำไมต้องติดสมถะเพราะว่าอยากดีอยากสุขอยากสงบ
มันไปติดกิเลสเพราะว่าเห็นโลกยังเอร็ดอร่อยอยู่
ให้สำรวจใจของเราอย่างซื่อๆ นะ
ตามองเห็นสาวหรือเห็นหนุ่ม
ใจมันชอบให้รู้ทันใจของเรา
อย่ามัวไปดูหนุ่มดูสาวมันนะ
เราไปดูแต่เปลือก มันไม่ได้เห็นเนื้อในมันนะ
เนื้อในมันน่าเกลียดนะ ยิ่งถ้าเห็นนิสัยมันนะ
กินไม่ลงเลย มันขี้ทั้งตัวเลยนะ ไม่ใช่วิเศษเลย
ดูเข้าไปนะดูเข้าไป
ค่อยฝึกมันจะค่อยพัฒนาขึ้นทุกวันๆ
รู้สึกตัวมีสติขึ้นมา
ทำกัมมัฏฐานอันหนึ่งขยับอะไรก็ได้
พุทโธก็ได้ อะไรก็ได้เหมือนกันหมดแหละ
ใจลอยไปแล้วรู้ เพ่งไว้ก็รู้
ใจเป็นสุขเป็นทุกข์ก็รู้ เป็นกุศลอกุศลก็รู้
ฝึกอย่างนี้ ฝึกทุกวัน
สติเกิดขึ้นมาก็จะเห็นกายไม่ใช่เรา
เห็นใจไม่ใช่เราเป็นเป้าหมายที่หนึ่ง
เห็นกายเป็นทุกข์ล้วนๆ
เลยปล่อยวางกายเป็นเป้าหมายที่สอง
เห็นจิตเป็นทุกข์ล้วนๆ
เลยปล่อยวางจิตได้เป็นเป้าหมายที่สาม
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
พวกเรานึกออกหรือยังว่า
#เจริญสติปัฏฐานแล้วทำไมรู้แจ้งอริยสัจ
ถ้าเจริญสติปัฏฐาน
มีสติ มีปัญญา รู้กายเวทนาจิตธรรม
ย่อลงมาก็คือรูปธรรมนามธรรมนั้นแหละ
รูปธรรมนามธรรมนี้
เราจะแจกแจงออกไปในลักษณะของขันธ์ ๕ ก็ได้
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นส่วนนาม นามธรรม ตัวรูปขันธ์ ก็เป็นรูปธรรรม
แจกแจงเป็นอายตนะ ๖ ก็ได้
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรม ใจเป็นนามธรรม
แจกแจงไปได้หลายแบบนะ
เป็นธาตุ ๑๘ ธาตุ อินทรีย์ ๒๒ อย่าง
หรือปฏิจจสมุปบาท ๑๒ + ๑๒ เป็น ๒๔
รวมความนะ มันก็คือรูปธรรมนามธรรม
การที่เรารู้ความจริง
เรียนรู้ความจริงของรูปธรรมนามธรรม
ก็คือการรู้ทุกข์นั่นเอง
ว่าสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
ท่านบอกว่า
“สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา”
ว่าโดยสรุป ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์
การที่เราเจริญสติปัฏฐานนั้น
เราก็รู้ความจริงของขันธ์ทั้ง ๕ เรียกเรา “รู้ทุกข์” นั่นเอง
ก็เท่ากับเราได้ปฏิบัติใน “กิจต่อทุกข์” เรียบร้อยแล้ว
การที่เรา “รู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง”
ว่าขันธ์ ๕ เนี่ยเป็นตัวทุกข์
เมื่อรู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์อย่างแจ่มแจ้งแล้ว
กิจที่ ๒ คือการ “ละสมุทัย” จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ทันทีที่ รู้ทุกข์ ขณะนั้นแหละ ละสมุทัย
เราละ สมุทัย ละความอยากเนี่ย ด้วยการ รู้ทุกข์
สมุทัยคือตัวตัณหา ตัวความอยาก
เป็นเหตุให้เราเข้าไปหยิบฉวยเอารูปธรรมนามธรรม
หรือขันธ์ ๕ นี้ซึ่งเป็นตัวทุกข์
เอามากอดเอาไว้ มากกไว้ เอามาครอบครองไว้
กลายเป็นไปหยิบฉวยเอาตัวทุกข์ขึ้นมา
ความอยากนี้แหละทำให้เราไปหยิบฉวย
เอารูปธรรมนามธรรมขึ้นมาไว้กับตัวเอง
ก็เลยนำความทุกข์เข้ามาสู่จิตใจ
ถ้ามีสติมีปัญญามากพอ รู้ความจริงว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
จะไม่เกิดความอยากที่จะไปหยิบฉวยมันเข้ามา
ไม่มีการเข้าไปครอบครองรูปนามขันธ์ ๕
ก็เท่ากับไม่หยิบฉวยเอาตัวทุกข์เข้ามาไว้กับตัวเอง
งั้นรู้ทุกข์เมื่อไหร่ ก็ละสมุทัยเมื่อนั้น
ละสมุทัยเมื่อไหร่ก็แจ้งนิโรธ คือแจ้งพระนิพพานเมื่อนั้น
เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสภาวะที่สิ้นตัณหา
สิ้นตัวสมุทัยแล้ว จิตใจก็เข้าถึงความสงบระงับ
พระนิพพานนั้นคือสันติ คือความสงบ
สงบจากอะไร? สงบจากกิเลส สงบจากกิเลสทั้งหลาย
สงบจากตัณหา สงบจากความยึดถือ
สงบจากสังขารคือความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
ทั้งที่เป็นรูปธรรมนามธรรมนี่เป็นตัวสังขารทั้งหมด
สงบจากการดิ้นรนปรุงแต่ง
ไม่ปรุงแต่งก็พ้นจากภพ ภพก็คือความปรุงแต่งของจิต
งั้นนิพพานนะ เมื่อไหร่สิ้นตัณหา
รู้ความจริงของขันธ์ ก็จะสิ้นตัณหา
เมื่อสิ้นตัณหา ก็ไม่สร้างภพ
ไม่ดิ้นรนปรุงแต่งขึ้นมา ก็พ้นจากภพกันตรงนั้นเอง
พ้นจากความทุกข์กันตรงนั้นเอง
งั้นถ้าคนถามเราว่านิพพานมีลักษณะยังไง
ก็ตอบเค้าไปตรงๆ นิพพานมีสันติลักษณะ
มีลักษณะสงบ
สงบจากอะไร? สงบจากกิเลสตัณหา
สงบจากความดิ้นรนปรุงแต่ง
สงบจากอะไรอีก? สงบจากรูปนามขันธ์ ๕
พ้นจากรูปนามขันธ์ ๕
นิพพานมีอยู่แล้ว แต่ว่าเราไม่รู้ เราไม่เห็น
เพราะจิตเรามีความอยาก จิตเรามีกิเลส
จิตเรามีความดิ้นรนปรุงแต่ง
เราเลยไม่สามารถจะเห็นสภาวะที่พ้นความปรุงแต่งได้
ขณะใดที่จิตเราหมดตัณหาหมดกิเลสนะ เมื่อสิ้นตัณหาก็สิ้นความปรุงแต่งของจิตด้วย
พระนิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหาสิ้นความปรุงแต่ง
ก็จะปรากฏขึ้นให้รับรู้ในขณะนั้นเลย
งั้นเมื่อไรรู้ทุกข์ เมื่อนั้นแหละละสมุทัย
เมื่อใดละสมุทัย เมื่อนั้นแหละแจ้งนิโรธ
เห็นพระนิพพาน
การที่เรารู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ
ในขณะนั้นน่ะคือขณะแห่งอริยมรรค
งั้นการที่เรารู้ทุกข์ ละสมุมัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรคเนี่ย
กิจกรรมทั้ง ๔ เนี่ยทำเสร็จในขณะจิตเดียวกัน
ในแวบเดียว
ในพริบตาเดียวนั้นเอง ก็ข้ามพ้นจากความทุกข์ไปได้
ธรรมะอย่างนี้นะธรรมะประณีต ลึกซึ้งมาก ต้องภาวนา
ถ้าภาวนาเราอยากแค่มีทุกข์น้อยๆ
ก็เอาแค่โสดาบัน สกทาคามี
เรายังติดใจในกาม ยังห่วงเมีย ห่วงสามี
ยังอะไรต่ออะไรอยู่นะ ห่วงทรัพย์สมบัติอยู่
เอาโสดาบัน สกทาคามี ก็พอ
ถ้าถึงขึ้นอนาคามีเนี่ยมันพ้นจากกามไป
จากปุถุชนเนี่ย ขึ้นไปเป็นพระโสดาบันยากมากนะ
คนจำนวนมากอยากได้ แต่มันไปไม่ถูก
ที่รู้ทางที่ถูกแล้วก็ขี้เกียจปฏิบัติ
ถ้ารู้ทางถูกแล้วขยันปฏิบัตินะ
มันก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามีอะไร ไม่ยาก
ทีนี้คนส่วนใหญ่มันติดในความสุข
ความหลงโลกอะไรอย่างนั้นไป ไม่ยอมภาวนา
ถ้าเราภาวนาเนี่ย พระโสดาบัน พระสกทาคามี
ไม่ใช่เรื่องยากเกินวิสัยมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา
จะทำได้
ไม่ต้องละอะไรมากนะ รักษาศีล ๕ ไว้
มีสติ รู้เนื้อรู้ตัว ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวไว้
อย่าให้มันฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป
รู้สึกตัวบ่อยๆ นั่นแหละเรียกว่ามีสมาธิ มีสติ มีสมาธิ
รักษาศีลไว้
คอยดูกายทำงาน ดูใจทำงาน
เห็นกายกับใจแยกออกจากกัน
เห็นความสุขทุกข์
แยกออกจากร่างกาย แยกออกจากจิตใจ
เห็นความปรุงดีปรุงชั่ว
เช่นความโลภความโกรธความหลงทั้งหลายเนี่ย
แยกออกจากจิตใจ
แยกออกเป็นส่วน ๆ ๆ ไป
แต่ละอันเนี่ยทำหน้าที่ของมันไป แต่ละอันก็เกิดดับไป
เนี่ยฝึกดูอย่างนี้ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีนะ
ก็จะได้ธรรมะขึ้นมา
ถ้าบารมีมากก็เป็นพระอรหันต์
บารมีลดลงมาก็ได้อนาคามี สกทาคามี
เป็นพระโสดาบัน เป็นลำดับไป
ก็พากเพียรเข้า
รักษาศีล ๕ ไว้ ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว
อย่าฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป รู้ตัวบ่อยๆ
ถัดจากนั้นดูกายทำงาน ดูใจทำงาน ทำอย่างนี้แหละ
ให้เวลากับการรู้กายรู้ใจให้เยอะๆหน่อย
มรรคผลอะไรไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่ฆราวาสจะทำได้
สมัยพุทธกาล ฆราวาสไม่ได้จีเนียสกว่าพวกเรานะ
คนสมองมันก็พอๆกันแหละ
มีงานศึกษาอันหนึ่งเคยอ่าน พวกหมอนั่นแหละศึกษาบอก
คนสมัยโรมันสมัยกรีกนะ กับคนยุคนี้สมองพอๆกัน
ไม่รู้ไปขุดสมองโรมันมาดูได้ไงนะ
คนสมัยพุทธกาล กับยุคเรา ก็พอๆกันแหละ
ไม่ได้โง่ ไม่ได้ฉลาดกว่ากันน่ะ เค้าทำได้ เราก็ต้องทำได้
มีมือมีตีนเหมือนกันนะ มีใจเหมือนกัน ต้องทำเอาให้ได้
รักษาศีล ๕ ไว้
ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว
แล้วก็ดูกายทำงาน ดูใจทำงานไปเรื่อยๆ
วันหนึ่งก็เข้าใจ
เราดูกายดูใจทำงานมากๆ
ในที่สุดก็เข้าใจความเป็นจริงของกายของใจ
ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา กายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์
ถ้าเข้าใจในระดับที่เห็นกายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา
ก็เป็นพระโสดาบัน
ถ้าเข้าใจความจริงระดับที่ว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ จะเป็นพระอรหันต์นะ
สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2555
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
☇ขั้นแรกเราจะมาปล่อยวางกายวางใจไม่ได้หรอก
ค่อยๆ ฝึก #ปล่อยอารมณ์ก่อน
เวลาความสุขความทุกข์อะไรเกิดขึ้นนะ
เวลาจิตไปรู้อะไรเข้า จิตชอบไหลเข้าไปเกาะสิ่งนั้น
ไปยึดตัวอารมณ์ที่จิตรู้ ถ้าเราค่อยๆ ฝึกนะ
เราจะเห็นจิตเคลื่อนเข้าไป ยึดรูป ยึดเสียง
ยึดกลิ่น ยึดรส ยึดสัมผัส ยึดเรื่องราวที่คิด
จะเห็นจิตไหลเข้าไปยึดสิ่งเหล่านี้
ถ้าเราเห็นจิตไหลเข้าไปยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
หรือความคิดนึกทางใจ
มันจะปล่อยรูป ปล่อยเสียง ปล่อยกลิ่น ปล่อยรส
ปล่อยสัมผัสทางใจออกไปได้
สัมผัสทางกายทางใจปล่อยออกไปได้
เรียกว่า ปล่อยวางอารมณ์"
..............................................................................
