พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 5 เมษายน 2561
ตอนที่ 309 **รู้ได้อย่างไรใครเป็นพระโสดาบัน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
คือว่า ลูกก็ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ *พระโสดาบัน* พระอริยเจ้าระดับที่ 1 อีกอย่างหนึ่งน่ะเจ้าค่ะ
ลูกสงสัยอย่างนี้ว่า.. แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า ใครคือพระโสดาบัน /ใครไม่ใช่พระโสดาบัน ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้พิจารณาตรึกตรอง นำไปฝึกฝน แล้วก็เผยแผ่ ให้กับผู้อื่นได้รู้ ด้วยเจ้าค่ะ "
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงตั้งใจฟังให้ดี
จงพิจารณาตามให้ถี่ถ้วน เข้าให้ถึงธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง
ด้วยจิตด้วยใจ ด้วยปัญญาแห่งธรรม ที่จะรู้และแตกฉานในธรรม อย่างแท้จริง
ละทิฐิ อัตตาตัวตน
ละความเห็นทุกอย่างทิ้งไป
ปล่อยใจให้ว่าง.. ให้เบา ให้สบาย
แล้วจงพิจารณาธรรม ตามนี้เถิดลูก..
บุคคล ผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้วเท่านั้น ที่จะรู้ว่า..
ตนคือ พระโสดาบัน
ตนคือ พระอริยเจ้า
บุคคล ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าแล้วเท่านั้น จึงสามารถรู้ได้บ้างว่า..
คนนั้น คนโน้น ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว เหมือนกัน ++
ดังเช่น คำโบราณว่า.. ผีนั้น ย่อมมองเห็นผี
พระยาธรรมเอ๋ย.. เอาง่ายๆ ก็คือ ถ้าเกิดว่าเรานี้ ยัง..
/ ไม่สามารถประพฤติตน ให้อยู่ในกรอบของศีล 5
/ ไม่สามารถประพฤติตน ให้เข้าใจในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์.. อย่างไม่ลังเลสงสัย ในองค์พระรัตนตรัย ว่าดี / ว่าไม่ดี
/ ไม่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงความรู้แจ้งของสิ่งทั้งหลาย ตามเหตุเกิด เหตุดับ และปล่อยวางมันได้ ในระดับของพระอริยเจ้า คือ การรู้ - จนไม่สร้างกรรม ทำผิดศีลอีก
เมื่อเรายังไม่สามารถประพฤติตนจนถึงจุดนี้.. เราไม่ควรที่จะไปตัดสินว่า บุคคลผู้นั้น เป็นพระโสดาบัน หรือไม่เป็น
ไม่ควรไปตัดสินว่า ใครผิด -ใครถูก ใครดี -ใครไม่ดี
เพราะสติปัญญาของ บุคคลผู้ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้านั้น.. ย่อมไม่สามารถรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายได้
ถึงแม้จะมีความรู้ ความฉลาดเพียงใด.. ก็เป็นความรู้ ความฉลาดของโลก
- ไม่ใช่ความรู้ ความฉลาดของธรรม *
ฉะนั้น.. การตัดสิน ว่า..คนนั้นเป็นพระโสดาบัน หรือไม่ใช่ จึงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เป็นแน่แท้
เพราะตนนั้น ก็ยังไม่รู้เลยว่า.. พระโสดาบันที่แท้จริง เป็นแบบไหน ?
และบุคคล ที่รู้ว่าพระโสดาบันที่แท้จริงเป็นยังไง.. เขานั้นต้องรู้ด้วยการปฏิบัติไปให้ถึง ตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ที่สอนเอาไว้ว่า..
* บุคคลผู้ปฏิบัติ.. พึงรู้ พึงเห็น เข้าใจได้ ด้วยตนเอง
* ผู้ที่ดับกิเลสได้แล้ว.. ย่อมรู้ด้วยตนว่า ตนนั้น ทำได้แล้ว
* แม้เราจะโกหกคนทั้งโลกได้.. แต่เราก็โกหกตัวเราเองไม่ได้
อย่างนั้นละ พระยาธรรม..
ฉะนั้น.. การที่เรายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า
ห้ามไปตัดสิน หรือไปดูว่า คนนั้นเป็นหรือไม่เป็น
ไม่ต้องไปคิดตามที่เขานั้นเป็นหรือไม่เป็น.. เพราะอาจเกิดสิ่งที่ผิดพลาดกับเราได้
บางที คิดว่าเป็น - ก็หลงตามเขาไปด้วย
บางที คิดว่าไม่เป็น - ก็เลยไปปรามาสพระอริยเจ้าเข้า..โดยที่ไม่รู้ตัว
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. หากว่า ตนยังไม่เป็นพระอริยเจ้า - ห้ามไปตัดสินบอกว่า ใช่ไม่ใช่ กับใครทั้งนั้น !
