" ที่สำคัญคือ... ตัวรู้
รู้ดี มันก็รู้...รู้ชั่ว มันก็รู้
รู้สงบ มันก็รู้...รู้ไม่สงบ มันก็รู้
อันนี้คือ ตัวรู้
พระพุทธเจ้าให้...ตาม"รู้" ตาม"ดู"..."จิต" ของเรา."
___________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ถาม : #เราจะรักษาสมาธิให้ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาสติประคองไว้เลยให้เป็นอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัตินี้ก็คือรู้ลมเอง ภาวนาเอง คราวนี้เราเอาสติประคองเอาไว้อย่าให้ไหลไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็พยายามให้เห็นทุกอย่างที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าทำอย่างนั้นได้ชีวิตนี้จะทุกข์น้อยมาก เพราะว่าเห็นจริงหมดแล้วก็ไม่ไปยุ่ง ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง
ทุกวันนี้ที่เราทุกข์ก็เพราะความคิด หยุดคิดเมื่อไรก็เลิกทุกข์ จำไว้นะ... คิดแล้วทุกข์ ตำหนิตัวเองมีประโยชน์อะไร ? ให้ตั้งหน้าตั้งตาเอาเวลาที่ตำหนิตัวเองไปทำสิ่งที่ดี ๆ ก็หมดเรื่อง พุทโธ ๆ ก็ยังดี พุทโธทีหนึ่งอานิสงส์มหาศาล มัวแต่ "หนูผิดไปแล้ว" หนูผิดไปแล้วเดี๋ยวก็ผิดอีก แปลว่าปัญญายังไม่พอ ก็จะ "ผิดไปแล้ว" อยู่ได้เรื่อย ๆ แต่ผิดแล้วต้องรู้จักแก้ไข
ในเมื่อเราทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดก็หยุดทุกข์ เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เราคิดก็คือยัง อยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากก็ทำ สร้างเหตุปัจจัยไม่พอเราก็ไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็น เพราะฉะนั้น..จึงต้องสร้างเหตุปัจจัยให้พอ ก็จะมี จะได้ จะเป็น ต่อให้ไม่อยากก็มาเอง...
———————————————————-
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
การทำสมาธิทำให้จิตแก่กล้า แล้วมันทำให้ร่างกายสมบูรณ์สุขภาพดีได้เหมือนกัน ถึงแม้เราไม่ต้องการว่าจะสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ว่ามันเป็นของมันเอง
กาย เป็นของรองรับซึ่งทุกข์ทั้งหลาย อยากอยู่นาน ๆ อยากได้อายุยืนนาน ก็อยากทุกข์น่ะซี อายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี อายุนานเท่าใดมันก็ทุกข์นานเท่านั้น คนปรารถนาทุกข์เหลือเกิน เหตุนั้นเรามาทำภาวนาสมาธิดีกว่า ฝึกอบรมสมาธิให้สุขภาพจิตมันดียิ่งขึ้นไป
ส่วนร่างกายเราไม่อาลัยอาวรณ์มันหรอก นั่งลงไปมันจะเจ็บปวดร้าวด้วยประการต่าง ๆ ไม่ต้องอาลัยกังวลเกี่ยวข้องกับมน ขอให้จิตอยู่นิ่งก็แล้วกัน เมื่อจิตสงบแล้วกายมันก็อยู่นิ่งของมันเอง จิตวางกายแล้ว ไม่ปรากฏเลยว่า นั่นนอนหรือเป็นอะไรต่าง ๆ มันไม่ปรากฏ มันปรากฏเพียงจิตอันเดียว นั่นแหละจิตทิ้งกายแล้ว ทีนี้มันค่อยสบายเป็นสุข
การทำสมาธิมีอานิสงส์มากมายหลวงหลาย ทำสมาธิให้เป็นเสียก่อนแล้วจึงจะค่อยรู้เรื่อง หากไม่ทำเองใครจะพูดอย่างไร เท่าใดมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก ต้องเห็นประจักษ์ด้วยตนเองเสียก่อนจึงจะรู้จะเข้าใจ เช่นว่าเราไม่เคยนั่งเลย นั่งทีแรกมันก็ต้องเจ็บต้องปวดอะไรต่าง ๆ ครั้งฝึดหัดนั่งสมาธิจนเห็นความสุขสงบ หรือจากการยืนหรือเดินก็ตาม เมื่อจิตปล่อยวางกายหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ความสงบอย่างยิ่งแล้ว จะชอบอกชอบใจอยากทำ ทีแรกมันต้องบังคับฝืน ครั้นภาวนาเป็นสมาธิแล้ว ทีนี้ไม่ต้องบังคับหรอก มันอยากทำ มันขยันเอง
การทำสมาธิต้องฝึกหัดจิตตัวนี้แหละ ไม่ต้องทำอย่างอื่นฝึกฝนอบรมจิตอันเดียวนี้ แต่ไหนแต่ไรมาจิตไม่เคยฝึกฝนอบรมจิตนี้หากเราไม่ฝึกฝนอบรมก็ไม่มีวันเป็นสมาธิได้สักที แล้วไม่มีใครทำให้ได้ด้วย ไม่เหมือนสิ่งอื่น วัตถุอื่น เช่นทำเรือกสวนไร่นาทำการงานต่าง ๆ คนอื่นทำให้ได้ แต่ทำสมาธิคนอื่นทำให้ไม่ได้ ตนเองทำจึงค่อยได้ แล้วเห็นด้วยตนเองคนอื่นไม่เห็น