...เราต้องมาพัฒนาสติพัฒนาปัญญาของเรา
จนจิตใจเรารู้ความเป็นจริง
ความเป็นธรรมชาติธรรมดาของทุกอย่าง
ที่เกิดขึ้นในกายในใจเรา
ถ้าเห็นตามความเป็นจริง ใจจะคลายความยึดถือ
สุดท้ายจะพ้นทุกข์ไป
พ้นทุกข์คือมันหมดความยึดถือในกายในใจ
นี่เป็นศาสตร์ที่อัศจรรย์มากเลยนะ
ไม่มีใครสอนได้ ยกเว้นแต่พระพุทธเจ้า
สอนให้เราเรียนรู้ เจริญสติ เจริญปัญญา
ไปจนกระทั่งเห็นความจริงของกายของใจ
พอเห็นความจริงของกายของใจแล้ว
มันไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือจิตใจ
จิตปล่อยร่างกายออกไปได้ จิตปล่อยตัวจิตเองได้ด้วย
นี่อัศจรรย์ที่สุดเลย
เวลาสภาวะที่จิตปล่อยวางตัวเองได้
ครูบาอาจารย์บางทีท่านเล่าว่า โลกธาตุสะเทือน
มันเป็นของอัศจรรย์
พวกเราค่อยๆ ฝึกไป
ขั้นแรกเราจะมาปล่อยวางกายวางใจไม่ได้หรอก
ค่อยๆ ฝึก ปล่อยอารมณ์ก่อน
เวลาความสุขความทุกข์อะไรเกิดขึ้นนะ
เวลาจิตไปรู้อะไรเข้า จิตชอบไหลเข้าไปเกาะสิ่งนั้น
ไปยึดตัวอารมณ์ที่จิตรู้ ถ้าเราค่อยๆ ฝึกนะ
เราจะเห็นจิตเคลื่อนเข้าไป ยึดรูป ยึดเสียง
ยึดกลิ่น ยึดรส ยึดสัมผัส ยึดเรื่องราวที่คิด
จะเห็นจิตไหลเข้าไปยึดสิ่งเหล่านี้
ถ้าเราเห็นจิตไหลเข้าไปยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
หรือความคิดนึกทางใจ
มันจะปล่อยรูป ปล่อยเสียง ปล่อยกลิ่น ปล่อยรส
ปล่อยสัมผัสทางใจออกไปได้
สัมผัสทางกายทางใจปล่อยออกไปได้
เรียกว่า ปล่อยวางอารมณ์
ขั้นสูงขึ้นไปมันจะปล่อยวางความยึดถือกาย
สลัดคืนกายให้โลก ไม่ยึดถือกาย
แล้วต่อไปร่างกายจะแก่ก็เรื่องของร่างกาย
ร่างกายจะเจ็บก็เรื่องขงร่างกาย
ร่างกายจะตายก็เรื่องของร่างกาย
รักษาได้ก็ให้หมอรักษาไป
รักษาไม่ได้ก็แจกสลายไปตามธรรมชาติธรรมดา
ไม่หวั่นไหว ไม่มีความทุกข์
เพราะว่าเสียดายร่างกายนี้
ฝึกสุดขีดไปแล้วจะปล่อยวางความยึดถือทางใจได้
ถ้าทางใจยังไม่ยึดถือ
อารมณ์ทางใจก็จะไม่ยึดถือไปด้วย
จะสุข จะทุกข์ จะดี จะชั่ว
ไม่ทำให้จิตใจกระเพื่อมหวั่นไหวได้เลย
จิตใจพ้นจากความปรุงแต่ง
พ้นจากการเสียดแทงของสุข ของทุกข์
ของดี ของชั่วทุกสิ่งทุกอย่างไป
จิตใจเข้าสู่ความเป็นอิสระอย่างแท้จริง
ไม่มีอะไรเข้ามากระทบกระเทือนได้อีก
นี่เป็นศาสตร์ของพระพุทธเจ้า
ถ้าพวกเราไม่ละเลย ไม่ท้อถอยซะก่อน
ค่อยเรียนค่อยรู้ไป
วันหนึ่งจะมาถึงจุดที่หลวงพ่อบอก
.......
ตรงไหนก็ทุกข์หมดเลย
ไม่มีหรอก ภพใดที่จะไม่ทุกข์
แต่เดิมเราคิดว่าหนีจากตรงนี้แล้วไปอยู่ตรงนั้น
จะมีความสุข หนีไปก็มีความทุกข์อีกนั่นแหละ
เพราะความทุกข์อยู่ที่กายกับใจ
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
เราจะอยู่กับโลกนะ
โลกนี้มีอะไร โลกนี้ก็มีแต่ทุกข์นั่นแหละ
(โลกคือกายกับใจ)
โลกไม่ได้มีความสุข
โลกมันมีความสุขสำหรับคนหลง
คนไม่หลงมันก็มีแต่ตัวทุกข์
แต่คนหลงมันก็ยินดีไป
คนไม่หลง พอไปเห็นโลกก็ไปกลัวมันเสียอีก
อย่าไปกลัวมันสิ
อาศัยรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
พระพุทธเจ้าชื่อว่า โลกวิทู
ชื่อหนึ่งของพระพุทธเจ้าคือพระโลกวิทู
แปลว่าผู้รู้แจ้งโลก
โลกมีอะไร
โลกก็มีแต่ทุกข์นะสิ
พอเห็นทุกข์แล้วใจเราก็เป็นกลาง
เรารู้แล้วนี่ ตรงไหนก็ทุกข์หมดเลย
ไม่มีหรอก ภพใดที่จะไม่ทุกข์
แต่เดิมเราคิดว่าหนีจากตรงนี้แล้วไปอยู่ตรงนั้น
จะมีความสุข หนีไปก็มีความทุกข์อีกนั่นแหละ
เพราะความทุกข์อยู่ที่กายกับใจ
ในที่สุดปัญญามันแจ้งโลก
ที่ใดๆ ก็มีแต่ทุกข์ทั้งหมดเลย
ไม่ว่าภาวะอะไรก็มีแต่ทุกข์ทั้งหมดเลย
พอเห็นอย่างนี้ใจก็หยุดดิ้นสิ
ไม่รู้จะดิ้นไปไหนแล้ว ไม่มีที่จะไป
พอใจหยุดดิ้นหยุดปรุงแต่งนะ
เราจะพบธรรมะที่ไม่ปรุงแต่งซึ่งเป็นบรมสุข
อดทนเอานะ
เราต้องฝึกให้มีสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่น
แล้วแยกตัวออกมาเป็นคนดูให้ได้
ถ้าไม่มีสมาธิชนิดนี้ ทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก
ไม่สามารถเห็นความจริงของรูปนามได้
เพราะจิตจะถลำเข้าไปเพ่งรูปนาม
ไม่ใช่สักว่ารู้สักว่าเห็น
ถ้าเราฝึกบริกรรมพุทโธ
แล้วเห็นคำว่าพุทโธเป็นสิ่งที่ถูกรู้
จิตกับพุทโธแยกออกจากกัน จิตเป็นคนดู
หรือเวลาเรารู้ลมหายใจ
เห็นร่างกายหายใจอยู่ จิตแยกออกมาเป็นคนดู
นี่คือสมาธิที่มีจิตตั้งมั่นสำหรับใช้เจริญปัญญา
🐣การฝึกให้จิตเป็นคนดูนั้น
ก่อนอื่น เราต้องรู้หลักก่อนว่า
จิตที่ไปดูรูป ไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส
ไปรู้สัมผัสทางกาย และไปคิด
กับจิตที่เป็นคนรู้นั้น
เป็นคนละอย่างกัน
จิตอย่างหนึ่งเป็นผู้แสดง จิตอีกอย่างหนึ่งเป็นผู้ดู
มันก็จิตอย่างเดิมนั่นแหละ
แต่มันทำหน้าที่ไม่เหมือนกันและต่างขณะกัน
ถ้าเมื่อใดจิตคิด เมื่อนั้นจิตไม่รู้
ถ้าเมื่อใดจิตรู้ เมื่อนั้นจิตไม่คิด
ดังนั้น ถ้าเราต้องการฝึกให้มีจิตรู้ขึ้นมา
ก็ให้คอยรู้ทันเวลาจิตไหลไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไหลไปคิด ซึ่งเกิดบ่อยที่สุด
เราจะได้จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา
ธรรมชาติของจิตไหลไปได้ 6 ช่องทาง
คือทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วก็ไปรวมเข้ากับอารมณ์
ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น
ถ้าเราจะฝึกทั้ง 6 ช่องทางพร้อมกันจะทำได้ยาก
จึงให้เรามาฝึกอยู่ที่ช่องใจอันเดียวก็พอ
คือเรามารู้ทันที่จิตเลย
เช่น เวลาเราพุทโธ รู้ลมหายใจ ดูท้องพองยุบ
เราไม่ได้พุทโธเพื่อให้จิตไปอยู่กับพุทโธ
ไม่ได้รู้ลมหายใจเพื่อให้จิตไปอยู่กับลมหายใจ
ไม่ได้ดูท้องพองยุบเพื่อให้จิตไปอยู่ที่ท้อง
แต่เรามาพุทโธ เรามาหายใจ เรามาดูท้องพองยุบ
แล้วมารู้ทันจิต
เราบริกรรมพุทโธๆ จิตหนีไปคิดรู้ทัน
พุทโธๆ จิตไปเพ่งจิตนิ่งๆ อยู่รู้ทัน
หายใจอยู่ จิตหนีไปคิดรู้ทัน
หายใจอยู่ จิตไปเพ่งรวมเข้ากับลมหายใจรู้ทัน
หัดคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป
โดยเฉพาะจิตที่หนีไปคิดเกิดบ่อยทั้งวันเลย
ฝึกอย่างนี้แหละ
เราจะได้จิตตั้งมั่นขึ้นมา จะได้ตัวผู้รู้ขึ้นมา
..........
