การปฏิบัติธรรมของสำนักไหน ๆ
ในเชิงลบหลู่หรือเปรียบเทียบดูถูกดูหมิ่น
ท่านว่า
"คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร"
ซึ่งลูกศิษย์ทั้งหลายได้ถือเป็นแบบอย่าง
...หลวงพ่อดู่เป็นพระพูดน้อย
ไม่มากโวหาร ท่านจะพูดย้ำอยู่แต่ในเรื่อง
ของการปฏิบัติธรรมและความไม่ประมาท
เช่น
"ของดีอยู่ที่ตัวเรา หมั่นทำ (ปฏิบัติ) เข้าไว้"
"ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"
"อย่าลืมตัวตาย"
และ
"ให้หมั่นพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
เป็นต้น
มีธรรม เป็นคู่
การละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ชื่อว่าเป็นตัวขันธ์แล้วเรียกว่ากองทุกข์ทั้งนั้น เรายึดสิ่งใดมาก..สิ่งนั้นก็ให้ผลเป็นกรรมมาก เราละสิ่งใดมากที่เรายึด..จิตมันก็จะเบา กายมันก็จะเบา เวทนาความรู้สึก ความอยากก็ดี กามตัณหาก็ดี ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี..มันก็จะน้อยลง
นั้นความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้..ก็เป็นตัณหา ความอยากได้ ความอยากมี ความอยากเป็น..ก็เป็นตัณหา ความทะยานอยากในตัณหา..สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเค้าเรียกว่าไฟ เพราะมีความอยากมันจึงทำให้จิตเราเร่าร้อน
คำว่าไฟใครไปอยู่ใกล้จนเกินไปหรือมีมากจนเกินไป มันก็ย่อมต้องร้อนเป็นธรรมดา แม้นเมื่อเรากำหนดรู้ว่าเราเป็นไฟ..เมื่อเราพยายามละมัน เมื่อไฟมันมีกำลังน้อย..เมื่อมันน้อยเราก็จะทนอยู่กับมันได้ เมื่อเราไม่เพิ่มเชื้อมัน..มันก็สามารถดับได้
การดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ก็มีอยู่ว่า ดับด้วยวางอุเบกขาฌาน ดับด้วยปัญญา ดับด้วยอุบายแห่งสมถะแห่งกรรมฐานวิปัสสนา ก็เมื่ออารมณ์เหล่าใดก็ตามที่เมื่อเรากำหนดจิตขึ้นมา ยกขึ้นมาพิจารณาแล้ว..ให้ปลง ให้พิจารณาไปทางสละ ให้จิตมันปลงคลายความยึดมั่นถือมั่นได้นั่นแล ก็เรียกว่าเราได้เข้าถึงกรรมฐาน เป็นจิตที่ตั้งการงานของกรรมฐานได้..อย่างนี้
แต่ถ้าเรามากำหนดนั่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าในขณะนี้จิตนั้นเสวยอารมณ์ใดอยู่ แสดงว่าเราตกอยู่ในนิวรณ์หรือตกอยู่ในทาสของขันธมารอยู่ เราก็ไม่สามารถข้ามพ้นภัยแห่งวัฏฏะได้ เมื่อเรายังไม่รู้โทษรู้ภัยแห่งวัฏฏะเสียแล้ว..การเกิดก็มีอยู่ร่ำไป
ดังนั้นแลแม้เราจะมีความอ่อนล้าในกายสังขารก็ดี ก็ขอให้เรากำหนดรู้อยู่ในกาย คำว่ารู้อยู่ในกายแสดงว่าเรายังมีสติอยู่ นั่นก็หมายถึงว่าถ้าจิตเรายังไม่มีกำลังที่จะไปกำหนดไปพิจารณาอะไร..ก็ให้ดูกาย คือรู้ลมหายใจเข้าออก มันจะเข้ามันจะออกอย่างไรก็รู้ แต่ไม่ได้ไปตามรู้ลมหายใจที่เข้าและออก แต่ให้รู้ว่าเอาลมหายใจนั้นมากำหนดรู้ อย่างน้อยนี้ลมหายใจนี้เราสามารถสัมผัสมันได้ กายเราสามารถรู้สึกได้ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม อย่าได้พลัดพราก
เมื่อมันไม่พลัดพรากแล้ว สตินั้นมันย่อมมีกำลังตามมา จิตมันค่อยๆมีกำลังขึ้นมาโดยธรรมชาติของจิต เค้าถึงบอกว่ากายนี้ถ้าเราพักผ่อนเพียงพอ จิตเมื่อเรามีกำลังพอมีศรัทธาพอ การจะกระทำการสิ่งใดมันย่อมเกิดมรรคเกิดผลในการเจริญอิทธิบาท ๔ แต่ถ้ากายนั้นเราอ่อนล้าแล้วมีจิตที่ตั่งมั่น..มันก็มีแต่ความเพียร แต่สติเรานั้นแลไม่สามารถประคองกายสังขารได้..
ดังนั้นก็เอาจิตที่มีกำลังมีความเพียรนั้นแลทรงดูอยู่ในกาย จนกายนั้นมันตื่น เมื่อกายมันตื่นมันมีกำลังผนวกกับจิตที่มีกำลังแล้วไซร้..ตัวปัญญามันจะลุกโชนขึ้นมาเอง นั้นเราไม่รู้ได้เลยว่าปัญญาจะเกิดขึ้นตอนไหน เค้าถึงบอกว่าปัญญามันจะเกิดขึ้นตอนที่เรามีสติ แล้วสตินั้นมันต้องคู่ก้บอะไร สตินั้นมันต้องคู่กับสิ่งที่เรานั้นมีความสงบ ความสงบนั้นมันเกิดขึ้นจากการที่เราอบรมบ่มจิต เจริญสมถะ เจริญสมาธิให้มากๆ
แล้วสมาธินั้นจะเกิดขึ้นได้ และมีกำลังและผลได้ ก็เกิดจากการที่เราอบรมบ่มจิต คือการเจริญศีลให้มันเกิดขึ้น ศีลนี้มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรานั้นเจริญภาวนาจิตอยู่ ดังนั้นการเจริญภาวนานี้จึงเป็นผลใหญ่ ไม่ว่าเราจะทำอะไรหากเรานั้นโอกาสไม่อำนวยที่จะเจริญมนต์ก็ดี ที่จะพิจารณาธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ตรึกตรองในธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี..ให้เรามีภาวนาไว้
การภาวนาคือการดึงสติ คือการรวบรวมจิตให้มีหลัก เมื่อเรามีองค์ภาวนาแล้ว..องค์ศีลองค์ธรรมมันก็บังเกิด เค้าจึงบอกว่าคนที่เจริญศีลอย่างเดียวแต่ไม่ได้เจริญปัญญาควบคู่กันไปแล้ว..มันก็จะไปช้า แต่ถ้าบุคคลใดรักษาศีลผนวกกับการเจริญปัญญาแล้ว..มันก็จะไปได้ไว
อะไรที่เกิดขึ้นมาอย่างเดี่ยวๆโดดๆ มันย่อมอยู่ตั้งคงทนได้ยาก นั้นต้องไปเป็นคู่ เพราะคนไม่มีคู่ย่อมโดดเดี่ยว เหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย แม้ตัวเราเองก็ดี..หากเราไม่มีคู่แล้ว ไม่มีอะไรจะยึดได้แล้วเป็นที่พึ่งแล้ว..ก็เอาธรรมนั้นแลเป็นที่พึ่ง เป็นคู่ เป็นสรณะ
อันว่าสรณะคืออะไร..สิ่งนั้นคือการรองรับหรือหลัก สรณะคือการรองรับหรือหลัก..ถ้าเราไม่มีหลักที่รองรับแล้ว เราก็ไม่สามารถจะยึดถือจับต้องอะไรได้ เมื่อยึดถือจับต้องอะไรไม่ได้ของจิต จิตย่อมเคว้งคว้าง เมื่อจิตเรานั้นได้ตายจากโลกนี้ไปสู่สัมปรายโลกแล้ว ก็จะหาหลักอะไรรองรับไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้จิตย่อมล่องลอยเป็นสัมภเวสีอยู่อย่างนั้น
ดังนั้นแล้วแม้เราจะตายไปแล้วก็จะหาว่าเรานั้นจะประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ได้ ก็จิตนี้ยังคงอยู่ ก็เอาจิตเรานั้นเมื่อที่เรายังมีลมหายใจ มีกายสังขารได้ประพฤติปฏิบัติ และมีศรัทธาในธรรมในทางเดินแห่งมรรคแล้ว เมื่อจิตนั้นน้อมจิตถึงในพระรัตนตรัย ก็เอาพระรัตนตรัยนั้นเป็นสรณะ นั้นจึงเรียกว่าเรานั้นมีธรรม มีคู่ เมื่อมีคู่แล้วเป็นคู่ที่จับต้องได้ เป็นคู่ที่มีแก่น คู่นั้นก็ย่อมช่วยรองรับเรา เป็นที่อยู่อาศัยของเราได้ เป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ของวิญญาณแห่งดวงจิต อย่างนี้แลเค้าถึงบอกว่าอานาปานสติเมื่อทำให้มากแล้ว ทุกอย่างมันก็จะบริบูรณ์เอง..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
การเรียนกรรมฐาน การฝึกฝนจิตหาใช่ว่าโยมนั้นจะต้องมานั่งหลับตาอย่างเดียวไม่ เพราะว่าเราอยู่กับสังคมก็ดี กับหมู่คณะก็ดี เมื่อมีผัสสะมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สัมผัสเกิดขึ้นรับรู้ทางโสตผัสสะของวิญญาณทางใดทางหนึ่งแล้ว ถ้าเราไม่รู้เท่าทันในอารมณ์ที่จะข่มจิตข่มใจได้ จิตมันก็จะส่งออกไปภายนอก ทำให้กำลังแห่งไฟโมหะ โทสะ โลภะเหล่านี้มันครอบงำจิตเราได้
นั้นฉันจึงบอกว่าเมื่อเรารู้เท่าทันอารมณ์นั้นแล..นิโรธมันก็บังเกิดขึ้น มันก็คือตัวดับอารมณ์ได้ แต่ถามว่าจะห้ามความโกรธ..ห้ามได้มั้ยจ๊ะ ห้ามไม่ให้เราคิดชั่ว..ห้ามได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ครับ) งั้นไอ้ความคิดนั้นเป็นเรื่องของธรรมดาเมื่อมีกายสังขาร นั้นกายที่เราซับซ้อนกายอยู่ในร่างกายสังขาร..ก็มีกายเทพ กายพรหม กายยักษ์ กายมาร กายอสุรกาย นั่นก็หมายถึงว่าเราสามารถคิดดีคิดชั่วได้อยู่ตลอดเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ งั้นเราจึงห้ามมันไม่ได้ แต่เรารู้เท่าทันมันได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้เจ้าค่ะ)
แต่คนที่จะรู้เท่าทันในความคิดอกุศลและกุศลได้นี่มันเป็นอย่างไร..บุคคลผู้นั้นต้องฝึกจิตนั่นเอง และต้องหมั่นพิจารณาว่าธรรมที่เป็นกุศลอกุศลมันเป็นอย่างไร เมื่อเรารู้ทัน..ความคิดก็ดีอารมณ์ก็ดีมันก็จะดับของมันเอง นี่มันเป็นธรรมชาติของธรรมมันเป็นอย่างนั้น
นั้นไม่ใช่..อย่าไปห้ามสิ่งนั้นไม่ให้เกิด สิ่งนี้ไม่ให้เกิด ก็เหมือนเราไปบังคับบีฑาบัญชาร่างกายสังขารว่าไม่ให้เสื่อมก็เช่นเดียวกัน โยมไปบังคับมันได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้) เหมือนความคิดนี้แล ความคิดหรือขันธมารในกายสังขารนี้ห้ามมันไม่ได้ แสดงว่าไอ้ความคิดนี้มันเป็นของเรามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ใช่ค่ะ) เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว..มันตั้งอยู่..มันดับไปมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ดับไปค่ะ) แต่ถ้าเราไปยึดมันเป็นของเรามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นค่ะ) นั่นแหล่ะคือผู้ยึดเค้าเรียกตัวอัตตา
ร่างกายเมื่อเรายึดเป็นอัตตามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นเจ้าค่ะ) เมื่อยึดแล้วจะเป็นเรามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นเจ้าค่ะ) แต่เมื่อใดเรารู้เราวางตัวเราได้นั่นแหล่ะจ้ะ..เราก็จะไม่มีเรา แต่สักแต่ว่าเป็นเรา อาศัยเรานั้นแลสร้างกุศลบารมี แต่ไม่ยึดว่าเราเป็นเรา ยึดเมื่อไหร่อัตตาก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น ไอ้ความคิดก็เช่นเดียวกัน..ยึดเมื่อไหร่ทุกข์ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น นั่นเรียกว่าอุปาทานแห่งขันธ์
แม้ร่างกายก็เรียกว่าเป็นขันธ์ ขันธ์คือกองทุกข์ ความคิดถ้าเรายึดในความคิด..ใช่ขันธ์มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใช่เจ้าค่ะ) ถูกแล้วเมื่อเรายึดเมื่อไหร่มันก็เป็นอุปาทาน ความคิดก็ดี ภพก็ดี ชาติก็ดีมันก็บังเกิดขึ้น นั่นเค้าเรียกวัฏฏะ คือการเวียนว่ายตายเกิด พอมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปจึงบอกว่าวัฏสงสารได้ ร่างกายเมื่อโยมไปยึดไปถือไปอุปาทานมัน..มันก็เรียกเป็นกองขันธ์