นี่คือ สิ่งที่ควรทำ..
ดูยังไง ให้ดูออกว่า.. เป็นพระอริยเจ้า
ตนก็ต้องปฏิบัติตน ให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเสียก่อน แล้วจึงค่อยดู
ถึงแม้ว่า.. จะปฏิบัติตนจนเป็นองค์พระอริยเจ้า - พระโสดาบันแล้วก็ตาม..
แม้อย่างนั้นก็ตาม.. ก็ยังมีสติปัญญาที่แตกต่างกัน ของพระโสดาบันแต่ละองค์ แต่ละบุคคล แต่ละดวงจิต
บางกลุ่ม บางดวงจิต.. ก็มีปัญญามาก
มีความรู้ในระดับที่สามารถรู้ว่า คนนั้นเป็นแบบไหน คนนี้เป็นยังไง
.. รู้ได้บ้างแค่ในระดับหนึ่ง
--ไม่สามารถรู้แจ้งทั้งหมด เหมือนองค์พระพุทธเจ้า.. ลูกเอ๋ย
ถึงแม้ว่า เป็นพระอริยเจ้าแล้ว - ก็ยังรู้ได้บ้าง ไม่รู้บ้าง..
ฉะนั้น.. ต่อให้เป็นพระอริยเจ้า
ก็แค่รู้ตัวเรานี่ละ ว่า.. เราเป็นพระโสดาบันแล้ว
ก็แค่ฟังคนนั้นคนนี้ เขาเล่าถึงการปฏิบัติของเขา สภาวธรรมที่เขาเป็น
เราก็พอจะรู้ได้บ้างว่า..
บุคคลผู้นี้ มั่นใจในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ อย่างไม่มีความลังเลสงสัย ว่าดีจริงหรือไม่ดี
บุคคลผู้นี้ มีศีล 5 เป็นปรกติ
บุคคลผู้นี้ รู้จักถอดถอนการเป็นตัวเป็นตน ถอดถอนการเกิด การดับ ที่ตนนั้นควรที่จะรู้ ในการเกิด การดับนั้น รู้จักถอดถอนความยึดติดในสิ่งเหล่านั้นได้บ้าง...
คงจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้วสินะ
แต่ก็แค่รู้..
รู้เพราะเราก็เป็นเหมือนเขา
รู้เพราะเขาก็เป็นเหมือนเรา
พูดภาษาธรรมในระดับเดียวกันเข้าใจ
ปฏิบัติคล้ายกัน เหมือนกัน
.. ก็เลยสงสัยว่า น่าจะใช่ ++
แม้อย่างนั้น องค์พระอริยเจ้า - ก็ยังแค่สงสัยเช่นนี้
ก็ยังไม่มีการตัดสินว่า บุคคลผู้นั้น ใช่ /ไม่ใช่
พระยาธรรมเอย.. พระอริยเจ้าบางคน ก็ยังไม่รู้ ไม่สนใจ
เพราะการเป็นดวงจิต ผู้เวียนว่ายตายเกิด การเป็นคน การเป็นชีวิต - มันมีสิ่งลึกลับซับซ้อนมากมาย ที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่ในชีวิตดวงจิตหนึ่งๆ
จนเราไม่อาจไปลงรายละเอียดของบุคคลผู้อื่น ได้โดยทั้งหมด
หากเราไม่ใช่ปัญญาแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้สร้างสั่งสมบารมีมาเต็มแล้ว
รู้แจ้งในจิตทั้งหลาย.. เพื่อนำพาเขาเหล่านั้นไปสู่พระนิพพาน ให้ได้ด้วย *
เราจึงไม่ควรตัดสินว่า..
คนนั้นใช่ / คนโน้นไม่ใช่
ใครเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
เป็นสิ่งที่นักบวชผู้ประพฤติ ปฏิบัติดี.. ไม่ควรทำ !