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
-ปัญญาสิกขา-
เวลาใกล้หมดแล้วต้องขอพูดย่อๆ
ถัดจากเรื่องศีลสิกขาและจิตสิกขา
ก็เป็นเรื่องการเจริญปัญญาสิกขา
“วิธีเจริญปัญญาก็คือ ต้องมีสติ
เป็นเครื่องมือรู้รูป-นาม รู้กาย-ใจที่กําลังปรากฏ
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นมีสัมมาสมาธิ”
เห็นไหม ต้องมีสติกับสัมมาสมาธินะ
สติเป็นเครื่องรู้ทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นในกาย-ในใจ
ในระหว่างที่รู้ทุกสิ่งที่ปรากฏในกาย-ในใจนั้น
จิตต้องตั้งมั่นมีสัมมาสมาธ
จิตจึงจะสักว่ารู้ สักว่าเห็น
และไม่ถลําไปจมไปแช่อยู่ในอารมณ์ใดๆ
ถ้าหากขาดสัมมาสมาธิปัญญาจะไม่เกิด จําไว้นะ
เพราะว่าสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
.
นี่ อภิธรรมสอนเป๊ะๆๆเลยนะ
หลวงพ่อเมื่อก่อนไม่ได้เรียนอภิธรรมหรอก
ภาวนาเอา ภาวนาจนพออกพอใจ
แล้วก็เอาตําราอภิธรรมของหลายๆสํานักมาศึกษา
พบว่า โอ้! อัศจรรย์นะ ตรงกันเป๊ะๆๆเลย
แต่ถ้าเราไม่ได้ภาวนาก่อน
เราไปเรียนอภิธรรมเลยทีเดียว
เราก็จะตีความอภิธรรมตามกิเลสของเราได้
เช่น ตําราสอนว่า “ทุกข์ให้รู้”
คือ สอนให้รู้สภาวะรูป-นาม
แต่พอลงมือปฏิบัติจริงจะไม่รู้ทุกข์
แต่มักจะไปกําหนดรูป-นาม
เป็นอย่างนี้เหมือนกันไปหมด
เพราะฉะนั้นคนที่เรียนอภิธรรมมากๆ
เวลาลงมือปฏิบัติก็ไปติดสมถะได้อีก แปลกไหม
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่เห็นสภาวะจริงๆ
แต่ถ้าเราเรียนสภาวะให้แจ่มแจ้งซะก่อนนะ
เราภาวนา เราเข้าอกเข้าใจแล้วเราไปทบทวน
เปรียบเทียบด้วยตํารา จะพบความอัศจรรย์
ว่ามันตรงกันเป๊ะเลย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
นี่อันเดียวกันเลย ตรงกันเป๊ะๆๆ
ยกเว้นตําราชั้นหลังๆนะ
ตําราที่แต่งเพิ่มเติมขึ้นมาทีหลังก็มีเยอะเหมือนกัน
อย่างพูดเรื่อง หทัยรูป หทัยวัตถุ
บอกว่าเป็นน้ําเลี้ยงหัวใจสีต่างๆ
พอหมอผ่าหัวใจเราก็ไม่เจอนะ
อันนั้นมันตําราชั้นหลังๆแล้ว
คนไม่รู้ก็จะนึกว่าพระพุทธเจ้าสอนผิด
.
ถ้าจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา
ก็คือ มีสัมมาสมาธิ ย่อมสักว่ารู้ สักว่าเห็น
สภาวะทั้งหลายเกิด-ดับไป มีสติรู้สภาวะที่ปรากฏ
ถ้าเป็นการระลึกรู้รูป
จะระลึกรู้รูปที่กําลังปรากฏในปัจจุบัน
แต่ถ้าระลึกรู้นาม จะเป็นการตามรู้
โดยเฉพาะนามที่เป็นอกุศล
สติจะไประลึกในขณะปัจจุบันไม่ได้เด็ดขาดเลย
เพราะในขณะที่อกุศลเกิดสติจะไม่เกิด
จึงต้องเป็นการตามรู้ แต่ตามรู้แบบกระชั้นชิดนะ
เห็นหางของกิเลสไหวๆ เพิ่งดับไปไหวๆเนี่ยแล้วรู้ขึ้นมา
การตามรู้แบบกระชั้นชิดอย่างนี้
เรียกว่า “ปัจจุบันสันตติ” เป็นปัจจุบันสันตติ
ถือว่าเป็นปัจจุบันเหมือนกันแต่ไม่ใช่ปัจจุบันขณะ
ส่วนการรู้กายนั้นรู้ลงปัจจุบันขณะได้
รู้เวทนาได้ไหม? เราพอรู้ได้ รู้ๆไป
รู้ว่ากําลังปวดอยู่ อย่างนี้ดูได้อยู่
รู้จิตสังขารก็ตามรู้เอา ตามรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น
สักว่ารู้ สักว่าเห็นอยู่
ก็จะเห็นเลยว่า “ทุกสิ่งที่จิตรู้ ไม่ใช่ตัวเรา”
จะเห็นทันที พอใจเราตั้งมั่นขึ้นมาแล้ว
ปัญญาจะเกิด ปัญญาเห็นอะไร?
ปัญญาเห็นไตรลักษณ์ จําไว้นะ
สติเห็นอะไร? สติเห็นสภาวะของรูปธรรม-นามธรรม
ปัญญาเห็นลักษณะคือ ความเป็นไตรลักษณ์
ของรูปธรรม-นามธรรม
ไม่ใช่มีปัญญารู้ว่านี่มือนี่เท้านะ
นั่นไม่ใช่ปัญญาหรอก คนที่เรียนกับหลวงพ่อ
และเห็นลักษณะของรูป-นามได้
ตอนนี้ก็มีแยะแล้ว ไม่ยากหรอก
.
ตัวอย่างเช่น “สาว” เมื่อมาอยู่วัด
มาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าวันหนึ่ง
เห็นเฟื่องฟ้าที่ลานหลวงปู่ดูลย์หน้าศาลาใหญ่ปุ๊บ!
ขณะที่ตามองเห็น ไม่รู้ว่าเห็นอะไร
เสร็จแล้วสัญญามันปรุงขึ้นมาว่านี่ต้นเฟื่องฟ้า
นี่ดอกเฟื่องฟ้า ขณะที่เห็นรูปกับขณะที่คิดขึ้นมา
เป็นคนละขณะกัน ขณะที่รู้รูปปรมัตถ์
กับขณะที่รู้บัญญัติ เป็นคนละขณะกัน
พอเห็นตรงนั้นแล้วอะไรเกิดขึ้น?
จิตเกิดความสะท้านสะเทือนหวั่นไหวขึ้นมา
ว่า “ตัวเราไม่มี ตัวเราไม่มี” โลกธาตุทั้งหมดนี้
ทั้งตัวเรา ทั้งสิ่งภายนอก ทั้งคนทั้งสัตว์อื่นๆทั้งหมดนะ
ล้วนแต่เป็นรูปธรรม-นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น
ตัวเราไม่มี ถึงขนาดร้องห่มร้องไห้ออกมาเลย
เพราะตัวเราหายไป
.
นี่ถ้ามีสติและมีสัมมาสมาธิถูกต้อง
ปัญญามันจะเกิด มันเห็นไตรลักษณ์
พอเห็นไตรลักษณ์ด้วยจิตใจที่มีคุณภาพแบบนี้
มันจะสะท้านสะเทือนเข้าถึงจิตถึงใจ
ไปลบล้างกิเลสได้ ถ้ารู้แล้วไม่ถึงจิตถึงใจ
รู้ด้วยการคิดนี่ เข้าแค่สมอง
ไม่เข้าใจ อย่างนี้ล้างกิเลสไม่ได้
เพราะกิเลสไม่ได้อยู่ในสมอง
กิเลสอยู่ในจิตในใจนี้ต่างหาก
.
เพราะฉะนั้นมีเรื่องที่ต้องศึกษารวม ๓ เรื่อง
คือ เรียนเรื่อง “ศีล” จนมีศีล
เรียนเรื่อง “จิต” จนรู้ชัดว่า
จิตชนิดไหนเป็นกุศลหรืออกุศล
ชนิดไหนใช้ทําสมถะ ชนิดไหนทําวิปัสสนา
แล้วมาเรียนเรื่อง “การเจริญปัญญา”
รู้ว่าการรู้รูปให้รู้ลงปัจจุบัน
ส่วนการรู้จิตรู้ใจให้ตามรู้ไปเรื่อยๆ
แต่ต้องตามรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น
สักว่ารู้สักว่าเห็นคือ มีสัมมาสมาธิอยู่
จึงจะเห็นไตรลักษณ์ของรูป-นามได้
.
วิปัสสนานั้นไม่ใช่การรู้รูป-นาม จําไว้นะ
วิปัสสนาไม่ใช่การรู้รูป-นาม
การมีสติรู้รูป-นามยังเป็นแค่สมถะ
ต้องเห็นไตรลักษณ์ของรูป-ของนาม
จึงจะเป็นวิปัสสนาคือ เห็นว่ารูป-นาม
เกิดแล้วก็ดับไป เห็นว่ามันมีแล้วมันก็ไม่มี
เห็นว่ามันไม่มีแล้วมันก็มีขึ้นมา
นี่เรียกว่า เห็น “อนิจจัง”
เห็นว่าสภาวะทั้งหลายอยู่ไม่ได้หรอก
ถูกบีบคั้นตลอดเวลานี่เรียกว่า เห็น “ทุกขัง”
ทุกขลักษณะ เห็นว่าสภาวะทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา
อย่างรูปเป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
นามธรรมทั้งหลายมีแต่การบังคับไม่ได้
ไม่ใช่ตัวเรานี่เรียกเห็น "อนัตตา”
อนัตตาของรูปกับอนัตตาของนาม
มีมุมที่เหลื่อมกันบ้างคือ รูปไม่ใช่ตัวเรา
เพราะมันเป็นแค่ก้อนธาตุ
ส่วนนามไม่ใช่ตัวเราเพราะบังคับไม่ได้จริง
.