ฉันถึงบอกว่าเมื่อโยมดับกายสังขารตายไปแล้วก็ตามที อย่าคิดว่าโยมนั้นจะสิ้นทุกข์ เมื่อจิตโยมยังไม่หลุด..ดิ้นรนแสวงหาที่เกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันก็ยังมีภพยังมีขันธ์เกิดขึ้น เมื่อยังยึดถืออารมณ์อยู่ ยังดับไฟสามกองไม่ได้ จิตก็ยังเร่าร้อนดิ้นรนแสวงหาที่เกิดอยู่ร่ำไป แสดงว่าดิ้นรนแสวงหาที่เกิดอยู่ร่ำไปนี่ เพราะการเกิดเป็นทุกข์ แสดงว่าดิ้นรนแสวงหาให้เกิดทุกข์อยู่ตลอดเวลา ใช่มั้ยจ๊ะ
นั้นไม่ใช่ขันธ์อย่างเดียวที่มันจะทำให้โยมเป็นทุกข์ ที่โยมแบกหามอยู่นี้ บางคนทุกข์เพราะกายสังขาร บางคนทุกข์เพราะความคิด บางคนทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่น คือปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย บางคนไม่ได้ยึดตัวเอง แต่ไปยึดผู้อื่น ยึดลูกยึดสามี บางคนไม่ได้ยึดตัวคนที่มีชีวิต แต่ไปยึดสิ่งของ..เป็นขันธ์มั้ยจ๊ะ เพราะสิ่งของก็เป็นธาตุมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นเจ้าค่ะ) นั่นก็เรียกเป็นกองขันธ์เป็นกองทุกข์ทั้งนั้น
ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ว่าด้วยทุกข์ว่าด้วยความอยากของมนุษย์ทั้งนั้น คือจิตที่เราดิ้นรนแสวงหาภพ แต่ไม่เคยคิดที่จะเที่ยวแสวงหาการดับของความอยากแห่งความเกิด เมื่อเราไม่เที่ยวหา..แต่ไปเที่ยวหาแสวงหาสิ่งที่ไม่มีมาครอบครอง โยมว่ามันจะอยู่กับเราได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้) ของถ้ามันเป็นของเราแม้โยมไม่แสวงหา แม้โยมจะดิ้นรนหรือหนีมันไป..มันก็ตามหาโยม จำไว้นะจ๊ะ แต่อันไหนที่โยมไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่โยมไปแสวงหาเค้า แม้โยมจะได้ครอบครอง โยมก็ครอบครองได้ไม่นาน
แต่สิ่งไหนที่โยมไม่คิดจะแสวงหา แต่ว่ามันเป็นของๆโยมเมื่อไหร่ โยมจะไปอยู่ในโลกไหน เค้าจะตามหาโยมจนเจอ นั่นก็คือเรียกว่า"กรรม" เช่นถ้าโยมทำกรรมดีไว้กรรมนั้นจะสนอง ถ้าทำกรรมชั่ว..โยมจะอยู่ที่ไหนมันก็ตามหาโยมจนเจอ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะไม่มีอะไรใครจะพ้นกรรมลิขิตไปได้
ถ้าใครไม่เชื่อเรื่องกรรมก็พ้นทุกข์ไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ศาสนาแห่งพุทธศาสนานี้เค้าสอนให้เชื่อเรื่องกรรม ว่ากรรมดีกรรมชั่วเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วให้ผลแล้ว..มันย่อมสนองตามกำลังแรงกรรมของมันอย่างนั้น ถ้าใครอยากจะพ้นกรรมต้องสร้างกรรมดีให้เหนือ ทำกรรมดีให้มากให้หลุดพ้น คือไม่ยึดติดในกรรม
นั้นกรรมเค้าถึงบอกว่าในอดีตที่มันล่วงมาแล้วไปเปลี่ยนแปลงได้มั้ยจ๊ะ ไปแก้ไขได้หรือไม่ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้) แต่เค้าให้กำหนดรู้ในปัจจุบันแห่งกรรม ว่าสิ่งทั้งหลายที่เราทำมานั้น กรรมทั้งหลายมันให้ผลเผ็ดร้อนอย่างไรในกรรมชั่ว หากเรามีความเข็ดหลาบจดจำแล้ว มีความละอายแล้ว มีความเกรงกลัวต่อบาป มีหิริโอตัปปะเสียแล้ว นี่แหล่ะเค้าเรียกว่าเราจะก้าวสู่การพ้นจากความชั่วได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ คำว่าธรรมทุกธรรมรวมลงมาที่จิตนี่ความหมายคือ..คือหมายความว่ายังไงคะ
หลวงปู่ : โยมไม่สงบเรื่องใดบ้างล่ะจ๊ะ เคยมั้ยจ๊ะ ความไม่สงบของจิต ความไม่สงบของอารมณ์ ความไม่สงบของกาย ความไม่สงบของความคิดทั้งหลาย ล้วนแล้วเกิดจากเหตุทั้งนั้น
เมื่อเหตุมันเกิดขึ้นผลจึงตามมา เหตุไม่ดีผลก็ไม่ดี แม้เหตุมันจะดี..มันก็ยังมีผลอยู่ดี คำว่ามีเหตุย่อมมีผลตามมา จึงเรียกว่ามีสัญญาความจำอย่างนั้นไม่จบสิ้น การไม่มีเหตุต่างหากย่อมไม่มีผล ย่อมไม่เป็นภาระ ย่อมไม่เป็นกังวล สรุปแล้วเค้าเรียกว่ารวมให้มาสู่ความสงบที่จิตดวงเดียว
ไม่ว่าโยมจะรู้อะไรมาในตำรับตำราครูบาอาจารย์ มีสิบครูบาอาจารย์ก็มีสิบแบบ ถ้าอาจารย์นั้นไม่ได้รู้มาอย่างเดียวกัน แต่ถ้าไม่ว่าจะตัวรู้แค่ไหนอย่างไรก็ตาม..สักแต่ว่ารู้ทุกสรรพสิ่ง แม้รู้ทุกอย่างก็ต้องวางทุกตำรา รวมมาแล้วอยู่ที่จิตดวงเดียวคือความสงบ ถ้าโยมรู้มาทั้งหมดแต่ก็หาความสงบไม่ได้ อันนั้นเค้าเรียกว่าติดรู้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อมันติดรู้ยึดรู้อยู่มันก็เรียกว่ายังไม่รู้จริง เพราะไอ้ตัวรู้มันยังไม่ได้รู้ด้วยปัญญา มันเป็นความจำที่เรารู้มาได้ยินมา ดังนั้นถ้าเรามีปัญญาแล้ว ปราศจากความจำยึดมั่นถือมั่นในสัญญาเมื่อไหร่ รู้เห็นตามความเป็นจริง เราจะเกิดธรรมของตัวเราเอง เมื่อธรรมที่เกิดขึ้นในตัวเราเองได้ ธรรมนั้นย่อมพิจารณาให้เห็น..เรียกว่าไม่ได้ด้วยจดจำ ด้วยไม่ใช่ด้วยความจำที่เราไปท่องจำมา ด้วยว่าไปฟังใครมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นความจำกับตัวปัญญามันจะไม่เหมือนกัน จงจำไว้ในความคิดก็ดี ถ้าไม่มีตัวความคิดก็จะไม่มีการเกิดพิจารณาได้ แต่ถ้ายังไม่ดับความคิด..ตัวปัญญามันก็เกิดไม่ได้เหมือนกัน
นั้นต้องรู้ว่าเราคิดอะไร เมื่อรู้ความคิดแล้วให้วางความคิด เมื่อเราวางความคิดได้..จิตจะเข้าสู่ความสงบ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบเมื่อไหร่ ตัวปัญญามันจะบังเกิดขึ้นเมื่อนั้น..ในสิ่งที่เรานั้นสงสัยอยากรู้ ถ้าเราอยากรู้อยู่ ยังคิดอยู่..ตัวปัญญาหรือตัวรู้ที่แท้จริงมันจะเกิดขึ้นไม่ได้
ดังนั้นสิ่งที่โยมรู้มาจำมาก็ดี สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเมื่อเรามาเจริญสมาธิภาวนาจิต เราต้องทิ้งทุกอย่าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่สิ่งที่โยมทิ้งไป มันไม่ใช่บอกว่าสิ่งที่เราจำมาเรียนมามันจะไม่เกิดประโยชน์ แต่สิ่งที่จะเกิดประโยชน์ได้เราต้องวางสิ่งนั้นก่อน เช่นตำรา..เราต้องวางก่อน ถ้าเราถืออยู่แบกอยู่เราจะอ่านตำรับตำราได้หรือไม่ เราก็แบกเราก็อ่านไม่ได้
เมื่อเราวางตำราเราก็จะอ่านด้วยมีสติด้วยมีสมาธิ และจะเข้าใจในตำรา นั้นขอให้วางทุกอย่าง เมื่อเราวางทุกอย่างแล้ว สิ่งที่เราวางนั่นแลมันจะมาเป็นครูมาสอนเราอีกที แต่ถ้าเราวางไม่ได้ เราก็จะยึดถือตัวตน เรียกว่าเป็นผู้รู้ธรรม ผู้รู้ธรรมย่อมอวดรู้ แต่ผู้มีธรรมย่อมเอาธรรมนั้นแลที่จะแก้ไขตน สั่งสอนตน..นี่เรียกว่าผู้มีธรรม แต่พวกรู้ธรรมส่วนมากจะอวดรู้ อวดดี ถือดีอย่างนี้ นี่เป็นพวกรู้ธรรมทั้งนั้น..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
การละอารมณ์ในขันธ์ ๕
ฉันบอกให้โยมนั้นระลึกดี คิดดี พูดดี กระทำดีอยู่อย่างนี้ แล้วถ้ามันไม่ดีเล่า เมื่อมันมีดีแล้วแล้วมันไม่ดีทำอย่างไร ของที่ไม่ดีในอกุศลมันเป็นของธรรมดาของมนุษย์ ที่เรานั้นมีวิบากกรรมอยู่ ที่มันยังมีอำนาจมาคอยจองจำเบียดเบียนบีฑา แสดงว่าเราต้องแผ่เมตตาขอขมากรรมอยู่บ่อยๆ
การขอขมากรรมนี้ ก็อย่างที่ฉันบอกมีอานิสงส์มีประโยชน์อย่างไร ทำให้เราระลึกถึงในกรรมในการเพ่งโทษของตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราเห็นความชั่วของเรามีมากมายเพียงใด ให้รู้โทษรู้คุณว่ามันให้ผลอย่างไร เป็นของเผ็ดร้อนอย่างไรถ้าเราทำความชั่วลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อเราระลึกได้อย่างนี้ จิตมันจะละคลายในอกุศลของมันเอง แม้มันจะเกลือกกลั้วแต่มันจะไม่ยึด เมื่อเราทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ นั้นเรียกว่ามันจะเบาบาง เมื่อมันเบาบางมันก็ให้ผลน้อย เมื่อให้ผลน้อยหมายถึงว่าเราก็จะไม่ติดมัน เพราะกิเลสตัณหาทั้งหลาย..ไม่มีทางเลยที่เราจะยิ่งเสพแล้วจะยิ่งไม่ติดมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นมีทางเดียวคือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ถ้าเราจะเข้าใจว่าการละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ให้เข้าใจ..มันคืออะไรอารมณ์ในขันธ์ ๕ เมื่อเรามีผัสสะมากระทบแล้วเรามีความพอใจ..เรียกว่ากามคุณ หากเราไม่พอใจ..ก็เรียกว่าโทสะ ความพยาบาท เมื่อจิตเรามีริษยาก็เรียกเป็นพยาบาท เมื่อจิตเรามีความหลง หรือเรียกว่าจิตที่เราขาดปัญญาขาดสติ..ความหลงก็บังเกิด นี่เรียกว่าอารมณ์มันเกิดจากผัสสะทั้งนั้น
แล้วผัสสะนั้นถ้าเราไม่เท่าทันมัน ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว..ตั้งอยู่..แล้วดับไปของผัสสะของอารมณ์ ก็นี่แล แล้วผัสสะนี้มันมากระทบในสิ่งไหนบ้าง ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มันมีวิญญาณ ดังนั้นเราต้องฝึกอะไร ตาที่สัมผัส หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งเหล่านี้คือทางเข้าทางออกของวิบากกรรม ของอกุศลจิต
ดังนั้น การที่เราจะดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ก็คือรู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันความคิด แต่ไม่ได้ไปเน้นว่าเรานั้นจะดับความคิดหรือดับอารมณ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เราไม่ได้ไปเน้นว่าเราจะไปดับความคิดหรือไปดับอารมณ์ แต่ให้เราเท่าทันในความคิดแล้วไปดับอารมณ์ได้ เมื่อเราเท่าทันและรู้เท่าทันมัน..มันจะค่อยๆดับ นั่นหมายถึงว่าเราค่อยๆเพียรละมันลงไป
อันไหนที่เราละได้เราก็ละ อันไหนที่เราละไม่ได้ เราก็หยิบยกมาเป็นเหตุแล้วเพ่งโทษพิจารณาลงไป จนกว่าอารมณ์นั้นมันจะดับ เข้าใจมั้ยจ๊ะ บางครั้งอารมณ์นั้นไม่ได้ดับโดยง่าย ก็เหมือนที่โยมนั่งสมาธิภาวนาแล้ว สมาธิยังไม่เกิดยังไม่ก่อตัว เห็นมั้ยจ๊ะ แสดงว่าอารมณ์แห่งจิตวิญญาณในอกุศลนั้นมันยังคุกรุ่นอยู่..เพราะเหตุใด?
