แอดมินเทียบให้เห็นง่ายๆว่า เมื่อก่อนเราชอบเนื้อหนัง เพราะใจเราหลงผิด พอเรารู้ทันมี"สติ"บ้างเล็กน้อย เราละได้ด้วย"สติ"มีการไปปัดออก แต่พอเราเจริญสติไปมากๆ เกิดปัญญาญาณขึ้นมา เรารู้แจ้งในวิชชา ใจเราละอวิชชาออกไป
เมื่อใจเรารู้ด้วยปัญญาแล้ว เราไม่หลงผิดอีก ที่นี้เราเห็นความจริงแห่งเนื้อหนังที่เราเคยหลงชอบติดใจ เราเห็นเหมือนเป็นของสกปรกมากเห็นเป็นอุจจาระเลย ยังต้องละอะไรอีกไหม ใจเราเห็นเป็นอุจจาระ ให้เอานิ้วจิ้มขี้เราเอาไหมละ ไม่มีละแล้วใช่ไหม เพราะใจเราไม่เอา ใจเราเห็นถูก มันไม่มีอะไรให้ละแล้วนะ
การละภพชาติสุดท้ายแล้วจึงละด้วยปัญญา"เห็นถูก" เห็นความจริงแห่งรูปนาม เห็นแล้ววางเลย ไม่มีละอะไรแล้ว แต่มาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องประคองตัวหมั่นเจริญสติเอา"สติ"มาช่วยไปก่อน
Trader Hunter พบธรรม
ที่มัน"ละ" เพราะเรา"รู้ทัน".. รู้ทัน"ใจเรา"
พอเรารู้ทัน ใจเรามัน"ไม่เอา" จากกําลังของ"สติ"เป็นตัวนําปัญญามา
แต่เมื่อเรามีสติมากขึ้น จะเกิดปัญญา ปัญญาตัวนี้หล่ะที่ทําให้ใจเรา"เห็นถูก" พอใจเราเห็นถูก ที่นี้มันไม่มีการไป"ละ"อะไรแล้ว
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
#เห็นความคิดไม่ใช่ความคิดเห็น.ฝึกสติเจริญสติไห้มีกำลังเร็วเท่าทันความคิดเรียกว่าเห็นความคิด...สติเท่าทันความคิดนั้นแหละ อภิญายะ [รู้ยิ่ง] เห็นการเกิด - ดับ #พระสิ้นคิด 🙏🏻ค่ะ
" #ผู้ที่ไม่มีสติจะถูกความคิดหลอกอยู่ตลอดเวลา และหลงไปตามความคิด ตัดสินใจตามความคิดเอาผิดเอาถูกในความคิด สุขทุกข์ในความคิด จนถึงโกรธ โลภ หลงในความคิด ผลที่สุดก็เวียนว่ายอยู่ในความคิด เกิดๆ ดับๆ อยู่เช่นนั้น"...
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ 🙏🏻ค่ะ
“สติ (ศีล) สมาธิ ปัญญา....มาจากการเห็น มิได้ “เข้าไปเป็น” เพียงแต่เห็น “อย่างรู้สึกตัว”
“ไม่ใช่คนดอกที่รักษาศีล
แต่ศีลต่างหากที่รักษาคน
ศีล แปลว่า ปกติ
เมื่อใดก็ตามที่จิตใจคิดผิดปกติ
เราเห็นความคิดนั้นทันที
นี้เรียกว่า "ศีลรักษาคน”
การใช้ “สติ” มาดูจิตใจ
“ปัญญา” จะเกิด และเรารู้ที่มาของ “กิเลส” (ยางเหนียว ...“ตัณหา” (ติด,หนัก)...“อุปาทาน" (ยึดถือ, ยึดติด) และ “กรรม” (การกระทำและเสวยผลที่ทำนั้น) ต่อไปให้ใช้”สติดูจิตใจ” อีก
ไม่ว่าความคิดอะไรเกิดขึ้น เห็นมันทันที และเราจะรู้ถึงความลวงหลอก
รู้ทันเวลา รู้การป้องกัน และรู้การแก้ไข
เราจะรู้ถึง “การเอาชนะ” ความคิดปรุงแต่ง “ศีล” จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราเอง
“สมาธิ” มิได้หมายถึง การนั่งหลับตา
สมาธิ หมายถึงการตั้งจิตตั้งใจ
เพื่อที่จะ "ดูจิตใจ" ของเราเอง
เพื่อจะ "ดูการงาน" ของเราเอง
“ปัญญา” เรารู้กิเลสอย่างละเอียด
เมื่อเรารู้ต้นตอของความคิดในทุกขณะที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่าเราทำอะไร ขณะนี้ เรามีความปกติในคำพูดและจิตใจ
เมื่อเงื่อนไขทั้งหมดเหล่านี้มารวมตัวกันเข้า จะเกิด “ญาณ” (ความรู้)
ผู้ปฏิบัติจะรู้โดยตัวของเขาเอง
บุคคลที่จะรู้อย่างแจ่มแจ้งและรู้อย่างแท้จริงจะต้องใช้ความพยายามเสมอ”
"ลมหายใจ" ไม่เคยดีใจหรือเสียใจ
มันไม่เคยเกลียดใครหรือชอบใคร
สิ่งที่โกรธคือ จิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่
สิ่งที่พึงพอใจก็คือ จิตใจที่กำลังนึกคิดอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้น เราเพียงมาดูที่จุดนี้ การดูที่จุดนี้ก็คือ การรู้ถึงตัวความคิด"
กราบสาธุธรรม
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
อาตมาจะสรุปหลักการปฏิบัติสั้นๆ ให้ฟังอีกครั้ง
๑. ขั้นแรกให้เราคอยจับความเคลื่อนไหวของรูปนาม การ
เคลื่อนไหวของรูปกายทุกอิริยาบถ เมื่อจับได้แล้วเราจะรู้จักเรื่อง
สมมติที่ตาเห็นสัมผัสได้ด้วยตาจับได้ด้วยมือ, เป็นวัตถุภายนอก.
๒ เมื่อทำได้ตามข้อ ๑. แล้ว จะมีความรู้ขึ้นเล็กน้อย, เรียกว่า
วิปัสสนูปกิเลส, เราต้องพยายามตัดออกไป อย่าไปดีใจอยู่กับความรู้นี้
ที่มันเกิดขึ้นมาทีหลัง, เราต้องคอยดูจิตดูใจต่อไป. เมื่อเราเห็น-เรารู้-
เราเข้าใจจิตใจของเราซาบซึ้งดีแล้ว มันจะทำลายความโกรธ-ความ
โลภ-ความหลงลงไปได้บ้าง.
๓ เมื่อเราทำลายความโกรธ-ความโลภ-ความหลงลงไปได้
เล็กน้อยนี้ จะทำให้เกิดปีติ. เมื่อเกิดปีติ ก็ให้เรากำหนดรู้ปีติ แต่
อย่าเข้าไปในปีตินั้น, เราต้องถอนตัวออกจากปีติ คอยดูจิตใจของเรา
ต่อไป. ตอนนี้มันจะเกิดญาณปัญญาปรากฏขึ้นมาทำลายความยึดมั่น
ถือมั่นให้ลดน้อยลงไป.
๔ เมื่อความยึดมั่นถือมั่นลดน้อยลงไปแล้ว ก็จะเห็น-รู้-เข้าใจ
ความเป็นปกติ, กายก็ปกติ วาจาก็ปกติ จิตใจก็ปกติ. ตอนปกติ
นี่แหละเรียกว่า ศีล-สมาธิ-ปัญญา.
๕ เมื่อเห็น "อาการเกิดดับ" ถ้าไม่เข้าใจจะเป็นวิปลาส, ถ้ารู้สึก
อยู่พร้อมกับความจบนั้นการปฏิบัติก็ถึงที่สุด.