เหตุนั้นจึงว่า การทำสมาธินั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ที่ว่ายากคือจิตใจของเรานั่นอยากให้เป็นสมาธิ ทำอย่างไรจึงจะเป็นสมาธิ ก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนด้วยประการต่าง ๆ ก็เลยไม่เป็นซ้ำ นั่นแหละเรียกว่ามันยาก ที่ว่าง่ายนั้นก็คือ มันไม่ต้องการอะไร ไม่อยากอะไร ปล่อยวางเฉย ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่าง ๆ เรื่องราวต่าง ๆ มันก็อยู่ตามเรื่องของมัน เอาแต่จิตของเรา เมื่อจิตมันวางอารมณ์ต่า ๆ แล้ว มันสงบนิ่งก็เป็นสมาธิ ไม่ได้นึกได้คิดว่าจะเป็น แต่ว่ามันเป็นเอง นั่นแหละที่ว่าง่ายก็ง่าย
เหตุนั้นการทำสมาธิคือ หาอุบายที่จะจับจิตให้ได้ จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุงแต่ง สารพัดทุกอย่างนั่นแหละ มันไม่อยู่กับที่ เมื่อมันไม่อยู่นิ่งก็เดือดร้อน ดิ้นรนกระสับกระส่าย ของเหล่านั้นล้วนแต่จิตทั้งนั้น มันส่งส่ายไปในที่ทั้งปวงหมด ถ้าเราเห็นโทษ ก็ปล่อยวางอันที่มันวุ่นวายอยู่นั่นทุกสิ้งทุกอย่าง ไม่เอาแล้ว ปล่อยไปตามเรื่องของมัน เมื่อปล่อยวางหมดแล้ว มันจะมีอะไรอีก?
มันก็ยังเหลือแต่จิตเท่านั้น มันก็สงบอยู่ในที่เดียวนั่น มีแต่ความนิ่ง อันนั้นคือ ความรู้ หรือ ธาตุรู้ ก็เรียกหรือจะเรียก ผู้รู้ ก็ได้ นั่นได้ชื่อว่าถึงตัวของเราแล้ว รักษาตัวได้แล้ว ตัวของเราอยู่กับตัวแล้ว นั่นแหละจึงเห็น “ตัวแท้” คือธาตุรู้นั่นเอง เมื่อเข้าถึงตรงนั้นแล้ว ทีนี้ใครจะทำอะไร ใครจะคิด ใครจะพูดอะไร ก็ไม่กระทบกระเทือนแล้ว ใครจะดีชั่ว หรือถูกผิดก็ไม่กระทบกระเทือน ไม่ว่าอะไรหรอก เข้าถึงตรงนั้นแล้วมันไม่มองดูใครทั้งนั้น เอาเฉพาะแต่ตัวของมันเอง
หัดให้มันได้อย่างนี้บ่อย ๆ ได้ชื่อว่าทำจิตของเราให้มันแก่กล้า ทำจิตของเราให้เป็นคนแก่คนเฒ่า มันจะหมดเรื่องแล้วคราวนี้ ไม่มีกังวลเกี่ยวข้องอะไรทั้งปวง มันอยู่สงบเฉย ทำถึงสมาธิแล้วมันหมดเอง เข้าของเงินทองสมบัติพัสถานอะไรทั้งปวงหมดไม่มีในที่นั้นเลย ยังอยู่แต่ ผู้รู้ ผู้เดียว ไม่คิดไม่นึก ที่สุดของพุทธศาสนาอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปหาที่อื่นเลย ไปเห็นตรงนั้นแล้วมันหมดที่ไป
จึงว่าการไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง อันนั้นแหละเป็นที่สุดของโลก การปรุงการแต่งนั่นเป็นเรื่องของโลก การคิดการนึกก็เป็นเรื่องของโลก
ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง แต่ว่ารู้ตัวอยู่เฉย ๆ อันนั้นมันก็เหนือโลก เรียกว่า โลกุตระ ทำได้อย่างนั้นแล้วจะเอาอย่างไรนอกเหนือจากนั้นอีก
เอาละ ทำภาวนากัน
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
“จิต” นั่นเอง ! ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้มอยู่
จงพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
"จงเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิต ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ...ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มี “ตัวเรา” คือ นึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ ไม่ต้องมี “ตัวเรา” สำหรับจะเอานั่นเอานี่ ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่า “ตัวตน” เท่าที่มีอยู่จริงๆในเวลานี้ ก็ทนไม่ไหวแล้ว. เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว.
จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่ว่า เมื่อดูกันเข้าจริงๆ ก็เห็นมีแต่ “จิต” นั่นเอง ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม ทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น.