เรื่องไตรสิกขานี้ต้องเข้าใจนะ
ถ้าเข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อบอกแล้ว
การปฏิบัติจะง่ายนิดเดียวเลย ง่ายที่สุดเลย
ง่ายถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องทําอะไร
นอกจากรู้หรือเห็นคือ เห็นกายนี้ทํางาน
เห็นจิตนี้ทํางานโดยเราไม่ต้องทําอะไร
นอกจากรู้กาย-รู้ใจตามความเป็นจริง
เราแค่เห็น แค่รู้
เพราะฉะนั้นในสติปัฏฐานนี้ มีแต่คําว่า “รู้”
มีกิริยาอยู่คําเดียวคือ คําว่า “รู้”
เช่น “หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้”
“ยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้”
“สุข ทุกข์ เฉยๆ ก็รู้”
“จิตเป็นกุศลหรืออกุศลก็รู้”
เห็นไหมว่าการปฏิบัติเหลือคําเดียวคือคําว่า “รู้”
เราฝึกจนกระทั่งเราเข้ามาถึงคําว่า “รู้”
คือ รู้รูป-รู้นาม รู้อย่างที่เขาเป็น
คือ รู้ไตรลักษณ์ ไม่ใช่ฝึกกําหนดนะ
กําหนดนี่จิตจะไปนิ่งไปแช่ ใช้ไม่ได้หรอก
ทําผิดแน่นอน มันเป็นสมถะ
.
อ้าว ๘ โมงพอดี เรื่องที่เทศน์ให้ฟังนี่
คือ ขอบเขตที่เราต้องศึกษาทั้งหมดเลย
ไปเรียนเอา เอาหนังสือ “วิมุตติมรรค” ไปอ่าน
อ่านยากนิดหนึ่งแต่ถ้าอดทนฟังซีดีไปเรื่อยๆ
แล้วจะอ่านง่าย ถ้าไม่ฟังซีดีเลยอยู่ๆไปอ่าน
ก็อ่านยากไปหน่อย ฟังซีดีที่หลวงพ่อ
สอนไปเรื่อยๆ หลวงพ่อไล่จี้คนโน้น ไล่จี้คนนี้
นั่นแหละ ฟังไปเรื่อยๆแล้วจะเข้าใจวิมุตติมรรค
เป็นเรื่องประหลาดไหม เอ้า เชิญไปทานข้าว
(หลวงพ่อหันไปทางพระอาคันตุกะ) นิมนต์ครับ
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
วัดสวนสันติธรรม ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
จาก หนังสือเรียนธรรมคู่เพื่อรู้ธรรมหนึ่ง หน้าที่ ๗๙-๘๓
"เรื่องธรรมดา"
♡ความสุขเกิดขึ้นแล้วความสุขหายไป
เป็นเรื่องธรรมดา
♤ความทุกข์มันจะมา เราก็รู้ว่าอยู่ชั่วคราวเดี๋ยวก็ไป
เป็นเรื่องธรรมดานะ
♧ร่างกายนี้ก็อยู่ได้ชั่วคราว ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
เป็นเรื่องธรรมดา
เคยได้ยินคำว่าธรรมะๆ คือเรื่องธรรมดานะ
ยอมรับความเป็นธรรมดาได้
ใจก็ไม่ดิ้นรน ไม่หิวโหย ไม่ทุกข์ทรมาน
งั้นที่เรามาปฏิบัติธรรม จุดสุดท้ายที่เราจะได้
คือเราจะได้ความสุขความสงบในจิตใจ
ร่างกายของเราก็มีความทุกข์ไป
ตามธรรมชาติตามธรรมดา แต่ใจไม่ทุกข์ได้
พระพุทธเจ้าเคยสอนว่า
คนทั่วไปเวลาถูกยิงด้วยธนู จะถูกยิงสองดอกต่อกัน
เวลามีความทุกข์ในกายก็ต้องแถมทุกข์ในใจด้วย
บางทีร่างกายยังไม่ทันจะทุกข์ก็มีทุกข์ทางใจเกิดขึ้น
และถ้าเราเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
พัฒนาสติ พัฒนาปัญญา
เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต
เข้าใจความเป็นจริงของกายของใจแจ่มแจ้ง
เข้าใจความเป็นธรรมดาของกายของใจของชีวิต
ความทุกข์ทางใจก็จะไม่เกิด
เราเป็นชาวพุทธ สิ่งที่เราจะได้มา
สุดท้ายคือเราจะไม่ทุกข์
ความทุกข์จะเหลือเฉพาะทางร่างกาย
แต่ทางใจจะไม่ทุกข์
เราตัดต้นตอของความทุกข์ทางใจได้
ความทุกข์ทางใจมาจากความอยาก
ทำไมอยากล่ะ
เพราะเรายอมรับสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้นตอนนี้ไม่ได้
อย่างเราไม่สบาย ร่างกายไม่สบาย
เราอยากให้หายเร็วๆ ความทุกข์ทางใจเกิดขึ้น
เราเจอคนที่เรารัก เราก็จะต้องสูญเสียไป
เราไม่อยากสูญเสีย ความทุกข์ทางใจก็เกิดขึ้น
เราเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจ คนที่ไม่ชอบใจ
เราอยากให้หายไปเร็วๆ ความทุกข์ทางใจก็เกิดขึ้น
ความทุกข์ทางใจมาจากความอยาก
ความอยากมาจากการที่ไม่เห็นความจริงของชีวิตนั่นเอง
ดังนั้นเราต้องมาพัฒนาสติพัฒนาปัญญาของเรา
จนจิตใจเรารู้ความเป็นจริง
ความเป็นธรรมชาติธรรมดาของทุกอย่าง
ที่เกิดขึ้นในกายในใจเรา
ถ้าเห็นตามความเป็นจริง ใจจะคลายความยึดถือ
สุดท้ายจะพ้นทุกข์ไป
พ้นทุกข์คือมันหมดความยึดถือในกายในใจ
นี่เป็นศาสตร์ที่อัศจรรย์มากเลยนะ
ไม่มีใครสอนได้ ยกเว้นแต่พระพุทธเจ้า
สอนให้เราเรียนรู้ เจริญสติ เจริญปัญญา
ไปจนกระทั่งเห็นความจริงของกายของใจ
พอเห็นความจริงของกายของใจแล้ว
มันไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือจิตใจ
จิตปล่อยร่างกายออกไปได้ จิตปล่อยตัวจิตเองได้ด้วย
นี่อัศจรรย์ที่สุดเลย
เวลาสภาวะที่จิตปล่อยวางตัวเองได้
ครูบาอาจารย์บางทีท่านเล่าว่า โลกธาตุสะเทือน
มันเป็นของอัศจรรย์
พวกเราค่อยๆ ฝึกไป
.......
⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋⚋
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
"เราอย่าปรุงแต่งจิตใจ แต่เราให้รู้ทัน จิตใจมันปรุงแต่ง เรารู้ทัน เราอย่าไปแต่งมันซะเอง
นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยพยายามแต่งจิตตัวเอง ธรรมชาติของจิต มันปรุงอยู่แล้ว เพราะมันมีอวิชชา มันไม่รู้แจ้งในขันธ์ ๕
พอมันไม่รู้แจ้งในขันธ์ ๕ มันก็อยาก เกิดความอยาก อยากให้ขันธ์มีความสุข อยากให้ขันธ์ไม่ทุกข์ ใจมันก็ดิ้นรน
ฉะนั้นอวิชชาเป็นปัจจัย ให้เกิดความปรุงแต่ง เกิดสังขาร ตรงนี้จะดูยากนิดนึง ค่อยๆ ภาวนา แล้วก็จะเห็น
ความปรุงของจิตมันมี ๓ แบบ อันแรกปรุงชั่ว ไม่ต้องเจตนาปรุง มันปรุงเก่ง อันนี้มันเคยชิน ปรุงชั่ว
คนทั่วๆ ไปที่ไม่ได้เรียนกรรมฐาน หรือไม่ได้ปฏิบัติธรรม จิตมันชอบปรุงชั่ว ส่วนคนที่เรียนกรรมฐานปฏิบัติธรรมนี่ ชอบปรุงดี
ปรุงดีกับปรุงชั่ว รากเหง้ามันอันเดียวกันคืออวิชชา ความไม่รู้แจ้งแทงตลอดในขันธ์ ๕ ในรูป ในนาม ในกาย ในใจนี้ เราไม่รู้แจ้ง เราก็อยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ ก็เลยเกิดการกระทำทางใจขึ้นมา ไปแต่งจิตขึ้นมาให้มันดี ให้มันสุข ให้มันสงบ
อย่างตัวความปรุงแต่งของคนซึ่งไม่ได้ภาวนา มันก็จะปรุงชั่วโดยพื้นฐาน ส่วนนักปฏิบัติ ก็จะปรุงดี เวลาเผลอ ไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไปปรุงชั่วต่อ มีความปรุงอีกชนิดหนึ่ง เรียกอเนญชาภิสังขาร มันปรุงความว่างๆ มันเห็นว่าตราบใดที่จิตยังกระทบอารมณ์อยู่ จิตก็ไม่เลิกปรุงแต่งหรอก เพราะฉะนั้นต้องหนีการกระทบอารมณ์ให้ได้
วิธีหนีการกระทบอารมณ์ ก็คือหนีเข้าอรูปฌาน เข้าอรูปฯ ไป ฉะนั้นจะเรียกว่าทำอเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่งความว่างๆ ไม่ต้องกระทบอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบแต่อารมณ์ทางใจอันเดียว
อันนี้พวกเราคงปรุงไม่ค่อยเป็น แต่บางที่เขาสอนกรรมฐานกัน เขาก็สอนให้ปรุงว่างๆ สอนว่าอย่าคิด อย่านึก อย่าปรุง อย่าแต่ง ทำจิตให้ว่าง อะไรๆ ก็ว่าง เน้นแต่คำว่างๆ
อันนั้นก็คือปรุงว่างขึ้นมา ปรุงอเนญชาภิสังขารขึ้นมา ไม่พ้นหรอก หมดแรงปรุงเมื่อไหร่ มันก็กลับมาปรุงชั่วปรุงดีต่อ หมดแรงที่จะปรุงว่าง
ฉะนั้นเราไม่ปรุงแต่ง แต่เรารู้ทันเวลาจิตมันปรุงแต่ง จิตมันปรุงชั่ว ให้รู้ทัน จิตมันปรุงดี ให้รู้ทัน จิตมันไปปรุงความว่างๆ ให้รู้ทัน อย่าไปเอามัน"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
☇อริยสัจ
หน้าที่ต่ออริยสัจ
๑. ทุกข์ ให้รู้รอบ
๒.สมุทัย ให้ละ
๓.นิโรธ ทำให้แจ้ง
๔.มรรค ทำให้เจริญ
(หน้าที่ ๙)
๑.ทุกข์
โลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา คนเต็มไปด้วยความทุกข์
ถ้าคนไม่มีสติปัญญาก็จะแยกไม่ออก
ว่าปัญหากับความทุกข์เป็นคนละส่วนกัน
ในชีวิตเต็มไปด้วยของไม่เที่ยง
ถ้าใจยอมรับความจริงได้ว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยง
ใจก็จะไม่ทุกข์
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ส่วนปัญหา แต่ใจไม่ทุกข์
(หน้าที่ ๒๕)
๒.สมุทัย
มีความอยากทีไรก็มีความทุกข์ขึ้นมาทุกที
ท่านถึงสอนว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ถ้าจะล้างตัณหาให้เด็ดขาด
จะละสมุทัยได้เด็ดขาด ต้องรู้ทุกข์
ท่านถึงว่ารู้ทุกข์เมิ่อไร ก็ละสมุทัยเมื่อนั้น
(หน้าที่ ๓๙)
๓.นิโรธ
วันใดที่ใจเราพ้นตัณหา เราจะเห็นนิพพาน
นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ
แต่เราไม่เห็นเอง
ไม่ต้องไปหานิพพานที่ไหน
ภาวนาเจริญสติ สมาธิ ปัญญา เรื่อยไป
จนหมดความปรุงแต่งของจิต
จิตพ้นความปรุงแต่งด้วยปัญญาเมื่อไร
ก็เห็นนิพพาน
เราเดินชนนิพพานอยู่ทั้งวันแต่ไม่เห็น
(หน้าที่ ๔๗)
๔.มรรค
มรรคเป็นทางสายเอก
เป็นทางสายเดียวที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์
เมื่อเดินอยู่ในทางสายเอก
ก็ไปถึงธรรมที่เป็นเอก
ธรรมที่เป็นหนึ่ง (คือพระนิพพาน)
มรรคมีองค์ ๘
ย่อลงมาเป็น ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ย่อลงมาเป็น ๒ คือ สมถะและวิปัสสนา
(หน้าที่ ๖๑)
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
"ถ้าเมื่อใดจิตคิด เมื่อนั้นจิตไม่รู้
ถ้าเมื่อใดจิตรู้ เมื่อนั้นจิตไม่คิด
ดังนั้น ☇ถ้าเราต้องการฝึกให้มีจิตรู้ขึ้นมา
ก็ให้คอยรู้ทันเวลาจิตไหลไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไหลไปคิด ซึ่งเกิดบ่อยที่สุด
เราจะได้จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา"
...............................................................................