ฉะนั้น ขอเตือนให้ท่านทั้งหลายพยายามปฏิบัติไป จนได้พบได้
เห็นความคิดของตัวเอง และถอนตัวออกจากความคิด จงทุกๆ คน
เทอญ.
หลวงพ่อเทียน
"ผู้รู้ก็เกิดดับ สิ่งที่ถูกรู้ก็เกิดดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
.
ยิ่งเห็นบ่อยๆ ยิ่งแจ้งแก่ใจ มันไร้สาระไปหมด
.
มัวแต่ไปตามดูสิ่งเกิดดับ ใช้ชีวิตกับการเกิดดับ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย สุดท้ายสูญหมด
.
เห็นภายในใจ จึงแจ้งภายนอก
.
ดูกาย ดูจิตใจ ดูไปดูมา เห็นแต่สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกดู เกิดดับ อะไรก็เกิดดับ จะเรื่องราวสําคัญใหญ่โตเพียงใดในชีวิตก็เกิดมาเพื่อดับ สุดท้ายหมดประโยชน์ที่จะไปดู เพราะปลายทางยังไงก็ดับ ปัญญาใครแจ้งไวเห็นชัด ก็หมดเหตุที่จะตามไปดู ไปยุ่งเกี่ยว หมดค่าที่จะไปยึดถือ
.
ข้างในจิตใจมันว่าง ผลจากปัญญาที่เห็น หมดการเข้าไปยึดถือ สภาวะโล่งว่าง บังเกิดขึ้นชั่วขณะ เหมือนเพียงแว๊บเดียว แต่เห็นรายละเอียดมากมาย แล้วภายนอกเรื่องราวต่างๆในชีวิต ภายในดับ ภายนอกยิ่งดับ ยิ่งไร้สาระกว่าภายในจิตใจ เห็นภายนอกเป็นคลื่นเป็นกระแสพลังงานกระแสแห่งใจ หมดความยึดถือในรูป เห็นรูปแต่เห็นเป็นกระแสจิตใจ ที่หลงถูกเรื่องราวต่างๆ ที่จิตใจเราสร้างขึ้นมาเอง หลอกล่อให้ผูกพันพัวพัน เข้าไปอยู่ในเรื่องราวต่างๆ ซับซ้อนทับถมกันมากมายจนไล่หาต้นหาปลายไม่เจอ แค่เรื่องราวเดียวยังไล่ไปไม่สิ้นสุด ยิ่งหลายเรื่องราวมาพันผูกกันเป็นสังสารวัฎ จึงยิ่งยากที่จะบอกถึงความผูกพัน ถูกผิด ยุติธรรมหรืออยุติธรรม ตัดสินกันแทบไม่ได้เลย สุดท้ายดูเพลินไปก็รู้ ว่าจะไหลเข้าไปกลายเป็นตัวละครในเรื่องไม่จบไม่สิ้น
.
ละครชีวิตภายนอกก็เหมือนสภาวะภายในจิตใจ ตามดูไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งกลายเป็นโทษหากลงไปเล่นจนเกินบทบาท สุดท้ายก็ดับ ดังที่ไปตามดูจิต หมดประโยชน์ที่จะไปตามดูจิต ไปตามดูสิ่งที่มันดับสูญ เพราะสุดท้ายก็ดับเหมือนกัน ก็แจ้งแก่ใจว่าเรื่องราวภายนอก จะสําคัญเพียงใด สุดท้ายล้วนจบสิ้นสุดเหมือนกัน ไม่แตกต่างเลย
.
ไร้เรื่องราวภายใน ก็ไร้เรื่องราวภายนอก
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แจ้งแก่ใจตน แก่รอบขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงอย่างไร ชีวิตก็ยังต้องเลือก ถ้าเลือกย่อมเอาดี ดีกว่าเลว
"ให้มีทั้งรู้ทั้งเห็น"
ถ้าหากว่าเรา “โอปนยิโก” น้อมเข้ามาดูแล้วจะเห็นตัวพระธรรม รูปธรรม นามธรรม “รูปธรรม” ก็ได้แก่ ร่างกายของเรา ตั้งแต่หัวถึงปลายเท้า ตั้งแต่ปลายเท้าถึงศีรษะ วัดดูก็แล้วกัน กว้างศอกยาววาหนาคืบ นี้คือตัวพระธรรม
โอปนยิโก น้อมเข้ามา น้อมเข้ามาดู ดูเพื่ออะไร ดูเพื่อให้มันเห็น ดูเพื่ออะไร ดูเพื่อให้มันรู้ เดี๋ยวนี้เราก็ว่าเรารู้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ปอด รู้ ใครจะไม่รู้ แต่รู้แต่ไม่เห็น ใครจะไม่เห็น เห็นอยู่แต่ไม่รู้ นี่มันบังกันอยู่อย่างนี้
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า “ญาณทัสสนะ” ทั้งรู้ทั้งเห็น ถ้ามีรู้อย่างเดียวไม่เห็น ใช่ไหมล่ะ เห็นอย่างเดียวไม่รู้ก็ใช้ไม่ได้ ให้มีทั้งรู้ให้มีทั้งเห็นด้วย เป็นสักขีพยานในร่างกายของเรา รูปธรรมนามธรรมก็ได้แก่ จิตใจนี้แหละ ความปรุง ความแต่ง ความคิด ความนึก ความตรึก ความตรอง สารพัดทุกสิ่งทุกอย่างวุ่นวายเป็นธรรมหมด นี่คือ “นามธรรม” ดูที่ตรงนี้
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต
ความทุกข์ทางกาย เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก
แต่เราสามารถฝึกฝนพัฒนาจิตใจ
จนความทุกข์ทางกายไม่มีผลกับจิตใจ
ต่างคนต่างอยู่ตามหน้าที่ กายมีหน้าที่ของกาย
เวทนาก็ทำหน้าที่ของมัน จิตก็ทำหน้าที่เพียงรู้
อยู่ด้วยกันสัมพันธ์กัน แต่ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตน
รู้จักรู้...รู้สึกตัว ไม่ถลำเข้าไปเป็น ในทุกๆสภาวะ
ทั้งฝ่ายรูปหรือนาม กายไหวรู้สึกตัว
ความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้นรู้สึกตัว
เมื่อฝึกฝนบ่อยๆ ย่อมสามารถเห็นได้
ตามสภาวะที่กล่าวข้างต้นนั้นเอง
เห็นแต่สภาวธรรม...แต่ไม่มีตน
ความคิดทำให้จิตเป็นทุกข์
เพราะเราไม่มี จิตผู้ดู
ที่จะไปเห็น จิตผู้คิด
เวลาเกิดความคิดขึ้นมา
ไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เข้าใจ
เราก็เข้าไปอยู่กับความคิดเลย
แล้วก็ว่านี่เราเป็นผู้คิด ความคิดคือเรา
กิเลสทั้งหลาย ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ความพอใจ ความไม่พอใจ
ความอิจฉาริษยา ความหวาดระแวง
ความวิตกกังวล ความกลัว
ความน้อยเนื้อต่ำใจ
สารพัดมาจากความคิดทั้งนั้น
ความคิดนี้เป็นต้นตอ ของความทุกข์ทั้งหลาย
เมื่อเราขาดสติ ขาดปัญญา ไม่มีจิตผู้ดู
เข้าไปอยู่กับความคิดเลย
จึงเกิดเป็นทุกข์ตรงนี้
แต่เมื่อเราเจริญสติ จิตเกิดผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา
เวลาเกิดจิตผู้คิดขึ้นมา จิตผู้ดูคือสติ
จะเห็นทันที พอเห็นปั้บ จิตผู้คิดก็จะดับ
เกิดพร้อมกันไม่ได้
ถ้ามีจิตผู้คิดเกิดขึ้น จิตผู้ดูก็เกิดไม่ได้
ถ้ามีจิตผู้ดูเกิดขึ้น จิตผู้คิดก็อยู่ไม่ได้
เหมือนกัน ความคิดจะหยุดทำงาน
หยุดการปรุงแต่ง ล้มละลายไปเลย
ทำให้จิตผ่องใสมีความเบิกบาน
เพราะไม่ได้คิดปรุงแต่งอะไร
ถ้าเราสามารถเจริญสติ
ให้ต่อเนื่องบ่อยๆ จะเกิดจิตผู้ดูเรื่อยๆ
เวลานี้จะเริ่มเห็นความผ่องใสของจิต
และเมื่อไหร่ที่คิดก็จะคิดด้วยสติ
ด้วยจิตผู้รู้..ผู้ดู จะเป็นความคิดที่เป็น
ประโยชน์ จะไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน
เหมือนแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ฝึก
อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
จากหนังสือ ปาฏิหารย์แห่งธรรม.