ถ้าเอาสิ่งที่ที่ครอบงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก็ไม่มีที่จิตอีกต่อไป.
ไม่ต้องมี “ตัวเรา” อะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์....การทำอย่างนี้จะเป็นการเร็วมาก เป็นการเคลื่อนไปโดยเร็ว อาจจะทันกับเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ที่พวกเราในที่นี้จะต้องตายก็ได้....
ความมุ่งหมายของพุทธศาสนา สอนให้มนุษย์มีใจสูงถึงขั้น "เหนือโลก" หรือ หลุดพ้นจากเครื่องพัวพันทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พุทธศาสนามีระดับสูงกว่าศาสนาอื่น อันมีความสูงเพียงขั้นศีลธรรม
ฉะนั้น ความปรารถนาในการ "พรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง" จึงเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา....
การตัดลัดเพ่งตรงไปยังภาวะที่ "ปราศจากความยึดถือของจิต" เช่นนี้ ย่อมจะพบความจริงได้ง่ายและเร็วกว่าที่จะมาตั้งพิธีใหญ่โต ตั้งต้นไล่กันไปตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งจาระไนได้เป็นร้อยๆ พันๆ ชนิด....
...พุทธศาสนาอย่างเก่าแท้ ซึ่งมีแต่สอนให้ชำระจิตให้หมดจดจากสิ่งห่อหุ้มเป็นข้อสำคัญ และอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพุทธศาสนา ที่ผิดแผกไปจากศาสนาอื่นๆในโลก
ฉะนั้น ถ้าเราพบวิธีที่ว่า ทำอย่างไรความยึดถือว่า"ตัวตน"(ตัวกู-ของกู)จะหมดไปได้แล้ว นั่นก็คือ...วิธีลัดสั้นที่สุด"
พุทธทาสภิกขุ
ปาฐกถาธรรม "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม"
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๑
ที่ "พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย
-------------------------------------------------
พราก "จิต" ออกมาเสีย จากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
“ไม่มีอะไรนอกไปจาก“จิต”
ในบรรดาสิ่งที่เรียกว่า“โลก”นี้
เพราะ“จิต”เท่านั้น ที่จะ"รู้สึก"ต่อสิ่งนั้น
แล้วสิ่งนั้น มันรู้สึกทาง“จิต”
ไม่มีอะไรที่จะรู้สึกได้นอกจากทาง“จิต”
เขาจึงพูดอย่างรวบรัดทั้งหมดโดยสิ้นเชิงว่า
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ นอกจากสิ่งที่“จิต”รู้
ถ้าไม่มี“จิต”เสียอย่างเดียว “โลก”นี้ก็ไม่มี.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย“สติปัฏฐาน ๔ ประยุกต์” เมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๙
------------------------------------------------------
ไม่ศึกษาที่“จิต” ไปหลงเคร่ง กลัวนรก เห่อสวรรค์ เลยไม่พบ “ธรรมะหัวใจพุทธศาสนา”
“พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ให้ศึกษาตรงที่ “จิต” หรือที่ตัวจิต หรือให้มองดูจิต ให้เฝ้าระวังจิต
สิ่งเหล่านี้ พวกปริยัติไม่เคยทำ เพราะทำไม่เป็น
ฝ่ายผู้ที่ปฏิบัติ ก็มักจะไปทำอย่างอื่น ตามๆเขาไป หลงระบอบอย่างอื่น แบบแผนอย่างอื่น ระบบอย่างอื่น (ซึ่งไม่ใช่ที่จิต) ก็เลยไม่เข้าถึงจุดอันนี้ได้สักที
โดยเหตุดังกล่าว จะเห็นว่า ทั้งที่เรียนปริยัติก็มาก เป็นนักปฏิบัติก็มาก มานานแล้วก็ไม่เข้าถึงจุดสักที
สู้ใครสักคนหนึ่งที่มาบวชไม่รู้อะไร แต่มานั่งเฝ้าระวังจิต สังเกตจิต ศึกษาจิต ว่ามันเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร ทำไมเป็นอย่างนี้อยู่แท้ๆ เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปอย่างโน้นไปได้...
มันเป็นเรื่องที่มองดูแล้วก็น่าสังเวช หรือน่าเศร้า
พวกปริยัติก็หลงปริยัติ
พวกปฏิบัติก็หลงปฏิบัติไปในเรื่องเคร่งครัดอย่างหลับหูหลับตา ไปสนใจเคร่งครัดในสิ่งที่เป็นเปลือกเป็นฝอยอย่างหลับหูหลับตา ก็มี...
เพราะฉะนั้น บางคนเกิดมาแล้วบวชเรียนจนตลอดชีวิต ก็ไม่เคยพบกับเรื่อง“จิต” ไม่เคยพบกับเรื่องหัวใจของพุทธศาสนาเลย พบแต่อย่างอื่น ซึ่งมีหลายๆอย่าง แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง เคร่งครัดไปจนตาย ก็ได้แค่นั้น ได้เท่านั้นเอง ทั้งไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ว่าความเคร่งของตัวนั้นคืออะไร? หรือความไม่เคร่งของผู้อื่นนั้นคืออะไร? และก็เลยไม่รู้ว่าธรรมะแท้จริงนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเคร่งหรือไม่เคร่ง เลยไปหลงเรื่องเคร่งกับเรื่องไม่เคร่ง ก็เลยไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง...