☇เราต้องฝึกให้มีสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่น
แล้วแยกตัวออกมาเป็นคนดูให้ได้
ถ้าไม่มีสมาธิชนิดนี้ ทำวิปัสสนาไม่ได้จริงหรอก
ไม่สามารถเห็นความจริงของรูปนามได้
เพราะจิตจะถลำเข้าไปเพ่งรูปนาม
ไม่ใช่สักว่ารู้สักว่าเห็น
ถ้าเราฝึกบริกรรมพุทโธ
แล้วเห็นคำว่าพุทโธเป็นสิ่งที่ถูกรู้
จิตกับพุทโธแยกออกจากกัน จิตเป็นคนดู
หรือเวลาเรารู้ลมหายใจ
เห็นร่างกายหายใจอยู่ จิตแยกออกมาเป็นคนดู
นี่คือสมาธิที่มีจิตตั้งมั่นสำหรับใช้เจริญปัญญา
🐣การฝึกให้จิตเป็นคนดูนั้น
ก่อนอื่น เราต้องรู้หลักก่อนว่า
จิตที่ไปดูรูป ไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส
ไปรู้สัมผัสทางกาย และไปคิด
กับจิตที่เป็นคนรู้นั้น
เป็นคนละอย่างกัน
จิตอย่างหนึ่งเป็นผู้แสดง จิตอีกอย่างหนึ่งเป็นผู้ดู
มันก็จิตอย่างเดิมนั่นแหละ
แต่มันทำหน้าที่ไม่เหมือนกันและต่างขณะกัน
ถ้าเมื่อใดจิตคิด เมื่อนั้นจิตไม่รู้
ถ้าเมื่อใดจิตรู้ เมื่อนั้นจิตไม่คิด
ดังนั้น ☇ถ้าเราต้องการฝึกให้มีจิตรู้ขึ้นมา
ก็ให้คอยรู้ทันเวลาจิตไหลไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไหลไปคิด ซึ่งเกิดบ่อยที่สุด
เราจะได้จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา
ธรรมชาติของจิตไหลไปได้ 6 ช่องทาง
คือทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วก็ไปรวมเข้ากับอารมณ์
ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น
ถ้าเราจะฝึกทั้ง 6 ช่องทางพร้อมกันจะทำได้ยาก
จึงให้เรามาฝึกอยู่ที่ช่องใจอันเดียวก็พอ
คือเรามารู้ทันที่จิตเลย
เช่น เวลาเราพุทโธ รู้ลมหายใจ ดูท้องพองยุบ
เราไม่ได้พุทโธเพื่อให้จิตไปอยู่กับพุทโธ
ไม่ได้รู้ลมหายใจเพื่อให้จิตไปอยู่กับลมหายใจ
ไม่ได้ดูท้องพองยุบเพื่อให้จิตไปอยู่ที่ท้อง
แต่เรามาพุทโธ เรามาหายใจ เรามาดูท้องพองยุบ
แล้วมารู้ทันจิต
เราบริกรรมพุทโธๆ จิตหนีไปคิดรู้ทัน
พุทโธๆ จิตไปเพ่งจิตนิ่งๆ อยู่รู้ทัน
หายใจอยู่ จิตหนีไปคิดรู้ทัน
หายใจอยู่ จิตไปเพ่งรวมเข้ากับลมหายใจรู้ทัน
หัดคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป
โดยเฉพาะจิตที่หนีไปคิดเกิดบ่อยทั้งวันเลย
ฝึกอย่างนี้แหละ
เราจะได้จิตตั้งมั่นขึ้นมา จะได้ตัวผู้รู้ขึ้นมา
..........
-ทําอย่างไรจะได้สมาธิชนิดตั้งมั่นเอาไว้เดินปัญญา-
สมาธิชนิดตั้งมั่นนี้มันตรงข้ามกับความไม่ตั้งมั่น
ความไม่ตั้งมั่นของจิตคือ ความฟุ้งซ่านของจิต
ที่ไหลไปไหลมา เกิดจากอะไร?
มันเกิดจากโลภะ ตัณหามันผลักดันไป
จิตมันหิวอารมณ์ มันอยากดู มันอยากฟัง
มันอยากคิด อยากได้กลิ่น อยากได้รส
อยากรู้สัมผัสทางกาย จิตก็วิ่งพล่านไป
เราคอยรู้ทันจิตที่มันวิ่งพล่านไป
ถ้ารู้ได้ละเอียด เราจะเห็นจิตที่อยาก
ถ้าเห็นจิตอยากนะ ความอยากจะไม่เกิด จิตไม่ฟุ้งเลย
ถ้าไม่เห็นตัวนี้นะ มันฟุ้งไปก่อน แล้วรู้ว่าฟุ้ง
ตอนที่จิตมันเคลื่อนไปนี่ เป็นจิตมีโมหะรุนแรงแล้ว
เป็นอุทธัจจะ ฟุ้งอย่างแรง ฟุ้งไป
จิตที่ฟุ้งซ่านคือ จิตที่มีอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
เมื่อไรมีสติรู้ว่ามีอุทธัจจะ เมื่อนั้นอุทธัจจะจะดับ
เมื่อจิตไม่มีอุทธัจจะ สมาธิจะเกิดจิตจะตั้งมั่นขึ้นเอง
จิตไม่ฟุ้งซ่านจิตก็สงบก็แค่นี้เอง
.
ทําอย่างไรจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน?
จิตมีธรรมชาติฟุ้งซ่าน
แต่พอเรามีสติรู้ว่าฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านดับ
เมื่อความฟุ้งซ่านดับ ความสงบก็เกิด
จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตก็ตั้งมั่นไม่ไหล
ฉะนั้นวิธีฝึกจิตไม่ให้ไหล ไม่ใช่ห้ามจิตไม่ให้ไหล
ไม่ใช่จิตไหลแล้วไปดึงคืน อันนั้นไม่ถูก
“วิธีที่จะให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ก็คือ จิตไหลแล้วรู้ทัน จิตไหลแล้วรู้ทัน”
เราต่อยอดมาจากการทําสมาธิที่ให้จิตสงบนั่นแหละ
แต่เดิมเราเคยหายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก
แล้วสบาย มีความสุขอยู่กับการหายใจ
จิตสงบอยู่กับการหายใจ ได้สมาธิชนิดแรก
.
คราวนี้หายใจแต่ไม่ได้มุ่งไปที่ความสงบ
หายใจแล้วคอยรู้ทันจิต หรือขยับมือแล้วรู้ทันจิต
ดูท้องพองยุบแล้วรู้ทันจิต เดินจงกรมแล้วรู้ทันจิต
จิตเคลื่อนไปแล้วรู้ๆตัวนี้สําคัญมากนะ
จิตเคลื่อนแล้วรู้ๆนี่แหละ ตรงที่จิตเคลื่อนแล้วรู้นี่
จิตไม่เคลื่อนจะเกิดขึ้นแต่ไม่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ
เดี๋ยวก็เคลื่อนใหม่ สมาธิที่เกิดขึ้นด้วยวิธีนี้
เรียกว่า ขณิกสมาธิ ขณิกคือ ชั่วขณะ
เกิดได้แวบเดียวสมาธิชนิดนี้ แต่แค่นี้แหละ
คนส่วนใหญ่เป็นพระอรหันต์เพราะสมาธิชนิดนี้แหละนะ
ที่ไปทรงฌานถึงอัปปนาสมาธิหรือต่ำลงมา
เป็นอุปจารสมาธิ ต้องไปเดินปัญญาในฌานมีน้อย
ส่วนใหญ่ก็ใช้ขณิกสมาธินี่แหละ
.
เวลาที่อริยมรรคเกิด เกิดแค่หนึ่งขณะจิตเท่านั้น
ไม่มีสองขณะจิต ไม่ว่าจะทําด้วยสมาธิชนิดไหนก็ตาม
แต่เวลาที่อริยมรรคเกิด เกิดขณะจิตเดียว
ฉะนั้นอย่าดูถูกหนึ่งขณะจิตนะ
พวกเราทํากรรมฐานไป พุทโธไป หายใจไป
อะไรก็ได้ที่เคยทํา เคยทําแล้วมีความสุข
ก็ทําอย่างนั้นแต่ไม่ได้มุ่งไปที่ความสุข
ทําแล้วให้เปลี่ยนมาคอยรู้ทันจิตไป
คุณแม่จันดีเคยถามหลวงพ่อว่า
ท่านอาจารย์ภาวนายังไงจิตมาลงที่เดียวกันกับท่านได้
บอกใช้ลมหายใจ ลมหายใจตื้น
ลมหายใจเย็นกลายเป็นแสงแล้ว หลวงพ่อรู้อยู่ที่แสง
จิตเคลื่อนหนีไปเรารู้ทันๆ จิตก็ตั้งมั่น
เด่นดวงเจริญปัญญาขึ้นมา ท่านบอกว่าอันเดียวกัน
แต่ท่านไม่ได้ใช้ลมหายใจ ท่านใช้พุทโธ
ท่านก็เอาจิตไว้ตรงนี้ แล้วก็พุทโธ
พุทโธแล้วคอยรู้ทันเวลาจิตมันเคลื่อน
หลักอันเดียวกันนะคือ “จิตเคลื่อนแล้วรู้”
.