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. คำถามของลูก
คำตอบ ก็คือ เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ใครคือองค์พระอริยเจ้า.. ถ้าเราไม่ปฏิบัติ ให้ถึงความเป็นพระอริยเจ้า
ถึงแม้ถึงการเป็นองค์พระอริยเจ้าแล้ว.. เราก็แค่รู้ได้ ด้วยการสงสัย
-- แต่จะไม่รู้ได้ทั้งหมด - หากไม่ใช่ปัญญาแห่งพระพุทธเจ้า ++
เรื่องขององค์พระอริยเจ้านะลูก..
/ เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน
/ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกินกว่าที่คนๆหนึ่งจะ
ตัดสินผิด / ตัดสินถูก ให้กับเขา
ตัดสินใช่ /ไม่ใช่
ด้วยสติปัญญาแห่งตน
ยิ่งโดยเฉพาะบุคคล..
- ผู้ที่ไม่มีแม้ศีล 5
- ผู้ที่ไม่รู้แม้คำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ดี /ไม่ดี
- ผู้ที่ไม่ละกิเลสตัณหาได้ จนถึงความเป็นพระโสดาบัน
ยิ่งเป็นดวงจิตในกลุ่มนั้นด้วยแล้ว.. ก็ยิ่งจะไม่รู้เรื่องของพระอริยเจ้าเลย
- ต่อให้ จะอ่านหนังสือมาเป็นเล่มๆ
- ต่อให้ จะเคยฟังคนอื่นเล่ามามากเท่าไร
- ต่อให้ ตนนั้นจะศึกษามามากเพียงใด
หากตนไม่สามารถมีศีล 5 ไม่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน ให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ย่อมเป็นผู้รู้ไม่จริง เพราะตนไม่ได้เข้าถึง
/ ย่อมเป็นผู้รู้ ด้วยการฟัง - การอ่าน - การเขียน
/ ย่อมเป็นผู้ที่ ไม่รู้อย่างแท้จริง
- จึงไม่ควรตัดสินผู้อื่น ว่า.. ใช่ / ไม่ใช่ อยู่ดี..
.. เพราะตนยังเป็นผู้ไม่รู้อย่างแท้จริง ++
การที่เรานั้นจะรู้อย่างแท้จริง คือ เราต้องปฏิบัติให้เข้าถึง เข้าใจ*
บุคคลผู้เข้าถึง เข้าใจ.. ก็ยิ่งจะไม่ตัดสินใคร
ไม่มอง ไม่สนใจใคร
พระยาธรรมเอ๋ย.. การรู้ว่า นั่นคือองค์พระอริยเจ้า หรือไม่ใช่
ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่.. มีกับข้าวสักจานหนึ่ง วางไว้ตรงหน้า
เราแค่มองดู.. เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า มีรสชาติเพียงใด - หากเราไม่ตักมากิน
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้จะเห็น จะรู้ จะได้ยิน ได้อ่านมาว่า.. องค์พระอริยเจ้า ต้องเป็นเช่นนั้น
เหมือนคนที่เห็นจานกับข้าววางอยู่ตรงหน้า
เห็นอยู่ รู้อยู่.. แต่ไม่รู้จริง - เพราะตนไม่ได้ตักเข้าปาก
จึงไม่อาจรู้ว่า.. รสชาติเป็นแบบไหน ?
ฉะนั้น.. การตัดสิน จึงไม่ควรมีอยู่ในเรา เพราะเราไม่รู้ว่า เป็นอย่างใดกันแน่
หากว่าเราเห็นกับข้าวจานนั้น หรือไม่เห็นก็ตาม..
แม้จะโดนปิดตาก็ตาม
แต่หากเราตักเข้าปากแล้ว เราย่อมลิ้มรสรู้ว่า.. กับข้าวจานนี้ มีรสชาติแบบไหน ?
เราย่อมรู้.. เพราะเราได้ทำตนให้เข้าถึงแล้ว
และถึงแม้ว่า เข้าถึงแล้ว ตักกับข้าวใส่ปากแล้ว รู้รสชาติแล้ว
-- ก็ไม่ใช่ว่า จะรู้เรื่องของคนอื่นด้วย...
เพราะคนเรานั้น มีความแตกต่างกันในความชอบ
บางคนบอก เค็มไป
บางคนบอก เผ็ดไป
บางคนบอก อร่อย
บางคนบอก ไม่อร่อย
- ตามความละเอียด ของแต่ละบุคคล -
การเป็นพระอริยเจ้า ก็เช่นเดียวกัน.. กรรมที่ทำมา สั่งสมมา ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว ของแต่ละดวงจิตแตกต่างกัน +
เชื้อกิเลสของแต่ละดวงจิต.. ก็แตกต่างกัน +
- ครั้งเราจะตัดสิน ผู้อื่นเหมือนเรา - เราเหมือนผู้อื่นนั้น.. ย่อมเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง !
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. องค์พระอริยเจ้า พระโสดาบัน - ทุกองค์ ทุกคน.. ก็ใช่จะเหมือนกันโดยทั้งหมด ในรายละเอียด
จึงไม่รู้ว่า.. ความจริง ที่แท้จริง ของแต่ละคน แต่ละดวงจิต เป็นแบบไหน
ด้วยว่า.. ท่านทั้งหลายเหล่านั้น
+ มีกรรมดี กรรมชั่วมา ต่างกัน
+ มีเชื้อกิเลสตัณหาที่คลุมจิตใจมา ต่างกัน
+ ความคิด ความชอบ ความฉลาด -หรือความไม่ฉลาด แตกต่างกัน
+ การสร้างบารมีมา ต่างกัน
... จึงเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก ว่า.. ผู้อื่นเป็นอย่างไร?
ฉะนั้น.. องค์พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ให้เราดูตัวเรา ปฏิบัติเราให้ถึง
อย่าตัดสินผู้อื่น
จะแนะนำเขา ตามที่รู้แจ้งที่เรารู้แล้วว่าดี ก็แนะนำไป
- แต่อย่าตัดสินผู้อื่น..
ด้วยความคิดของเรา
ด้วยความรู้สึกของเรา.. เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เรารู้ว่า.. เขาก็ได้กินกับข้าวเหมือนเรา
รู้ได้แค่นั้น
รู้แค่สงสัยว่า.. คนนั้นเขาก็ปฏิบัติคล้ายกันกับเรานะ
-- แต่เราก็ไม่อาจรู้รายละเอียดของเขาได้.. จึงไม่ควรตัดสินใคร ++
เรื่องของพระอริยเจ้า นะลูก.. เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งนัก *
เราจึง..
ควรดูที่ตัวเรา
ควรทำเราให้เข้าถึง
ควรระมัดระวังตัวเรา ให้ดี
อย่าปล่อยตัวของเราให้ผิดพลาด ด้วยการ.. ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ
เที่ยวตัดสินผู้อื่น จนทำให้ตน..
- พลาดพลั้ง หลงทางตามเขา
- พลาดพลั้ง ปรามาสต่อพระอริยเจ้า
สำรวมกาย วาจา ใจ ฝึกฝนตนให้ดี ทำตนให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า
แล้วก็ปฏิบัติให้เข้าถึง *พระนิพพาน*
นั่นละ.. ดีที่สุดแล้ว
เรารู้ความดีแค่ไหน.. ก็สอนสั่ง แนะนำความดี กับผู้อื่นไป
-- แต่อย่าไปตัดสินใครล่ะ ดีที่สุด ลูก --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น เพราะอะไรหรือเจ้าคะ ?
บางทีหนูถึงรู้ว่า.. คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้
... เพราะอะไรหรือเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. รู้เพราะว่าลูกนั้น มีพลังแห่งพระพุทธเจ้า ส่งพลังให้ลูกได้รู้เพื่อทำหน้าที่แห่งตน
คือ เป็นผู้เผยแผ่ธรรม ให้รู้แจ้ง เข้าใจตามความเป็นจริง - ตามธรรมที่เผยแผ่
- รู้เพราะเหตุนั้นละลูก
แต่ถึงแม้ว่าจะรู้ก็ตาม.. ก็ไม่ควรที่จะพูดไป
พูดกับคนนั้น คนนี้ หรือไปตัดสินคนโน้นคนนี้ ด้วยคำพูดแห่งตน
รู้ - ก็แค่เรียนรู้สภาวธรรม แห่งพระอริยเจ้าเท่านั้น
ควรสำรวม เรื่องเหล่านี้
รู้ก็รู้ - เพื่อจะได้สืบทอดธรรมได้ อย่างถูกต้อง.. เท่านั้นก็พอ
อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
เรื่องของพระอริยเจ้านั้น - เป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดไปเลย !
อาจทำให้เกิดสิ่งที่ไม่ดี - กลับคืนมามากมาย..
จงระมัดระวังคำพูดบ้างเสีย ก็จะดีลูก ในเรื่องเหล่านี้
-- บางสิ่ง ต่อให้รู้จริง.. ก็ไม่ควรกล่าว --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา และแนะนำลูก
ลูกจะน้อมประพฤติ ปฏิบัติตาม เจ้าค่ะ
สาธุ