การรู้โดยไม่คิดเองคือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่า...จิต คือตัวเรา
เป็นของ ๆ เรา ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น
ตราบนั้น"ตัณหา" หรือ "สมุทัย" ก็จะสร้างภพ
ของ"จิตว่าง"ขึ้นมาร่ำไป
ขอย้ำว่า ขั้นนี้ จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง
ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลย ที่จงใจ
หรือ ตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้
มีแต่"จิต"เค้าปฏิบัติตนเอง ไปเท่านั้น
เมื่อ"จิตทรงตัวรู้ แต่ไม่คิดอะไรนั้น"
บางครั้ง จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมาสู่ภูมิรู้ของจิต
แต่จิตไม่สำคัญมั่นหมายว่ามันคืออะไร
เพียงแค่รู้ เฉย ๆ ถึงความเกิด-ดับ นั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียดที่สุด ถึงจุดหนึ่ง จิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง...
การเข้าสู่มรรคผลนั้น "รู้"มีตลอด แต่"ไม่คิด"
และไม่สำคัญมั่นหมายในสังขารละเอียด ที่ผุดขึ้นมานั้น
เมื่อจิตถอยออกจากอริยะมรรคและอริยะผลที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็น อย่างนี้ "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป" ธรรมชาติบางอย่าง"มีอยู่"แต่ก็ไม่มีความ
เป็นตัวตนสักอณูเดียว!
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้น"พระโสดาบัน"
คือ ไม่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่ตัวจิตเองเป็นตัวเรา
แต่ความยึดถือในความเป็นเรายังมีอยู่
เพราะขั้น"ความเห็น" กับ "ความยึด"นั้น มันคนละขั้นกัน
#หลวงปูดุลย์ อตุโล
"นิพพานัง สุขขัง"
แค่รู้ แค่รู้สึก สักแต่ว่ารู้สึก
ไม่ติดข้องอยู่ ไม่ยึดถืออะไรๆทั้งปวงในโลกด้วย
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
ปล่อยทุกอย่าง สลัดคืนจากทุกสิ่ง
คืนสู่ธรรมชาติ ที่บริสุทธิ์อยู่
เข้าถึงสภาวะรู้ ที่บริสุทธิ์อยู่
สถาวะ ที่พ้นจากการปรุงแต่ง ไร้ตัวตน
ไร้ขอบเขต เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
อยู่กับสภาวะ" รู้ " ที่เป็นธาตุบริสุทธิ์
ปราศจากการปรุงแต่ง ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
โปร่งโล่ง เบาสบาย ผ่องใสอยู่
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
การแก้ "การทําสมาธิเผลอเพ่ง" แล้วไปว่างติดอยู่กับความสงบ
ต้องลองสังเกตุดูครับว่า ที่"จิตนิ่งว่าง" นั้น ว่างแล้ว "มีสติ" กํากับ "ระลึกรู้สัมผัส"ที่เข้ามากระทบไหม ถ้ามีก็เป็นการว่างของจิตที่ตั้งมั่นเพื่อเจริญวิปัสสนา
แต่ถ้าไม่มีสติกํากับแต่เป็น"การลงไปแช่ในความว่าง" สงบแบบไม่ระลึกรู้อะไรนอกจาก"อารมณ์ความว่าง" นั้นจะเป็นสมถะที่ไปติดกับความว่าง
ต้องแก้ไขโดยการกลับมาระลึกรู้กับลมหายใจใช้ลมหายใจปรับช่วยให้เบาๆคลายออก " โดยไม่เพ่ง " เพราะการเพ่งจะทําให้เราไหลไปอยู่กับอารมณ์ว่างเพียงอารมณ์เดียวไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ครับ
วิธีสังเกตุว่าเพ่งไหม สังเกตุที่หัวคิ้วตนเองถ้ามีเกร็งแม้เพียงนิดเดียวแสดงว่าเผลอเพ่งอยู่ นักปฏิบัติชอบเผลอเพ่งกันโดยไม่รู้ตัวนะครับ
วิธีคลายก็ให้ยิ้มเบาๆคลายออกทางกายให้ใจเบาๆมีปิติ จะได้หลุดการการไปเพ่งยึดเอาไว้ครับ วิปัสสนาจึงจะเจริญ
" เมื่อตาเห็นรูปแล้ว
รู้ว่าสวยงาม หรือรังเกียจอย่างไรแล้ว
ก็หยุดเพียงเท่านี้
เมื่อหูได้ยินเสียง
รู้ว่าไพเราะ หรือน่ารำคาญอย่างไรแล้ว
ก็หยุดเพียงเท่านี้
เมื่อลิ้นได้ลิ้มรส
รู้ว่าอร่อย หรือไม่อร่อยเปรี้ยวหวาน มันเค็ม
อย่างไรแล้ว
ก็หยุดเพียงเท่านี้
เมื่อจมูกได้กลิ่น
หอม หรือเหม็นอย่างไรแล้ว
ก็หยุดเพียงเท่านี้
เมื่อกายสัมผัสโผฏฐัพพะ
รู้ว่าอ่อนแข็ง อย่างไรแล้ว
ก็หยุดเพียงเท่านี้
ที่กล่าวมาท่านให้...พิจารณากามคุณ ๕
ให้รู้...เพียงเท่านี้
แล้วพึง...ละเสีย."