หลวงพ่อเทียนขยับมือ
ท่านไม่ได้ขยับมือเพื่อให้จิตสงบ
ถ้าขยับมือเพื่อให้จิตนิ่งล่ะก็
ไม่ใช่คําสอนที่แท้จริงของท่านนะ เป็นคําสอนที่เพี้ยนแล้ว
ขยับมือเพื่อจะรู้ทันจิตที่หนีไป
ท่านบอก “คิดเหมือนหนู รู้เหมือนแมว”
คิดเหมือนหนูคือ จิตมันคิดขึ้นมา
ไม่ใช่ขยับมือเพื่อไม่ให้มันคิดนะ ขยับมือเพื่อรู้ว่ามันคิด
จิตที่หนีไปส่วนใหญ่หนีไปคิด
ทันทีที่เรารู้ว่าจิตหนีไปคิด จิตรู้ก็จะเกิดขึ้น
ท่านจึงบอกคิดเหมือนหนู รู้เหมือนแมว
.
หลวงปู่ดูลย์บอกว่า
“คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ก็อาศัยคิด”
ให้มันคิดไม่ใช่ห้าม ให้คิดไป จิตเคลื่อนแล้วรู้ๆ
"ตรงที่รู้ว่าเคลื่อนนะ ความตั้งมั่นจะเกิด"
ฝึกให้ชํานาญนะ ฝึกให้ชํานาญทีละขณะๆ
แต่ละขณะๆที่เกิดถี่ขึ้นๆนี่ มันจะเกิดความรู้สึก
เหมือนว่าเรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
เพราะความต่อเนื่องอย่างสมาธิที่ยาวๆนี่
จริงๆก็คือ สมาธิแต่ละจุดๆมันเกิดถี่ยิบเท่านั้นเอง
จิตที่มีสมาธิมันเกิดขึ้นซ้ำๆๆๆๆๆ มากๆ
มันเลยกลายเป็นว่ายาว
ที่จริงจิตเกิด-ดับอย่างรวดเร็วทั้งนั้นเลยนะ
กระทั่งจิตในฌานก็เกิด-ดับนะ
อย่างที่ว่าเข้าอรูปเข้าอัปปนาอะไรต่ออะไร
ก็คือ จิตเข้าไปเกิด-ดับอยู่ข้างใน
เกิด-ดับถี่ยิบเหมือนกันนะ แต่ว่ามันเกิดแล้วมันดับไป
แล้วมันเกิดใหม่เหมือนเดิม
ทรงอยู่ในอารมณ์เดิมก็เลยรู้สึกว่ายาว
เราเข้าฌานไม่ได้ เราก็มาฝึกรู้สึกตัวเป็นขณะๆอย่างนี้แหละ
เผลอแล้วรู้ เผลอแล้วรู้ เผลอแล้วรู้ ในที่สุด
ความรู้สึกว่า “รู้” นี่มันจะต่อเนื่องเป็นสายเลย
อยู่ข้างนอกนี้แหละจะรู้สึกๆอยู่ได้ตลอดโดยที่ไม่หลงเลยนะ
แวบรู้สึก แวบรู้สึก แวบรู้สึก ใจมันจะตั้งมั่นเด่นดวง
.
หลวงพ่อทําตั้งแต่เป็นโยมนะ
หลวงปู่สิมถึงเรียกหลวงพ่อว่า ผู้รู้
จิตมันตั้งมั่นอย่างนี้ เพราะว่าอะไร?
เพราะว่าจิตไหลแล้วรู้ๆ แต่ที่จริง
หลวงพ่อฝึกมาอีกแบบหนึ่ง อันนี้เอามาประยุกต์
ให้ง่ายสําหรับพวกเราที่นั่งสมาธิไม่ค่อยเป็น
ถ้าจะฝึกเต็มรูปแบบนี่ต้องเข้าสมาธิเป็นลําดับๆไป
จนละวิตกวิจารได้ จิตผู้รู้จะเด่นดวงเลย
ได้จิตผู้รู้อย่างนั้นแล้วจะทรงอยู่ได้ ๗ วัน
ไม่ใช่ทรงขณะหนึ่งนะ จะทรงอยู่ได้ ๗ วัน
แต่จริงๆก็เกิด-ดับ แต่ว่าพลังมันเยอะ
เราเอาแบบง่ายๆ เผลอแล้วรู้ๆไป
ก็จะได้สมาธิชนิดตั้งมั่น
พอได้สมาธิชนิดตั้งมั่นแล้วต่อไปก็เจริญปัญญาได้
.
ธรรมะไม่ได้เอาไว้คิดเล่นๆนะ
บางคนอ่านมาก ฟังมาก คิดมาก ไม่ได้กินหรอก
กิเลสไม่กลัวการคิด ความคิดเป็นเครื่องมือของกิเลส
เป็นอภิสังขารมาร เครื่องปรุงแต่ง
เรียนธรรมะเราไม่ได้เรียนด้วยการคิด
เราเรียนด้วยการเข้าไปเห็น
เข้าไปประจักษ์ต่อหน้าต่อตา
ดูกายเขาทํางาน-ดูใจเขาทํางาน
มันถึงจะเกิดปัญญาที่แท้จริง
.
บางทีคิดมากไปสมาธิหลุดเลยก็มี
เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เคยเป็น มองออกเลยว่า
เวลาเราปฏิบัตินี่ จิตทรงสมาธิขึ้นมาก็เป็นภพๆหนึ่ง
ไอ้นี่มันภพนี่ ไม่เอานะ เป็นตอนไปเดินปัญญา
ไปเห็นว่า เอ้...ตอนเดินปัญญาก็เป็นภพอีกภพหนึ่ง
ก็ไม่เอาอีก อะไรๆก็ไม่เอาสักอย่างเลย
เอาอย่างเดียว เอาความไม่เอาอะไร
จิตมันเดินตรงนี้ มันถอนจากการปฏิบัติเลยนะ
หลุดออกมาอยู่ข้างนอกเหมือนคนภาวนาไม่เป็นเลย
อย่างนั้นปัญญามันล้ำไป...ไม่ดี
บางคนก็คิดคาดล่วงหน้าเช่น เห็นสภาวะเกิด-ดับ
แล้วก็สรุป เดี๋ยวมันก็เกิด เดี๋ยวมันก็ดับ
เรื่องอะไรต้องไปปล่อยให้มันเกิด-ดับ
ก็ดับมันไปเลย จิตมันจะคิดอย่าไปให้มันคิดเลย
มันคิดแล้วรู้ทันแล้วตัดทิ้งเลย อย่างนี้เรียกฟุ้งซ่าน
คิดมากไปภาวนาไม่ขึ้นหรอก ไม่ได้กินหรอก
.
หลวงปู่ดูลย์เคยสอน
“คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ก็อาศัยคิด”
ไม่ใช่ความคิดเกิดแล้วให้ตัดทิ้ง
มีเหมือนกันท่านสอนบางคนว่า
คิดแล้วให้ตัดทิ้งไป ก็ต้องดูก่อนว่าท่านสอนใคร
คนนั้นอยู่ในภูมิธรรมระดับไหน
พวกคิดมากฟุ้งซ่านตลอด อย่าไปคิดมัน ตัดเลย
พอรู้ทันว่า คิดอย่าไปคิดมันตัดทิ้งเลย นั่นแก้ฟุ้งซ่าน
หายฟุ้งซ่านแล้วก็ต้องมาเดินปัญญา
ฉะนั้น บางทีฟังครูบาอาจารย์พูด
ท่านสอนคนโน้นสอนคนนี้ นี่แหละ…
ท่านสอนอย่างนี้แหละ มีอยู่แค่นี้แหละ
จบแล้วหลักสูตรมีแค่นี้แหละ
ที่จริงท่านสอนคนนี้ขั้นนี้ คนนี้ขั้นนี้
ขั้นต้นๆยังไม่มีสมาธิเลย ทําให้มันมีสมาธิซะก่อน
ไม่เคยสงบเลย ทําให้มันสงบซะก่อน
นี่จิตมันหนีไปคิด ฟุ้งซ่าน อย่าไปคิดมัน
กลับมาพุทโธ พุทโธไว้ อยู่กับความรู้สึก
อันนี้ขั้นเบสิกพื้นฐาน ถ้าฉลาดกว่านั้นนะ
ท่านก็สอนไม่ใช่แค่ให้สงบอยู่
ท่านสอนให้รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป
ท่านบอกอย่าส่งจิตออกนอก
คําว่า “อย่าส่งจิตออกนอก” เป็นคําพูดของท่าน
เพราะตอนนั้นเรากําลังส่งจิตออกนอก
ท่านบอกอย่าส่งจิตออกนอก
ไม่ใช่วิธีปฏิบัติคือ อย่าส่งจิตออกนอกนะ
จิตมันออกไปแล้วท่านบอกอย่าออกไป
กลับมา กลับมา... ถ้าพูดให้ยาวขึ้น
.
บางคนก็บอกว่าคําสอนหลวงปู่ดูลย์ไม่มีอะไร
มีแต่อย่าส่งจิตออกนอก
แล้วบังคับจิตให้นิ่งอยู่อย่างนั้น ก็ผิดอีกแหละ
คนที่เคยผิดก็คือหลวงพ่อนี่แหละ เพราะเคยผิด
เพราะฉะนั้นพูดได้เต็มปากเต็มคํา
ทุกวันนี้ไม่กลัวใครเลยเพราะว่าไอ้ที่เขาผิดๆกัน
เคยผิดมาแล้วแทบทั้งนั้นแหละ
ยกเว้นผิดลูกผิดเมียคนอื่น (หัวเราะ)
.
ได้ยินหลวงปู่ดูลย์บอกอย่าส่งจิตออกนอก
ไม่ออกนอก เราเลยเข้าข้างใน
เห็นกิเลสมันผุดขึ้นมากลางหน้าอก
ดูมันลงไปตรงนี้ เอ๊ะ...มันยังลึกลงไปได้อีก
ลึกไล่ลงไป เห็นกิเลสเหวี่ยงโทสะขึ้นมา
ดูมัน...มันหดลงไปข้างใน ตามลึกๆลงไป
พอลึกลงไปแล้วมันหายไปเลย
หายไปขึ้นมาใหม่ รอดู...
