************องค์หลวงปู่ชา สุภัทโท (-/\-)
" ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ
สุข เกิดขึ้นมา ทุกข์ เกิดขึ้นมา
เรา รู้มันทั้งสองอย่าง
สุข นี้ก็สักแต่ว่า สุข
ทุกข์ นี้ก็สักแต่ว่า ทุกข์ เท่านั้น
ไม่ใช่ สัตว์ ไม่ใช่ ตัวตน เรา เขา
ธรรมนี้ เกิดขึ้น
แล้ว ดับไป."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงกำชับสาวกมากที่สุดว่าให้พยายามปฏิบัติให้ถึง"ธรรมที่มันไม่เกิดไม่ตาย ที่มีอยู่ในปัจจุบัน"
แม้จะมีอะไรอยู่ก็เหมือนไม่มี
ได้ก็เหมือนเสีย เสียก็เหมือนได้
เพราะนี่คือความ"สงบ "สงบจากความสุข ความทุกข์
เมื่อถึงธรรมที่มันไม่เกิดไม่ตายที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว
ภพสิ้นแล้ว พรหมจบแล้ว ไม่มีภพอื่นชาติอื่นอีกแล้ว
"หลักธรรมที่แท้จริงนั้นคือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่ง หลักธรรม เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียนจากตำรับตำรา หรือกับครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วเวลาภาวนาก็ให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ เมื่อจิตของเราสงบ เราจะรู้เอง ต้องภาวนา ให้มากๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง แล้วก็ความรู้อะไรๆ ให้มันออกจากจิตของเรา ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
“กิริยาจิต” ที่แฝงอยู่ตาม “อายตนะ” หรือ “ทวารทั้ง ๕” มีดังนี้
“ตา” ไปกระทบกับรูป เกิด จักษุวิญญาณ คือ การเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูปไม่ได้
“หู” ไปกระทบกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือ การได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียงไม่ได้
“จมูก” ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือ การได้กลิ่นจะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่นไม่ได้
“ลิ้น” ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือ การได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รสไม่ได้
“กาย” ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือ กายสัมผัสจะห้ามไม่ให้กายรับสัมผัสไม่ได้
“วิญญาณทั้ง ๕” อย่างนี้ เป็น “กิริยาแฝงอยู่” ในกาย ตามทวาร ทำหน้าที่ “รับรู้สิ่งต่างๆ” ที่มากระทบ เป็น”สภาวะแห่งธรรมชาติ” ของมัน “เป็นอยู่เช่นนั้น”
ก็ “สักแต่ว่า” เมื่อ “จิต” “อาศัยทวารทั้ง ๕” เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยัง “สำนักงานจิตกลาง” เพื่อรับรู้ เราจะ “ห้ามมิให้เกิด” “มีเป็น” เช่นนั้น “ย่อมกระทำไม่ได้”
“การป้องกัน” “ทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น” เราจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕” ไม่เพลิดเพลินใน “อายตนะ” เหล่านั้น
หาก”จำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น” ประกอบการงานทางกาย
ก็ควรจะ “กำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต” เช่น “เมื่อเห็น” ก็ “สักแต่ว่าเห็น” “ไม่คิดปรุง” “ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน” “ไม่คิดปรุง” ดังนี้เป็นต้น
(ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้"จิตเอนเอียง" ไปในความเห็น ทั้งดี ทั้งชั่ว)
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
พอใจหยุดเสียได้เท่านั้นแหละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ติเตียน ทุกข์ ไม่กระทบกระเทือนแล้ว...”
.เมื่ออยู่กลางดวงนั้นแล้ว ความกำหนัดยินดีไม่มี สงบระงับเป็นสุขทีเดียว ถ้าว่าต้องการสุขละก็ไปอยู่นั่น ถ้าว่าต้องการทุกข์ละก็ออกมาเสียก็ได้รับทุกข์...”
“...ใจหยุดเสียแล้ว ความขุ่นมัว ความเศร้าหมองก็ไม่มีแก่ใจ เพราะใจหยุดเสียแล้ว ไม่เศร้าหมองไม่ขุ่นมัวแต่อย่างใดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว...”
...หยุดได้เวลาใดก็เป็นมงคลเวลานั้น ถ้าหยุดไม่ได้เวลาใดก็เป็นอัปมงคลเวลานั้น...”
หลวงพ่อวัดปากน้ำ(สด จนฺทสโร)
“คนที่ปฏิบัติธรรมภาวนาจริงๆ จะอยู่คนเดียว”
คนที่ภาวนาจริงๆแล้วจะไม่อยากสุงสิงกับใคร
อยากจะอยู่คนเดียว เพราะเวลาอยู่คนเดียว
แล้วก็มีสถานที่แบบนี้ จะไม่มีอะไรไปทำให้จิตใจกระเพื่อม
เพราะจิตใจเปรียบเหมือนกับสระน้ำ
ถ้ามีคนลงไปอาบ ไปตัก ไปเล่น น้ำก็ขุ่นน้ำก็ไม่นิ่ง
จิตของเราถ้าต้องสัมผัสกับ "รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆ"
ก็จะต้อง"กระเพื่อม"อยู่ตลอดเวลา เวลากระเพื่อมก็จะไม่สงบ ไม่นิ่ง
จะไม่เห็นความสุขความประเสริฐ ของ"ความสงบ"
ความอิ่มเอิบใจ ความพอใจ ที่เกิดจากการบำเพ็ญจิตตภาวนา
คนที่ภาวนาเป็นแล้ว จะรู้ว่าต้องการสถานที่แบบไหน
เขาจะไม่ต้องการพวกแสงสีเสียง ไม่ต้องการเพื่อน
ไม่ต้องการคนนั้นคนนี้มาแก้เหงาด้วยการคุยกัน
เพราะจิตที่ได้เข้าสู่ความสงบแล้ว จะไม่ค่อยคิดถึงอะไร
เพราะไม่ค่อยได้ปรุงแต่งกับเรื่องอะไร
แต่จิตที่ยังไม่สงบ
ก็จะคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ แล้วก็เกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นมา
คิดในเรื่องที่เคยทำให้มีความสุข ในขณะที่ไม่มีความสุขนั้นแล้ว
ก็จะทำให้เศร้าสร้อยหงอยเหงา อยากจะหวนกลับไปหาความสุขแบบนั้นอีก
ถ้าเคยมีความสุขกับเพื่อนกับฝูง กับการทำกิจกรรมต่างๆ
พอต้องมาฝึกจิตอยู่คนเดียวในป่า ก็จะอดคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยสัมผัสมาไม่ได้
อดที่จะคิดถึงเพื่อนคนนั้นเพื่อนคนนี้ กิจกรรมนั้นกิจกรรมนี้ไม่ได้
ก็เลยเกิดอารมณ์ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวขึ้นมา จึงทนอยู่ไม่ได้
ต้องกลับไปหาเพื่อนหาฝูง หากิจกรรมต่างๆ
แต่ถ้าเคยได้ฝึกจิตมาก่อน แล้วสามารถทำจิตให้สงบได้
เวลามาอยู่สถานที่แบบนี้ จะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น
เพราะมีงานทำ รู้หน้าที่ของตน รู้ว่าต้องทำอะไร
คือคอยควบคุม"สังขารความคิดปรุง"นี้เอง
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๘
🌻"ละสังโยชน์ 3"
🔹1."สักกายทิฏฐิ" ความเห็นที่ว่า กายมีในตน กายเป็นของของตนนั้นดับไป
🔸2."วิจิกิจฉา" ความสงสัยในธรรมที่จริงที่แท้ ที่ไม่จริงไม่แท้ แลเห็นด้วยอำนาจแห่งสัมมาทิฏฐิ
รู้ได้ว่าธรรมอันเป็นส่วนที่จะตรัสรู้ มีอยู่ทุกสมัย ธรรมที่จริงที่จะให้รู้ก็มีอยู่ สำเร็จได้ด้วยอำนาจข้อปฏิบัติแห่งตนที่ทำอยู่นี้ ความรู้แจ้งเห็นจริง หมดสงสัยในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
🔹3."สีลัพพัตตปรามาส" ไม่ลูบคลำในลัทธิศีลธรรม
ไม่ติดอยู่เสมอเพียงมารยาทและกิริยา เพราะความดี ความชั่ว สำเร็จแล้วด้วยใจ
ฉะนั้น จึงจัดว่าเป็นส่วนโลกุตตรศีล เป็นขั้นแรกของพระนิพพาน ถึงแม้จะเวียนว่ายตายเกิด ก็ยังเป็นคนพิเศษอยู่ ผิดจากมนุษย์ธรรมดา ใครปฏิบัติได้เช่นนั้นนับว่าเป็นผู้มีโชคลาภ มีทรัพย์อันแน่นอน
คำสอน: ท่านพ่อลี ธัมมธโร
<ปฏิบัติธรรม ต้องควบคุมทางเข้า-ออกให้ดี >
▪ ทางเข้าหกทางคือ ทวารทั้งหก
- รูป ไหลเข้ามาทางตา
- เสียง ไหลเข้ามาทางหู
- กลิ่น ไหลเข้ามาทางจมูก
- รส ไหลเข้ามาทางลิ้น
- สัมผัสทางผิวหนัง ไหลเข้ามาทางกาย และ
- ความคิด (ธรรมารมณ์)ไหลเข้ามาทางใจ
เมื่อผัสสะทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผัสสะกระทบ อย่าให้เกิด เวทนา(พอใจ/ไม่พอใจ)
ถ้าเกิดก็อย่าให้เลยไปถึงตัณหา
เพราะถ้าถึงตัณหาแล้ว...