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
จิตผู้คิด คือ สิ่งที่ถูกรู้
จิตผู้ดู คือ จิตผู้รู้
จิตผู้ดู กับ จิตผู้คิด ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
เกิดไม่พร้อมกัน จิตผู้คิดเกิดก่อน
จิตผู้ดูเกิดตามหลัง มีสองขณะ
เกิดไม่พรัอมกัน
คนเราที่มีปัญหาความทุกข์มาก
เพราะอะไร เพราะความคิดนี้ เห็นไหม
มายาของจิต
สิ่งใดที่เกิดขึ้นในจิต ซึ่งเป็นฝ่าย นิวรณ์
เราพึงทราบด้วยปัญญาทันทีว่า สิ่งนั้นคือ มายาของจิตเอง ไม่ใช่บาปกรรมมาจากที่อื่นที่ไหนเลย
การอบรมจิต จึงต้องรู้มายาของจิต ไม่อย่างนั้นจะหลงกลมายาของจิต หาความบริสุทธิ์ไม่ได้เลย
เมื่อเรารู้มายาของจิต ที่หลอกลวงเราทุกอย่าง ด้วยปัญญาแล้ว จิตจะไปหามายามาจากไหนอีก
เหมือนเรารู้กลอุบายของคนที่จะมาหลอกลวงเรา เราไม่เชื่อเขาแล้ว เขาจะต้มเราได้ที่ไหน อันนี้ก็ฉันนั้น
เมื่อกำลัง "สติปัญญา" "รู้ทัน" ความปรุง ความคิด หรือความหมายอยู่แล้ว
อาการเหล่านี้ก็ค่อยๆหมดมายาไปเอง
จิตเมื่อได้สติกับปัญญาเป็นพี่เลี้ยง คอยสอดส่องความชั่วร้ายหมายโทษ มิให้เกิดขึ้นได้
จิตก็นับวันจะผ่องใสบริสุทธิ์ไปเอง
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
รวมคำสอนหลวงพ่อเทียน
►การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
►การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึก
►ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
►ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจากสติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว
►เพียงแต่เคลื่อนไหวทีละครั้งและรู้ เมื่อเธอไม่รู้ปล่อยมันไป เมื่อรู้ปล่อยมันไป บางครั้งเธอรู้ บางครั้งเธอไม่รู้ มันเป็นเช่นนั้น แต่ให้รู้
►การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือการเจริญสติ
►สมาธิคือการตั้งใจ
►ใช้สติดูจิตใจ ไม่ว่าความคิดอะไรเกิดขึ้น เห็นมันทันที และเราจะรู้ถึงความหลอกลวง รู้ทันเวลา รู้การป้องกัน และรู้การแก้ไข รู้ถึงการเอาชนะความคิดปรุงแต่ง ศีลจะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราเอง ไม่ใช่คนดอกที่รักษาศีล แต่ศีลต่างหากที่รักษาคน
►ให้ลืมตาทำเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกระพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้าย แลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ
►ถ้ารู้สึกในการเคลื่อนไหวได้ ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ซักเสื้อผ้า ล้างถ้วย ล้างชาม ถ้ารู้สึกที่มันเคลื่อนมันไหวในขณะนั้น ก็เป็นการปฏิบัติธรรมได้
►พุทธศาสนาคือ มารู้สึกต่อการเคลื่อนการไหวในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั่นแหละ คือมันรู้สึกในการเคลื่อนไหวของกายและใจ เป็นญาณเข้ามารู้ รู้สึกที่เนื้อที่ตัวตื่นตัว มันจะเป็นใหญ่ในตัวของมันได้เอง รู้สึกใจตื่นใจ มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นใหญ่ในใจของมันได้เอง เมื่อมันเปลี่ยนแปลง มันก็เหมือนกับเราหงายของที่คว่ำขึ้นมา มันก็เห็นว่า มีอะไรอยู่ที่ตรงนั้น
►คำว่าติดต่อกันเหมือนลูกโซ่นั้น ไม่ใช่แต่ว่านั่งอยู่ในห้องกรรมฐานเพียงอย่างเดียว จะไปไหนมาไหน อาบน้ำ ซักเสื้อ ซักผ้า ก็ให้มีสติดูการเคลื่อนไหวของรูปกาย และมีสติดูจิตดูใจอยู่เสมอ นั่นแหละท่านเรียกว่า ปฏิบัติให้ติดต่อเหมือนลูกโซ่
►ทันทีที่ความคิดเกิดขึ้น ปัดมันทิ้งออกไปทันที และให้มาอยู่กับความรู้สึกตัว
ขอบคุณคุณประเสริฐ คุณกล้วย กลุ่มหลวงพ่อสมบูรณ์ ที่รวบรวมคำสอนดีๆ ของหลวงพ่อเทียนมาครับ
1029. การเห็นถูกต้อง
คือ เห็น ด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง- สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ – ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา..นั่นคือการเห็นไตรลักษณ์...เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ เป็นหนทางแห่งความหมดจด
คำว่า ธรรมทั้งปวง คือ “สังขารธรรมทั้งปวง” หรือ ธรรมชาติที่เป็นไปในภูมิ ๓ (กามภูมิ, รูปภูมิ,อรูปภูมิ) ทั้งหมด
การมีสติ อบรมใจ ให้หยุดให้นิ่ง.. บริสุทธิ์ผ่องใส..จากกิเลสนิวรณ์ ..จิตใจไม่ปรุงแต่ง ไปตามลำดับ ทั้งมีสติในกาย เวทนา-จิต-ธรรม .ในความเป็นทิพย์ (กายใน ละเอียดและบริสุทธิ์ ผ่องใส) หรือ รู้ เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม
แล้วนำกายทิพย์บริสุทธิ์นั้น...ไปเดินวิปัสสนาให้ละเอียดขึ้นไป เพื่อละอุปาทาน (ความยึดถือ) ในกายและในใจ.. จนจิตพ้นโลก พ้นความปรุงแต่ง (สังขาร)
จนจิตบริสุทธิ์ จนไม่บริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ผ่องใส โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ แม้กระทั่งการยึดติดในกายบริสุทธิ์นั้น.
การเจริญภาวนา เหมือนการขึ้นบันไดทีละขั้น ๆ ไปถึงชั้นบนบ้าน ตามลำดับ เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด
มโนธาตุ โพธิญาณ
"รู้ทั้งภายใน-ภายนอก"
วิปัสสนา เห็น "ทั้งทั่วโลก ทั่วจักรวาล ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน" เป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่เห็นเฉพาะที่ กาย บางคนพูดว่า
"เฮ้ย ไปดูภายนอกทำไม ดูภายในซี กิเลสมันอยู่ ที่กาย ที่จิต" ว่างั้น
ดูที่กาย ที่จิต วิชาเกิดขึ้นที่กายที่จิต "มันเกิดขึ้นไม่เต็มที่"
เพราะภายนอกมันไม่เกิด มันก็ดึงภายในไว้ ไม่ให้วิชาเกิดได้เต็มที่
เรารู้แต่ภายใน ไม่รู้ภายนอก มันก็ไม่ใช่"ปัญญา"
ปัญญา แปลว่ารู้ทั่วนะ นี่เขาแปลไม่ตรงตัว
"ความรอบรู้ในกองสังขารชื่อว่า ปัญญา"
ปัญญา แปลว่ารู้ทั่ว มันเป็นอย่างนั้น
รู้ทั้งดี ทั้งชั่ว ภายใน ภายนอก อดีต อนาคต ปัจจุบัน รู้ทั้ง 3 กาล
จะเอาแต่ ปัจจุบัน ปัจจุบันทิ้งอดีต ทิ้งอนาคตไม่ได้ โง่
มันไม่มีอดีต ไม่รู้อดีต มันก็โง่ ไม่นึกถึงอนาคต ก็โง่ คนนี่
ต้องนึกถึง ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน
รู้ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก รู้แต่ภายใน ไม่รู้ภายนอก ก็ยังไม่เป็นปัญญา