คนบางพวกกลัวนรก แล้วเห่อสวรรค์ บางคนก็กลัวบาป แล้วก็เห่อบุญ อย่างนี้ยิ่งทำไปยิ่งไกลต่อธรรมะ...ไปเข้าใจธรรมะเป็นบาปเป็นบุญไป ก็พบแต่ธรรมะชนิดนั้น ธรรมะที่เรียกว่าปรุงแต่ง เป็นความคิดปรุงแต่ง เป็นธรรมะปรุงแต่ง ธรรมะแท้จริงเลยไม่ได้พบ ไปอบรมสั่งสอนหรือแวดล้อมกันอยู่แต่ให้กลัวบาป จนหมดความรู้สึก แล้วก็เห่อบุญ หวังบุญ จนหมดความรู้สึกอย่างอื่น ก็ได้เท่านั้นเอง จนตายก็ได้เท่านั้น ไม่ได้เข้าถึงธรรมะแท้...
ฉะนั้น เพื่อประหยัดเวลา เราจึงมีแนวอันใหม่ ว่ามีชีวิตอยู่โดยไม่มีความรู้สึกเป็น “ตัวกู ของกู” อย่าให้เป็นที่ตั้งของบุญหรือบาป ดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ อะไรอย่างนี้ เพื่อประหยัดเวลา”
พุทธทาสภิกขุ
จิตที่รู้เห็นได้ตามความเป็นจริง
มิใช่จิตที่จะรู้ และเข้าใจได้ด้วยการคิดเอา
หรือจากการเรียนรู้ผ่านปัญญาของผู้อื่น
การจะเกิดเป็นปัญญา (หลุดพ้น) แห่งตนได้จริง
ต้องอาศัยความพร้อมของเหตุปัจจัยที่สั่งสมมา
ไม่สามารถกำหนดบังคับให้เป็น ให้มีขึ้นมาได้เอง
วิมุตติธรรม
การรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง
เป็นกระท่อนกระแท่น ไม่ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นเรื่องยืดยาว
การรู้ธรรมเห็นธรรมขอกำหนดหมายอย่างนี้
๑. คือการรู้ว่าจิตของเราคืออะไร
เห็นว่าจิตของเราคืออะไร เป็นเบื้องต้น
๒. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์ก็รู้ว่าจิตสัมผัสรู้อารมณ์
๓. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์แล้วมีอะไรเกิดขึ้น
จิตของเรายินดีไหม จิตของเรายินร้ายไหม
จิตของเราพอใจไหม หรือเกลียดในอารมณ์นั้น
ในเมื่อรู้ว่ายินดีหรือยินร้ายเกลียดหรือชอบ
ก็ดูต่อไปว่าความเกลียดและความชอบ
บังเกิดขึ้นภายในจิตเป็นอย่างไร
ทำให้จิตร้อนหรือเย็น ทำให้จิตสุขหรือทุกข์
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
จิตนี้ที่ไม่สามารถจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้
เพียงเพราะมันเกิดการหวั่นไหว
ทะยานออกไปตามอายตนะต่างๆ
โดยไม่รู้เท่าทัน ไม่มีฐานแห่งสติ
ให้เป็นที่ระลึก ไม่มีสัมปชัญญะรู้ไม่หลง
แล้วจะอย่างไรดี ก็คือเมื่อมันไหลไป
แล้วสามารถรู้ทัน โดยมีฐานแห่งสติ
จะเป็นกาย หรือความรู้สึกทางกาย
เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น
ระลึกได้บ่อยๆ จิตก็หลงสั้นลง
เป็นเหตุให้จิตตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อตั้งมั่นได้ต่อเนื่อง โดยไหลออกสั้นมาก
จะเหมือนกับเราทรงสมาธิได้ตลอดเวลาเอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ธรรมชาติของจิตก็มักที่จะไหลไปกับอารมณ์ ภาษาพระ ท่านเรียก เกิดกระแสของ ปฏิจจสมุปบาท
แต่ยุคนี้คงไม่ไหลธรรมดานะ
บางทีจมไปกับอารมณ์เลย
จมไปกับความเศร้าบ้าง
จมไปกับความคับแค้นบ้าง
จมไปกับความเกลียดชังบ้าง
จมดิ่งลึกไปเรื่อยๆ ทุกข์ทรมาน
การที่จะหลุดจากสภาพต่างๆ เหล่านี้ได้ ก็ต้องใช้การอบรม สติปัฏฐาน 4