อุปาทาน ภพ ชาติ และทุกข์ทั้งมวลก็จะเกิดตามกันมา ตามสายปฏิจจสมุปบาท(สายเกิด)
▪ ทางออกสาม คือ ทางที่อารมณ์ ทั้งหกที่ไหลเข้ามานั้น
ถูกปรุงแต่งจนไปสู่ทางออกสามทาง คือ
1.มโนกรรม 2.วจีกรรม 3.กายกรรม
ถ้าทำกรรมดี ก็เป็นวิบากดี หรือผลที่ดี
แต่ถ้าทำกรรมชั่ว ก็จะได้รับวิบากไม่ดี หรือผลไม่ดี ตามนั้น
ดังนั้นเราจึงต้องควบคุมทางเข้า-ออกทั้งหมดนี้ให้ดี
》โดยควบคุมกระแสกิเลส (ใหม่) ที่จะเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยมี สติเป็นเสมือนเขื่อนกั้น จากนั้นก็ใช้ปัญญาจัดการ (ต้องฝึกฝน)
》สร้างกรรมดี เจริญทาน ศีล สมาธิ ปัญญา (เพื่อชำระกิเลสที่นอนเนื่องในจิต) จนหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง คือ "นิพพาน" เป็นจุดหมายปลายทาง
แล้วอะไรเป็นเครื่องมือป้องกันและชำระจิต หล่ะ
》สิ่งนั้นคือ สี่เกลอ นั่นเอง
สติ สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา ซึ่งก็คือ ศีล สมาธิและปัญญา = อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง
#ปฏิบัติแบบโง่ๆ
นับเป็นเวลาที่ค่อนข้างยาวนานทีเดียว กว่าที่คำพูดที่หลวงพ่อดู่เคยพูดสอนว่า ในเวลาปฏิบัติสมาธิภาวนา ให้ปฏิบัติแบบโง่ๆ นั้น จะค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ การอ่านมาก รู้มาก บางครั้งก็เป็นดาบสองคม
เพราะในด้านหนึ่ง การรู้มาก ก็ช่วยให้สามารถมองเห็นเส้นทางเดิน รวมทั้งเห็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังล่วงหน้า ฯลฯ
แต่อีกด้านหนึ่ง ความรู้มากนั้น ก็จะมาเป็นตัวอุปสรรคเสียเอง เช่น เผลอคิดว่าความรู้ (รู้จำ) นั้นเป็นปัญญา (รู้จริง) เกิดเป็นทิฏฐิมานะ ปิดกั้นการดูดซับความรู้จากภายนอก
ที่สำคัญในขณะปฏิบัติจิตภาวนานั้น ความรู้มากนี้ก็กลายเป็นสิ่งรุงรังในจิตใจ ใช้ความคิดผิดกาลเทศะ จนกลายเป็นตัวสร้างนิวรณ์บ้าง คิดไปล่วงหน้าตามประสาคนรู้มากบ้าง คอยใส่ชื่อเรียกให้กับสภาวะต่างๆ ที่กำลังประสบบ้าง คอยสงสัยนั่นนี่บ้าง
การรับรู้หรือสัมผัสจึงไม่เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา แล้วเจ้าตัวก็ยังสำคัญตัวว่ากำลังคิดพิจารณาหรือมองดูสภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ของจริง "นิ่งเป็นใบ้"
พอจิตเข้าไปปรุงแต่งจนรุงรังไปหมดแล้ว จึงยากที่จะถอยออกมาให้เห็นไปตามสภาวะที่มันเป็นอย่างธรรมชาติ หากแต่เป็นไปอย่างที่จิตเราอยากให้มันเป็น
จึงมาตระหนักว่าการปฏิบัติแบบโง่ๆ นี้ สำคัญมาก และจะต้องวางความรู้ต่างๆ ไว้ข้างนอกเสีย กระทั่งเพิกสัญญาความมั่นหมายว่าเราว่าเขา ว่านั่นว่านี่ออกเสีย แล้วรู้สิ่งที่มากระทบใจอย่างว่าเป็นสภาวะล้วนๆ
นี่แหละหนา หลวงพ่อดู่ถึงว่า "สอนคนรู้มาก นั้นสอนยาก สู้สอนเด็กๆ หรือคนรู้น้อยไม่ได้"
คติธรรมคำสอนโดย... หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
สิ่งที่สำคัญต่อการปฏิบัติ .... ควรระลึกรู้ว่า ... >
ทุกวินาทีของชีวิตคือ ... การปฏิบัติธรรม ....
ทำอย่างไร มาดูกันครับ
▪ทุกๆสิ่งที่ทำ สำคัญ .... ดั่งลมหายใจ (ไม่มีความประมาท) ....
▪ทุกๆผัสสะอารมณ์ ... ควบคุมโดย ... สติ (สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา) ....
▪ทุกๆที่นั่ง ... ดั่งบัลลังก์ สมาธิ (จิตตั้งมั่น)....
▪ทุกๆที่ก้าวย่าง ... เสมือนทางจงกรม (มีสติสัมปชัญญะทุกย่างก้าว) ....
▪ทุกๆเรื่องที่คิด... ดำริอันเป็นกุศล (สัมมาสังกัปปะ)....
▪ทุกๆสิ่งที่จดจำ .... เป็นธรรมสอนใจ (มีโยนิโสมมนสิการ) ....
จากโอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
การปฏิบัติธรรม
☔️“ตำรับตำราทั้งหมด อันนั้นเป็นตำราธรรม
ตำรายากับตัวยา เป็นคนละอย่าง เป็นคนละอัน ....
ธรรมะกับตำราธรรม ก็เป็นคนละอัน เป็นคนละอย่างกัน....
การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปปฏิบัติตำรา
การรู้ธรรม ไปรู้ตำรา ก็เรียกว่ารู้ตำรา ไม่ใช่เป็นการรู้ธรรม ...
การเห็นตำรา ก็เป็นการเห็นตำรา
จะเรียกว่าเป็นการรู้ธรรม ไม่ถูก
☔️การปฏิบัติธรรม ก็คือการปฏิบัติเรานี้เอง ...
เดินก็ให้มีสติในการเดิน นั่งก็ให้มีสติในการนั่ง
ยืนก็ให้มีสติในการยืน แม้แต่นอน
ก็ให้มีสติในการนอน เว้นไว้แต่เวลาหลับ
ขณะใด เรามีสติประจำใจ ประจำจิต
ขณะนั้น เรียกว่าเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่
ถึงเราจะอยู่กับบ้านกับช่อง
อยู่กับวัดกับวา อยู่ในป่า รุกขมูล ร่มไม้
ในเมื่อเรามีสติ ในการยืน ในการเดิน
ในการนั่ง ในการนอน ไม่ขาดสติ ในอิริยาบถนั้นๆ
นั่นรียกว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมติดต่อกัน”
หลวงปู่แบน ธนากโร
พุทธศาสนาที่แท้ ไม่ใช่มหายาน ไม่ใช่เถรวาท
เป็นข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ทนต่อการพิสูจน์
สนใจแต่เรื่อง “ ไม่มีตัวตน ”
.
“ พระพุทธศาสนาที่แท้นั้น ไม่ใช่มหายาน และ ไม่ใช่เถรวาท, ไม่ใช่พุทธศาสนาอย่างของเราหรืออย่างของใคร ที่เรามาเรียกว่า พระพุทธศาสนาอย่างของเราก็บ้าเต็มที่, เถรวาทนี้ก็ไม่ใช่ของเราหรือของใคร. พุทธศาสนาที่แท้ไม่ใช่เถรวาทและไม่ใช่มหายาน: แต่เป็นข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่ทนต่อการพิสูจน์ในตัวการปฏิบัตินั้น, แล้วสรุปกล่าวลงไปในข้อที่ว่า “ไม่มีตัวตน - ไม่มีของตน” พูดถึงแต่การปฏิบัติที่ทําให้หมดความสําคัญมั่นหมายว่า ตัวตน ว่าของตน; นี้คือพุทธศาสนาที่แท้. ส่วนวิธีอธิบายที่เป็นไปอย่างมหายาน อธิบายไปในทํานองต้องพิจารณาด้วยสติปัญญา เขาก็มีวิธีอธิบายไปอย่างหนึ่ง ในเรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่อธิบายต่างกันออกไปก็มี. แท้จริงเป็นเรื่อง “สุญญตา” เรื่องความไม่มีตัวตน ไม่มีของตน….
.