ยังรู้ไม่ทั่ว ยังตกอยู่ในความโง่
ภายใน ภายนอก หยาบละเอียด รู้ได้หยาบไม่รู้ละเอียด ก็ยังไม่ใช่ปัญญา
หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกล ใกล้
รู้ได้แต่ใกล้ๆ ไกลๆไม่รู้ ก็ยังไม่ใช่ปัญญา ปัญญาไม่เต็ม ปัญญาครึ่งหนึ่ง
ต้องรู้ ทั้งไกล ทั้งใกล้ด้วย
ทำสมาธิเห็นทั่วโลกนี่มันรู้ไกลๆด้วยนะ ใกล้ที่ตัวเรานี่ ใกล้ๆที่ตัวเรานี่รู้เห็น เห็นที่ไกลๆด้วย เห็นทั่วโลกด้วย รู้ทั้งไกล ทั้งใกล้ กิเลสมันอยู่ที่จิต ดูทั้งภายใน ภายนอก ว่ากันอย่างนั้น
คำสอนหลวงปู่เจือ สุภโร
ถ้ามีการ "หยุดดู หยุดรู้ จิตใจ" ของตนอยู่เนืองนิจแล้ว
มันจะเป็นการตัดรอนทอน กำลังทาง "ผัสสะ" ได้มากมายเหลือประมาณ
เพราะมันกระทบทีไรก็ตาม ..เห็นความดับของมัน
ทุกสิ่งมัน "เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป" "เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป" อย่างนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่มีอะไรให้ "น่าเอา น่าเป็น" แต่ประการใดเลย
เรื่องต่างๆ ที่ "จำ มาปรุง มาคิด" นั้น
มันก็เป็น"ความฝันชั่วขณะหนึ่ง" แล้วก็ดับไป เป็นไปในลักษณะนี้ "เฉพาะหน้า ปัจจุบัน"
ถ้าเป็นการ "ดูจริง รู้แจ้ง " ในลักษณะของอารมณ์ทั้งหลาย
ที่ปรากฏเกิดดับเฉพาะหน้าทุกขณะแล้ว
มันก็เป็น ผัสสะ ที่กระทบแล้วก็ดับ .. "กระทบแล้วก็ดับ"
"ไม่มีความหมายว่าเป็นดีเป็นชั่ว หรือเป็นสุขเป็นทุกข์ "
ข้อปฏิบัติที่น่าสนใจ คือ .. "จะต้องอ่านตัวจริงที่ปรากฏให้แจ่มแจ้งอยู่ทุกขณะ"
ไม่ต้องไปมีความจำหมายเอาเรื่องอะไรมา มันมีแต่ความ "ปล่อยวาง ว่างเปล่า" ไป
ดูความจริงของอารมณ์ และผัสสะทั้งหลาย มันแสดงความเปลี่ยนแปลง
"ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน" อยู่เฉพาะหน้าทุกๆ ขณะ
ถ้าอ่านออกในเรื่องนี้แล้ว ข้อปฏิบัติจะไม่มีการไถลไปหรือเฉไฉไปเอาเรื่องจำเรื่องคิดเข้ามา
เป็นการทำให้นุงถุงยุ่งยาก แล้วก็เป็นการชักใยพันตัวเองอย่างซ้ำๆ ซากๆ
ลักษณะของจิตที่มีการ "รู้ตัว" นั้น มันมีความแจ่มใส ไม่มืดมัว ไม่เร่าร้อน ไม่เศร้าหมอง
จึงเป็นจิตที่ปราศจากกิเลสตัณหา แล้วก็เป็นจิตที่สะอาด สว่าง สงบ ขึ้นมา
ท่านอุบาสิกา กี เขาสวนหลวง /๔ มิ.ย.๒๕๑๕
“รู้ไม่ใช่เพื่อยินดียินร้าย”
...การที่เราตั้งมั่นเตือนสติตัวเองว่า “รู้นั้นไม่ใช่เพื่อยินดียินร้าย” จึงเป็นการสอนที่ตรงต่อสัจธรรม เพราะยินดียินร้ายเกิดจากอวิชชาโมหะ
ซึ่งมันเป็น”ส่วนเกิน” ไม่ใช่ส่วนที่เป็นปกติ เหมือนส่วนที่เป็นตะกอนและสิ่งสกปรกเข้าไปในน้ำ จึงทำให้น้ำขุ่น เราต้องแยกกลั่นน้ำสะอาดออกจากตะกอนนั้น เหตุนั้น น้ำนั้นไม่จำเป็นต้องมีตะกอนเขาก็อยู่ในสภาพของเขาได้
ฉันใดฉันนั้น การรู้ขึ้นมาก็ไม่ใช่เพื่อยินดียินร้าย “ความยินดียินร้าย”คือความหลง เป็นส่วนเกินต่อความรู้
แต่เนื่องจากเราอยู่กับมัน เคยยินดียินร้ายกับมัน ก็เลยหลงสำคัญผิดเป็นอุปาทานยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา ว่ารู้ที่ดีก็ยินดี รู้ที่ไม่ดีโดยสมมตินั้นก็ยินร้าย เลยก่อเกิดเป็นโลภะ โทสะ โมหะตลอด หมุนไปไม่มีที่จบ เกิดไม่รู้กี่รอบๆๆ
เหตุนั้น ผู้มีปัญญาพึงเจริญสติให้ตั้งมั่น สมาธิให้ตั้งมั่น ปัญญาให้ตั้งมั่น เวลารูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น เย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบกาย แม้แต่ธรรมารมณ์กระทบใจ ให้จิตนั้นไม่แปรปรวน ไม่ยินดียินร้ายต่อสภาวธรรมทั้งหลาย แล้วให้รู้ว่า “เรารู้เพื่อให้รู้เหตุปัจจัย ที่จะปฏิบัติให้เหมาะสมต่อสภาวธรรมปัจจุบันนั้นอย่างไรนั่นเอง” หัดพินิจพิจารณาให้มาก หัดใช้ปัญญาให้มาก หัดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษอย่ากระทำ
แม้แต่การพูดจาน้อยหนึ่งนิดหนึ่ง เมื่อเป็นโทษก็อย่าพูด ไม่นั้นจะเป็นช่องทางให้อวิชชาได้งอกเงยออกดอกออกผล เป็นการให้อาหารต่ออวิชชา เราจึงต้องตั้งสติมุ่งต่อประโยชน์แม้แต่การพูดจา
เราต้องย้อนมาดูจิตเรา ว่าพูดไปแล้วมันผิดพลาดไหม มันผิดพลาดต้องเปลี่ยนวิธีการพูด ไม่นั้นนิสัยที่เคยพูด เคยคิด เคยเห็น เคยทำแบบไหน มันก็จะคิด ก็จะเห็น ก็จะพูด ก็จะกระทำแบบเดิมๆ ซึ่งอวิชชามันแอบแฝงอยู่ ก็ไม่มีทางเห็นมัน เพราะไม่มีเครื่องกลั่นกรองวินิจฉัยวิจัย ไม่มีหลักในการตั้งตนไว้ชอบ
เหตุนั้นความรู้ความเห็นในโลกนี้เป็นสิ่งสมมติหมด ผู้ใดไม่ใช้สติปัญญาวินิจฉัยวิจัย ย่อมหลงอยู่ในสมมติโลกนั้นทั้งหมดนั่นเอง
ผู้มีปัญญาจึงเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ ทั้งประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ด้วยสติปัญญาอันผ่องแผ้วอย่างสูงสุด จึงเป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อทุกสถานที่ที่ไป ทั้งต่อตนเองทั้งต่อผู้อื่น
จึงตรงกับพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าสุคโต คือผู้ไปแล้วด้วยดีต่อทุกๆ ส่วน ดีทั้งต่อตัวเองดีทั้งต่อผู้อื่นเพราะการคิดการพูดการกระทำทุกอย่าง ประกอบด้วยสติปัญญาเพื่อประโยชน์ตลอด ไม่มีโทษ ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลงนั่นเอง...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
. มี"สติ"ก็มองเห็นความเป็นปกติของธรรมชาติ..
..เพราะพุทธ.. คือความผุดผ่องในใจตน..การจะมีจิตใจผุดผ่องใด้นั้น..ก็คือการมีสติรู้แจ้งในธรรมชาติ.. สิ่งที่มากระทบผัสสะ..
..คำว่ารู้แจ้งคือ รู้ทั้งนอกและใน.แล้วพิจารณาจนเห็นตามความเป็นจริง..จนเข้าใจเหตุทันในผล..สุดท้ายคือความเกิด..ตั้งอยู่..ดับไป..
..เมื่อใดเห็นถึงความดับสิ้นแล้ว..จิตใจก็ผุดผ่องเป็นพุทธ.
ขณะ หายใจเข้า นี้...ขณะ หายใจออก..นี้...
ใครไม่เห็น อารมณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ..
รู้เท่า มัน ละมัน ในขณะ ที่จะเกิด ขณะที่เกิด ที่ตั้งอยู่ ที่ดับแล้ว
ไม่เห็นธัม เห็น แต่หลงตาม ไม่มาก นิดๆ นั้นคือผู้สนใจ จิตใจตน..
ขับเขี่ยวตนเข้า ไม่นานก็ทัน อารมณ์
ตามดูจิต นี่แหละ งานของเรา พามันทำงาน
พิจารณา กาย เวทนา นี่ก็งาน งานภายนอกก็ทำ งานภายในอย่าขาด..