เพราะเรายังไม่ได้ละอาฆาตพยาบาท ยังไม่ได้เจริญเมตตา ยังไม่อโหสิกรรม ยังไม่ขอขมากรรมอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นการดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ก็คือการหยุดเบียดเบียน การดับกังวล การให้อภัย การอโหสิกรรมอย่างนี้ นี่คือการเจริญเมตตา มันก็เป็นทานอย่างหนึ่ง เรียกว่าสละอารมณ์แห่งความโกรธ ความอยาก ความพอใจ ความริษยา เรียกว่าอัตตาทั้งนั้น เพราะจะทำให้เรามีตน
เมื่อเรามีตนนี้แล..ย่อมมีภพ ย่อมมีชาติอย่างนี้ ขอให้โยมจงไปพิจารณาเรื่องการดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ให้มาก ในขันธ์ ๕ นี้มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ประกอบกันจึงเรียกว่าขันธ์ ๕ ดังนั้นในขันธ์ ๕ นี้เมื่อเรายังมีอยู่..ความคิดก็ดี ผัสสะก็ดี อุปาทานก็ดี ภพก็ดี ชาติก็ดี จิตเรายังต้องเข้าไปเสวยวนเวียนอย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นวัฏฏะ
แล้วจะดับละมันยังไง ก็คือต้องเจริญปัญญาเจริญสติแล้วเห็นภัยในวัฏฏะ..นั่นแลมันถึงจะคลาย เห็นด้วยปัญญามันถึงจะคลายในอารมณ์นี้ แล้วเท่าทันในอารมณ์นั้นได้ คือจิตที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ถือว่ากายนี้เป็นของเรา ถ้าเราคิดเอาว่ากายเป็นของทุกข์แล้วยึดเป็นสรณะเมื่อไหร่ว่าเป็นสุข..นั่นเกิดความหลง แล้วยึดว่ากายเป็นของเราเมื่อไหร่..นั่นแลอัตตาตัวตน เมื่อใดเราคิดว่ากายนี้เรามีความพอใจในกาย..อันนี้เค้าเรียกกามคุณมันก็บังเกิด อยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
การพิจารณาธรรม
ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ ถ้าลมหายใจเราแนบกับกาย..แบบมันนิ่ง มันตั้งมั่นอย่างนี้ เราเป็นสมาธิแล้วมันเป็นฌานแล้ว แล้วเราพิจารณาอย่างนี้มันถูกมั้ยคะ
หลวงปู่ : การพิจารณาธรรมไม่ต้องรอให้จิตตั้งมั่นก็พิจารณาได้ แต่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วไปพิจารณาธรรมนั่นแล เค้าเรียกว่าธรรมนั้นจะเป็นธรรมที่ปราณีตละเอียด นั้นหมายถึงว่าจิตมันแนบกับลมหายใจ จึงเรียกว่าลมนั้นไม่กระเพื่อมแล้ว
คำว่าไม่กระเพื่อมไม่เคลื่อนไหวเป็นอย่างไร กายเรานั้นสงบ ใจเราก็สงบ จิตย่อมสงบตามเป็นธรรมดา เมื่อสงบอย่างนี้แล้วให้เรานั้นสำรวมจิตอยู่ที่กลางหน้าผาก โดยธรรมชาติของจิตตัวปัญญามันจะบังเกิดตรงนี้ เมื่อทรงจิตได้ในขณะนี้ จิตนั้นจะมีความสว่างไสว มีกำลังแสงสว่างแห่งจิต ให้โยมจงไปพิจารณาธรรม..
ธรรมที่เราจะไปพิจารณามันอยู่ที่ใด มันมีอยู่ที่กายเรานี้ คือการเพ่งโทษในกาย คือธรรมสังเวช ธรรมอกุศล ธรรมที่เป็นกุศล เพราะในขณะจิตนั้นเมื่อเราระลึกถึงธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ให้ดูจริตเรา..เอาจริตนั้นแห่งธรรมนั้นยกขึ้นมาพิจารณา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อจิตเรามีกำลังพอสมควรแล้ว ก็ยกจิตขึ้นมา..พิจารณาธรรมที่เป็นอกุศลมันมีอะไรบ้าง ที่เรานั้นยังข้ามไม่พ้น ก็ต้องไปหาเหตุหาผลไปพิจารณาละอกุศลอย่างนี้ แต่ถ้าขณะที่จิตของโยมยังเข้าไม่ถึงความสงบ ไม่มีกำลังพอ ธรรมที่เป็นอกุศล..ไม่ควรไปพิจารณา เพราะจะบั่นทอนในสมาธิกำลังใจ ต้องไปพิจารณาธรรมที่เป็นกุศล เช่นให้ระลึกถึงกุศลที่เราทำมา
แต่ธรรมใดก็ตามที่จิตเรานั้นมีความฟุ้งซ่านรำคาญใจ มีความกำหนัด ให้เราไปพิจารณาธรรมสังเวช คือความสลดสังเวช คือความเบื่อหน่ายในกายสังขาร คือสิ่งไม่สวยไม่งาม คือปฏิกูลของเน่าเปื่อยเน่าเหม็น อย่างนี้แลจะทำให้จิตโยมมีกำลัง
ดังนั้นจิตที่แนบสนิทกับลมหายใจและกายนี้ เค้าเรียกว่ากายระงับ มันเข้าถึงความสงบ เข้าถึงสมาธิ อันว่าตัวรู้..จะรู้ได้ยังไงว่าสมาธิบังเกิดแล้ว สมาธิจะบังเกิดได้จิตนั้นต้องไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดปรุงแต่ง คือจิตที่ไม่ฟุ้งซ่านแล้วนั่นแล เค้าเรียกว่าจิตที่สงบ จิตที่ว่าง..ว่างจากอกุศลมูล ว่างจากไฟโทสะ โมหะ โลภะ นี่เรียกว่าจิตว่าง
ไม่ได้บอกว่าจิตว่างคือจิตที่ไม่ได้คิดปรุงแต่ง จิตที่ว่างคือจิตนั้นไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ส่งจิตออกไปภายนอกแล้ว นั่นเรียกว่าจิตว่าง จิตที่ปราศจากอกุศลมูล อย่างนี้แหล่ะจ้ะ..เค้าเรียกว่าจิตที่เป็นสมาธิ
จิตที่ไม่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร จิตที่ยังมีความคิดอยู่ ยังมีอุปาทานอยู่ ยังส่งออกไปภายนอกอยู่ จิตส่งไปภายนอก..อกุศลยังเข้ามาอยู่อย่างนี้ แล้วความคิดยังเกิดอยู่ตลอดเวลา คือยังดับความคิดไม่ได้ เพราะความคิดที่มันดับไม่ได้ เพราะมันยังมีสัญญา มีความจำ มีสังขารคอยปรุงแต่ง คือยังละวางไม่ได้
เหล่านี้เกิดจากอะไร เกิดจากอำนาจแห่งไฟโทสะ โมหะ โลภะ ที่มาครอบงำ ทำให้เรามีผัสสะมากระทบมีอารมณ์ เช่นมีคนด่าทอทำให้เราไม่พอใจ เรายังเก็บมาคิดอยู่ มันจึงเป็นอารมณ์แห่งโทสะ จึงเกิดความไม่พอใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้แลให้เราพิจารณาละอารมณ์เสียก่อน
เค้าจึงบอกว่าการที่เราจะเจริญกรรมฐานได้ ให้เข้าถึงหัวใจของกรรมฐาน คือเข้าถึงความสงบสงัดและละได้ นั่นก็คือให้เราพิจารณาละอกุศลเสียก่อน ละความพยาบาท ละความโกรธความอาฆาต ละสิ่งที่จิตเรานั้นมันเสีย คือพิจารณาของเสียซะก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ก็คือเอาศีล..อาราธนาศีล ศีลนั้นแลที่เราทำไป ที่เราระลึกไป ลองพิจารณาตรวจสอบในศีลดูซิว่า ศีลเรานี้บกพร่องชำรุดหรือไม่ ถ้าข้อใดข้อหนึ่งมันชำรุด เราตั้งใจเสียใหม่ สิ่งที่เราทำพลาดไปแล้วก็ดี ขอให้ตั้งใจเสียใหม่ว่า เราจะตั้งใจเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ให้ถึงที่สุด เพื่อเอาเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญบารมีในทาน ศีล ภาวนาให้เกิดขึ้น ขอบุญกุศลแห่งความตั้งใจนี้ จงมีแก่ข้าพเจ้า
ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จประโยชน์แก่ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงอดโทษอาฆาตพยาบาทให้ข้าพเจ้า ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จประโยชน์หนุนนำให้ข้าพเจ้านั้นเข้าถึงตัวปัญญา เข้าถึงตัววิมุติ เข้าถึงกระแสพระนิพพาน ให้เราตั้งจิตอธิษฐานไปแบบนี้ อย่างนี้ก็พอจะเป็นประโยชน์เป็นแนวทางที่โยมจะประพฤติปฏิบัติในทางเดินแห่งมรรคนี้ได้
ดังนั้นแล้วไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่กว่าการที่เรานั้น เมื่อเราเจริญสมาธิสงบแล้ว ให้เราเจริญปัญญา นั้นการเจริญปัญญาเป็นอย่างไร ก็คือการเจริญสติ การเจริญสติคืออะไร..ก็คือการระลึกรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เท่าทันที่ใด..เท่าทันที่กาย เท่าทันที่เวทนา ที่จิตของเรา ที่ธรรมที่เกิดขึ้น ที่มีผัสสะมากระทบนั่นแล คือให้รู้ว่าอารมณ์ตอนนี้จิตมันเสวยอารมณ์ใด จะเป็นอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม..ขอให้รู้
แล้วรู้แล้วทำอย่างไร..ก็ต้องวาง คือการทรงอุเบกขาฌาน คือวางเฉยนั่นเอง แต่การจะวางเฉยได้เราต้องรู้ก่อนหรือไม่จ๊ะ..เราต้องรู้ก่อน อยู่ๆโยมจะไปวางเฉยเลยได้มั้ยจ๊ะ เราต้องรู้ก่อน รู้..นี้หมายถึงว่าในขณะนี้เราทำอะไรอยู่ รู้แล้วรู้อยู่ในกาย นี่เค้าเรียกว่าวางเฉยในกาย รู้เมื่อมีความคิดเข้ามาก็รู้ว่าคิดอะไร..แต่ไม่ปรุงแต่งต่อ ก็รู้ในความคิด วางเฉยในความคิด เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ นี่คือรู้..
แต่ถ้าเราไปตามรู้..นั่นเรียกว่าการปรุงแต่งของจิต เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นรู้..ถึงรู้..ทิ้งรู้เป็นอย่างไร ก็เหมือนเรารู้ลมหายใจ รู้กำหนดลมหายใจก็รู้ ถึงแล้วถึงที่ใด..ก็มันถึงอยู่ในกายนี้ วาง..วางไว้ที่ใด ก็วางไว้ในกายนี้ วางตรงไหนที่มันสงบถูกจริตถูกวาสนากับเรา..ก็วางไว้ตรงนั้น ที่เราเคยวาง..อย่างนี้ ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ถ้าไม่รู้..เรียกว่าไม่ใช่สติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
สิ้นสุดแห่งโลกอยู่ที่ไหน ถ้าเราตามหา..ตามโลก ก็ไม่มีทางสิ้นสุด ที่สุดของโลกอยู่ที่กายวาจาใจ..นี่แหล่ะคือที่สุดของโลก ถ้าโยมยังมีระยะทาง..ไม่มีทางที่สิ้นสุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมต้องตั้งจุดศูนย์สูตรอยู่ในกายของเราถึงจะเป็นที่สุดของโลก ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุดของโลก ในจักรวาลในกาแลคซี่ในพิภพนี้..ไม่มี ถ้ามีระยะทางเมื่อไหร่ นั้นก็เรียกว่ามีกรรมเมื่อไหร่..มีระยะทางเมื่อนั้น
เค้าเรียกว่ามีระยะทาง..ทางเดินของกรรม นั้นที่สุดของโลกพระพุทธองค์ท่านบอกว่าอยู่ที่กายของเรา โยมดับกายได้..นี่แหล่ะคือโลกแห่งวัฏฏะ ถ้าโยมยังเดินอยู่จะเป็นที่สุดได้อย่างไร เพราะโลกนี้มันเดินไปเดินมามันก็เป็นวงกลมก็กลับมาที่เดิม ภพชาติในวัฏฏะก็เหมือนกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ หมุนเวียนอยู่อย่างนี้
โยมต้องหยุดเดิน..แล้วโยมจะเห็นรอยเท้า ต้องหยุดเดิน หยุดรู้อยู่ในกาย หยุดรู้ที่ลมหายใจ ไอ้ตัวหยุดนี้แล..คืออะไร คือตัวสติ คนที่มีสติจะหยุดได้ เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ แต่ถ้ามันจะหยุดไม่ได้เพราะอำนาจแห่งแรงกรรม เข้าใจมั้ยจีะ
เค้าจึงว่าแรงกรรมคือแรงเหวี่ยง เหมือนแรงเหวี่ยงของโลก แรงโน้มถ่วง ถ้าเราทำอะไรไว้มากมันมีความหนาแน่นมาก มันก็มีแรงเหวี่ยงมาก จะไปต่อต้านมันได้มั้ยจ๊ะ มันก็เป็นธรรมดามันต่อต้านไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะมันมีกำลังมาก เพราะมันสะสมกำลังมามากแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ ก็เหมือนถ้าโยมสะสมความเพียรไว้มากๆ เมื่อถึงที่มันจะบรรลุธรรม สติปัญญามันเกิดขึ้นในตอนนั้น..โยมก็ตัดได้แบบนั้นเช่นเดียวกัน
นั้นการสะสมทาน ศีล ภาวนาไป อบรมบ่มจิตเจริญความเพียร ทำพละทั้ง ๕ อินทรีย์ทั้ง ๕ ให้มันเกิดมากๆในความเชื่อความศรัทธา ในความเพียร ในขันติ มีสติให้มาก มีสมาธิให้มาก มีปัญญาให้มาก เมื่อมันถึงแล้วทุกอย่างโยมก็จะตัดได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมไม่ได้อบรมบ่มจิต ไม่ได้เจริญอินทรีย์ เจริญอิทธิบาท ๔ แล้ว..ไม่มีทางหรอกจ้ะ อะไรที่โยมไม่ได้ฝึกมา สิ่งที่โยมจะปรารถนามันจะเกิดขึ้นไม่ได้..