ถึงว่าเราจะถูกจัดเป็นพวกเถรวาท ก็ให้เป็นแต่เพียงโดยทะเบียนเถิด, โดยการสมมุติเท่านั้นเถิด, โดยจิตใจแล้วอย่าไปเป็นเถรวาท หรืออย่าไปเป็นอะไรเข้าเลย; เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องไว้ก่อนก็แล้วกัน; ไม่ใช่เถรวาท ไม่ใช่มหายาน พยายามแต่จะเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง, เป็นพุทธบริษัทที่พยายามจะละ ตัวกู ของกู แล้วก็จะไม่ยกหู ซูหาง, พยายามที่จะริดรอนหู หาง ให้มันสั้นเข้า จนยกไม่ได้, พุทธบริษัทที่แท้ต้องไม่ใช่เถรวาท ไม่ใช่มหายาน, หรือถ้าเป็นก็เป็นทั้งเถรวาท เป็นทั้งมหายานไปเลย เพราะว่าทุกฝ่ายนี้ก็มีส่วนที่จะสอนเรื่อง “ไม่มีตัวตน” อยู่ด้วยกันทั้งนั้น, วิธีสอน วิธีพูดเท่านั้นที่ต่างกัน”
.
พุทธทาสภิกขุ
หลงติดในวังวนของความคิดว่า "เป็นปัญญา" นั้นแล...
< สิ่งที่สำคัญต่อการปฏิบัติ .... ควรระลึกรู้ว่า ... >
ทุกวินาทีของชีวิตคือ ... การปฏิบัติธรรม ....
ทำอย่างไร มาดูกันครับ
...การบวชอยู่ที่บ้าน...
.
อยู่บ้านก็บวชได้ เพียงทำสมาธิหรือเจริญภาวนา โดยยึดหลักอินทรีย์ 5 ได้แก่
.
1. ศรัทธา คือ เชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนที่ถือเอาตนเป็นที่พึ่ง และเชื่อมั่นในตนเองว่าสามารถทำได้
.
2. วิริยะ คือ ความกล้าหาญ พากเพียร บากบั่น และพอใจในสิ่งที่ทำ ในธรรมะที่ยึดถือปฏิบัติ
.
3. สติ เป็นธรรมะสำคัญที่ต้องใช้ในทุกกรณี ให้ทุกเรื่องอยู่ในความควบคุมของสติ
.
4. สมาธิ คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์หรือจิตที่มุ่งนิพพานเพียงสิ่งเดียว
.
5. ปัญญา คือ ความรู้ รู้ในสิ่งที่ควรรู้ รู้ความจริงที่ควรรู้ ซึ่งความจริงที่ดับทุกข์ได้นั้นเป็นความจริงที่ควรรู้
.
(จากหนังสือ "บวชทำไม" โดยท่านพุทธทาสภิกขุ)
"คุณสมบัติของผู้ที่จะ บรรลุธรรม"
ถ้ามีปัญญาที่สามารถตัดกิเลสได้ก็บรรลุได้ ถ้าขจัดความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้ก็บรรลุธรรมได้ แต่ส่วนใหญ่มันจะตัดไม่ได้ถ้าไม่มีสมาธิ เพราะถ้าไม่มีสมาธิ ใจจะไม่มีกำลังที่จะไปตัดกิเลส ถึงแม้จะมีมีดแต่ไม่มีกำลังไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงก็ตัดไม่ได้ แต่ถ้ามีเรี่ยวมีแรงแล้วมีมีดก็จะสามารถฟันกิเลสฆ่ากิเลสให้ตายได้ ตอนนี้เรามีปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรม แต่ใจของเรานี้อ่อนปวกเปียกเหมือนเด็กทารก ไม่มีกำลังที่จะเอาปัญญาเอามีดของพระพุทธเจ้านี้ไปฆ่ากิเลสได้ เราจึงต้องมาฝึกสมาธิกัน เพื่อทำให้จิตนี้แข็งแรงเหมือนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นเด็กทารก คนที่ไม่มีสมาธินี้ก็เป็นเหมือนเด็กทารก ใจจะอ่อนปวกเปียก จะโลเล จะไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ แต่ถ้ามีสมาธิแล้วจะเป็นคนหนักแน่น มีหลักมีเกณฑ์ มีพลังที่จะทำอะไรต่างๆได้
ดังนั้น การฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างเดียวถ้าไม่มีสมาธินี้ยากที่จะบรรลุได้ ผู้ที่บรรลุจากการฟังเทศน์ฟังธรรมนั้นส่วนใหญ่เขามีสมาธิกันแล้ว เช่นในครั้งพุทธกาล ครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้กับบรรดานักบวชทั้งหลาย พวกนี้เขามีฌานมีสมาธิกันแล้ว แต่เขาไม่มีปัญญา พอเขาได้ปัญญาจากพระพุทธเจ้า เขาก็เอาปัญญานั้นมาฆ่ากิเลสได้ทันทีเลย บรรลุธรรมได้ในขณะที่ฟังเพราะเขามีสมาธิแล้ว เขามีกำลังที่จะเอามีดที่พระพุทธเจ้าหยิบยื่นให้ไปฆ่ากิเลสของเขา แต่พวกเรานี้ตรงกันข้าม พวกเรามีมีด เราฟังเทศน์ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เรารู้ว่ากิเลสคืออะไร แต่เราไม่มีกำลังที่จะไปฆ่ามัน
ดังนั้น เราต้องมาฝึกสมาธิกันก่อน คือถ้าเราฟังเทศน์แล้วไม่บรรลุ เรายังตัดกิเลสไม่ได้ ก็แสดงว่าเราไม่มีกำลังไม่มีสมาธิ เราก็ต้องมาฝึกสมาธิกัน ถ้าเรามีสมาธิแล้วเราอยากเอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเอามาใช้ เราก็จะสามารถเอามาฆ่ากิเลสตัณหาต่างๆให้หมดไปจากใจได้ เราก็จะสามารถบรรลุธรรมขั้นต่างๆ ได้.
"หนังสือสติธรรม"
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
สมถะเริ่มเมื่อ"หมดความตั้งใจ" วิปัสสนาเริ่มเมื่อ"หมดความคิด"
หลวงพ่อปราโมทย์ : ตรงที่เราบอกว่าเราฟังธรรมเข้าใจเนี่ย ความจริงไม่ได้เข้าใจด้วยการฟัง แต่เข้าใจด้วยการคิดเอาเอง การคิดเอาเองของเราเนี่ย คิดถูกก็ได้ คิดผิดก็ได้ งั้นธรรมที่ฟัง ๆ เอานะยังใช้ไม่ได้ ฟังเอาพอเป็นแนว เพื่อจะมารู้กาย รู้ใจ ศัตรูของการรู้กาย รู้ใจ เบอร์หนึ่งเลยคือการที่เราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด ลืมกาย ลืมใจที่เป็นปัจจุบัน รู้สึกไหม ขณะที่เราคิดไปเนี่ย เรานั่งอยู่เราก็ลืมไป จิตใจเราเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกุศล อกุศล เราก็ไม่รู้ นึกออกไหม เนี่ยอย่างขณะนี้ลืมกาย ลืมใจแล้ว ตรงที่ไหลแว๊บไป
เพราะฉะนั้นตราบใดที่คุณยังคิดไม่เลิกนะ คุณไม่ได้ทำวิปัสสนาแน่นอน แล้วมันเป็นศัตรูด้วย หลวงพ่อเลยไม่ส่งเสริมให้มานั่งคิดนั่งถามนะ ที่สงสัยได้เพราะคิดมาก คิดมากก็สงสัยมาก สงสัยแล้วอยากถาม ถามไปแล้วก็จำเอาไว้แล้วหรือเอาไปคิดต่อ นะ มันจะเวียนไปอย่างนี้เรื่อย ๆ วิปัสสนาจริง ๆ ไม่ใช่การคิด วิปัสสนาจริงๆ ในอภิธรรมสอนนะเริ่มจากตัวอุทยัพพยญาณ อุทยัพพยญาณเนี่ยมันเห็นความเกิดดับของรูปนามนะ แล้วระบุไว้ด้วยว่า ต้องพ้นจากความคิดด้วย ถ้ายังเห็นไตรลักษณ์ด้วยการคิดเอา เช่นคิดเอาว่าจิตตะกี้กับจิตเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน เนี่ยแสดงว่าเป็นไตรลักษณ์ นี่ได้แค่สัมมสนญาณ ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา เพราะฉะนั้นยังตราบใดที่ยังคิดอยู่ไม่ใช่วิปัสสนา
หลวงพ่อพุธเคยสอนนะบอกว่า “สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด” ความคิดเนี่ยคือศัตรูเบอร์หนึ่งเลย มันทำให้เราลืมกายลืมใจตัวเอง ส่วนศัตรูเบอร์สองคือการที่บังคับกาย บังคับใจ นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยคือนักบังคับกาย บังคับใจ เพ่งเอา ๆ นะ กำหนดเอา ๆ กายก็ทื่อ ๆ ใจก็ทื่อ ๆ ถ้าเราบังคับกาย บังคับใจ จนมันทื่อ ๆ ไปแล้วไตรลักษณ์มันจะไปอยู่ที่ไหน มันไม่แสดงตัวขึ้นมา
ศัตรูของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาอันแรก หลงไป เผลอไป ขาดสติ ลืมเนื้อ ลืมตัว ตามใจกิเลสไปนี้เรียกว่า อกุศลาภิสังขารมั่ง อปุญญาภิสังขารมั่ง เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยคบ้าง มีหลายชื่อ