สติ "รู้ตัว" และ "รู้อาการ จิต"...ทั้งหมดทั้งสิ้น...ทำของใครของเรา..เห็นเอง ใจตนเอง
ความปรุงแต่งตนเอง ดับเอง ละเอง วางเอง ...เอวัง ก็ที่ตนเอง..
ธรรมะ ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา ธรรมสูงสุดล้วนอยู่ล้อมรอบตัวเราอยู่แล้ว ใยต้องไปวิ่งแสวงหา การเจริญวิปัสสนาก็คือ แค่ ตามรู้ตามดู เห็นเพียงสักแต่ว่า จบภพจบชาติ
อย่าไปคิดลังเลสงสัย วิปัสสนาไม่เกิดหากมีความคิด แต่ไม่ใช้ไปห้ามความคิด เพราะมันเป็นความคิดที่จะไปห้ามคิด มันยังเป็นความคิดอยู่ดี แต่ " ให้อยู่ความรู้สึกตัว กับ ลมหายใจ หรือ การขยับกาย " ให้ทําแค่นี้ แค่รู้สึกตัวกับกายไปเรื่อยๆ
พอรู้สึกตัวบ่อย จนชิน มันจะเริ่มปรับไปรู้ใจ(จิต)ต่อเอง เราก็รู้ ดูจิตต่อ " แต่แค่ให้รู้ อย่าไปตาม " แค่รู้เห็นเพียงสักแต่ว่า แล้วให้ละสิ่งที่มากระทบ(ผัสสะ)เสีย ไม่ว่ารักโลภโกรธหลง ล้วนทิ้งเสีย "แค่รู้ ไม่ตามรู้" สุดท้าย ปัญญาญาณ หรือ ญาณ ซึ่งเป็นปัญญารู้ธรรมได้เอง(ตรัสรู้) จะค่อยๆบังเกิดขึ้น เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ
#"ผู้คิด"ไม่ใช่"ผู้รู้"ดอก
" ผู้รู้แท้ " คือ " ผู้รู้ทันความคิด "
#พระสิ้นคิด
" แม้น...ได้สมบัติทิพย์ สักสิบแสน
ก็ไม่เหมือน"รู้จริง" ทิ้ง...สังขาร(อาการความปรุงแต่ง)
ใจ...ที่ "รู้ธรรมดา" ทั้ง ห้าขันธ์
ใจนั้น...ก็ขาวสะอาด หมดมลทิน
มี...เกิด ย่อม มี...ดับ
ไม่มี"สังขาร"(ความปรุงแต่ง) ย่อม...มีธรรมที่มั่นคง
ให้มี..."สติ" รู้ทัน...อาการสังขาร ที่ไม่เที่ยง อยู่เสมอ...
จน"ใจ"เคย จึงจะ"ละ"..."ขันธ์ห้า"ได้จริง.
____________________________________
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
ถ้ามีการ หยุดดู หยุดรู้ จิตใจ ของตนอยู่เนืองนิจแล้ว มันจะเป็นการตัดรอนทอนกำลังทางผัสสะได้มากมายเหลือประมาณ
เพราะมัน"กระทบ"ทีไร ก็"ตามเห็น"..."ความดับ"ของมัน
ทุกสิ่งมัน...เกิดขึ้น...ตั้งอยู่...ดับไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก
ไม่มีอะไรให้น่าเอาน่าเป็นแต่ประการใดเลย
เรื่องต่างๆ ที่จำมาปรุง มาคิด นั้น มันก็เป็นความฝันชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ดับไป
เป็นไปในลักษณะนี้เฉพาะหน้า ปัจจุบัน
ถ้าเป็นการดูจริง รู้แจ้ง ในลักษณะของอารมณ์ทั้งหลายที่ปรากฏเกิดดับเฉพาะหน้าทุกขณะแล้ว
มันก็เป็นผัสสะที่กระทบแล้วก็ดับ กระทบแล้วก็ดับ
ไม่มีความหมายว่าเป็นดีเป็นชั่ว หรือเป็นสุขเป็นทุกข์
ข้อปฏิบัติที่น่าสนใจ คือ จะต้องอ่านตัวจริงที่ปรากฏให้แจ่มแจ้งอยู่ทุกขณะ
ไม่ต้องไปมีความจำหมายเอาเรื่องอะไรมา
มันมีแต่ ความปล่อยวาง ว่างเปล่าไป
ดูความจริงของอารมณ์ และผัสสะทั้งหลาย มันแสดงความเปลี่ยนแปลง ว่างเปล่า จากความเป็นตัวตนอยู่เฉพาะหน้าทุกๆ ขณะ
ถ้าอ่านออกในเรื่องนี้แล้ว ข้อปฏิบัติจะไม่มีการไถลไปหรือเฉไฉ ไปเอา...เรื่องจำ...เรื่องคิด...เข้ามา
เป็นการทำให้ นุงถุง ยุ่งยาก แล้วก็เป็นการชักใย พันตัวเองอย่างซ้ำๆ ซากๆ
ลักษณะของจิตที่มีการรู้ตัวนั้น มันมีความแจ่มใส ไม่มือมัว ไม่เร่าร้อน ไม่เศร้าหมอง
จึงเป็นจิตที่ปราศจากกิเลสตัณหา แล้วก็เป็นจิตที่สะอาด สว่าง สงบ ขึ้นมา
ท่านก. เขาสวนหลวง
ว่าด้วยเรื่องของ "รู้" ☀️
👩โยม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ ขอเมตตาหลวงตาให้ความกระจ่าง ระหว่าง "รู้" กับ "รู้สึก" เจ้าค่ะ
☀️หลวงตา : "ความรู้สึก" ที่เป็นเวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุข ความรู้สึกเป็นทุกข์ ความรู้สึกเป็นกลาง ๆ เป็นอารมณ์ หรือ อาการที่ถูกรู้ จัดเป็นธรรมารมณ์ คือ อาการที่ถูกรู้ทางใจ
"ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สติ สัมปชัญญะ)" เป็นสังขารในขันธ์ห้า คือ ความรู้ตัว รู้สึกตัว หรือ ความไม่ขาดสติ สัมปชัญญะ หลงเหม่อเผลอเพลิน หรือ ไม่หลงส่งจิตออกนอกติดไปกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ในขณะที่มีการกระทบ หรือผัสสะในปัจจุบันขณะ
"รู้" ที่เป็นวิญญาณในขันธ์ห้า เป็นสังขาร หรือ อาการปรุงแต่ง ทำหน้าที่รู้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีความเกิดดับเร็วมาก ๆ ๆ ...