นั้นก่อนที่โยมจะตายโยมฝึกไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ จงฝึกตาย..คนที่ฝึกตายแล้ว เมื่อฝึกตายจนชินแล้ว เมื่อถึงเวลาจะตายจริงโยมจะไม่มีความกลัว เพราะโยมชินแล้ว อะไรที่โยมไม่เคยฝึกไม่เคยชิน โยมจะมีแต่ความกลัว ทุรนทุราย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นความตายที่แท้จริงมันไม่น่ากลัว ที่มันตายมันตายแค่กายสังขาร เหมือนบ้านเช่าที่โยมต้องย้ายไปอยู่ในภพภูมิใหม่เท่านั้นเอง นั้นโยมจงทำความเคยชินกับมันในความตาย ว่าความตายนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความตายนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ก่อนนอนให้โยมพิจารณาความตายเป็นอารมณ์ นั่นแลเค้าเรียกว่าอารมณ์ของพระอรหันต์ท่าน ให้พิจารณาร่างกายสังขารว่า ไม่ช้าไม่นานร่างกายสังขารนี้ก็ต้องมีการจรจากกันไป กายสังขารที่เราอยู่นี้เป็นเพียงชั่วคราว เมื่อดับจิตในกายสังขารเมื่อไหร่ เราจะขอไปพระนิพพาน ให้เราว่าไปอย่างนี้อธิษฐานไปอย่างนี้
เราเอาจิตเราไปจับอะไรไว้ เมื่อถึงเวลาจิตเราจะพ้นในกาย จิตมันก็จะไปตามที่เรานิมิตไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะจิตมันต้องหาที่ยึดเกาะใหม่ หาภพใหม่ หาที่เสวยใหม่ นั้นไอ้จิตที่เราทำแบบนี้เพื่ออะไร..เพื่อความไม่ประมาทนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นพิจารณาความตายเมื่อเรานั้นภาวนาจิตจนจิตสงบแล้ว ต้องการจะพักผ่อนกายสังขารแล้ว ให้อธิษฐานให้กายสังขารนี้ว่า หากเรานั้นละจากกายสังขารนี้ไปเมื่อไหร่ ขอไปที่ตั้งสุดท้ายที่เราจะไปของจิต ขอมีนิพพานเป็นที่ตั้งที่หมาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นที่ตั้งที่หมายที่จะเกิดพระนิพพานจะทำยังไง โยมต้องดับกายสังขาร เห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะว่ากายสังขารเป็นของชั่วคราว เป็นของที่รังของโรค เป็นของมีทุกข์มากมีสุขน้อย เมื่อถึงที่สุดของกายนี้ที่ดับแล้ว นี่ให้เราได้อธิษฐานแบบนี้ ข้าพเจ้านี้ขอจับพระนิพพานเป็นทีไปเบื้องหน้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ และทำจิตนั้นให้ว่าง ความว่างที่เรากำหนดนิมิตหมายไว้นั่นแล แล้วมีจิตมีสติในขณะนั้น โยมจะจับต้องได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะในขณะที่โยมวางจิตให้นิ่งให้สงบให้ว่าง แล้วปรารถนาเพ่งโทษในกายแล้ว จิตและกาย..รูปธรรมกับนามธรรมมันจะแยกออกจากกันในขณะนั้น เพราะในขณะที่โยมปรารถนาทำจิตให้ว่างแล้วอธิษฐานความปรารถนา เมื่อถึงจิตที่นั้นจะต้องแตกสลายจากกายสังขารนี้ไป จะไม่มีการรั้งรอหรือเสียดาย ก็ขอเอาจิตนี้มีนิพพานเป็นที่หมาย จิตโยมจะเห็นแสงอยู่ข้างหน้า แล้วในขณะที่โยมจะต้องตายไปจริงๆ แสงนั้นจะมารับโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
โยมทำนิมิตไว้ให้เกิดขึ้น เพราะคนจะตายจะเกิดนิมิต ถ้าโยมไม่ได้เจริญความเพียรเลยไม่มีสติเลย ความหลงลืมก็ดี อวิชชาในกรรมก็ดีที่มันจะมาเบียดเบียนในภพภูมิที่มันจะไปเกิด มันจะเข้ามาเป็นนิมิต นั้นโยมทำจิตให้สว่างตื่นรู้ไว้ ให้ม้นชิน ให้เกิดตัวชินในการเจริญฌานนั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อจิตโยมถึงจะดับกายสังขาร เมื่อกำหนดจิต มีฌานเป็นที่หมาย เป็นที่ข่มอารมณ์ได้..กายมันจะระงับ เมื่อกายมันระงับนั้นแล..สติมันจะตั้งมั่น เมื่อสติตั้งมั่นแล้ว ขอให้ดูกายอยู่ในลมอยู่ในกายนั้น จนธาตุทั้ง ๔ นั้นมันสลายแตกดับออกไป จิตที่โยมจะไปที่หมายมันก็หลุดออกจากกันทางนั้น จะหลุดโพลงออกจากกันทันที เข้าใจมั้ยจ๊ะ ชั่วขณะจิตเดียว นั้นการฝึกจิตนี้จึงสำคัญมาก มีประโยชน์มาก..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ฝึกตาย
ทุกที่ล้วนมีวิญญาณ
จิตสงบ..จึงเรียกว่าสมาธิ บุคคลที่มีสมาธินี่แลจะประกอบด้วยทาน ศีล ภาวนา ถ้าไม่เกิดจากทาน ศีล ภาวนาจิตจะสงบไม่ได้ อ้าว..ถ้าโยมไม่มีทานมาอบรมบ่มจิต รู้จักการสละ รู้จักการให้เมตตา อโหสิกรรม..มันจะสงบได้ยาก จิตมันก็จะฟุ้งอยู่อย่างนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นสมาธิจะเกิดได้มันเกิดจากทาน ศีล ภาวนา..มันจึงสงบได้ มันจึงเรียกว่าครบองค์ประชุม ดังนั้นแล้วขอให้โยมกำหนดรู้ กำหนดรู้อยู่ในกาย เพราะว่ากายเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ กายเป็นเหตุแห่งทุกข์ กายเป็นที่ดับแห่งทุกข์ นั้นโยมไม่ต้องไปตั้งจิตไว้ที่ไหนเลย..ตั้งจิตไว้ในกายนี้
เพราะถ้าเราไม่มีลมหายใจแล้ว คือไปกำหนดรู้ไม่ได้แล้วในลมหายใจ เพราะสมาธิมันแนบไปในลมหายใจแล้วในองค์ภาวนา องค์ภาวนานี้แลจะนำทางโยม เพราะว่าพุทโธที่โยมภาวนาไปนั้นจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
พระพุทธองค์ท่านรู้อะไร..ท่านรู้อริยสัจ แล้วก่อนที่พระพุทธองค์ท่านจะรู้อริยสัจ..ท่านเห็นกฎความเป็นจริงคืออะไร ก็คือกฎแห่งไตรลักษณ์ เห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นี่เค้าเรียกว่าไตรลักษณญาณ ญาณคืออะไร..คือจิตที่ไปหยั่งรู้เข้าไปเห็นตามความเป็นจริง คือ ๓ ประการว่าทุกข์มันอยู่ที่ใด กายนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง อนิจจังคือความไม่เที่ยง อะไรคือความไม่เที่ยงบ้าง..นี่คือหมวดแห่งวิปัสสนาญาณ
ความไม่เที่ยงมีอะไรบ้าง เกศาหรือว่าผมที่มันเคยดำ เคยแข็งแรง เคยดก ตอนนี้มันเริ่มขาว เริ่มร่วง..อย่างนี้เรียกว่าไม่เที่ยง ใช่มั้ยจ๊ะ นี่เรียกว่าวิปัสสนาญาณ ก่อนที่โยมจะไปเห็นอริยสัจ ๔ โยมต้องเห็นไตรลักษณาเสียก่อน โยมต้องเห็นความเป็นจริงนี้ เห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง แห่งอนัตตา พอมันร่วงไปหมดแล้วมันสลายไปแล้ว แม้กายสังขารก็ดี พอเราไม่มีลมหายใจเอาไปเผาแล้ว..แล้วเราจะเหลืออะไร เหลือผงกระดูกเถ้าถ่าน แม้ผงกระดูกเถ้าถ่านนั้นไม่นานมันก็เป็นผงธุลี ผงธุลีนั้นไม่นานก็จะเป็นอากาศธาตุไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
โยมรู้หรือเปล่าจ๊ะ..ว่าดินที่โยมเหยียบย่ำกันอยู่ มันคือ..อะไรบ้าง มันเกิดจากซากศพ ซากกระดูก เลือดเนื้อที่มนุษย์ได้เกิดตายทับถมทับถมจนเป็นปฐพีขึ้นมา แสดงว่ามนุษย์นั้นเกิดตายไม่รู้เท่าไหร่ อยู่อย่างนี้ จึงหนาแน่นเป็นแผ่นดินและแผ่นน้ำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นแสดงว่าไม่ว่าโยมจะนั่ง จะเดิน จะนอนที่ใด ล้วนแล้วหลีกเว้นจากวิญญาณไม่มีเลย วิญญาณต่างหากที่คอยต้องหลบโยม เพราะเค้าเห็นเรา แต่เราไม่สามารถเห็นเค้าได้ ฉันจึงบอกว่าไม่ว่าโยมจะนั่งภาวนาทำกุศลบารมีที่ใด ขอให้โยมนั้นอธิษฐานนั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี เพื่อจะได้เป็นพุทธมณฑลเป็นรัตนะที่โยมจะเดิน เพื่อไม่ทำให้เกิดการล่วงเกินต่อกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะบางที่สิ่งที่โยมไปนั่ง ไปเดิน ไปสร้างบุญกุศลนั้น อาจจะมีเจ้าที่เจ้าทางเค้าอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นจึงบอกให้โยมนั้นมีการอธิษฐานบารมีให้กับเทพยดาเจ้า เจ้าที่เจ้าทาง ให้เค้ามาโมทนา แสดงว่าทุกที่ๆเราจะกระทำนั้นเป็นที่เราได้อาศัยได้ใช้ชั่วคราว โยมบอกว่าเห็นที่มันว่างไม่มีเจ้าของไปนั่ง โยมอย่าลืมว่า แม้ว่าไม่มีเจ้าของไปนั่ง แต่ที่ฉันบอก..ทุกที่ล้วนมีวิญญาณ
บางคนอยากจะนั่งก็นั่งเลย..ก็นั่งทับเจ้าที่ แล้วไม่กระดิกอีกเลย..หลับไปเลย นั้นโยมต้องอธิษฐานบุญให้เจ้าที่เจ้าทาง ดวงจิตวิญญาณ ณ ที่ตรงนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่ก็สำคัญ แล้วถ้าโยมแผ่เมตตาให้ที่ตรงนั้นเทพเทวดาตรงนั้น โยมอาจจะได้ธรรม ได้สมบัติแห่งธรรม ได้วิชา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อโยมให้เค้าแล้ว..โยมก็จะเป็นผู้รับ แต่ถ้าโยมไม่ให้อะไรเลย มันอาจจะโดนเค้ากลั่นแกล้งได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอย่าคิดว่าตัวเราเองมีดี คนถ้าคิดว่าตัวเองมีดีเมื่อไหร่ โยมจะต้องถูกลองของเมื่อนั้น นิมิตทั้งหลายที่โยมเห็นล้วนเป็นของไม่จริง เป็นของมายา เป็นของที่มันทำให้โยมนั้นไปได้ช้านั่นเอง หรือเรียกว่าความหลงในนิมิตก็ดี
การที่จะเห็นความเป็นจริงคืออะไร เห็นความเป็นจริงเห็นภัยในวัฏฏะ..นี้เรียกเห็นความเป็นจริง แม้โยมจะไม่เห็นจริงในกายสังขารว่าตับไตไส้พุงมันเป็นอย่างไร แต่ถามว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่สิ่งที่โยมไปเพ่งอยู่ไปรู้อยู่ มีจริงหรือเปล่าจ๊ะ ถ้ามันมีจริงแสดงว่าโยมเห็นจริง แม้โยมไม่ต้องผ่ามันออกมาก็ดี
อาหารใหม่อาหารเก่าที่โยมเสวยไปแล้ว บริโภคไปแล้วนั้น เมื่อมันถ่ายออกมาเป็นอุจจาระ เป็นสิ่งปฏิกูลของเปื่อยเน่า มันมีจริงอย่างนั้นหรือไม่ แสดงว่ามันก็มีจริง แสดงว่าเราก็เห็นจริง ถามว่าโยมเห็นบ่อยแค่ไหน เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อย เพราะเราไม่ค่อยได้พิจารณา ใช่มั้ยจ๊ะ
ตราบใดเมื่อโยมขาดการพิจารณาอย่างนี้..ความหลงก็จะมีมาก ความเพลิดเพลินพอใจในกายก็จะมีมาก การหลงรูปคนอื่นมันก็จะบังเกิดอยู่ร่ำไป ถ้าโยมพิจารณาตระหนักอยู่อย่างนี้ว่าร่างกายสังขารนี้มีแต่ของโสโครก มีแต่ของเน่าเหม็นอย่างนี้ ไม่ว่ากามคุณอันใดมันก็จะลดลงมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
"ละ..ให้ดับอารมณ์วิญญาณในขันธ์ ๕ ในรูป ในเวทนาที่เราไปติดไปพอใจ รูป กลิ่น เสียง สัมผัสอะไรเหล่านี้ ให้เรามาเท่าทัน เมื่อเราเท่าทันแล้ว
มันก็จะดับของมันเอง เมื่อมันดับอยู่บ่อยๆ เชื้อที่
มันจะเกิดมันก็มีน้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่นานเมื่อมัน
หมดเชื้อ..มันก็หมดอยาก เมื่อหมดอยากแล้ว
เหมือนไม้ที่มันหมดยาง ไม่นาน..มันจะเกิดขึ้น
มาอีกก็ได้ยาก"