ศัตรูหมายเลขสองคือการเพ่งกาย เพ่งใจ บังคับกาย บังคับใจ กำหนดกาย กำหนดใจ ควบคุมไว้ ทำกายทำใจให้ลำบากอันนี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร ความปรุงแต่งฝ่ายที่เป็นบุญ เรียกว่า กุศลาภิสังขาร ความปรุงแต่งที่เป็นกุศลเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค การบังคับตัวเอง
เนี่ยสองทางนี้แหละเป็นทางสุดโต่งสองด้านที่พระพุทธเจ้าห้าม ถ้าเรายังไปทำส่วนใหญ่ไปทำอย่างนั้นเองคือไปเพ่งเอา กำหนดเอา ใจแข็ง ทื่อ ๆ จ้องเอาไว้ ๆ นั่นไม่ใช่การเจริญสติ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
#คำสอนสำคัญ...ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร"
1. ในโลกจักรวาลนี้.. ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร "ทุกสิ่งทั้งปวงเกิดดับตามเหตุปัจจัย" ผ่านมาและผ่านไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นด้วยสิ่งใด ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
จงตั้งจิตอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา น้อมจิตภาวนาให้รู้แจ้งในรูปนามและสังขารอันไม่เที่ยงทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน เราเขาอะไร รู้แจ้งด้วยปัญญาตามความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร
2. อย่าคิดว่าเราเป็นคนสำคัญ.. ให้ทำตนแบบปกติธรรมดาๆนี่แหละดีที่สุด เมื่อเราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญแล้ว เมื่อผู้อื่นไม่ให้ราคาเรา ไม่นับถือให้ความสำคัญเราแล้ว จิตใจเราจะเป็นทุกข์ร้อนรนสับสนวุ่นวายไปตามกระแสโลกธรรม
ขอให้ตั้งใจให้ดีมีสติทุกเมื่อทุกขณะจิต เพียงแต่รู้ เฝ้าดูเฝ้าเห็นกายกับใจเคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย เป็นเพียงรูปธรรมนามธรรมเท่านั้น เป็นเพียงก้อนทุกข์ก้อนธาตุเท่านั้น
"เราไม่ควรไปให้ราคาตัวเองและวัตถุ" เราอยู่ในโลกอย่าหลงมายาของโลก ไม่ติดไม่ข้องแวะเกี่ยวกับสิ่งในใจ มีแต่ใจรู้แจ้ง ปล่อยวางสู่ความว่างสภาพเดิมของธรรมชาติแท้
3. ในตัวคนเรามีแต่ขี้ทั้งนั้น.. นับตั้งแต่หัวถึงเท้าเป็นขี้หมด มีขี้รังแค ขี้ตา ขี้หู ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้เล็บ ขี้ไคล ขี้ในท้องแล้วยังไม่พอ ยังมีขี้ในใจอีก ขี้เกียจ ขี้กลัว ขี้ลัก ขี้หึง ขี้เอา มีแต่ขี้ทั้งนั้นนับไม่ถ้วน
ให้พิจารณาให้เกิดความเบื่อหน่าย หายความรักความชังเสียเถิด แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง
4. เกิดเป็นคน "ให้มีดี 3 อย่าง"
1.ใจดี 2.พูดจาดี 3.ทำแต่สิ่งดีๆ แล้วเราจะได้ของดี อย่ามัวเมามาขอแต่ของดีจากพระ จงทำดีเอาคนเดียว
ท้ายที่สุดนี้... เราขอเมตตาให้ทุกท่านจงเป็นผู้มีสติมีปัญญาพาตนให้พ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสาร ให้ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตะสุขยิ่ง
ตราบใดยังไม่ถึงพระนิพพาน ได้เวียนว่ายตายเกิดทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ดีเป็นบัณฑิต ขอให้ได้สร้างบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม ให้ทำประโยชน์ตน ประโยชน์แก่ญาติแก่สังคม ประโยชน์แก่ชาวโลก ให้สำเร็จสมความปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ
ข้อธรรมทั้งหมดนี้.. ข้าพเจ้า "ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร" ได้เขียนบันทึกเมตตาไว้ ในปีพุทธศักราช 2550 ขณะเข้าจำพรรษา ณ ถ้ำมหาโพธิสัตว์ราชคฤห์ จ.ลำปาง
นักปฏิบัติต้องปฏิบัติอะไร? หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
คือปฏิบัติจิตนั้นเอง
คือทำจิตให้สงบ
ทำจิตให้สว่าง
ทำจิตให้บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ก็คือความสงบนั่นเอง
เบื้องต้นที่จะทำจิตให้สงบ
ก็ไม่มีอะไรมากมาย คือภาวนา การภาวนาก็ไม่เอาอะไรมากมายนัก
เอาพุทโธอย่างเดียวก็พอแล้ว ก่อนที่จะภาวนา
เราต้องตัดอารมณ์ข้างนอก
ออกให้หมดเสียก่อน
คือไม่ส่งอารมณ์ออกไปนอก อารมณ์ที่ส่งไปนอกไปหาปรุง หาแต่ง
ไปหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
จิตของเราไม่สงบ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะภาวนา
เราต้องตัดอารมณ์ออกให้หมด
ไม่ต้องส่งจิตไปนอก
หันมาดูจิตของเรา อยู่ในจิตของเรา
ตั้งสติอยู่ในจิต แล้วก็บริกรรม
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมเอง
ไม่เอาอะไรมากมาย
พุทโธอย่างเดียวก็พอแล้ว
แต่ว่าให้จิตเป็นผู้บริกรรมเอง
ให้จิตเป็นผู้ว่าเอง ไม่ต้องว่ากับปาก
วิธีนั่งบริกรรม
นั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งพับเพียบก็ได้
เอาตีนขวาทับตีนซ้าย
ตั้งกายให้ตรง แล้วก็หลับตา
แล้วก็ดูจิต คือผู้รู้นั้นเอง จิตผู้รู้มีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
ไม่ต้องไปหาที่อื่น ตั้งจิตอยู่ในจิต
ตั้งสติอยู่ในจิต ให้จิตเป็นผู้บริกรรมเอง
ไม่เอาอะไรมากมาย เอาพุทโธอย่างเดียว
แล้วบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธไป
จนจิตของเรามันสงบ ในการบริกรรมพุทโธ
ผู้บริกรรมพุทโธอยู่ตรงไหน
ตั้งสติอยู่ตรงนั้น ให้จิตเป็นผู้ว่าเอง
ไม่ต้องว่ากับปาก ตาของเราหลับ
แล้วให้จิตเป็นผู้ว่าเอง
ตั้งสติอยู่ตรงนั้นบริกรรมเรื่อยไป
เวลามันสงบเราจะรู้เอง
คือจิตมันรวม มันรวมวูบลง
แล้วก็จิตมีอารมณ์อันเดียว
นั่นมันสงบแล้ว แล้วถ้าจิตสงบแล้ว
เราไม่ต้องบริกรรมต่อไป
จิตกำหนดอยู่เฉยๆ
หมายถึงว่า จิตหลุดจากคำบริกรรมไป
นั่นจิตมันรวม จิตมันสงบ
แล้วเราก็ไม่ต้องหันมาบริกรรมอีก ความสงบอยู่ไหนก็ตั้งสติอยู่นั้น
แล้วกำหนดดูอาการของสมาธินั้นเป็นอย่างไร
แล้วก็ต้องจำให้ชัดเจน จิตของเราสงบแล้ว
นี่ให้รู้จักว่าจิตของเราสงบแล้ว
กุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวง
ก็ไปรวมอยู่ที่จิตที่สงบนั้นเอง ที่สูงสุดอยู่ตรงนี้ หาที่อื่นไม่พบ
จิตที่สงบนั้นคือตัวบุญ
เราต้องจำให้ชัด เวลาเรารู้ เรารู้เอง
มันผุดขึ้นมาในจิตของเรา
ให้รู้เฉพาะตน นั่นละตัวบุญที่แท้จริง
แล้วไปหาที่อื่นไม่พบหรอกบุญ
ต้องหาจากจิตจากใจของเรา
ถ้าจิตของเราสงบ บุญเกิดขึ้นแล้ว
ไม่ต้องไปหาที่อื่น หาที่อื่นก็ไม่พบ บุญกับบาปก็ประจำอยู่แล้วทุกๆคนนั่นแหละ
แต่บุญคือความสุข บาปคือความทุกข์
ทำจิตของเราให้สงบแล้ว
หมายความว่าเราทำบุญเกิดแล้ว
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
"ที่เรียกว่า..หลงรู้"
มี"สติ" รู้เท่าทันความคิด คือ รู้แท้ นั้น จึงเรียกว่า
"รู้ในสังขาร" โดยแท้จริง...