เดี๋ยวต้องจับให้ได้เลยว่าเอ็งมาจากไหน
สักพักหนึ่งก็ขึ้นมาอีก กิเลสตัวอื่นขึ้นมาก็ดู
ก็ปรี่ลงไปอีก... ไล่ลงไป...
หายไปอีก... ไล่ขึ้นไล่ลงอยู่อย่างนี้
ท่านไม่ให้ออกนอก เราจะเข้าไปดูข้างใน
.
เจอหลวงปู่สิมท่านบอก ผู้รู้ๆ
ออกมาอยู่ข้างนอกนี่ กิเลสไม่ได้อยู่ในนั้นหรอก
ไม่ได้ถามท่านเลยนะ ครูบาอาจารย์
ไม่ต้องถามหรอก ท่านรู้ของท่านจริงๆ
รู้ดีกว่าเราอีก เราส่งจิตเข้าไปควานหากิเลส
ท่านบอกผู้รู้ๆ ออกมาอยู่ข้างนอกนี่
กิเลสไม่ได้อยู่ในนั้นหรอก
มานึกว่า หลวงปู่ดูลย์ไม่ให้ออกนอก
หลวงปู่สิมไม่ให้เข้าข้างใน เอาไงดีล่ะ
โอ้...หลวงปู่เทสก์สอนว่า
“ผู้ใดเข้าถึงความเป็นกลาง จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง”
งั้นอยู่ตรงกลาง (หัวเราะ) ดูซิ หาเรื่องผิดได้หมด
จริงๆอยู่ตรงไหนก็ผิดทั้งนั้นแหละ ที่ถูกคืออะไร?
“จิตอยู่ตรงไหน รู้ว่าจิตอยู่ที่ตรงนั้น” ถูก
ไม่ใช่ต้องอยู่ตรงนี้ ต้องอยู่ตรงนี้
จะเอาจิตไปไว้ตรงไหน นั่นไม่ถูกหรอก
ไปรักษาจิตไว้กลางๆ ความคิดเกิดก็ตัดทิ้ง
ไม่เอา! เดี๋ยวมันจะหนีไปรู้สึกเฉย
ฝึกไปๆงี่เง่านี่หว่าเป็นฤาษีไปแล้ว
อย่างเวลาที่หลวงพ่อบอกพวกเราภาวนาผิด
หลวงพ่อบอกด้วยความมั่นใจนะ
ไม่ใช่ว่าคาดเดาหรอก มั่นใจเคยทํามาแล้ว
ตั้งแต่สอนมาก็นานนะ บวชมาก็ ๑๕ ปีแล้ว
ก่อนบวชก็สอนมาอีกตั้งนาน
มีสภาวะอยู่ไม่กี่อย่างที่คนมาถามแล้ว
เออ สภาวะอย่างนี้ไม่เคยเห็น ไม่เคยเป็น
ไม่รู้หรอก...ก็เคยมีเหมือนกัน
มันพิสดารมนุษย์จริงๆนะ แบบนั้นเราไม่เคยเป็น
.
ฉะนั้น ทํากรรมฐานอย่าคิดเอา รู้สึกเอานะ
เรื่องการปฏิบัติหลวงพ่อสอนด้วยความมั่นใจนะ
แต่นิยายนิทานประกอบนี่บางทีผิดได้
เพราะนั่นจํามา อ่านมาหลายสิบปีแล้วบางทีกลับหัวกลับหาง
.
เมื่อวานสอนให้มีศีล ให้ขยันภาวนา
ไม่ให้ท้อถอย ให้รักษาศีล
เมื่อเช้าสอนเรื่องสมาธิ ให้ทํากรรมฐานอย่างหนึ่ง
“ถ้าต้องการความสงบก็ทํากรรมฐานที่มีความสุข
น้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์นั้นอย่างสบายๆ
เคล็ดลับอยู่ที่สบาย รู้จักเลือกอารมณ์ที่มีความสุข
เมื่อไปอยู่กับอารมณ์นั้นอย่างสบายๆมันสงบของมันเอง
อย่าอยากสงบ ถ้าอยากสงบจะฟุ้งซ่าน”
.
และเมื่อเช้ายังสอนสมาธิอีกอย่างหนึ่ง
คือ “สมาธิตั้งมั่น ก็ใช้กรรมฐานเดิมเลย
แต่ไม่ได้มุ่งน้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์นั้น
มุ่งรู้ทันจิตเวลามันหนีไปที่อื่น”
พุทโธ พุทโธ จิตหนีไป คิดเรื่องอื่นแล้วรู้ทัน
หายใจอยู่ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน
จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจแล้วรู้ทัน
คอยรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา
ส่วนใหญ่ก็ไหลไปคิดกับไหลเข้าไปเพ่ง
ที่ไหลเข้าไปเพ่งนั้นเพราะเราเคยทําสมถะ
จิตมันไหลเข้าไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว
มันชิน มันไหลเข้าไปเพ่ง...ตอนนี้เอาใหม่
จิตไหลเข้าไปเพ่งก็รู้ จิตหนีไปคิดก็รู้ จะได้จิตตั้งมั่น
ได้จิตตั้งมั่นแล้วก็ไปเจริญปัญญาได้ละ
ไม่มีจิตตั้งมั่นเจริญปัญญาไม่ได้จริงหรอก
ใช้ไม่ได้หรอก ฟุ้งซ่าน
.
ไปฝึกนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาสอนต่อเรื่องการเจริญปัญญา
ไม่ยากอะไร กรรมฐานมันยากเพราะเราไม่มั่นใจ
ลูบๆ คลําๆ ไม่มั่นใจ ใช่-ไม่ใช่ ใช่-ไม่ใช่
ถ้าเรามั่นใจ ทําไปแป๊บเดียว...ไม่ยาก
เคยได้ยินครูบาอาจารย์สอนยังนึกเลย
ครูบาอาจารย์พูดง่าย เราทํายาก
ตอนหลวงพ่อพรรษาแรก ออกพรรษาแล้วนี่
ขึ้นไปกราบหลวงปู่สุวัจน์
เพราะรู้ว่ารอมากกว่านั้นไม่ได้ ท่านจะสิ้นแล้ว
ท่านก็บอกปล่อยวางจิตนะ ทิ้งมันไปเลย
ไม่มีอะไรหรอก ทิ้งไปเลย
เราก็นึก...หลวงปู่พูดง๊ายง่าย เราทิ้งไม่ได้หรอก
เราวางแล้วเราก็หยิบขึ้น เราวางแล้วเราก็หยิบขึ้น
ฉะนั้นบางทีครูบาอาจารย์สอน ท่านรู้สึกง่ายๆ
เพราะท่านเป็นแล้ว แต่เรายังทําไม่เป็น
เราก็รู้สึกยาก แต่ทําเป็นแล้วมันก็ง่ายเองแหละ
.
ทําอะไรใหม่ๆมันก็ยากทั้งนั้นแหละ
ขี่จักรยานทีแรกก็ยากนะ ใครขี่จักรยานเป็นบ้าง
ยกมือซิ มีไหม? เป็นเยอะนะ
หัดทีแรกล้มไหม? ...ล้ม
กรรมฐานที่แรกก็เหมือนกัน
หัดที่แรกก็ล้มลุกคลุกคลาน ล้มแล้วถ้าท้อแท้ใจ
ไม่ยอมขึ้นจักรยานอีก ก็ไม่เป็นหรอก
ล้มลงไปลุกขึ้นมาได้ ขี่ต่อ
อย่าเข้าไปใต้ท้องรถบรรทุกก็พอแล้ว (หัวเราะ)
ซ้อมไปเรื่อย เดี๋ยวมันก็ขี่เป็น
ใครปล่อยแฮนด์ได้บ้าง มีไหม?
ขี่แล้วปล่อยได้เข้าข่ายคนประมาทนะ
หลวงพ่อตําหนิ แฮนด์เขามีให้จับ ไม่ได้มีไว้ปล่อย
กิเลส อารมณ์กรรมฐาน รู้เพื่อจะปล่อยไม่ได้เพื่อจะเอา
ส่วนแฮนด์จักรยานเอาไว้จับไม่ใช่เอาไว้ปล่อย
ให้มันรู้ซะบ้าง (หัวเราะ)
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
วัดสวนสันติธรรม ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
จาก หนังสือการเดินทางสู่...ความดับสนิทแห่งทุกข์ หน้าที่ ๗๐-๗๘
#อย่าเกลียดทุกข์นะ ทุกข์เนี่ยดีเอาไว้รู้
ถ้ามันยังไม่พอ มันก็ไม่วาง
ไม่มีใครสั่งจิตให้หลุดพ้นได้
จิตเขาหลุดพ้นของเขาเอง หลุดพ้นของเขาเองได้
เพราะเขามีสติ มีสัมมาสมาธิ มีปัญญาแก่รอบ
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
ถ้าใจยังอาลัยอาวรณ์จะยังละกามราคะไม่ได้
ต้องเห็นทุกข์ต้องเห็นโทษถึงจะละได้
ดังนั้นกิเลสเกิดขึ้นมา ความอยากเกิดขึ้นมา
หรืออะไรเกิดขึ้นมาแล้วเรายังละไม่ได้
เพราะเรายังทุกข์ไม่พอ
ถ้าเมื่อใดเรารู้ว่านี่คือทุกข์ล้วนๆ นะ อย่างไรก็ไม่เอา
ดังนั้นการรู้ทุกข์นี่แหละ
คือเรื่องสำคัญที่สุดในการภาวนา
รู้ลงไปในกายในใจ
จะเห็นกายนี้ก็ทุกข์ จิตนี้ก็ทุกข์
เห็นอย่างนี้ถึงวันหนึ่งเขาถึงจะวาง
ฉะนั้นอย่าเกลียดทุกข์นะ ทุกข์เนี่ยดีเอาไว้รู้
ถ้ามันยังไม่พอ มันก็ไม่วาง
ไม่มีใครสั่งจิตให้หลุดพ้นได้
จิตเขาหลุดพ้นของเขาเอง หลุดพ้นของเขาเองได้
เพราะเขามีสติมีสัมมาสมาธิมีปัญญาแก่รอบ
เขามีสติมีสัมมาสมาธิมีปัญญาแก่รอบได้ด้วยตัวของเขาเอง
แต่หน้าที่ของเราก็คือพาให้เขาเรียนรู้ไป
อย่าพาเขาเที่ยวเร่ร่อนไป
พาให้เขาคอยรู้กาย พาให้เขาคอยรู้ใจ
เวลาเขารู้กายรู้ใจก็อย่าเผลอเพลินไปที่อื่น
อย่าไปเพ่งใส่กายใส่ใจ
ให้สักว่ารู้ว่าเห็น รู้อย่างมีสัมมาสมาธิ
แล้วเขาจะเห็นความจริงของกายของใจด้วยตัวเขาเอง
พอเขามีความรู้ขึ้นมาด้วยตัวเขาเอง
เขาก็หลุดพ้นของเขาเอง
เราปฏิบัติกับจิตของเราเหมือนลูกเรา เหมือนเด็กคนหนึ่ง
เราไปฉลาดแทนลูกไม่ได้นะ
เราอาจจะฉลาด แต่ลูกโง่ทำอย่างไรก็ไม่ฉลาด
เราไปทำความฉลาดแทนเขาไม่ได้
แต่เราพาให้เขาเรียนได้
สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้กับเขา