" มีเชื้ออยู่ต้องทำอย่างไร เราก็ต้องมีสติ ไม่ให้เชื้อนั้นมันลุกลามบานปลายไปใหญ่โต นี่เค้าเรียกว่าควบคุมไฟควบคุมกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไม่ควบคุมมัน ไฟนั้นเมื่อมันเผาผลาญลุกลามไปใหญ่โตเกินในอำนาจบุญกุศลบารมีที่เราจะควบคุมได้..มันก็จะให้โทษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ"
ดังนั้นอะไรที่เรายังควบคุมยังเท่าทันได้อยู่เป็นผู้สำนึกได้นั้นแล เค้าเรียกว่าไฟแม้มันจะลุกลามบานปลายเพียงใด ถ้าเราสำนึกในกรรมนั้นได้ว่ามันให้โทษให้คุณอย่างไร กรรมนั้นมันก็ลหุโทษได้ เบาบางลงได้ ถ้ากรรมอันใดที่เราทำไปแล้วนั้น เราไม่ได้สำนึกในบาปบุญคุณโทษเลย แม้เป็นกรรมเล็กน้อยเมื่อเราทำอยู่บ่อยๆมันก็ให้ผลมากได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขอให้โยมจงไปเจริญปัญญาพิจารณาดูให้ดี
ดังนั้นเมื่อเรามาเจริญพระกรรมฐานแล้ว เราต้องรู้กาลรู้เวลา สังขารมันจะอ่อนล้ามันเป็นธรรมดาของมัน แต่ถ้าเราไม่สนใจเรารู้หน้าที่ ไม่นานจิตมันจะตื่นรู้ของมันเอง คือจิตมันตื่นรู้หน้าที่ เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆเป็นนิสัยแล้ว เราก็จะเกิดความเคยชิน เกิดความพอใจ เกิดความชอบ..นั้นอิทธิบาท ๔ มันก็เกิดขึ้น เมื่อผู้ใดเจริญอิทธิบาท ๔ อยู่บ่อยๆ อยู่เป็นนิตย์แล้ว การปรารถนาต่ออายุมันก็ย่อมเป็นไปได้ ที่เราจะต่ออายุการสร้างบารมี ดังนั้นขอให้โยมสะสมบุญแห่งกรรมฐานไว้มากๆ
#บุญแห่งกรรมฐานนี้เราสามารถช่วยสัตว์นรก ได้
แต่ถ้าสัตว์นรกดวงจิตวิญญาณใดที่เค้ายังตกนรกใช้กรรมอยู่ บุญอาจจะไปไม่ถึง แล้วต้องทำอย่างไร ขอให้เราอธิษฐานบุญฝากบุญกุศลนี้ให้กับพญายมราชเจ้าท่าน ให้เค้าได้รับบุญกุศล ฝากไปถึงดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่ยังได้รับโทษทัณฑ์ ที่เค้ามีบุพกรรมมีบุญต่อเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถึงบิดามารดาของเรา ให้อธิษฐานไป
ยิ่งเป็นวันพระวันเจ้าแล้วยิ่งดียิ่งมีอานิสงส์ เค้าเรียกว่ามันปลอด เมื่อวันพระวันเจ้าหรือวันปลอด..ปลอดอย่างไร นรกเค้าจะหยุดทำงาน มันก็เป็นการเยี่ยมหาญาติมิตรได้โดยตรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแลบิดามารดาตาทวดของเรายังได้ชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นทายาท นั้นบุญกุศลอันใดที่เราจะตอบแทนผู้มีคุณเราควรเจริญไปให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
#บิดามารดาที่เค้าอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว
ถ้าเค้าไม่ได้เคยเจริญกรรมฐานจะพ้นนรกไปไม่ได้หรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้แต่เราเองก็ตาม ถ้าไม่ได้เจริญกรรมฐานก็จะหาว่าพ้นนรกได้ไม่ ต่อเมื่อเราได้รู้กรรมฐานแล้วนี่แลที่จะช่วยสัตว์นรกได้ แล้วก็ช่วยเลื่อนภพเลื่อนภูมิตัวของเราเองได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นแล้วถ้าเรายังไม่เจริญ ยังไม่สุข บิดามารดาผู้ให้กำเนิดของเราเค้าก็ยังไม่สุขหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้ายังร้อนอยู่ เพราะไฟเรายังไม่ดับ ที่ไม่ดับเพราะอะไร เพราะเรายังมีกรรมเป็นทายาทอยู่ เรายังไปรับเชื้อมาอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันยังดับไม่ได้หรอกจ้ะ เมื่อยังดับไม่ได้ต้องทำอย่างไร เราก็ต้องมาละมาตัดซะ เมื่อดับมันเย็นได้ เมื่อเย็นได้เราก็แผ่เมตตาจิตออกไป เพื่อเอาความเย็นของบุญกุศลนี้แลเพื่อไปชโลมให้การทุกข์ทรมานของสัตว์นรกนั้นได้เบาบาง
แล้วโยมจะรู้ได้หรือไม่ว่าสัตว์นรกของโยม ว่าคนนี้ไม่ใช่ญาติเรา คนนี้ดวงจิตนี้ไม่ได้มีบุพกรรมกับเรา ล้วนแล้วสรรพสัตว์ในโลกทุกจิตวิญญาณไม่ว่ามีช่องว่างไม่เว้นที่เราจะรู้ไม่รู้ก็ตามที..ล้วนแล้วเคยเกิดมามีบุพกรรมร่วมกันทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นโยมสามารถแผ่เมตตาจิตให้ทั่วจักรวาลพิภพได้ทั้งหมดเลย แม้โยมที่จะมาเกิดในโลกนี้ แม้ยังไม่เคยเจอหน้า แม้เคยเจอหน้าแล้วก็ดีจะด้วยวาระบุพกรรมอันใดก็ตาม เป็นมิตร เป็นศัตรูอะไรก็ตาม ล้วนแล้วเคยเกิดมาเป็นญาติพี่น้อง เป็นบิดามารดา เป็นคู่สามีภรรยา เป็นลูกเป็นหลานหมดแล้วทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เค้าถึงว่ามีศีลเพื่อเป็นการเป็นเกราะป้องกัน เพราะเกิดมาพอก็มีลูกมีหลาน เกิดระลึกชาติได้ว่าลูกคนนี้เคยเป็นสามีภรรยากัน เกิดความกำหนัดเกิดกิเลสตัณหา อันว่ามีศีลมาเพื่ออะไร พระพุทธองค์ท่านได้เล็งเห็นแล้วว่า สัตว์นรกนั้นเมื่อขาดจากศีลแล้วความละอายหรือการจะมีหิริโอตัปปะนั้นมันเกิดขึ้นได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นขอให้โยมจงเจริญเมตตาจิตเจริญพรหมจรรย์ให้เข้าถึง เพื่อเป็นที่ๆจะไปช่วยเหลือปลดปล่อยดวงสรรพวิญญาณทั้งหลาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมสวดมนต์เจริญเมตตา ณ ที่ใด แผ่เมตตา ณ ที่ใด ที่ตรงนั้นมันก็ดับความเร่าร้อนได้ เมื่อดับความเร่าร้อนได้ เทวดาก็จะมีมากที่นั่น เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเมื่อสดับฟังมนต์ไปมากๆแล้ว เค้าก็จะเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อเรามีมนต์เจริญอยู่บ่อยๆ ย่อมทำให้สถานที่นั้นได้เจริญ ลาภก็ดีมันก็จะบังเกิดขึ้น ยิ่งเทวดาหรือบุคคลที่มีจิตที่เป็นกุศลเป็นผู้ใจบุญเค้าจะมาอุดหนุนค้ำชู เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็จะมีลาภสักการะ แม้เราไม่ปรารถนามันก็จะบังเกิดขึ้น นั่นคืออานิสงส์แห่งการสวดมนต์และแผ่เมตตาจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้กระทั่งตัวของบุคคลนั้นเองก็จะมีลาภสักการะ เรียกว่าเทพเทวดาเค้าเลี้ยงดู
ในโลกนี้ก็หาใช่ว่าจะมีของฟรีไม่ แต่เรียกว่าเป็นการพึ่งพาประโยชน์ซึ่งกันและกัน หากเราไม่ได้ให้ประโยชน์เสียแล้วกับใคร ใครจะมาให้ประโยชน์กับเรา..เป็นไปไม่มี เข้าใจมั้ยจ๊ะ
#สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
กรรมเหนือกรรม
เมื่อไม่ส่งจิตออกไปภายนอกเมื่อไหร่ กรรมในอกุศลทั้งหลายมันก็จะเข้ามาได้ยาก นั้นกรรมที่เป็นอกุศลภายในนั้นแลเราก็ย่อมมองเห็นได้ ดังนั้นสิ่งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นอกุศลหรือกรรมชั่ว ชั่วช้าลามกอะไรก็ตามที แต่เมื่อเราได้มาเจริญพระกรรมฐานแล้ว ให้เรานั้นผ่อนปรนเสีย มีอภัยให้เกิดขึ้น มีเมตตาตนเสียก่อน ยังประโยชน์ให้จิตนั้นมันเกิดขึ้น ให้มันมีกำลังใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมาแล้ว ดับขันธ์ไปแล้ว ล้วนแล้วไม่มีองค์ใดเลยรูปใดเลยที่ไม่เคยทำกรรมชั่ว ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะถ้าไม่เคยทำกรรมชั่วทำอกุศลให้เกิด มันก็จะไม่รู้ได้ว่านั่นมันมีโทษอย่างไร แล้วความดีเป็นอย่างไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นกรรมที่มีเจตนาที่ล่วงรู้แล้วทำเจตนานั้นให้เกิดขึ้นมาใหม่ เพื่อไม่ให้เจตนาที่เป็นความชั่วนั้นเกิดขึ้นมาอีกนั้นแล มันจึงเรียกว่าเหนือกรรมนั้นเอง เช่นว่าโยมนั้น..ทางใดที่ทำไปแล้วทำให้ถึงเกิดนิโรธไปถึงทางแห่งมรรค ถึงทางดับทุกข์ นั่นเรียกว่า"กรรมเหนือกรรม"
การเจริญสมาทานศีล เจริญภาวนาจิต อบรมอินทรีย์บ่มจิตนี้ให้เกิดขึ้นมีสติด้วยปัญญานั้นแล..เรียกว่าเป็นทางเดินแห่งมรรค หรือทางสายกลางมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางว่าด้วยอะไร ก็คือการเจริญทาน อบรมบ่มจิตให้รู้จักการสละรู้จักการให้ ให้เข้าถึงศีลถึงความสงบตั้งมั่นในจิตในใจ ให้เข้าถึงปัญญา คือการมีภาวนาอบรมบ่มจิตพิจารณา ให้แจ้งในวิปัสสนาญาณ
ญาณที่ยังกำจัดอาสวะกิเลสนั้นให้มันดับสูญไป แต่ถ้าเรายังไม่ถึงในญาณนั้น เราก็ต้องอบรมบ่มจิตให้มาก นั่นคือไปถอดถอนในอารมณ์ของขันธ์ ๕ นี่ให้มากๆ ว่าขันธ์ ๕ นี้มีทุกข์อย่างไร คือการไปเพ่งโทษให้มากๆ การเพ่งโทษในขันธ์ ๕ ทนทุกข์ให้มากๆ คือการละอารมณ์ ละให้ได้มากที่สุด เพราะหัวใจของกรรมฐานคือเพียรละ เมื่อละถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอารมณ์แล้ว จิตมันก็สงบจิตมันก็ว่าง นั่นแลเรียกว่าเราเข้าถึงพุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
แต่เมื่อพุทโธเกิดขึ้นแล้ว..ก็เอาพุทโธนั่นแลไปอบรมบ่มจิต ไปอบรมบ่มจิตไปอบรมที่ไหน..กาย กายานุสตินี้แลเราอบรมเรียนรู้มันให้มากๆ เพราะที่เราไปหลงกายอยู่นี้ไปหลงอะไร..หลงหนัง หนังเมื่อไม่มีห่อหุ้มกายแล้วจะเป็นอย่างไร ใต้ผิวหนังเรามีอะไร มีน้ำเลือดน้ำหนอง ก็เพ่งพิจารณาดูธาตุสีสันวรรณะน้ำเลือดน้ำหนอง ก็ให้พิจารณาอย่างนี้
ถ้าเราพิจารณาได้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเห็นสภาวะความไม่เที่ยงนั่นแล ก็ให้เราพิจารณาให้เห็นอยู่บ่อยๆ จะทำให้จิตเรานั้นคลายจากความกำหนัดความยึดมั่นถือมั่นในกาย แม้เรายังมีหลงรูปพอใจ..มันก็เป็นธรรมดาในขณะจิตที่เรานั้นออกจากสมาธิ ออกจากฌานเสียแล้ว มันก็จึงเป็นวิสัยของมนุษย์ธรรมดา
แต่เมื่อในขณะที่เราเจริญกรรมฐาน เราต้องน้อมจิตให้เข้าถึง..เพื่ออะไร เพื่ออบรมบ่มจิตเรานั้นแล เมื่อเราเห็นโทษเห็นภัยมันมากเข้าแล้ว มันจะละรูปละความพอใจของมันไปในตัวทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นไม่ต้องถามว่าการเจริญพระกรรมฐานนี้มันจะสิ้นสุดอย่างไร กิเลสมันจะดับสลายไปตอนไหน..ไม่ต้องไปถามหามัน มันจะทำให้อุปาทานแห่งขันธ์เกิดขึ้น
แต่เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ ละมันอยู่บ่อยๆในขณะนี้ ทำตอนนี้นั่นแล มันจะเป็นผู้บอกเองว่าเราจะละได้มากเท่าไหร่ การเจริญกรรมฐานจะรู้ได้อย่างไรว่ามีความก้าวหน้าอย่างไร ดูซิว่าโกรธน่ะมันลดลงมั้ย โลภน่ะมันลดลงมั้ย ไอ้ราคะมันเหลือน้อยมั้ย ถ้า ๓ ตัวนี้พิจารณาแล้ว เพ่งดูแล้วด้วยจิตด้วยญาณแล้วมันน้อยลง..