พระสิ้นคิด
#จิต ที่ไม่รู้จัก #จิต ?
ว่าที่แท้ของสภาวะ #จิต ที่แท้ของตนจริงๆแล้วมันก็คือ ธรรมชาติ ที่แปลสภาวะออกมาเป็นรูปของ #ธาตุต่างๆ..
จิตแปลสภาวะมาเป็นเพียง #ธาตุหนึ่ง เท่านั้น !
เมื่อ #จิต ไม่รู้จัก สภาวะ #จิต ของตนเอง ?
จิตมันจึงไม่ยอมรับจิต..ว่าตัวจิตเองนั้นเป็นเพียง ธรรมชาติ ที่แปลสภาพมาเป็นเพียง #ธาตุ..#ธาตุๆ ต่างๆเท่านั้น !
เหตุนี้เอง #จิต จึง #หลง ในอาการของตัว #จิต เอง !
และด้วยเหตุนี้เอง..#จิตจึงหลงในสภาวะแท้ ของตัวจิตเองไปโดยปริยาย ?
และเหตุนี้เอง..!
สัตว์ตานังทั้งหลายจึงพากันมาหลงในอาการของ(#จิต , #ธรรมชาติ,#ธาตุ #จักรวาล กันเอง )
🌏🍃☄🌱🌗
(เหตุที่ทุกท่านมี #ภพ ก็เพราะพวกท่านมาพากัน #หลงธาตุ #ธรรมชาติ ของตัว #จิต เอง ?
เหตุเพราะพวกท่านไม่รู้จักอาการของ #ธาตุ ที่มันมาแสดงให้พวกท่านดู !
เมื่อพวกท่าน #หลงในอาการธาตุ พวกท่านจึงมี #ภพ ในทุกๆขณะๆจิตกันนั่นเอง)
เหตุนี้แล..ที่เป็นอาการของจิต..ที่ไม่รู้จัก #สภาวะแท้ๆของจิต ?
จิตไม่รู้จักจิต เพราะจิตไม่รู้ว่าจิตเป็นเพียง ธรรมชาติที่แสดงสภาวะออกมาเป็น #ธาตุต่างๆเท่านั้น..!
เช่น..#ธาตุ๑ว่าง(จิต) ๒ #ธาตุแข็งๆ(ดิน)๓ #ธาตุเหลวๆ (น้ำ)๔ #ธาตุพลิ้วไหว (ลม)๕ #ธาตุอุ่นร้อน (ไฟ)
เอ วัง
เมื่อใด “ใจของตน” เข้าถึง
“โสดาขั้นแรก” แลเห็นความสว่างของโลก ๓ มืดไปบ้าง หรือให้ปรากฏมีสีแดงไปบ้าง ถ้าเข้าถึง
“สกิทาคาขั้นที่สอง” จะปรากฏความสว่างของโลก ๓ ให้สีแดงหรี่ลงทุกที ถ้าเข้าถึง
“อนาคาขั้นที่สาม” จะปรากฏความสว่างของโลก ๓ ให้มืดมัวลงหรี่ลงทุกที แต่ยังเหลืออยู่ ถ้าเข้าถึง
“อรหัตมรรคขั้นที่สี่” จะปรากฏความสว่างของโลก ๓ มัวมืดหรี่ลงเกือบจะดับ พอ” ศีล สมาธิ ปัญญา” “เข้าสันนิบาต” ในดวงจิตได้แล้ว “อวิชชากับอริยมรรค” เบื้องบนดับพร้อมกันแล้ว มิได้ปรากฏโลกเลยว่ามีลักษณะสีสัณฐานอย่างไร อยู่ทิศไหนแดนใด
มีแต่ความใสสว่างกระจ่างแจ้งคือ “พระนิพพาน” โลกทั้งหลายละลายสิ้นด้วย “อรหัตมรรคและผล” นี้ย่อมเป็นของ “มีจริง” อยู่ แต่ไม่รู้เพราะความหลงความมืด ความสว่างอันนี้และกำจัดความมืดของโลกให้หมดไป จะปรากฏได้แต่ “พระนิพพานธรรม” ความสว่างของนิพพานบังคับ และ ปิดบังความสว่างของโลกให้หมดไป
ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
#อย่าติดวิธีการ
เป็นนักปฏิบัติสมาธิ
อย่าไปติดวิธีการ
ถ้าเราไปติดวิธีการแล้ว
เราจะเอาวิธีการนั้นมาฟัดกัน
เสร็จแล้วก็จะเกิดทะเลาะกัน
การทำสมาธิเป็นกิริยาของจิต
นั่งทำสมาธิได้ เดินทำสมาธิได้
นอนทำสมาธิได้ หรือใครจะแน่จริง วิ่งทำสมาธิก็ได้
ถ้าหากการปฏิบัติ เราไม่ยึดวิธีการเป็นใหญ่ เราเอาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในจิตเป็นเครื่องตัดสิน เราจะหมดปัญหาข้อสงสัย
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
จิตที่เป็นสุข ไม่เพ่ง ไม่เกร็ง จะนําพาให้สมาธิเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว อย่าทุกข์กับสมาธิ ยกเว้นว่าคุณจะเพียรขันติบารมี ซึ่งแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล
แอดมินลองมาแล้วโดยเพียรขันติจนเอาชนะความเจ็บปวดสังขารได้ในที่สุด จนตอนหลังสมาธิที่พัฒนาขึ้น จนกายเบาแยกรูปแยกนามความเจ็บปวดกายจึงไม่มีอีก
สุดท้าย แอดมินก็ยังเห็นว่า นั่งสมาธิสบายๆแบบไม่ต้องไปนั่งสมาธิทรมาน สมาธิจะก้าวหน้าได้ไวได้ดีกว่า ดังนั้นใครที่นั่งขัดสมาธิแล้วนั่งได้ไม่นาน ให้เปลี่ยนมานั่งท่าที่ตนเองสบายเลย แต่ขอให้นั่งแล้วใจนิ่งไม่สัดส่ายไปไหน รู้สึกตัวกับลมหายใจของตนเองให้ได้ละกัน จุดสําคัญคือ ใจที่มีสติรู้สึกตัวนิ่งสงบ ถ้าใจไม่นิ่งไม่สงบไม่รู้สึกตัว จะไม่เป็นสมาธิ มันแค่เป็นการนั่งทนหรือนั่งทรมานตนเอง ใจไหลไปอยู่กับ เวทนา อารมณ์ ความคิด ตลอด
สมาธิไม่ได้อยู่ที่ท่าทาง แต่อยู่ที่การตั้งมั่นของจิตใจ ที่รู้ตัว
การแสดงธรรม.ก็เพื่อให้รู้สิ่งต่างๆ ๔ ประการ
คือ.ให้รู้จักทุกช์.รู้จักเหตุเกิดของทุกข์.รู้จัก
ความดับทุกข์.ให้รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์.
เมื่อรู้แจ่มแจ้งทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว.มันก็หมด
เพราะทุกข์เราก็รู้.เหตุของทุกข์เราก็รู้.ความ
ดับทุกข์เราก็รู้.ข้อประพฤติปฏิบัติให้ถึงความ
ดับทุกข์นี้เราก็รู้..เมื่อรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ทั้ง ๔ ประการอย่างนี้แล้ว.ก็เรียกว่าจบปัญหา
ความสงสัยทั้งหลายก็หมดไป.
สิ่งทั้ง ๔ ประการนี้.เกิดอยู่ที่ไหน.ก็เกิดอยู่ที่
กายกับใจของเรานี้เอง.ไม่อยู่ที่อื่นไกลหรอก
แต่ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงแยกแยะธรรมะ
ออกให้กว้าง.ก็เพื่อจะอธิบายสิ่งทั้งหลายเหล่า
นี้ให้ละเอียดเป็นอย่างๆ ออกไป.เพื่อให้เรานำ
มากำหนดพิจารณา.
ท่านทรงแนะนำให้พิจารณาร่างกายออกเป็น
อย่างๆ เช่น.พิจารณาผม.ขน.เล็บ.ฟัน.หนัง
เป็นต้น.ให้แยกแยะร่างกายออกมา.เพื่อทำให้
เห็นตามความเป็นจริงของร่างกายอย่างชำนิ
ชำนาญ.ให้รู้ยิ่งตามความเป็นจริงของสังขาร
อันนี้.
เพราะถ้าไม่รู้ตามเป็นจริงนี้แล้ว.เราก็จะไม่รู้จัก
ทุกข์.ไม่รู้จักเหตุของทุกข์.ไม่รู้จักความดับทุกข์
ไม่รู้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์..ถ้าไม่รู้สิ่งทั้ง
หลายเหล่านี้.ก็ไม่รู้ข้อปฏืบัติ.แล้วการฟังเทศน์
ฟังธรรมทั้งหลาย.ก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์แต่
อย่างใด.