ปลุกภาวะรู้ขึ้นมา
ขณะที่เรามีสติ มีความรู้สึกตัวขึ้นมา
กระแสของจิตที่มันไหลไปกับอารมณ์ ก็จะถูกละออกไป
แต่ใหม่ๆ สติ มีกำลังน้อย
กระแสของจิตที่ไหลไปกับอารมณ์ มีกำลังมาก
มันรู้สึกตัวแป๊บนึง มันก็ไหลไปอีกแล้ว
ก็ต้องค่อยๆ ฝึก พัฒนาสติขึ้นไปเรื่อยๆ
ใช้ฐานกาย ทำให้มาก
รู้เนื้อ รู้ตัว รู้สึกกายอยู่เสมอ
พระพุทธองค์ตรัสว่า... กายคตาสติ ที่บุคคลเจริญแล้ว
ชื่อว่า เจริญอมตธรรม
กายคตาสติ รู้กายอยู่เนืองๆ ทำให้หยั่งเข้าสู่อมตธรรม
ธรรมชาติที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้
เพียงแค่เรารู้สึกตัว ขึ้นมาเนืองๆ
ใหม่ๆ มันก็รู้สึกได้แว้บนึง
เดี๋ยวจิตมันก็ไหลไป หายไป
ใหม่ๆ หายไปนานไหม...มันก็หายไปทั้งวัน
กลับบ้านทานข้าวทานปลา มันยังไม่มาเลย ไหลไปไหนก็ไม่รู้
ก็ค่อยๆ ฝึกไป ค่อยๆ รู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกตัวได้บ่อยขึ้น บ่อยขึ้นเรื่อยๆ
ก็จะเริ่มรู้สึกว่า รู้เนื้อรู้ตัวได้ดี ต่อเนื่องในแต่ละวัน
ก็ควรที่จะมีฝึกที่เป็นปฏิบัติในรูปแบบบ้าง
แล้วก็ฝึกในชีวิตประจำวัน
อาศัยวิถีชีวิตของเราเป็นอุปกรณ์ของการเจริญสติ
กวาดบ้าน ถูบ้าน เจริญสติได้ไหม...ได้
ออกกำลังกาย เจริญสติได้ไหม... ได้
ถีบจักรยานเจริญสติได้ไหม...ได้
ขับรถเจริญสติได้ไหม... ได้
รู้เนื้อ รู้ตัว ขึ้นมาอยู่เสมอ
เดินช๊อปปิ้งเจริญสติได้ไหม
จิตไหลไป รู้ไหม
รูดบัตรไป รู้ไหม
ตังหมด รู้ไหม
กลับบ้าน ทานมาม่าต่อ รู้ไหม
ก็อาศัย วิถีชีวิตเป็นอุปกรณ์ในการพัฒนาสติ
โดย พระวิปัสสนาจารย์ มหาวรพรต กิตติวโร
" ขันธ์ ๕(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
หรือ ความสงบ...ล้วนยึดติด ไม่ได้
สังขาร(ความปรุงแต่ง)ที่เกิดขึ้นมา
สงบ...หรือ ไม่สงบ
สิ่งเหล่านี้เหมือน...ก้อนเหล็กแดง
ขันธ์ ๕เหมือนกับ ก้อนเหล็กแดง
เมื่อ...มันเเดงรอบแล้ว ไปจับตรงไหน
มันจึงจะเย็นได้ มีที่เย็นไหม ?
เอามือแตะข้างบน ดูซิ ข้างล่าง ดูซิ
แตะข้างโน่น ข้างนี้ ดูซิ ตรงไหนที่มันจะเย็น
เย็น...ไม่ได้
เพราะ...ก้อนเหล็กมันแดงโร่ไปหมด
ขันธ์ ๕ นี้ ก็ฉันนั้น
ความสงบ...ไปติดไม่ได้
จะว่า...ความสงบเป็นเรา
จะว่า...เราเป็นความสงบ ไม่ได้
ถ้าเข้าใจว่า...ความสงบเป็นเรา
เข้าใจว่าเรา...เป็นความสงบ
ก็เป็น...ก้อนอัตตา อยู่นี่เอง
ก้อนอัตตา(ความเข้าใจว่า...สิ่งนี้เป็นเรา
เราเป็นสิ่งนี้) ก็...เป็นสมมุติอยู่
จะนึกว่า...
เราสงบ เราฟุ้งซ่าน
เราดี เราชั่ว เราสุข เราทุกข์
อันนี้ ก็เป็นภพ เป็นชาติ อยู่อีก
เป็น...ทุกข์อีก
ถ้า...สุขหายไป ก็กลายเป็นทุกข์
ถ้า...ความทุกข์หายไป ก็เป็นสุข
ก็ต้องเวียนไปนรก ไปสวรรค์
อยู่...ไม่หยุดยั้ง
พระศาสดาเห็นอาการจิต...ของท่าน
เป็นอย่างนี้ นี่แหละ ท่านจึงว่า...
ภพ ยังอยู่
ชาติ ยังอยู่
พรหมจรรย์ ยังไม่จบ
ท่านจึงยกสังขาร ขึ้นพิจารณาตามธรรมชาติ
ให้รู้เท่า...
ตามเป็นจริง ของขันธ์ ๕
ทั้ง...รูป
ทั้ง...นาม
สิ่งทั้งหลายที่จิต...คิดไป
ล้วนเป็น...สังขารทั้งหมด
จิตนี้...