ถ้ามันน้อยลงสติของเรานั้นจะควบคุมมันได้ แต่ถ้ามันมากเหมือนความเร็วของรถ ถ้ามันเร็วจนเกินไปเราจะควบคุมมันยาก ถ้าเราขับพอประมาณอยู่ในวิถีสติของเรากำลังของเราในความสามารถ เราก็จะบังคับบังเหียนมันได้ เท่าทันมันได้ในสตินั้น คือไม่ประมาท อันนี้ก็เช่นกันว่าสิ่งที่เรามาเจริญกรรมฐาน บุญกุศลที่เรามีอยู่มันพัฒนาอย่างไร..
ถ้าสิ่งไหนลด..คุณธรรม ภูมิธรรมมันก็เพิ่ม ถ้าสิ่งไหนมันเสื่อม..คุณธรรม ภูมิธรรมเราก็ลด ก็ให้พิจารณาอย่างนี้ ไม่ต้องไปถามครูบาอาจารย์ไหนๆว่าฉันนั้นสำเร็จขั้นไหนแล้ว ได้ภูมิธรรมอะไร ไม่ต้องไปถามหาขั้น เพราะบุคคลประพฤติปฏิบัติไปแล้วจะรู้ด้วยจิตตัวเอง
หากไอ้โมหะ โทสะ โลภะ พญามาร ๓ ตัวนี้โยมสามารถควบคุมและลดมันลงไปได้ เหมือนเราลดน้ำตาลเบาหวานมันก็ลด หากเราสามารถลดมันได้ควบคุมมันได้ ทีนี้แล้วเมื่อเรากำหนดรู้อยู่บ่อยๆมันก็เป็นประโยชน์ เราจะได้รู้ว่าทางเดินที่เราจะออกจากทุกข์น่ะมันอีกไกลแค่ไหน ความเพียรเราต้องมีมากแค่ไหน
ดังนั้นทุกข์เวทนาเค้าไม่ให้มาเป็นทุกข์ แต่เค้าให้รู้ทุกข์ ทีนี้โยมรู้ถึงที่สุดหรือยัง บางคนยังไม่รู้ถึงที่สุด..ว่าเจ็บนิดก็ทนไม่ได้ เมื่อเรายังไม่มีการข่มเวทนาหรือข่มอารมณ์ นี่เรียกว่าการสะกดวิญญาณ ถ้าเราไม่รู้จักการสะกดวิญญาณ..วิญญาณมันก็จะเฮี้ยนอยู่อย่างนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะอารมณ์มันจะพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นเวทนาเกิดขึ้นก็ดี ความไม่พอใจนิดๆหน่อยๆก็ดี เราต้องรู้จักข่มจิตคือข่มอารมณ์ ต้องทำใจให้ได้ก่อนว่าเราทำไปเพื่ออะไร เรากำลังทำอะไรอยู่ มันต้องรู้ใจตัวเองก่อนถึงจะไปรู้อารมณ์ แล้วถึงจะไปรู้สภาวะจิตได้ ถ้าเราไม่รู้จักข่มจิตข่มใจเสียเลย หิริโอตัปปะมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่สามารถหนีออกจากเราไปได้แน่นอน มันก็จะเกาะบุญเกาะกุศล ทำให้เราหลงฤทธิ์หลงเดช หลงตัวหลงตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นเราต้องเปลี่ยนเทวดาที่อยู่กับเราเสีย..ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็เปลี่ยนอะไรเล่าถึงจะเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนจากตัวเรา เปลี่ยนจากต้นกำเนิดตัวเรา ให้เรามีศีล ให้เรามีหิริโอตัปปะ ให้เรามีความเกรงกลัวต่อบาป สิ่งไหนที่เรามีโอกาสที่จะทำชั่วได้โดยที่ไม่มีใครเห็นก็ตาม..แต่เราไม่ทำ นั่นแลเค้าเรียกว่าบารมี มีขันติธรรม นั้นก็ค่อยๆฝึกไปทีละเล็กทีละน้อยมันจะมากไปเอง
ต้องอย่าลืมว่าทีละเล็กทีละน้อย..บุญที่ทำแล้ว กรรมชั่วก็ดีที่ทำแล้วแม้เพียงเล็กน้อย..ไม่มีทางหายไปเลย ยังคงอยู่เป็นรอย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อขีดไปแล้วจะว่าไม่มีรอยเป็นไปไม่มี บุญก็เช่นเดียวกัน เมื่อกระทำขึ้นมาแล้วจะว่าเป็นผลเล็กน้อยแล้วว่าไม่เป็นผล..ก็เป็นไปไม่มี แต่เมื่อเราทำมากๆมันจะสะสม ก็เหมือนกรรมในอดีตเราไม่รู้ได้ว่าเราทำมามากเพียงใด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
หากเราไม่ทำบุญกุศลเลยในปัจจุบันนั้นเพื่อผดุงไว้ กรรมในอดีตมันก็อาจจะตามมาให้ผลตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าเราทำกรรมในปัจจุบันนั้นเป็นกรรมดีอยู่บ่อยๆมีกำลังมาก แม้กรรมในอดีตมันจะตามมาให้ผลก็ดี แต่กรรมในปัจจุบันมันยังสามารถพยุงไว้ได้ คือไม่ให้ตกไม่ให้ต่ำไปกว่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
เดินปัญญา
ลูกศิษย์ : เรานั่งสมาธิแล้ว พอถึงช่วงที่ว่าเราต้องเดินปัญญาน่ะครับ เราจะต้องเริ่มจากตรงจุดไหนแล้วก็อะไร เพราะตรงนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าเดินปัญญานั้นจะเริ่มจากตรงไหนและเดินยังไงน่ะครับ
หลวงปู่ : ปัญญา..เมื่อสติบังเกิด สมาธิบังเกิด ปัญญามันก็บังเกิดอยู่แล้ว แต่ปัญญาที่เกิดขึ้นนั้น..มันยังไม่ถูกเอาปัญญาตรงนั้นไปเจียระนัย ถ้าในทางธรรมเค้าเรียกว่าเอาไปพิจารณา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วไปพิจารณาอะไรเล่าถึงจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ถึงจะเป็นหลักเป็นแก่นสาร ก็คือพิจารณากายสังขารของเรานี้แล..
เพราะกายนี้มันคือขันธ์ ๕ แห่งกองขันธ์แห่งทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่เราไปหลงติดเพลิดเพลินก็เพราะว่ากายนี้ ก็เพราะมันมีกาย..มันจึงเกิดเวทนา เพราะมันมีเวทนา..มันจึงเกิดสัญญาความจำ เพราะมันมีความจำ..มันจึงเกิดสังขารไปปรุงไปแต่ง เลยมีวิญญาณเข้ามาสำทับไปผสมเข้าไป มันจึงเกิดอารมณ์แห่งกองขันธ์ขึ้นมา..