ธรรมนั้นอยู่ที่ไหน.พระพุทธองค์ตรัสว่า.ธรรมะ
มีอยู่ทุกที่ทุกแห่ง.มีธรรมะอยู่ทุกที่ทุกสถาน
จะเป็นรูป.มันก็เป็นธรรมะ.จะเป็นนาม.มันก็เป็น
ธรรมะ.เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรเข้าใจว่า.เราทั้งหลาย
เกิดอยู่กับธรรมะ.ใกล้ชิดธรรมะอยู่ตลอดเวลา.
ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว.ก็จะเข้าใจต่อไปว่า.เรา
ไม่ได้ห่างไกลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
เราอยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธองค์อยู่ตลอดเวลา
แต่ทำไมเราจึงยังไม่เห็นท่าน.ก็เพราะเรายังไม่
ค่อยได้สนใจปฏิบัตินี้เอง..เพราะธรรมะ.คือพระ
พุทธเจ้า.และพระพุทธเจ้า.คือธรรมะ..
ฉะนั้น.เมื่อเราถึงธรรม.เราจะนั่งอยู่ที่ไหน.เราก็
รู้ธรรมะ.เมื่อเราเข้าใจธรรมะ.พระพุทธเจ้าก็อยู่
ที่ใจเรา.พระธรรมก็อยู่ที่ใจเรา.ข้อประพฤติปฏิบัติ
ให้เกิดความเฉลียวฉลาดอยู่ที่ใจของเรา.
เรียกว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติพร้อมด้วยกาย.วาจา.จิต
เช่นนี้แล้ว.เราจะเป็นผู้มองความดีความชั่วทั้ง
หลายด้วยความถูกต้อง.คือถูกต้องตามสัจธรรม
ตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า.นี่คือ
ความจริงหรือมันเป็นความจริงของโลก..
พระธรรม คำสอน
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
การทําสมาธิให้เกิดได้โดยง่าย
การนั่งสมาธินั้นดี แต่จะง่ายกว่าถ้าเราเข้าใจกลไก ของจิตใจที่จะเกิดสมาธิได้ง่าย โดยการเหนี่ยวนําเอาอารมณ์สมาธิขึ้นมาในผู้ที่ทําสมาธิมามาก หรือ การใช้อารมณ์ที่เบาสบายมาช่วยในผู้เริ่มปฏิบัติ การช่วยนั้นจะทําในช่วงเริ่มต้นเพื่อให้ใจสงบเบาสบายเท่านั้น การทําต่อในรูปแบบยังมีความสําคัญสําหรับผู้ที่ต้องการความก้าวหน้าในสมาธิ
ปกติเราทําอะไรตามกิเลสของเรา เรานั่งสมาธิก็เป็นกิเลสความอยากของเราเป็นการปรุงแต่งจิตใจ เพื่อจะให้เกิดความสงบ ที่พยายามนั่งทนกันก็เพราะความอยากกิเลสที่จะให้เกิดสมาธิ ถ้าไม่อยากได้สมาธิก็คงไม่นั่งสมาธิ เป็นการเข้าไปปรุงแต่งกดบังคับใจทั้งสิ้นจนกลายเป็นมิจฉาสมาธิ แล้วสมาธิแท้ๆที่เป็นสัมมาสมาธิจะเกิดตอนไหน?
สัมมาสมาธิจะเกิดเมื่อ ใจเราเบาสบาย สงบแบบเบาสบาย ไม่กดข่มใจและมีสติ ( ซึ่งจะเกิดเมื่อนั่งสมาธิไปนานพอสมควร "จนจิตใจหมดการพยายามกระทําสมาธิ"อีก เหลือแต่สมาธิเฉยๆ ซึ่งในผู้ปฏิบัติเริ่มต้น แทบจะไม่ได้สัมผัสสัมมาสมาธิเลย หากไม่มีความเพียรมากพอ ที่จะนั่งกันเป็นชั่วโมง "จนจิตใจวางการกระทําลงได้" แต่เมื่อทําจนชํานาญและรู้อารมณ์สมาธิแล้วจะทําได้ง่ายและเร็วขึ้น )
การทําสมาธิให้ง่ายในผู้ที่ปฏิบัติมามากแล้ว ทําอย่างไร " ทําโดยการเหนี่ยวนําเอาอารมณ์สมาธิขึ้นมาให้ปรากฏกับใจ" ภายหลังจึงเกิดสมาธิได้ง่ายและเร็วขึ้น เช่น ผู้ที่คุ้นในอารมณ์ฌาน แค่กําหนดอารมณ์ฌานขึ้นมาแล้วลากลมหายใจยาวๆก็สามารถเข้าฌานได้โดยง่ายๆในไม่กี่นาที "อันนี้เป็นการเอาอารมณ์ที่จิตคุ้นมาช่วยให้เกิดสมาธินั้นเอง" แต่ในผู้เริ่มปฏิบัติยังไม่รู้จักอารมณ์สมาธิหรืออารมณ์ฌาน การใช้อารมณ์ที่สงบเบาสบายมาช่วยให้เกิดสมาธิได้โดยง่าย จึงสามารถทําได้ เช่น อย่างเรานั่งสบายๆมองทะเล หรือ มองท้องฟ้า หรือ ฟังเพลงเบาๆที่ทําให้เกิดสมาธิได้ ไม่ใช่ไปฟังเพลงที่มีจังหวะทําให้ใจไม่สงบ บทเพลงที่ทําให้เกิดสมาธิมีค้นในกูลเกิ้ลมีให้ฟังได้มากมาย จิตที่สงบเบาสบายเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ไปปรุงแต่งใจ ความสงบแบบมีสติตรงนี้คือสัมมาสมาธิ
ความจริงแล้ว สิ่งหล่าวนี้ล้วนเป็นเพียงเปลือก ที่เราใช้เพื่อจะเข้าไปถึง แก่นก็คือตัวใจเราเท่านั้นเอง การปฏิบัติโดยการ หมั่น รู้สึกตัว เจริญสติในรูปแบบอื่น เช่น การดูกาย การดูจิตใจ ก็สามารถเข้าถึงตัวใจได้เช่นกัน แม้ไม่ได้นั่งสมาธิเลย
Trader Hunter พบธรรม
นิมิต - สิ่งที่เกิดปรากฏเฉพาะขึ้นในนักปฏิบัติ อันเกิดแต่ใจของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ เช่น ภาพที่ปรากฏขึ้นแต่ใจของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐาน ฯ., พอแยกให้เห็นโดยสังเขปได้ดังนี้
ภาพหรือรูป,แสง,สี ที่เห็นขึ้นอันเกิดแต่ใจของนักปฏิบัตเองเป็นสำคัญหรือเป็นเหตุ ผู้เขียนเรียกว่ารูปนิมิต, ส่วนเสียงที่ได้ยินอันเกิดแต่ใจของนักปฏิบัติเป็นสำคัญหรือเป็นเหตุ ผู้เขียนเรียกว่าเสียงนิมิตหรือนิมิตทางเสียง เช่นได้ยินเสียงระฆัง เสียงสวดมนต์ที่ผุดขึ้นมาแต่ภายในเอง, และความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจของนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญ ก็เรียกว่านามนิมิต ทั้งปวงล้วนเกิดแต่ใจหรือสัญญา(จึงครอบคลุมถึงเหล่าอาสวะกิเลสด้วย)ของผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ จึงมิได้เกิดแต่ปัญญาหรือการพิจารณาอย่างแจ่มแจ้งแต่อย่างเดียว นิมิตที่พึงเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาทั้งหลายนั้น จึงอย่าได้ไปยึดมั่นหรือหลงไหล เพราะพาให้การปฏิบัติผิดแนวทางในผู้ที่ไปยึดติดยึดมั่นเข้า ; อ่านรายละเอียดได้ในบท นิมิตและภวังค์
บางทีก็ใช้ในความหมายว่า มอง, จ้อง, เห็น
- เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนด ในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่ใช้เป็นอารมณ์ ในการปฏิบัติกรรมฐานมี ๓ คือ
๑. บริกรรมนิมิต นิมิตแห่งบริกรรม หรือนิมิตตระเตรียม ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือกำหนดนึกเป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ดวงกสิณที่เพ่งดู หรือพุทธคุณที่นึกว่าอยู่ในใจว่า พุทโธ ก็จัดเป็นนิมิต เป็นต้น
๒. อุคคหนิมิต นิมิตที่ใจเรียน หรือนิมิตติดตาติดใจ ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือนึกนั้นเอง จนแม่นในใจ หรือจนหลับตามองเห็นสิ่งนั้น
๓. ปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิตเทียบเคียง ได้แก่อุคคหนิมิตนั้น เจนใจจนกลายเป็นภาพที่เกิดจากสัญญา เป็นของบริสุทธิ์ จะนึกขยาย หรือย่อส่วนก็ได้ตามปรารถนา
< การปล่อยวาง >
โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท
โยม ไม้อันที่อาตมาถืออยู่นี่นะ มันสั้น หรือว่า มันยาว?