เช่น อย่าไปพาเขาทำผิดศีลธรรม
ให้เขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี
ให้เขาได้ศึกษา ได้ฟังธรรม ให้เขาได้ปฏิบัติธรรม
รู้กายรู้ใจ หรืออย่างเราเลี้ยงลูกก็ให้เขาได้เรียนหนังสือ
ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี คบเพื่อนที่ดี
เขาจะเกิดความรู้ความฉลาดขึ้นเอง
แล้วเขาก็สอบได้ของเขาเอง
เขาสอบได้ของเขาเองเพราะเขาฉลาดของเขาเอง
เราไปสอบแทนลูกไม่ได้ หรือบางคนทำได้ก็ไม่รู้นะ
ฉะนั้น เราฝึกจิตใจนะ
ให้จิตใจได้เรียนรู้กายเรียนรู้ใจเรื่อยๆ
ตอนนี้เขาเรียนรู้จนเหน็ดเหนื่อยแล้ว
ก็พาให้เขาได้พักผ่อนบ้าง
ให้เขาทำความสงบเข้ามา
เขาพักผ่อนพอสมควรแล้ว
เหมือนลูกเราขี้เกียจขี้คร้าน
เราก็ต้องเร่งรัดให้อย่าขี้เกียจนะ
คอยทำการบ้าน คอยเรียนหนังสือ
คอยรู้กายรู้ใจไว้
เขาเรียนไปเหนื่อยแล้วก็ให้เขาพักอีก
เนี่ยเป็นระยะๆ ๆ อย่างนี้ไป
พอเขาเติบโตขึ้นมานะ เขาก็มีความรู้ของเขาเอง
เราจัดการกับจิตด้วยวิธีเดียวกันนี้
อย่าห้าวหาญไป กูเก่ง กูจะทำจิตให้หลุดพ้นนะ
หลวงพ่อเคยนะ ขนาดภาวนาจนชำนาญแล้วนะ
สักปี ๓๖-๓๗ ภาวนาแล้วทำไมตรงนี้ไม่พัฒนาเลยภาวนาใหญ่
อยู่ที่วัดวังน้ำมอก สาขาวัดหินหมากเป้ง ไปภาวนาที่นั่น
เสร็จแล้ววันหนึ่งเหนื่อยแล้วก็เลยเดินเข้าไปในโรงครัว
มีตู้หนังสือธรรมอยู่ตู้หนึ่ง ขี้ฝุ่นเกาะเลยนะ
แบบตั้งแต่ปิดไว้แล้วคงยังไม่เคยมีใครเปิด
ไปเปิดมาเจอหนังสือของอาจารย์มหาบัวเล่มหนึ่ง
ชื่อ เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม ยืมเขามาอ่าน
อ่านได้ไม่กี่หน้านะ ปกติไม่ชอบอ่านหนังสือ
อ่านได้ไม่กี่หน้าใจมันก็สอนขึ้นมาบอกว่า
ไม่มีใครทำจิตให้หลุดพ้นได้หรอก
จิตเขาหลุดพ้นของเขาเอง
เราอ่านในเรื่องของท่าน
มีเรื่องที่จิตท่านหลุดพ้นเยอะแยะนะ
เลยปิดหนังสือยกมือกราบท่านนะ
เอาหนังสือไปเก็บเข้าตู้
แล้วก็มารู้กายรู้ใจไป
ให้จิตเขาเข้าใจของเขาเอง
ไม่มีอะไรหรอก ง่ายสุดๆ เลยนะ
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
"ถ้าเรากลัวเผลอ กลัวหลง
กลัวไม่ได้เจริญสติ กลัวไม่ได้ปฏิบัติธรรม
เราไปเกาะอะไรนิ่งๆ เอาไว้อันหนึ่งนะ
มันไม่ได้จริงหรอก
ต้องใจถึงๆ นะ ไม่อย่างนั้นเดินต่อไปอีกไม่ได้
ชาตินี้จะได้อยู่ที่เดิม"
....................................................................
☄เจริญสติในชีวิตประจำวัน
แล้วต้องทำสมถะตามรูปแบบด้วย
ถ้าเราจะเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ก็ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เจริญไปเรื่อยๆ นะ
ถึงวันหนึ่งกำลังก็ไม่พอ
สายวัดป่าครูบาอาจารย์จะสอนการปฏิบัติสามขั้นตอน
ต้องทำทั้งสามอัน
อันแรกเลย ทำความสงบให้จิตตั้งมั่น
จิตสงบมีกำลังขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา
ทีนี้คนส่วนมากพอจิตสงบตั้งมั่นแล้วขี้เกียจ
ขี้เกียจนี่ ครูบาอาจารย์จะสอนให้พิจารณากาย
อย่างนี้ก็เป็นสมถะอีกแบบหนึ่ง ให้คิดพิจารณากาย
พอหมดเวลาปฏิบัติในรูปแบบ
ตอนนี้ต้องมีสติในชีวิตประจำวัน
ฉะนั้นสติในชีวิตประจำวันสำคัญที่สุด
แต่การที่ทำใจสงบตั้งมั่น ทำใจให้ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน
อันนั้นก็เป็นตัวสนับสนุนที่สำคัญมาก
ทีนี้ถ้าพวกเราทำฌานไม่ได้
แต่ละวันแบ่งเวลาเอาไว้หน่อยหนึ่ง
ไหว้พระสวดมนต์เอาไว้นะ ได้สมถะ
สวดมนต์แล้วจิตใจสงบได้สมถะ
สวดมนต์แล้วขี้เกียจให้รู้ว่าขี้เกียจ
เราไหว้พระสวดมนต์แล้วเราก็แบ่งเวลาปฏิบัติในรูปแบบ
ห้านาทีสิบนาทีสิบห้านาทีต้องทำ
ทำตามรูปแบบเอาไว้หน่อยหนึ่ง แล้วหัดรู้สภาวะไป
การหัดรู้สภาวะทุกวันๆ มีประโยชน์มาก
มันจะทำให้เรามีกำลังสติ
มันจะมีกำลังเจริญสติในชีวิตประจำวันได้
ถ้าเราทิ้งการทำในรูปแบบไปเลยนะ
เราจะไม่มีกำลังจริง
มันเหมือนรู้นะ แต่ใจจะกระจายๆ
รู้แบบไม่มีแรง รู้แบบป้อแป้ๆ ไม่มีแรง
ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านจะให้ทำสมถะก่อน
แล้วก็มาเจริญสติ
ทีนี้พวกเราคนชาวเมืองทำสมถะไม่ค่อยเป็นแล้ว
ทำสมถะไม่ค่อยได้
สมถะทำกันนานกว่าใจจะเข้ามาเป็นหนึ่ง
ฉะนั้นการทำตามรูปแบบเต็มที่เนี่ย เราทำไม่ค่อยไหว
เราทำได้แค่วันนี้สงบพรุ่งนี้ฟุ้งซ่าน
วันนี้สงบพรุ่งนี้ฟุ้งซ่าน เราทำได้แค่นี้เอง
เพราะฉะนั้นเมื่อทรัพยากรความสงบเรามีน้อย
เราจะมารอให้สงบเต็มที่ก่อน
แล้วมาเจริญปัญญานี่มันไม่ทันกิน
จนแก่จนตายมันยังไม่ได้สงบจริงเลย
เรายากจน เราก็ต้องทำมาหากินไปแบบจนๆ ของเรา
อย่างนี้แหละ
ทำความสงบได้นิดๆ หน่อยๆ ก็เอา
ไหว้พระสวดมนต์ได้นะ ก็เอา
อย่างน้อยก็ได้สมถะนิดๆ หน่อยๆ
แล้วก็ทำตามรูปแบบเอาไว้
เหมือนนักมวยหัดซ้อมชก
ชกกระสอบชกลมทุกวัน จะได้ออกหมัดเร็ว
เราก็หัดทำกัมมัฏฐานอันหนึ่งแล้วก็หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ
สติจะได้เกิดเร็ว
ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องช่วย
พอใจเราเผลอไปแวบ มันจะไม่เผลอนาน
มันจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
ถ้าเรากลัวเผลอ กลัวหลง
กลัวไม่ได้เจริญสติ กลัวไม่ได้ปฏิบัติธรรม
เราไปเกาะอะไรนิ่งๆ เอาไว้อันหนึ่งนะ
มันไม่ได้จริงหรอก
ต้องใจถึงๆ นะ ไม่อย่างนั้นเดินต่อไปอีกไม่ได้
ชาตินี้จะได้อยู่ที่เดิม
เคยเห็นสะพานข้ามคลองตามบ้านนอกไหม
เป็นไม้ไผ่ลำเดียว
แล้วอย่างมากก็มีไม่ไผ่อีกอันหนึ่งอยู่ข้างๆ
ถ้าเราจะข้ามสะพานให้ได้ แต่เรากลัวตกสะพานนะ
เราจับไม้ไผ่ข้างๆ เอาไว้จนแน่น มันข้ามไม่ได้หรอกนะ
ต้องจับบ้างปล่อยบ้าง ปล่อยมือไป
ตอนนี้ทรงตัวได้แล้วปล่อยมือ
เดินไปได้สองก้าวจะตกแล้ว คว้าเอาไว้
ฉะนั้นการทำตามรูปแบบเหมือนราวสะพาน
หรือการที่เราประคองรักษาจิตเอาไว้เหมือนราวสะพาน
แต่ถ้าเราประคองตลอดเวลา
เราไม่ยอมข้ามสะพานแล้วก็ยืนดูสะพานอยู่ตรงนั้นเอง
ข้ามฟากไม่ได้นะ
เดินไปได้นิดหน่อย สองสามก้าวก็ไม่ยอมเดินแล้ว
ต้องใจถึงนะ
อันแรกสุด ถือศีลห้าเอาไว้ก่อน
ศีลห้าจำเป็นที่สุด
เพราะต่อไปนี้เราจะไม่ข่มใจแล้ว
พอเราไม่ข่มใจกิเลสจะขึ้นมาเยอะ
ฉะนั้นต้องถือศีลห้าเอาไว้ก่อน
กิเลสจะรุนแรงแค่ไหน
ไม่ให้ล้นออกทางกายทางวาจา
ไปเบียดเบียนคนอื่น
อันที่สอง ฝึกซ้อมของเราทุกวัน
ฝึกซ้อม มีรูปแบบของการปฏิบัติเป็นเครื่องอาศัยเอาไว้
อันที่สาม สติจะเกิดขึ้นเอง
อันนี้จะมาเจริญสติในชีวิตประจำวัน
แต่ทุกวันต้องซ้อม
ถ้าไม่ซ้อมเลย ใจมันจะกระจาย มันไม่มีแรง
เหมือนรู้นะ แต่ไม่รู้ นี่สุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้า กราบหลวงปู่ดูลย์
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