ไม่มี...อะไร
ไม่เกิด ตามใคร
ไม่ตาย กับใคร."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
#กายประกอบไปด้วยธาตุทั้ง4
คือ..ดิ น..น้ำ..ล ม..ไ ฟ
.
.
..ส่วนที่แข็งในกายคือธาตุดิน..
..ส่วนที่เป็นของเหลวคือธาตุน้ำ..
..ส่วนที่เคลื่อนไหวคือธาตุลม..
..ส่วนที่ให้อุณภูมิคือธาตุไฟ..
ทุกวันนี้เราแบกกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งนั้น..
นอนกอดกระดูกตนเองทุกวัน..
อยู่กับน้ำเลือดน้ำหนองตลอดเวลา..
อยู่กับลมหายใจที่ไม่รู้ได้ว่าวันใดจะหมดลม..
อยู่กับอารมณ์ต่างๆที่มากระทบทาง..
..ตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ..
อยู่ความคิดต่างทั้งบวกและลบ..
ส่วนจิตอยู่เหนือกาย..
จิตอยู่เหนือการควบคุม..
จิตเดิมแท้นั้นอิสระไร้การปรุงแต่ง..
สุข..สว่าง..สงบ..อิสระ..
หลวงพ่อชา สุภัทโท
" อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา "
"ปัญญาเกิด"เพราะอะไร เพราะพิจารณาเรื่อง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นเป็นสัจธรรม
เห็นความจริงประจักษ์อย่างนั้นในใจ นี่อย่างนี้
เราจะเห็นชัดในใจของเราอยู่อย่างนี้เสมอ
อารมณ์เกิดขึ้นมาแล้ว เห็นมันดับไป ดับแล้วเกิดขึ้น
มา เกิดแล้วดับไป ถ้าเรามีความยึดมั่นถือมั่น ทุกข์ก็
เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น ถ้าเราแล่อยวางไป ทุกข์ก็ไม่เกิด
เราเห็นในใจของเราอยู่อย่างนั้น ก็เป็น สักขีภูโต
อยู่อย่างน้นแหละ ฉะนั้น เราควรเชื่อคนอื่น
เพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์
ในคราวหนึ่งท่านสารีบุตรท่านฟังธรรมะ
พระพุทธเจ้าของเราเทศน์จบแล้ว พระพุทธเจ้าท่าน
ถามว่า
" สารีบุตรเชื่อไหม "
" ยังไม่เชื่อพระเจ้าข้า "
พระพุทธองค์ท่านชอบใจเลยว่า " ดีแล้ว สารีบุตร
อย่าเพิ่งเชื่อง่าย ๆ เลย นักปราชญ์ต้องไปพิจารณา
เสียก่อน จึงจะเชื่อได้ สารีบุตรต้องไปพิจารณา
เสียก่อน "
ถึงแม้ฟังธรรมของพระพุทธองค์ ท่านก็ไม่เชื่อไป
ทุกคํา แต่ท่านก็ไม่ประมาท เอาไปพิจารณา
ถ้าการที่ท่านเทศน์มีเหตุผลเกิดขึ้นกับใจของท่าน
ใจของท่านเป็นธรรม ธรรมนั้นอยู่ในใจของท่าน
มันเป็นอยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์ให้เชื่อตรงนั้น
เชื่อเพราะคนอื่นก็เห็นด้วย และเราก็เห็นด้วยว่า
มันเป็นอยู่อย่างนั้น แน่นอนอย่างนี้
ผลที่สุดก็ให้"ดู"เท่านั้นแหละ ไม่ต้องดูอื่นไกล
"ดูปัจจุบัน".. "ดูในจิต" ของเจ้าของ เท่านั้นแหละ
วางอดีต หรือ วางอนาคต ให้"ดูปัจจุบัน"
"ปัญญา" ก็ขึ้นตรง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทําอย่างไร
เราเดินไปก็ไม่ที่ยง นั่งก็ไม่เที่ยง นอนก็ไม่เที่ยง
อะไร ๆ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ
มันจะเที่ยง ก็เที่ยงเพราะว่ามันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่แปรเป็น
อย่างอื่น ถ้าความเห็นจบลงตรงนี้ ก็สบายเท่านั้นแหละ.
หลวงปู่ดูลย์ อตตุโล
" ทําจิตให้สงบได้ยาก "
การปฏิบัติภาวนาสมาธินั้น จะให้ได้ผลเร็วช้า
เท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้ บางคนได้ผลเร็ว บางคน
ก็ช้าหรือยังไม่ได้ผลลิ้มรสแห่งความสงบเลยก็มี
แต่ก็ไม่ควรท้อถอย ก็ชื่อว่าเป็นผู้ได้ประกอบความ
เพียรทางใจ ย่อมเป็นบุญเป็นกุศลขั้นสูงต่อจากการ
บริจาค ทาน รักษาศีล เคยมีลูกศิษย์เป็นจํานวนมาก
เรียนถามหลวงปู่ว่า อุตส่าห์พยายามภาวนาสมาธิ
นานมาแล้ว แต่จิตไม่เคยสงบเลยแส่ออกไปข้างนอก
อยู่เรื่อย มีวิธีอื่นใดบ้างที่พอจะปฏิบัติได้ ฯ
หลวงปู่เคยแนะนําวิธีอีกอย่างหนึ่งว่า
" ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติ
ระลึกไปแต่ในกายนี้ ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา อสุภสัญญา "หาสาระแก่นสารไม่ได้"
เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิด"ความสลดสังเวช"
เกิด"นิพพิทา ความหน่ายคลายกําหนัด"
ย่อมตัด "อุปาทานขันธ์" ได้เช่นเดียวกัน."