โยม ไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้ ... มันไม่สั้น และก็ไม่ยาว
โยม ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ "ทุกข์"
ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น
สมมุติว่าวันนี้ โยมหาเงินได้ ๑๐๐ บาท ธรรมชาติของมันแค่ ๑๐๐ บาท
จะอยากให้ได้มากกว่านั้น...ก็ไม่ได้
จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้น...ก็ไม่ได้
หาได้ ๕๐ บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น
หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมันก็เท่ากับหาไม่ได้เลย
ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็ไม่เกิด
ธรรมะอย่างนี้ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้
ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไหร่ ที่ไหน...ทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่น
โยม อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าถ้าเราจะปลูกต้นไม้
อันดับแรก เราต้องเตรียมดินให้ดี ขุดหลุมกว้างเมตร ลึกเมตร
คลุกดินด้วยปุ๋ยคอกอย่างดี แล้วจึงปลูกต้นไม้ลงไป
เมื่อปลูกแล้ว เราต้องคอยดูแล โดยหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ดายหญ้า และล้อมรั้วกันอันตรายให้
》หน้าที่ของเรามีเพียงแค่นี้ ทำให้ครบ ทำให้ดีที่สุด
ส่วนผลที่ต้นไม้จะให้นั้น บางชนิด ๑ ปีให้ผล
บางชนิด ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี
นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของต้นไม้เขาเอง
》โยม อย่าลืมนะ หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา
ถ้าเราดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา
ธรรมะอย่างนี้...ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้
ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติเมื่อไรก็ได้
เราต้องหมั่นฝึก เจริญสติรู้ตัว ที่กายที่ใจบ่อยๆ
เพื่อให้เกิดศีล สมาธิ และปัญญา ชีวาจะได้ไม่มืดมน ด้วยมีดวงจิตที่ ใส สะอาด สงบ สว่าง
© สะอาด ด้วย ศีล (ละการกระทำผิดทางกาย และวาจา)
© สงบ ด้วย สมาธิ (ละการกระทำผิดทางใจ)
© สว่าง ด้วย ปัญญา (ละความเห็นผิดและความยึดมั่นทางใจ)
#_ถ้ามีศีลไม่บกพร่อง_ใจก็สงบได้ง่าย
.
“ถ้าบุคคลใด มี “ศีล” โดยปกติในสันดาน
ไม่มีบกพร่อง เป็นศีลชนิดที่..พระอริยเจ้าชื่นชมพอใจแล้ว ก็ชื่อว่าบุคคลนั้นได้ “ความสงบ” อันแท้จริง ในขั้นต้น
เขามีโอกาสก้าวขึ้นสู่ขั้นต่อไปคือ “สมาธิ” ได้โดยง่าย
เพราะเมื่อกาย วาจา สงบดี ไม่มีโทษรบกวนแล้ว ใจ..ก็สงบได้ง่าย”
.
จากหนังสือ : “เสียงแห่งความสงบ”
-----------------------------------------------
.
“ ศีล ” เปรียบเหมือนปฐพี
.
ศีล เหมือนปฐพี เป็นที่ดำรงแห่งเหล่าพฤกษชาติ
“ เหล่าพฤกษชาติย่อมงอกงาม ผลิดอก ออกผล แก่มวลมนุษย์ โดยดำรงอยู่ในปฐพีนี้ ฉันใด ศีลก็เหมือนปฐพีอันเป็นที่ดำรงแห่งเหล่าพฤกษชาติ อันเหมือนกับการเจริญ “อริยมรรคมีองค์ ๘” ฉันนั้น ”
.
( ที่มา : สํ. มหา. ๑๙/๑๕๐/๔๔ )
-----------------------------------------
.
ในคัมภีร์ “เนตติปกรณ์” ได้กล่าวถึงศีลว่ามีอยู่ ๕ ประเภท คือ...
.
(๑). “ปกติศีล” ศีลโดยปกติ คือศีลที่บุคคลรักษาโดยมิได้สมาทาน ด้วยเห็นว่าศีล ๕ เป็นปกติของชาวโลก ไม่ว่าจะสมาทานหรือไม่ก็ตาม ถ้างดเว้นจากการผิดศีลย่อมได้รับผลดี ถ้าล่วงละเมิดก็ได้รับผลไม่ดี ศีลประเภทนี้เนื่องด้วยพระอริยบุคคลเป็นพิเศษ ท่านย่อมไม่ละเมิดศีลทั้งในภพนี้และภพต่อไป จนถึงเวลาที่ดับขันธ์ปรินิพพาน
.
(๒). “สมาทานศีล” ศีลโดยการสมาทาน โดยรับเอาจากพระภิกษุ หรือสมาทานหน้าพระพุทธรูป หรือตั้งใจว่าจะงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯ เป็นต้นด้วยตนเอง
.
(๓). “จิตตปสาทะ” ความผ่องใสแห่งจิต คือศีลที่เกิดขึ้นในขณะฟังธรรม เป็นต้น ซึ่งจิตผ่องใสปราศจากนิวรณ์
.
(๔). “สมถะ” ศีลที่เกิดขึ้นในขณะเจริญสมถภาวนา
.
(๕). “วิปัสสนา” ศีลที่เกิดขึ้นในขณะเจริญวิปัสสนาภาวนา
ทุกการกระทำล้วนมีผลเป็นวิบากกรรม
ไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกรรมดีหรือชั่ว
ย่อมต้องส่งผลตรงตามเหตุที่ได้ทำไว้เสมอ..
ขณะที่กรรมดีให้ผล ชีวิตเราจะรู้สึกเป็นสุขมากขึ้น
จะมีความเจริญรุ่งเรือง สะดวก สบาย ในชีวิตความเป็นอยู่
ถ้าเราเข้าใจและมองเห็นเป็นโอกาสในการสั่งสมกรรมดีต่อไป เราจะเพียรในการสร้างบุญกุศล เพื่อเป็นเหตุปัจจัยเอื้อต่อการปฏิบัติภาวนา และต่อยอดในการเกิดปัญญาในการออกจากทุกข์สืบไป
ขณะที่กรรมชั่วให้ผล ชีวิตเราจะรู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้น
จะมีความตกต่ำ ฝืดเคือง ขัดสน ยุ่งยาก ในชีวิตความเป็นอยู่
ถ้าเราเข้าใจและมองเห็นเป็นโอกาส เราควรมองความทุกข์ที่บีบคั้นนั้นให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ธรรม รู้จักสำนึกผิดต่อกรรมที่ตนเคยได้ทำไว้ เมื่อกรรมส่งผลจึงไม่คิดหนี และไม่หลงไปคิดอาฆาตพยาบาตจองเวรต่อกันอีก เมื่อจิตมีเมตตารู้จักให้อภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้ จิตเราจะเห็นความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า แต่ไม่มีเราเป็นเจ้าของความทุกข์นั้น เหตุแห่งการก่อเกิดเป็นภพชาติจึงสิ้นสุดลง
โอวาท 3 ของพระพุทธเจ้า คือ
1. พึงเว้นจากทุจริต คือ ไม่ประพฤติชั่วทั้งทางกาย วาจา ใจ (ไม่ทำความชั่ว)
2. พึงประพฤติด้วยการสุจริต คือ ประพฤติตนโดยชอบด้วยทั้งทางกาย วาจา ใจ (ทำแต่ความดี)
3. พึงทำใจของตนให้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสทั้งปวง อันได้แก่ โลภ โกรธ หลง เป็นต้น (ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส)
หลักธรรมที่เป็นหัวใจในทางพระพุทธศาสนา 3 ประการนี้ เป็นพุทธโอวาทที่สอนให้เราละเว้นความชั่ว ทำแต่ความดี และหมั่นฝึกจิตให้บริสุทธิ์ เบิกบาน มีศรัทธา และเชื่อในเรื่องกรรมของตน (การกระทำ)
.