"รู้" ที่เป็นวิญญาณธาตุ ที่ยังมี "อวิชชา" มาผสมกับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดเป็นขันธ์ แล้วหลงยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา หรือ หลงยึดถือว่ามีตัวเราอยู่ในขันธ์ห้า หรือ หลงยึดถือวิญญาณธาตุ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเราเป็นของเรา
ดังนั้น รู้ที่มีอวิชชาผสมอยู่ จึงเป็นสังขาร คือ อาการปรุงแต่งยึดถือ จึงเกิดดับได้
"รู้" ที่เป็นวิญญาณธาตุที่ไม่มีอวิชชาแล้ว เป็น"วิสังขาร" ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีอาการของผู้รู้ ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ เรียกว่า "รู้บริสุทธิ์" หรือ "นิพพาน"
หมายเหตุ : ความปรุงแต่งอย่างใด ๆ เพื่อให้เป็น"รู้บริสุทธิ์" หรือจะยึดถือเอา "รู้บริสุทธิ์" มาเป็นของเรา จะเป็นการหลงเอาสังขารมาปรุงแต่งเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา มาปรุงแต่งเป็นความพยายามยึดมั่นถือมั่น รู้บริสุทธิ์ หรือ นิพพาน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
เคล็ดลับของการปฎิบัติคือ อย่าเข้าไปเป็น ให้เป็น"ผู้รู้" เป็น"ผู้ดู" อย่าเข้าไปเป็นมัน ถ้าเข้าไปเป็นมัน ไม่ใช่นักปฏิบัติ เพราะเวลาเราไม่ปฏิบัติ เราก็เข้าไปเป็นอยู่แล้ว
เวลาเกิดความโกรธ เราก็โกรธ เวลาเกิดความรัก เราก็รัก แต่นักปฏิบัติจะต้อง"เห็น" เห็นความโกรธ เห็นความรัก เห็นความเบื่อ เห็นความขี้เกียจ แต่ไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ขี้เกียจด้วย นี่ปลอดภัยแล้ว
"ทุกข์"จะเกิดขึ้นที่กายมากน้อยแค่ไหน แต่"ใจ"เป็นผู้เห็น ความคิดจะปรุงแต่งให้ใจเราเศร้าหมองแค่ไหน ใจเราก็ไม่ได้ไปเศร้าหมองด้วย เป็นแค่ผู้เห็น ปลอดภัยแล้ว
ถ้าเราฝึกบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ รู้สึกบ่อยๆ บริกรรมในความรู้สึกบ่อยๆ ต่อไปจิตจะรู้เอง สติจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ต้องทำบ่อยๆแล้วเขาก็จะเกิดขึ้นเอง เหมือนเราสอนให้เขารู้สึกตัว ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน จึงจะเห็นผล แล้วต้องต่อเนื่องด้วย
ไม่ใช่ขณะปฏิบัติเอาจริงเอาจัง แต่พอออกไปทานข้าว ฟุ้งเหมือนเดิม ต้องให้ต่อเนื่อง จะได้ประโยชน์มาก เหมือนเราตำน้ำพริก ตำครั้งเดียวก็ยังกินไม่ได้ ต้องตำหลายๆครั้ง จึงจะกินได้ ทานข้าวคำเดียวก็ยังไม่อิ่ม ต้องทานหลายๆคำ
การปฏิบัติก็เหมือนกัน ต้อง รู้บ่อยๆ รู้บ่อยๆ จึงจะได้ผล เรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องยากเย็น เรื่องยากคือความคิด ปฏิบัตินี่ไม่ยากหรอก มันยากตอนที่จะไม่ได้ปฏิบัติ
ง่ายๆแค่รู้สึก เวลากายเคลื่อนไหวก็รู้ เวลาใจคิดก็รู้ แค่รู้เฉยๆ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์แล้ว จบลงที่ความรู้สึกตัวเท่านั้น
อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม
🔸การ"พิจารณาสังขาร"ทั้งปวงตามความเป็นจริง
ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาให้กลมกลืนกันอยู่
พร้อมกับลมหายใจออก-เข้า ให้ติดต่ออยู่ไม่ขาดสาย
อันนี้เองที่จะไปทำลาย"ความโง่"คือ"อวิชชา"
เมื่อทำลายความโง่คืออวิชชาแล้วก็กลายเป็นวิชชาอยู่ในตัว แล้วก็เร่งภาวนาพิจารณาเท่านั้น เพื่อจะได้ไม่สงสัยในโลกทั้งปวง เมื่อไม่สงสัยในโลกทั้งปวงโดยถ่องแท้ โลกทั้งปวงคืออะไรก็คือสังขารทั้งปวงนั่นเอง เกิดขึ้นมาแล้วก็แปรปรวนแตกสลายไป
หยาบก็แตกสลายไปตามหยาบ ละเอียดก็แตกสลายไปตามละเอียด แม้ผู้รู้อยู่ในขณะปัจจุบันนี้ก็เกิดขึ้นแปรปรวนแตกสลายอย่างเร็วที่สุด
ฉะนั้น ผู้รู้ในอดีต ผู้รู้ในอนาคต ผู้รู้ในปัจจุบันจึงเป็นสังขารอันละเอียดมาก
ท่านผู้ใด ไม่ยึดถือผู้รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคตทั้งปัจจุบัน ว่าเป็นเรา เขา สัตว์บุคคลแล้ว ท่านผู้นั้นก็ข้ามทะเลหลงไปด้วยพระปัญญาญาณแบบไม่มีรอยแล ก็ไม่ต้องภามหาภพๆ ชาติๆ
"การตายนั้น นักปราชญ์บัณฑิตท่านเห็นเหมือนกับว่า เป็นการแก้ผ้าขี้ริ้วออกโยนทิ้งไปจากตัวเท่านั้น
"จิต"..ก็เปรียบเหมือนกับตัวคน.."กาย"ก็เปรียบเหมือนกับเสื้อผ้า ไม่เห็นว่าเป็นการสลักสำคัญอะไรเลย
แต่พวกเรานี่สิกลัวนัก พอเห็นเสื้อผ้าขาดนิดหน่อยก็รีบหาอะไรๆ มาปะมาเย็บให้มันติดต่อกันไปใหม่ ยิ่งปะยิ่งเย็บ มันก็ยิ่งหนา ยิ่งหนาก็ยิ่งอุ่น ยิ่งอุ่นก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งหลง
ผลที่สุดก็เลยไปไหนไม่รอด
นักปราชญ์บัณฑิตนั้น ท่านเห็นว่า การอยู่การตาย ไม่สำคัญเท่ากับการทำประโยชน์ ถ้าการอยู่ของท่านมีประโยชน์แก่ตัวเองและคนอื่นแล้ว ถึงผ้ามันจะเก่า เสื้อมันจะขาดจนเป็นผ้าขี้ริ้ว มันก็ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย"
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
ดูอะไรก็ดูเฉยๆ เป็นสักว่า สักว่า
ความรู้สึกจะไม่ถูกปรุงแต่ง
ความรู้สึกอย่างนี้ จึงเรียกว่า สงบ
ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปละอะไร
รู้อย่างนี้มันละหมดเลย
มันวาง มันเบา ไม่ไปยึดติดกับอะไร
มันถอนออกจากอะไรๆ เรียกว่า จิตเป็นอิสระ
รู้เฉยๆ รู้ เท่านั้นเอง จิตมันหยุดแล้ว มันรู้เลย
รู้ตรงนี้ มันจบ นี่แหละ ธรรมะ
ตาดู หูฟัง ก็ยังเห็นความรู้สึกอยู่ ไม่มีอะไร
เห็นความรู้สึก มันว่าง
รู้ ตื่น ว่าง
นั่งอยู่ ขยับแข้งขยับขา ก็สบาย
นี่แหละ ความสุข ก็ไม่มีทุกข์
รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทุกข์ เป็นปกติ ธรรมดา
ดูให้ต่อเนื่อง ดูให้มันอยู่ตัว แล้วก็เคลื่อนไหวไป
พลิกมือขึ้นช้าๆ ยังเห็นอยู่
เอาขึ้นมาอย่างนี้ก็ยังเห็น ไม่มีอะไร
ทำช้าๆ ไม่ต้องไปดูมือนะ ดูความรู้สึก ก็ยังไม่มีอะไร
หายใจก็โปร่งเบา ไม่อั้นไม่กลั้น
ถ้าอั้นกลั้น มันยืดแล้ว
รู้ได้ทั้งตัวเลย รู้ได้ นี่แหละ พุทธะ
รับรองไม่มีทางเป็นอะไรๆ มันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น
เข้าถึงธรรมชาติล้วนๆ หรือ ธรรมชาติบริสุทธิ์
หรือ จิตที่ผ่องแผ้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข นั่นแหละ ยิ่งกว่าสุข