" ท่านควรฝึกจิตใจด้วยการ...
รู้แล้ว...ปล่อย
จิตรู้เรื่องอะไรแล้ว ไม่ยอมปล่อย
ก็ย่อม...ทุกข์
ซึ่งธรรมแท้ ๆ นั้น เป็นกลาง
ใครปล่อยวางได้ ก็สบาย
ฝึกด้วยการมีสติจับรู้...
อยู่...ในปัจจุบัน
ภายในใจ ในกายตนนั่นเอง
มิต้องไปแสวงหา ที่แห่งใด
เมื่อท่านรู้ความจริง เช่นนี้แล้วว่า
เหตุเกิดแห่งความสงบนั้น
อยู่ที่...จิตหนึ่งนั่นเอง
แล้วท่าน จะมัวหาความสงบ
จากสถานที่แห่งใดเล่า."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" เคล็ดวิชาดูจิต โดย อุบาสกนิรนาม " (ศึกษาดีๆจะได้ประโยชน์มากครับ)
บันทึก(ไม่)ลับอุบาสกนิรนาม
(ผู้เขียนได้ปรับปรุงจากต้นฉบับเรื่องประสบการณ์ภาวนาซึ่งเคยส่งไปลงพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ ในนามสันตินันทอุบาสก)
ผมลังเลใจอยู่นานที่จะเล่าถึงการปฏิบัติธรรมของตนเองเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าใครตั้งใจปฏิบัติก็ทำกันได้ แต่ด้วยความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ท่านสั่งให้เขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร่ ผมจึงต้องปฏิบัติตาม โดยเขียนเรื่องนี้ให้ท่านอ่าน
ผมเป็นคนวาสนาน้อย ไม่เคยรู้เรื่องพระธุดงคกรรมฐานอย่างจริงจังมาก่อน จนแทบจะละทิ้งพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะเกิดตื่นเต้นกับลัทธิวัตถุนิยม แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้พบข้อธรรมสั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีสาระสำคัญว่า
"จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ"
ผมเกิดความซาบซึ้งจับจิตจับใจ และเห็นจริงตามว่า ถ้าจิตไม่ออกไปรับความทุกข์แล้ว ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้ทุกข์ จิตใจของผมมันยอมรับนับถือหลวงปู่ดูลย์เป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่นั้น
ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2525 ผมมีโอกาสด้นดั้นไปนมัสการหลวงปู่ดูลย์ที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไปถึงวัดของท่านแล้ว เกิดความรู้สึกกลัวเกรงเป็นที่สุด เพราะท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ และไม่เคยรู้จักอัธยาศัยของท่านมาก่อน ประกอบกับผมไม่คุ้นเคยที่จะพบปะพูดจากับพระผู้ใหญ่มาก่อนด้วย จึงรีรออยู่ห่างๆ นอกกุฏิของท่าน
ขณะที่รีรออยู่ครู่หนึ่งนั้น หลวงปู่ดูลย์เดินออกมาจากกุฏิของท่าน มาชะโงกมองดูผม ผมจึงรวบรวมความกล้าเข้าไปกราบท่านซึ่งถอยกลับไปนั่งเก้าอี้โยกที่หน้าประตูกุฏิ แล้วเรียนท่านว่า "ผมอยากภาวนาครับหลวงปู่"
หลวงปู่หลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่า การภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันก็ยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนา "พุทโธ" จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจจ์ 4 เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหารย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนว่าเข้าใจ ท่านก็บอกให้กลับไปทำเอา
พอขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพเกิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆจนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องเจอจิต จึงพิจารณาเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้วแยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่ง โดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้น และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้
หลังจากนั้น ผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่า ขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆอย่างเป็นอิสระจากกิเลส และอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรมจัดเป็นการจำแนกรูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้น จิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณขั้นใด
ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่า "ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป"
คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมอันลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ 5 ท่านสอนถึงกำเนิดและการทำงานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป
ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง
แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจ) จึงปรากฎออกมา
คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัด จึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า "ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆจะพอไหม"
หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า "การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง
หลังจากนั้นผมก็เพียรดูจิตเรื่อยๆ มา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยหรือเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้วแม้มีเวลาเล็กน้อยก็ดูจิต ดูอยู่นั่นแหละ ไม่นานก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
วันหนึ่งของอีก 4 เดือนต่อมา ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นปลายเดือนกันยายน 2525 ได้เกิดพายุพัดหนัก ผมออกจากที่ทำงานเปียกฝนไปทั้งตัว และได้เข้าไปหลบฝนอยู่ในกุฏิพระหลังหนึ่งในวัดใกล้ๆ ที่ทำงาน ได้นั่งกอดเข่ากับพื้นห้องเพราะไม่กล้านั่งตามสบายเนื่องจากตัวเราเปียกมากกลัวกุฏิพระจะเลอะมาก พอนั่งลงก็เกิดเป็นห่วงร่างกายว่า ร่างกายเราไม่แข็งแรง คราวนี้คงไม่สบายแน่