ดังนั้นเราต้องไปดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ คือไปดับเหตุก่อน..ที่กาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วอะไรที่มันอยู่ในกาย โยมรู้มั้ยจ๊ะ ตู้พระไตรปิฎกไม่ได้อยู่ที่ไหน พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็อยู่ในนี้ นั่นคืออยู่ในใจของโยม เพราะองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหตุเกิดที่ใดนั้น..เหตุธรรมที่เกิดขึ้นเราต้องไปแก้ไปดูที่เหตุนี้ มันเกิดที่ใจ คือสมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าใครไปแก้ไปดู ไปพิจารณา ไปละไปวางได้ ดับได้ นิโรธก็บังเกิด เมื่อนิโรธบังเกิดแล้วไซร้ ย่อมเห็นทางเดิน ก็ทำให้บ่อยๆ จะเห็นทางเดินนั้นชัดเจน นั่นเรียกว่าโยมไปเปิดอวิชชาเปิดขึ้นมา ไปทำลายนิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ ความเคลิบเคลิ้มใจ ความลังเลสงสัย ความหดหู่ใจ อารมณ์ความอยากพยาบาทมาดร้ายนั้นเมื่อมันไม่มีแล้ว จิตประภัสสรซะแล้ว..ทางแห่งมรรคก็ย่อมเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง นั้นแลควรเอาปัญญาไปพิจารณาในกายให้มันถ่องแท้ว่ามีอะไรบ้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ
กายนี้มันเป็นแค่เรือนอาศัย เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องสละคืนไป ตอนที่เรายังมีลมหายใจและยังควบคุมกายได้อยู่ การที่เราควบคุมกายได้อยู่นั้นหมายถึงอะไร ก็หมายถึงว่าร่างกายยังแข็งแรงสมบูรณ์อยู่ นั่นเรียกว่าเราสามารถใช้งานเค้าได้อยู่ หรือว่าบังคับเค้าได้อยู่
แต่เมื่อถึงเวลาร่างกายเค้าจะผุพัง หรือมีสัญญาณบอกเหตุ หรือมีอาพาธคือความป่วยเจ็บ ไม่สบายก็ดี นี้แลเรียกว่าเราไม่สามารถบังคับบีฑาเค้าได้ แสดงว่าเรือนนั้นกำลังจะพังทลาย แสดงว่าเราต้องเตรียมตัวไปอยู่ที่เรือนใหม่ แต่ถ้าโยมพอใจอีก โยมก็ต้องกลับมาเกิดอีก แม้ไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็ดี อาจจะเกิดอยู่ในกายของสัตว์เดรัจฉานก็ดี ล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกมีเวทนา ย่อมเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นเมื่อกายเกิดมาเป็นกายมนุษย์ เป็นสัตว์อันประเสริฐ เรียกว่าเป็นภพภูมิใจกลาง สามารถเลื่อนภพภูมิใจกลาง..จะไปข้างบนหรือไปข้างล่าง หรือไปทางไหน สุดแล้วแต่เรานั้นอธิษฐานจิตกำหนดรู้ นั้นก็คือต้องมีการสร้างทาน เจริญรักษาศีล ภาวนาให้เกิดปัญญา
เพื่อเอาปัญญานี้แลให้เป็นอาวุธเป็นคุณวิเศษ เพื่อไปตัดอวิชชาสังโยชน์ทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ทั้งหลาย กรรมที่เราไปติดนั่นเอง ก็ต้องมาอบรมบ่มจิตให้จิตเรานั้นแกร่งกล้าแววไว เพราะเราตามใจตัวเองมาเนิ่นนาน
ดังนั้นจงจำไว้ พยายามทำให้กายสังขารนี้ทุกข์อยู่บ่อยๆ..ทำยังไงเล่าจ๊ะ คือไม่พอใจในสุข เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเมื่อใดโยมเกิดสุข จงรู้กับมัน แล้วก็พิจารณาปรารภว่า..แสดงว่าทุกข์กำลังจะบังเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า แล้วทำยังไงว่าเราจะเสวยสุขเสวยทุกข์ได้ รู้ทุกข์ได้ อ้าว..ก็กำหนดรู้สิจ๊ะ อะไรที่เป็นทุกข์กำหนดเลยจ้ะ อย่าไปกำหนดถึงสุข
ถ้าใครไปกำหนดถึงสุขเมื่อไหร่ นั้นเรียกว่ากามคุณจะบังเกิด เพราะจิตเรานั้นจะเข้าไปปรุงแต่ง เกิดความพอใจ เกิดสัญญา เกิดเวทนา (ลูกศิษย์ : ถ้าอย่างนั้นต้องทำให้เกิดภาพ มโนภาพขึ้นมาก่อนมั้ยครับ) ก็ได้ทั้งนั้น การมโนภาพนั้นแล้วก็น้อมไป เรียกว่ามโนกายสังขารที่เป็นของเรา..น้อมเข้าไปในกายสังขารจริงก็ได้
หรือมโนนิมิต..เคยไปเห็นซากอสุภะ แล้วก็เห็นจริงตามจริงแล้วก็มาพิจารณาก็ได้ทั้งนั้น นั้นเรียกว่าไปทางกรรมฐานคือการหลุดพ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือว่าให้เห็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ดังนั้นสติของโยมนั้นจะตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา แล้วโยมจะเจริญสมาธิ เจริญฌาน เจริญวิปัสสนาญาณได้ง่าย เข้าออกเร็ว ตั้งมั่นเร็ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แล้วศีลโยมก็จะแข็งแรง สุขภาพร่างกายถึงแม้ไม่แข็งแรง แต่ใจโยมจะแข็งแรง แม้ร่างกายสังขารโยมจะมีอายุมาก แต่ก็ยังสามารถชะลอวัย เพื่อเอากายสังขารนี้ไปสร้างความเพียรได้..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
อย่ายึด
เวลาที่เราจะประพฤติปฏิบัตินั้นมันเหลือน้อย..เหลือน้อยอย่างไร เพราะว่าเราปฏิบัติจริงๆไม่มาก แต่เวลาความเพลิดเพลินของกิเลสมันมีมาก จึงบอกว่าเวลาปฏิบัติมันเหลือน้อย ดังนั้นเราจะทำยังไงว่าเราจะต้องทำให้มากเป็นทางลัด..ทำยังไง คือทำทุกขณะจิตที่โยมระลึกได้นั่นแล เรียกว่า"ทำมาก"
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าละมากแล้ว ถ้าโยมสละอารมณ์ได้มากเท่าไหร่ โทสะ โมหะ โลภะโยมเหลือน้อยมากเท่าไหร่นั่นแล เรียกว่าโยมได้ทำมาก ไม่ใช่บอกว่านั่งสมาธิมาก สวดมนต์มากก็ดี จะบอกว่าปฏิบัติมาก..ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นการสาธยายมนต์ก็ดี..ชื่อว่าเป็นอุบายแห่งจิตทำให้จิตตั้งมั่นเข้าถึงความสงบเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แล้วถ้าเรานั่งสวดมนต์ภาวนาจิตไป..มีเกิดเวทนาเกิดขึ้นทางกาย ก็ขอให้โยมให้ทน มีขันติทนต่อเวทนานั้น เมื่อเราพิจารณาตามอาการที่เกิดขึ้นนั้น..ชื่อว่ากรรมฐานได้บังเกิดขึ้น เมื่อชื่อว่ากรรมฐานได้เกิดขึ้น เราก็พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ว่ากายสังขารนั้นมันมีแต่ทุกข์เมื่อไหร่นั่นแล..ชื่อว่าวิปัสสนาญาณก็บังเกิด
โยมไม่ต้องไปรอว่าต้องสวดมนต์จบแล้ว เพราะในขณะจิตนั้นมันมีทุกอย่างในกายสังขารให้พิจารณา เป็นสิ่งที่ครบวงจรที่สุดแล้ว ที่เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม จะพิจารณาธรรม จะเห็นธรรมทุกขณะจิต ไม่ใช่บอกเห็นตอนนั้นเสร็จแล้วตอนนี้..ไม่ใช่อย่างนั้น มันเห็นทุกขณะจิต ถ้าโยมมีสติระลึกรู้เท่าทันในสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ว่าโยมต้องมีขันติธรรม ไม่ใช่นั่งไปแล้วสวดมนต์ภาวนาจิต โอ้โห..มีเวทนาเข้ามาเล่นงาน โอ้โห..ปวดทนไม่ไหวแล้วทรมาน เพราะโยมไปให้ความสำคัญในรูป เพราะโยมไปยึดรูปว่ารูปนี้ร่างกายสังขารนี้มันจะเสื่อมนั่นเอง คราใดโยมมีความกลัวเมื่อไหร่นั่นแล มันจะคืบคลานเข้ามาในจิตในใจ เมื่อโยมมีความกลัวเข้ามาเมื่อไหร่ สติโยมที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ มันจะไม่ตั้งมั่น มันจะสั่นคลอน
แต่ถ้าโยมกำหนดรู้ แม้มีเวทนาจะเกิดขึ้น..ก็รู้ ให้รู้เวทนาที่เกิดขึ้น พระพุทธองค์ท่านได้สอนให้รู้ทุกข์ ไม่ได้สอนให้หนีจากทุกข์ ไม่มีใครหนีจากทุกข์หรือว่าหนีความตายไปได้ แต่ถ้าคนอยากจะหลุดพ้นจากความตาย หรือเป็นอิสระจากบ่วงมารก็ดี โยมต้องฝึกจิตตัวรู้นี้ อยู่กับเวทนาที่เกิดขึ้น จนโยมเห็นเวทนาทั้งหลายทั้งปวงนั่นแลในกายนี้..ไม่ควรยึดเลย
เมื่อโยมวางกายได้เมื่อไหร่ เวทนาแม้มันจะเกิดขึ้น..มันก็เบา เค้าถึงบอกว่าเมื่อจิตเราสงบตั้งมั่นแล้ว เราวางทุกสรรพสิ่ง..ทำไมกายเรามันเบา เพราะอะไร? ก็เพราะเราไม่ยึดกาย..มันเลยเบา รู้สึกเหมือนว่าจะลอย ลอยได้มั้ย..ลอยได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้มันลอย..นี่ก็เรียกเป็นความเคลิบเคลิ้ม เพราะว่าสติเราต้องอยู่ในกาย ต้องให้มีความรู้สึก..แต่เราไม่ยึดในความรู้สึกนั้น
คราใดเมื่อเราไปยึดในความรู้สึก..เวทนาก็เกิดขึ้นอีก ครั้นเมื่อมีเวทนาย่อมมีความทุกข์และสุขเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้เรียนรู้รู้จักอารมณ์เหล่านี้ในเวทนาในกายสังขารนี้..
ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติธรรมที่จะให้เกิดปัญญาก็ดี ไม่ใช่ว่ามานั่งจดจ่อเฝ้าดูอย่างเดียว..ไม่ได้ เดินเราก็ทำให้เกิดปัญญาได้ ยืนก็ทำให้เกิดปัญญาได้ นั้นปัญญาจะเกิดได้ต้องมีตัวสติ การระลึกรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นที่จิตนั้นไปเสวย เช่นในขณะนี้เรานั่งอยู่ ฟังธรรมอยู่ เราจดจ่อเพลิดเพลินอยู่ก็ดี มีความเคลิบเคลิ้ม แล้วเริ่มมีนิวรณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง..ก็คือความง่วงก็ดี
ความง่วงมันมาอย่างไร ความง่วงมันเกิดจากเราไปกำหนดมัน ว่าเวลานี้มันเป็นเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว มันก็จะเริ่มง่วง เวลานี้หิวแล้ว เพราะเราไปยึดไว้ บอกเวลามันไว้ เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เรายึดอยู่ในสมมุติบัญญัติ เราไม่ได้เคยเดินออกจากสมมุติบัญญัติ
สิ่งใดเมื่อโยมให้ความสำคัญสิ่งนั้น..สิ่งนั้นมันก็ยึดเราอยู่ เราต้องรู้ว่าการหลับนอนนี้ก็ดี การบริโภคมากไปก็ดี การเป็นห่วงกายสังขารมากไปก็ดี สิ่งเหล่านี้..นี่เรียกว่ายึดทั้งนั้น
นั้นถ้าโยมจะเหนือสมมุติบัญญัติ โยมต้องเป็นผู้กำหนดเวลา ไม่ใช่ให้เวลาเป็นผู้กำหนด ถ้าบุคคลใดยังกำหนดเวลาอยู่ ชื่อว่าผู้นั้นยังอยู่ในโลกธรรม ๘ อยู่ ยังอยู่ในโลก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ผู้ใดเป็นผู้กำหนดเวลาขึ้นมาเมื่อไหร่ ผู้นี้เรียกว่าเป็นผู้ที่จะข้ามสมมุติบัญญัติของเวลาเกิดขึ้น นี่เค้าเรียกว่าจะเข้าไปสู่ในกาลโลกแห่งธรรม โลกแห่งธรรมมันจึงบอกไม่มีเวลา..เป็นอกาลิโก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จะสวดมนต์ตอนไหน..ได้ทั้งหมด สวดเพื่ออะไร ต้องมีเจตนาต้องมีเหตุเกิดขึ้น เช่นขับไล่ความง่วง ไอ้ความง่วงคืออะไร ความง่วงนี่มันเป็นคุณไสยก็มี มันเป็นมารอย่างหนึ่ง ต้องใช้การร่ายมนต์ สาธยายมนต์ เจริญมนต์ การเจริญมนต์เป็นอุบายเพื่อให้เจริญสติ ให้จิตมันจดจ่อตั้งมั่น
เมื่อสงบ..สวดมนต์ไปจิตมันจะเคลิบเคลิ้ม ตกภวังค์ จะกู้จิตขึ้นมา..ยาก นั้นเมื่อเรานั่งแล้วมันมีความง่วงเข้ามา แสดงว่าที่ตรงนั้นไม่เหมาะในการบำเพ็ญจิต ต้องเปลี่ยนที่ใหม่เปลี่ยนภพใหม่ ย้ายใหม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือไปเดินเสียใหม่ การไปเดินเสียใหม่แล้วมานั่งที่เดิม ถามว่าเป็นที่เดิมมั้ยจ๊ะ..ไม่ใช่ที่เดิมแล้ว เพราะเราเปลี่ยนเวลาใหม่ เปลี่ยนภพใหม่ ดังนั้นแล้วอย่ายึด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
เพราะสิ่งที่โยมทำมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทานบารมี ศีลบารมี ปัญญาบารมีเหล่านี้..เรียกว่าเป็นมรรคทั้งนั้น พอเราเดินมากๆเข้า เข้าถึงความเชื่อความศรัทธา เราตัดได้ในสังโยชน์ ๓ ได้นั่นแลเราก็เกิดผลแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันก็เหมือนเราบ่มต้นโพธิ์ต้นไทรหน่อเนื้อ แรกๆเราก็ต้องคอยดูแลรดน้ำพรวนดินให้เค้าเติบโต
ถ้าเราเอาใจใส่ไม่ห่างเหินจากฌาน ไม่ห่างเหินจากภาวนา ไม่ห่างเหินจากสวดมนต์ ไม่ห่างเหินจากการพิจารณาธรรม เพ่งตรึกตรองในธรรม..ในวาระทั้ง ๕ นี้ โยมว่าผลจะเกิดมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เกิดเจ้าค่ะ) เมื่อเรารดน้ำพรวนดินมันอยู่บ่อยๆ..ผลต้องเกิด แต่ถ้าเราไม่ทำอะไร ไม่ใส่ใจ ไม่เคยกระทำอะไรเลย เดือนนึงสวดมนต์ซักครั้งนึง เดี๋ยวมันก็เกิด..เกิดแน่นอน เกิดเป็นวัวเป็นควายต่อไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ เห็นนั่งสมาธิคอไปทางโน้นทีไปทางนี้ที
นั้นตอนที่เราทำทาน ศีล ภาวนา..นี่เป็นมรรคทั้งนั้น พอเราเข้าถึงแล้วทาน ศีล ภาวนามันจะรวมตัวกันเป็นผล ดังนั้นทาน ศีล ภาวนามันเป็นกิ่งเป็นก้านเป็นลำต้นทั้งนั้น คืออะไร..คือที่ตัวเราต้องกระทำขึ้นมา ถ้าเราไม่ทำแล้วจะหาผลได้มั้ยจ๊ะ
มันต้องมีความเพียรเสียก่อน มีความปรารถนาเสียก่อน โยมไม่มีความปรารถนาโยมจะอยากทำมั้ยจ๊ะ โยมไม่มีแรงปรารถนาจุดหมายสิ่งที่โยมจะทำ..โยมจะหาผลได้มั้ยจ๊ะ ฉันบอกให้โยมเดินทางไปจาริกธรรม แต่ไม่รู้จะไปทำอะไรโยมอยากไปมั้ยจ๊ะ ก็ไปๆอย่างนั้น ไปตามครูบาอาจารย์บอก ขัดไม่ได้ก็ไปอย่างนั้น
แต่ถ้าโยมรู้ความหมายรู้จุดหมายรู้จุดประสงค์ โยมเห็นผลมั้ยจ๊ะ มันเป็นอย่างนั้น เหมือนที่โยมสร้างวิหารขึ้นมา ทีแรกก็ไม่รู้ว่าสร้างทำไม ก็เหมือนที่เค้าสร้างกันทั่วไป แต่โยมสร้างขึ้นมาเพื่อให้โยมเห็นว่ามันมีประโยชน์อย่างไร มันให้ผลอย่างไร โยมเห็นมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมเห็นโยมเข้าถึงมั้ยจ๊ะ นั่นแหล่ะเค้าเรียกการสัมผัสได้ การเสวยได้..รสชาติเป็นอย่างไร
นั้นถ้าเรายังปฏิบัติอยู่ ยังมีความลังเลสงสัยอยู่..แต่ยังไม่ละความพยายาม นั่นเรียกโสดาปฏิมรรคกำลังเดินอยู่กระทำอยู่ การสวดมนต์ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา..เรียกเป็นมรรคทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเมื่อมันเราเข้าถึงผลแล้วเราจะตัดอกุศลได้หยาบๆ นั่นเรียกว่าความชั่วเหล่าใดเราจะไม่ทำอีก แสดงว่าผลมันเกิดแล้ว มันให้เป็นกำลังแล้ว มันรักษาจิตเราแล้วอย่างนี้ สติเรามีกำลังแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เราก็จะเริ่มเบื่อทางโลก คำว่าเบื่อทางโลกนี่ไม่ได้บอกว่าจะหันหลังให้โลก..มันหาใช่เป็นอย่างนั้นไม่ คำว่าเบื่อนี่..รู้โทษรู้คุณในทางโลกแล้วในการเกิด ก็จะสละแล้วนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนั้นผลจะเริ่มเกิดขึ้น คำว่าเกิดขึ้นนี้มันเพิ่งเกิดขึ้น แสดงว่าลูกมันยังไม่ใหญ่ยังไม่สุกไม่งอม..