วิมุตติธรรม
ตเป็นจิต ธรรมเป็นธรรม
กิเลสเป็นกิเลส อยู่ในนั้นนั่นแหละ
แก้ออกแล้วก็ ความบริสุทธิ์นั้น ก็จิตนั้นบริสุทธิ์
ร่างกายของคนเราก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ส่วนจิตนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน
การภาวนาจึงเป็นหลัก
ของการบำเพ็ญกุศลอันยิ่งใหญ่ทีเดียว
การภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
เวลารู้ขึ้นมาแล้วไม่ได้คาดได้คิด
เหนือความคาดความคิดของเราทุกอย่าง
***โอวาทธรรมหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน***
เมื่อเราเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
เราก็จะต้อง " ทุกข์ " ทุกครั้ง
ที่สิ่งต่างๆ และคน ไม่ยอมโคจรรอบตนเอง
ความคิดอาฆาต พยาบาท จองเวรนี่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ให้หยาบคาย นั่นแหละคือ ผลกรรมที่ปรากฏทันที ผู้ที่ทำสิ่งใดทางกาย วาจา หรือใจ ด้วยอำนาจของกิเลส ชื่อว่ากำลังเบียดเบียนตัวเองอย่างยิ่ง เพราะถอยห่างออกไปจากความสุขที่แท้จริง นั้นคือวิบาก การทำบาปแต่ละครั้งคือ ทำให้บันไดที่เราต้องปีนขึ้น สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
การปฏิบัติธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระจากกิเลสได้ การทำบุญอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ ถึงจะทำให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ในใจบ้าง แต่มันไม่มั่นคง ลึกๆ แล้วเราจะยังอยู่ในสภาพเดิม คือเคว้งคว้างอยู่เหมือนเรือเล็กๆ กลางทะเลอันกว้างใหญ่ มีเข็มทิศก็ใช้ไม่ค่อยเป็น มีสมอก็ไม่รู้จักทอด เอาแต่ประดับประดาเรือก่อนอับปาง ชาวพุทธเราควรสนใจวิธีอุดรู วิธีวิดน้ำบ้าง จะได้เอาตัวรอดได้ หากไม่สนใจศึกษาเรื่องตัวเอง เข้าวัดแล้วสักแต่ว่าไหว้พระพอเป็นพิธี ทำบุญบำรุงวัดตามประเพณี แล้วออกไปชมต้นไม้บ้างก่อนกลับ ไม่ใช่ว่าไม่ดี ดีอยู่หรอก แต่ยังดีไม่พอ
การจะฆ่ากิเลส หรือนิวรณ์นั้นต้องเข้าใจคำว่า “ ฆ่า ” นั้นว่าหมายถึง การรู้เท่าทัน ฆ่าด้วยการรู้เท่าทัน
การภาวนาคือ การลดความโง่ของตัวเอง ผู้ที่บอกว่าไม่มีเวลาภาวนา คือผู้ที่ถือว่าไม่มีเวลาลดความโง่ของตัวเอง
การที่จะรอให้สิ่งที่มายุ่งสงบลงก่อน จึงจะปฏิบัติธรรม
ก็เหมือนกับว่า เราจะรอให้ทะเลหมดคลื่นก่อน
เราจึงปฏิบัติธรรม มันไม่หมดหรอก
ความสงบ คือ ความพร้อมที่จะปฏิบัติ
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก
แต่ขึ้นอยู่กับศรัทธาภายในจิตในใจของเรา
นี่แหละ คือ การปฏิบัติธรรม
ถ้าคิดว่า คนอย่างเราๆ คงไม่มีวาสนา
จะพัฒนาตัวเองบรรลุธรรม หรือตัดกิเลสได้หรอก
นั่นไม่ใช่แค่เถียงพระนะ เถียงพระพุทธเจ้าเลย
พวกเราชอบอ้างบุญ อ้างบารมีอยู่เรื่อย เพื่อเป็นการแก้ตัว บางคนก็อ้างว่าบุญ หรือบารมีที่จะภาวนาก็ไม่มี ทำไมเรามีแต่บุญมีแต่บารมีเพื่อทำความชั่ว ทำไมเราไม่มีบุญบารมีเพื่อทำความดีบ้าง บุญบารมีทำความชั่วเห็นเรามีทุกคนตลอดเวลา ทำไมเราไม่มีบุญบารมีทำความดี นั่นต้องถามตัวเองอย่างนี้
ถึงแม้ว่าการปฏิบัติของเรานั้น ยังไม่ถึงขั้นที่ว่า “ การปฏิบัติชอบ ” อย่างน้อยที่สุด ขอให้เรา “ ชอบปฏิบัติ ” เสียก่อน
ครูบาอาจารย์ท่านสอนเรื่องการปล่อยวาง
แต่การปล่อยวางนั้นไม่ใช่การปล่อยทิ้งหน้าที่ของเรา
แต่หมายถึงการปล่อยวางความหวังในผลของการกระทำ
ไม่ใช่การปล่อยวางการสร้างเหตุในการกระทำ
(อยากทำ) ไม่ถือว่าเป็นกิเลส
อยากได้ผลของการกระทำ นั่นแหละคือกิเลส
การอยากทำความดีก็ไม่เป็นกิเลส ขอให้ทำมากๆ
แต่ถ้าเราอยากได้ผลของการทำความดี นั่นแหละจะเป็นเหตุให้เราต้องทุกข์
พระอาจารย์ ชยสาโรภิกฺขุุ
cr. สาขาวัดหนองป่าพง
ทุกๆสิ่งที่ทำ สำคัญ .... ดั่งลมหายใจ (ไม่มีความประมาท) ....
ทุกๆผัสสะอารมณ์ ... ควบคุมโดย ... สติ (สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา) ....
ทุกๆที่นั่ง ... ดั่งบัลลังก์ สมาธิ (จิตตั้งมั่น)....
ทุกๆที่ก้าวย่าง ... เสมือนทางจงกรม (มีสติสัมปชัญญะทุกย่างก้าว) ....
ทุกๆเรื่องที่คิด... ดำริอันเป็นกุศล (สัมมาสังกัปปะ)....
ทุกๆสิ่งที่จดจำ .... เป็นธรรมสอนใจ (มีโยนิโสมมนสิการ) ....
จากโอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
< ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม >
ธรรมะสวัสดี ขอแบ่งบันธรรมะที่ได้ศึกษาจากกัลยาณธรรม สำหรับผู้ต้องการบรรลุธรรมในชาตินี้ มีข้อปฏิบัติตามลำดับดังนี้ (พึงศึกษาและไตร่ตรองดูด้วยปัญญาของท่านเถิด)
๑.มีศีล เช่น ศีล ๕
๒.สำรวมอินทรีย์ ๖ อย่าง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
๓.ปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนา เช่น อานาปานสติ สติปัฏฐาน ๔
๔.มีอิทธิบาท ๔ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
๕.มีสัมมัปปธาน ๔
- เพียรระวัง อกุศลที่ยังไม่เกิด
- เพียรละ อกุศลที่เกิดแล้ว
- เพียรรักษา กุศลที่เกิดแล้ว
- เพียรเจริญ กุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
๖.ย่อมทำให้ สติปัฏฐาน ๔ เจริญ สมบูรณ์
(ข้อสังเกต ไม่ใช่ พอปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจะสมบูรณ์ได้ แบบ รวบลัดตัดทอน โดยพลันได้นะครับ ยกเว้นบุคคลพิเศษ ที่สร้างสมมามากแล้ว ดังนัน แม้ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เป็น หรือพอถูกทางแล้ว จะต้องใช่บรรลุธรรม เสมอไป เพราะยังมีรายละเอียดประเด็น ที่จะต้องเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ดังข้อต่อไป )
๗.เมื่อสติปัฏฐาน ๔ เจริญสมบูรณ์ ย่อมทำให้ โพชฌงค์ ๗ สมบูรณ์ ซึ่ง อินทรีย์ ๕ พละ ๕ เจริญสมบูรณ์ด้วยนั้นเอง
๘. เมื่อ โพชฌงค์ ๗ เจริญสมบูรณ์ ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ ๘ สมบูรณ์
๙. ย่อมละอวิชชา อย่างสมุทเฉท(เด็ดขาด) ได้ไปตามลำดับ ของพระอริยบุคคล เพราะ ปัญญา แจ้งใน อริยสัจ ๔ (ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ นิโรธ มรรค) อย่างสมบูรณ์ ไปตามลำดับนั้นเอง.
เราต้องนึกว่า พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้อยู่ที่วัด
ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูปพระธรรมคำสอน
ไม่ได้อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก พระสงฆ์ไม่ได้อยู่ที่วัด
คุณธรรมของพระพุทธเจ้า คุณธรรมของพระสงฆ์นั้น
อยู่ที่ผู้ปฏิบัติตาม ผู้ใดปฏิบัติตามคนนั้นชื่อว่า
เข้าถึงพระรัตนตรัย เข้าถึงวัด เข้าถึงพระธรรม
เข้าถึงศาสนาได้
คนถึงจะกินในวัด นอนในวัด
แต่ไม่เคยปฏิบัติศีลเลย หรือว่าเป็นคนไม่มีวิปัสสนา
คือไม่พิจารณารู้จักละทุกข์ได้เลย
เป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
เมื่อเป็นดังนั้นแล้วเราจะอยู่ในวัดเท่าไหร่
เราก็ไม่ดับทุกข์เหมือนไม่ได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าฉะนั้น
อย่างได้คิดว่าเราอยู่ไกลวัด เราเป็นชาวพุทธ
เราก็ต้องคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ผู้ปฏิบัติตาม
ทำอย่างไรเราจะเป็นคนใจดีใจเย็น
เป็นคนไม่โกรธที่เอาพระคล้องคอ แต่มีควาามโกรธมาก
มีความอิจฉาริษยาเขามาก ถึงจะมีพระคล้องคออยู่
แต่ใจเขาก็ไม่เป็นพระ แต่คนไม่มีพระคล้องคอเลย
แต่เขานึกถึงพระอยู่เรื่อย คิดจะทำความดีอยู่เรื่อย
ไม่อาฆาตพยาบาทใคร เพราะทำใจดีได้
......พระก็ปรากฏอยู่ในใจ
________________________
หลวงปู่ขาว อนาลโย