สักครู่ก็ตัดใจว่า ถ้าจะป่วยมันก็ต้องป่วย นี่กายยังไม่ทันป่วยใจกลับป่วยเสียก่อนแล้วด้วยความกังวล พอรู้ตัวว่าจิตกังวลผมก็ดูจิตทันที เพราะเคยฝึกดูจนเป็นนิสัยแล้ว
ขณะนั้นนั่งกอดเข่าลืมตาอยู่แท้ๆ แต่ประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแต่สติที่ละเอียดอ่อนประคองรู้อยู่เท่านั้น (ไม่รู้ว่ารู้อะไรเพราะไม่มีสัญญา)
ต่อมามันมีสิ่งละเอียดๆ ผ่านมาสู่ความรับรู้ของจิตเป็นระยะๆแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ
ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่า ความว่างที่เหลืออยู่นั้น ถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปอีก กลายเป็นความว่างที่บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง
ในความว่างนั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วได้อุทานขึ้นว่า "เอ๊ะ จิต ไม่ใช่เรานี่"
จากนั้นจิตได้มีอาการปิติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น พร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้ว ถึงกับอุทานในใจ(จิตไม่ได้อุทานอย่างทีแรก)ว่า "อ้อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นตัวเราอีกต่อไป"
เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์ และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มๆ ไป ท่านก็อธิบายว่า จิตผ่านฌานทั้ง 8
ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌาน และไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย
หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า ถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ (หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌาน เพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่จะต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้ ศิษย์จะมัวสนใจฌานทำให้เสียเวลาปฏิบัติ)
พอผมเล่าว่าจิตอุทานได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก
แล้วท่านแสดงธรรมเรื่อง จิตเหนือเหตุ หรือ อเหตุกจิต ให้ฟังมีใจความว่า อเหตุกจิต มี 3 ประการคือ
1. ปัญจทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
2. มโนทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของใจขึ้นรับรู้อารมณ์ทางใจ
3. หสิตุปปาท หรือจิตยิ้ม เป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิตซึ่งไม่มีตัวตนให้ปรากฏออกมาสู่ความรับรู้
อเหตุกจิต 2 อย่างแรกเป็นของสาธารณะ มีทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง 3 - 4 ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์
หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติด้วยการดูจิตเรื่อยมา และเห็นว่าเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย จะมีคลื่นวิ่งเข้าสู่ใจ หรือบางครั้งก็มีธรรมารมณ์เป็นคลื่นเข้าสู่ใจ
หากขณะนั้นขาดสติ จิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตยังไม่ละเอียดพอ ผมเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับๆ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนให้หลวงปู่ดูลย์ทราบ
ท่านกลับตอบว่า จิตจริงแท้ไม่มีการไป ไม่มีการมา
ผมได้มาดูจิตต่ออีกสักครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนา คือมีสิ่งให้รู้ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆว่า จิตไม่ใช่เรา แต่ต่อจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตกลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏนิมิตเป็นเหมือนดวงอาทิตย์โผล่ผุดขึ้นจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ว่ายังไม่ถึงที่สุดของการปฏิบัติ
ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับมาสู่ภูมิของสมถะ และวิปัสสนูปกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ถ้าไม่กำหนดรู้ให้ชัดเจนว่า วิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติจึงต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม(สำนวนของหลวงปู่ดูลย์) หรือใจ (สำนวนของหลวงปู่เทสก์) หรือจิตรวมใหญ่(สำนวนของท่านอาจารย์สิงห์)
เมื่อผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่า ดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป
ผมก็ทำเรื่อยๆ มา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิแบบเป็นพิธีการ ต่อมาอีก 1 เดือน วันหนึ่งขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด(วิญญาณขันธ์)ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ (ร่างกายไม่ได้หัวเราะ) มันเป็นการหัวเราะเยาะกิเลสว่า มันผูกมัดมานาน ต่อๆ ไป จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ความรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาล จึงมีผู้รู้ธรรมในขณะฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก
ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเพียงแต่ให้กำลังใจว่า ให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่ง เคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองออกเผยแพร่ เพราะอาจมีผู้ที่มีจริตคล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อสนองคำสั่งครูบาอาจารย์ และเพื่อรำลึกถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เปี่ยมด้วยอนุสาสนีปาฏิหารย์ รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย สำหรับท่านที่กำลังแสวงหาหนทางปฏิบัติอยู่