เมื่อมันสุกงอมเมื่อไหร่มันให้ผล โยมได้ชิมมันเมื่อไหร่ อันนั้นเค้าเรียกอะไรจ๊ะ..รสแห่งธรรมปรากฏ นั่นเค้าเรียกรสแห่งพระนิพพาน ผลพอเมื่อเราปลูกขึ้นมาแล้วโยมอยากจะลองชิมมั้ยจ๊ะ..ผลไม้ที่โยมปลูก (ลูกศิษย์ : อยาก) โยมก็ต้องอยากรู้สิว่ามันปลูกไว้แล้วมันให้ผลอย่างไร ปลูกยากปลูกเย็น ไม่รู้ปลูกมาเป็นร้อยชาติพันชาติ ไม่รู้จักโตซักที โดนมารจิกไปหมด..
นั้นเมื่อปลูกมาในภพชาตินี้ จริงๆโยมปลูกมาทุกชาติแล้ว แต่ปลูกแล้วโยมไม่รดน้ำพรวนดินมัน ไม่ได้ให้ความสนใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกปลูกทิ้งปลูกขว้าง คือยังไม่เข้าถึงความเชื่อความศรัทธา ในชาตินี้โยมมาอธิษฐานปลูกกันเพราะอะไร เพราะโยมเริ่มเห็นภัยในวัฏฏะ จึงเริ่มปลูกขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรในอนาคตของโยมเอง
ดังนั้นแล้วคำว่าโสดาปฏิมรรค..คือการเดินอยู่ ปฏิบัติอยู่ กระทำอยู่นี่เรียกว่ามรรคทั้งนั้น มรรคคือทางเดิน ผลเค้าเรียกว่าสำเร็จแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกเป็นขั้นเป็นตอน เป็นภูมิธรรมอย่างนี้ นั้นก็ต้องค่อยๆละค่อยๆตัดลงไป นั้นสิ่งที่โยมทำมันเป็นอุบายธรรมทั้งนั้น อะไรก็ตามที่มันเป็นอุบายธรรมที่ทำให้โยมนั้นเข้าถึง แสดงว่าอุบายธรรมเส้นทางนั้นสำคัญมั้ยจ๊ะ..สำคัญทั้งนั้น
ดังนั้นแล้วที่โยมสวดมนต์ภาวนาไป อธิษฐานไป แผ่เมตตาไป อโหสิกรรมไปนี่..เป็นส่วนหนึ่งของทางเดินแห่งมรรคทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพื่อให้มันเกิดผล ผลว่าเข้าถึงความสงบเข้าถึงสมาธิอย่างนี้..นั่นผลเกิดแล้ว เห็นมั้ยจ๊ะ แสดงว่าที่โยมกำลังสาธยายมนต์อยู่ ภาวนาอยู่นั้นมรรคทั้งนั้น ทางเดินที่เราเดินอยู่ทั้งนั้น เพื่อให้จิตของเรานั้นเข้าถึงความอ่อนน้อม เข้าถึงพระรัตนตรัย
แต่ว่าผลนั้นจะตั้งอยู่ตลอดไม่ได้..เพราะอะไรจ๊ะ เช่นทานเรายังไม่สม่ำเสมอ ศีลเรายังบกพร่อง ภาวนาเรายังไม่เป็นนิตย์ ยังไม่คุ้นเคยอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเค้าถึงได้บอกว่าสมาธิมันรักษาตลอดไม่ได้ พอโยมจะมาสวดมนต์มาเจริญกรรมฐานโยมก็มารักษาศีลกันทีนึงในขณะนั้น แล้วขณะที่โยมไปทอดจิตทอดกายไปเพลิดเพลินมาเนิ่นนาน พอเราจะมาควบคุมมันให้มันสงบ มันต้องใช้เวลามั้ยจ๊ะ
มันก็ต้องอาศัยอุบายเช่นมนตรา สวดให้มันเคลิบเคลิ้มจิตให้มันเข้าถึง เดินก็ดีอย่างนี้..นั่นเรียกเป็นอุบายธรรมทั้งนั้น ฉันถึงบอกว่าสิ่งที่โยมทำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสร้างวิหารทานก็ดี ล้วนแล้วเป็นมรรคแห่งทางเดินทั้งนั้น คือเป็นสะพานเชื่อมต่อกระแสพระรัตนตรัย กระแสพลังงานแห่งพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จึงว่าเป็นส่วนหนึ่งทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสร้างองค์พระปฏิมากร พระพุทธรูป พระสมเด็จองค์เล็กองค์น้อย จะเป็นหินเป็นทรายเป็นอะไรก็ตาม เป็นมรรคทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ มรรคคือทางเดินคือการกระทำคือการปฏิบัติ ผลคือเข้าถึงสำเร็จแล้วอย่างนี้ แต่สำเร็จมันจะเป็นขั้นเป็นตอนของภูมิธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าภูมิธรรมมันสูงกำลังจิตมันก็มีมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นนิสัยของพระโสดาบันก็ดี ถ้ายังเป็นมรรคอยู่ยังเดินอยู่ยังครองเรือนได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้) อ้าว..ยังมีความรู้สึกทางปฏิฆะรูปราคะอยู่ มันเป็นของธรรมดา แต่เมื่อผลมันเกิดแล้ว โยมอิ่มเอมกับพวกนี้แล้ว มันจะมีความเบื่อหน่าย แล้วมันจะละสละลงไปเองเป็นของธรรมดาของจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมไม่ได้ปรารถนาใฝ่หาในทางที่จะหลุดพ้น..ไม่มีทางเบื่อหน่ายเลย เพราะยิ่งเสพยิ่งติด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โอสถ ธรรม
ความดีก็มีหลายระดับ ให้ทานกับสัตว์มากเท่าไหร่ก็ตาม แม้จะนับครั้งไม่ถ้วน แต่ให้ทานกับคนเพียงแค่ครั้งเดียวนับครั้งได้..มีอานิสงส์มากกว่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้กับคนธรรมดานับครั้งไม่ถ้วนแต่ให้กับคนผู้มีศีลแค่ครั้งเดียวก็นับครั้งได้..มีอานิสงส์มากกว่า เช่นนี้เค้าเรียกว่าความดีมีความประณีตแบบนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นถ้าโยมมาเจริญบุญเจริญกรรมฐานอย่างนี้ อันว่ากรรมฐานเป็นวิถีกรรม เป็นวิถีทางที่ตัดกรรมโดยตรง ฉันถึงบอกว่าถ้าโยมเชื่อมั่นในวิถีทางในทางเดินแห่งมรรค ในทาน ศีล ภาวนานี้..เป็นยาวิเศษขนานเอก หากโยมจะเป็นโรคอะไร ขอให้โยมทำใจไว้อยู่ก่อนว่าโยมมีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพราก มีความเจ็บเป็นธรรมดา ถ้าโยมระลึกได้อย่างนี้นั่นแล..เข้าไปสู่ถึงพระกรรมฐานแล้ว
เมื่อโยมเข้าถึงหัวใจของกรรมฐานได้ ในกายโยมจะมีตัวตัวหนึ่ง..เป็นจิตแห่งธรรมที่เค้าจะรักษาโรคนี้ เรียกว่า"โอสถธรรม" เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าใครเข้าถึงโอสถธรรมได้ เค้าจะสามารถรักษาในตัวของมันเองได้ เหมือนตัวเลียงผามันก็รักษาแผลของมันเองได้ เพราะอะไร..ฤทธิ์ของน้ำลาย เฉกเช่นเดียวอย่างนั้น
เมื่อโยมเชื่อมั่นศรัทธาในพระรัตนตรัยก็ขอให้อธิษฐานบุญกุศลของโยมนั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่ฉันพูดนี้บอกนี้เตือนให้สติโยม เช้ามาขอให้เราเจริญมนต์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะตื่นสายตื่นไม่ไหวอะไรก็ตาม ก่อน ๖ โมงเช้าก็ดี ก่อน ๗ โมงเช้าก็ดี อย่าให้เกินสายไปกว่านั้นก็ดี หรือในยามราตรีก็ดี ชำระล้างจิตล้างกายให้สะอาดแล้ว ให้มาเจริญมนต์เจริญภาวนา
ไอ้โรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นธรรมดา เมื่อเจริญมนต์เจริญภาวนาเสร็จแล้วให้น้อมจิตกายสังขารเข้ามาในสมาธิ มาดูกายดูสังขาร หากโยมระลึกเป็นวิตกในโรคนั้น ให้โยมวิตกแล้วเพ่งเอาอาการนั้นแลทำให้เรานั้นจิตเรานั้นให้เกิดความสลดสังเวชออกไปในกายสังขารนี้..ว่ากายนี้มีทุกข์อย่างไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ การเกิดเป็นทุกข์อย่างไร
เมื่อการเกิดขึ้นมาก็ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเป็นอย่างนี้ ให้พิจารณาอย่างนี้จนจิตเรานั้นตั้งมั่น พอวิตกวิจารแล้วมันดับลงไป..เหลือแต่ปิติและสุขนั้นแล โยมจงเพ่งและวางเฉยอย่างนั้น ก็จะเป็นอุเบกขารมณ์ เอกัคคตาจึงบังเกิดขึ้นนั้นแล..
ให้เราพิจารณาละกายสังขารลงเห็นโทษเห็นภัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ตัดใจให้ได้ในสิ่งที่มันพะวักพะวงอย่างนี้ แล้วอุทิศกุศล อธิษฐานบุญกุศลที่เราเจริญทาน ศีล ภาวนานี้ที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วในขณะนี้ จงเป็นประโยชน์สำเร็จประโยชน์ต่อดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายในโรคภัยไข้เจ็บ เชื้อโรคเชื้อภัยทั้งหลายจงมลายหายไป อย่าได้มีเบียดเบียน อย่าได้พยาบาทจองเวรจองกรรมกันเลย ในกรรมอันใดที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำในอกุศลกรรมทั้งหลายทั้งปวงในอดีต..จงยุติกรรมด้วยอำนาจบุญกุศลนี้ด้วยเถิด..อธิษฐานไป
ขอครูบาอาจารย์ทั้งหลายทั้งปวงจงมาประสิทธิ์ประสาทวิชาจงมารักษา ไม่ว่าจะดื่มกินอะไรขอให้เป็นยาเป็นโอสถทิพย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ไปต้านไปทานในโรคภัยทั้งหลายนั้น ให้กายสังขารของข้าพเจ้าจงมีประโยชน์ยังประโยชน์เพื่อสืบศาสนา เพื่อประพฤติปฏิบัติสร้างบารมีต่อไป ให้อธิษฐานกายนี้ให้กับพระโพธิสัตว์เจ้าท่านซะ พระโพธิสัตว์เจ้าท่านจะได้คอยดูแลรักษาโยม..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
โสดาบันปฏิมรรค กับ โสดาบันปฏิผล
ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ ในกรณีที่หลวงปู่บอกว่าการที่จะได้เป็นโสดาบัน คือปฏิบัติได้โสดาบันเพื่อปิดอบายภูมิค่ะ โสดาบันนี่แบ่งเป็นโสดาบันปฏิมรรค กับ โสดาบันปฏิผล..
หลวงปู่ : แล้วตอนที่โยมเดินอยู่นี่คือโสดาบันปฏิมรรค ทำอยู่ กระทำอยู่ ประพฤติอยู่..เนี่ยมรรคทั้งนั้น เดินอยู่..ได้บ้างไม่ได้บ้าง หลับบ้างตื่นบ้าง เป็นควายบ้างเป็นวัวบ้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอเราฝึกมากๆเข้าเดินบ่อยๆเข้าปฏิบัติบ่อยๆเข้า..เดี๋ยวผลมันก็เกิดขึ้น เข้าถึงเอง