พ้นทุกข์พ้นภาระ จิตใจไม่มีภาระ
มันหมดปัญหา หมดสงสัย แล้วก็เป็นธรรมดาๆ
คนเราเวลาปฏิบัติธรรม มักจะมุ่งให้มันได้อะไรๆ
แต่ไม่เห็นธรรมดาๆอย่างนี้ คือต้องมีสิ่งที่วิเศษกว่านี้
มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ มีแค่นี้แหละ
คอยประคับประคองเบาๆ มันคอยจะแว๊บออกไป
ถ้าไม่รู้มันก็เกิด ถ้ารู้มันก็ดับ
คอยรู้ไว้ รู้ปุ๊บดับปั๊บ
ทำให้ต่อเนื่อง ดูไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ ที่ดูนี่ไม่มีทุกข์ ไม่มีภาระ ก็พอใจตรงนี้
มันจะไม่คิดที่จะแสวงหาอะไรอีก ไม่ม่ไม่ไปไม่มีมา
ดูให้ต่อเนื่องเรื่อยๆ
จากหน้า ๑๖ – ๑๙
หนังสือ "รู้อย่างนี้ไม่มีทุกข์"
ที่ระลึกครบรอบ ๘๐ ปี
หลวงพ่อสมบูรณ์ ฉตฺตสุวณฺโณ
จุดศูนย์กลางแห่งการรับรู้ต่างหาก
คือผู้ซึ่งทำหน้าที่บอกมนุษย์แต่ละคนว่า
ตนกำลังสัมผัส"รู้"..."ดู"..."เห็น" อะไร
ด้วยคุณสมบัติดังว่านี้เอง
มนุษย์ทั่วไปจึงเรียกอวัยวะหรือกลไก
ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์รวมหรือ
จุดศูนย์กลางแห่งการรับรู้นี้ว่า"ตาที่สาม"
คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็มีสอนสั้น ๆ ว่า
รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ทราบสักแต่ว่าทราบ
รู้สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่า
ในขณะที่รู้อยู่ว่ารู้นี่ ก็รู้อย่างสักแต่ว่ารู้
ไม่ได้ไปยินดียินร้าย ไม่ได้ไปจงใจจัดแจง
จะได้อานิสงส์ หนึ่งคือ จิตตื่น
แม้ง่วงก็ยังไม่หลับได้ ประคองไว้ได้
และถ้าฝึกไปเรื่อย ๆ จิตก็จะตื่นมากขึ้น
แล้วก็ผ่องใส่ได้ สบายได้
สบายของคนทั่วไป
อย่างคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม
เขาก็หาความสบายใจด้วยการ
ไปดูหนัง ดูละคร ที่มันสนุกสนาน
ฟังเพลง ให้มันสบายใจ
ไปกินอาหารอร่อย ๆ ให้มันเพลิดเพลินสบาย
เที่ยวเล่นสนุกสนานสบายใจ
อันนั้นสบายแบบยังแปดเปื้อนอยู่
มันก็จะชั่วคราว แล้วเดี๋ยวก็เศร้าหมอง
สบายแบบนั้น มันจะรู้สึกว่าต้องการอีก
ต้องการอีก อยากได้อย่างนั้น ๆ
แม้ได้แล้วก็ยังอยากมากกว่านั้น
มันก็เลยไม่เต็มไม่พอ
อาการที่จิตไม่เต็มไม่พอต้องดิ้นรน
ต้องการจะสุขหรือทุกข์ มันก็จะทุกข์
เพราะฉะนั้นเมื่อติดในความสุขแบบนั้น
เรียกว่าความสุขที่อิงอามิส
จิตก็จะรู้สึกทุกข์ตามมา
เพราะว่า มันไม่มีอะไร ที่จะได้อย่างใจทุกอย่าง
มันไม่มีอะไรที่คงที่ มันไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ถาวร
สิ่งที่เราได้ก็ต้องเปลี่ยนไป
ถึงจะถูกใจ ถึงจะพอใจ ถึงจะว่าดี
มันก็ไม่ได้ตลอดไป ถ้าเราไปติดอกติดใจ
พอสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป
เราก็เศร้าหมอง หรือว่าก็ต้องแสวงหาอีก จึงไม่จบ
แนวทางของพุทธศาสนาสอนวิธี
ที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง
ไม่ใช่การดิ้นรนแสวงหา ตอบสนองความต้องการ
แต่สอนว่า หาวิธีชำระความดิ้นรน ต้องการนั้นเสีย
เหมือนว่าคนป่วยที่เป็นโรคคัน โรคหิดคัน
เขาก็ต้องการที่จะเกา เกาก็คัน ก็เจ็บ
เดี๋ยวก็คันอีก เกาใหม่ คันใหม่อยู่อย่างนั้น เป็นทุกข์
ฉะนั้นทางที่จะดับทุกข์ก็คือ
การที่จะหาทางเลิกคันให้ได้ รักษาโรคให้มันหาย
ไม่ใช่หาวิธีที่จะเกาให้มาก
หรืออุปมาเหมือนคนที่ติดยาเสพติด
เขาก็จะต้องการเสพ หายาเสพติดมาเสพ
แล้วเขาก็จะมีความสุข แต่มันไม่จบ
แล้วก็ต้องการอีก ต้องการอีก ต้องการอีก
ต้องการมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ความทุกข์ก็มากขึ้น
ความดิ้นรนกระวนกระวายมาก
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทางแห่งความดับทุกข์
ทางที่จะดับทุกข์คือหาทางทำอย่างไรที่จะเลิกติดยา
ไม่ใช่หายามาเสพ แต่ทำอย่างไรที่จะเลิกติดยา
จริงอยู่เวลาแก้ไขการติดมันอาจจะลำบาก
แต่เมื่อแก้ได้ หลุดได้
ความติดไม่มีแล้วมันก็สบาย
เหมือนกัน แนวทางแห่งการเข้าถึง
ความสุขที่แท้จริงในพุทธศาสนา
จึงไม่ได้อยู่ที่แสวงหาตอบสนองความอยาก
แต่ให้แก้ไขความทะยานอยากให้ดับสิ้นไป
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
ภิกษุ ท. !! คำที่เรากล่าวแล้วว่า " ภิกษุ ท. !! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัย ปฐมฌาน บ้าง " ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวเล่า ?
ภิกษุ ท. !! ในกรณีนี้ ภิกษุ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
เข้าถึง ปฐมฌาน อันมี วิตก วิจาร มีปิติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้ว แลอยู่
ในปฐมฌานนั้น มีธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ [ ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ ]
เธอนั้น " ตามเห็น " ซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น [ ให้ยืมมา ]
เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของมิใช่ตน
เธอดำรงจิต ด้วยธรรม [ คือขันธ์ ๕ ] เหล่านั้น , แล้วจึงน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ คือ นิพพาน
ด้วยกำหนดว่า นั่นสงบ ระงับ นั่นประณีต , นั่นคือธรรมชาติ เป็นที่สงบ ระงับ แห่งสังขารทั้งปวง
เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน ดังนี้
เธอดำรงอยู่ใน วิปัสสนาญาณ มี ปฐมฌาน เป็นบาทนั้น , ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะ อนาคามี , ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำ ๕ ประการ และเพราะ อำนาจแห่ง ธัมมราคะ , ธัมมนันทิ [ อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ ] นั้น ๆ นั่นเอง
ปล. ในกรณีแห่ง ทุติยฌาน , ตติยฌาน , จตุตถฌาน. ก็ทรงกล่าวไว้ในทำนองเดียวกัน
ดังนั้น ในการดำเนินตาม อริยมรรค นั้น ไม่จำเป็นต้อง เข้ารูปฌาน , อรูปฌานชั้นลึก ๆ ก็ได้
เพราะเพียงแต่ ปฐมฌาน ก็สามารถ เป็นบาท ให้เข้าสู่ วิมุตติธรรม พระนิพพาน ได้
ที่สำคัญคือ ทำความเห็นให้ถูกต้อง แล้ว "ตามเห็น ตามความเป็นจริง ในสภาวะธรรมนั้นๆ ในปัจจุบัน ด้วยความไม่ยึดมั่น "
ก็อาจถึงที่สุดแห่งธรรม โดยยังดำรงอยู่ในขณะที่ ขันธ์ ๕ ยังทำหน้าที่ตามปรกติ , ไม่ต้องหลบลี้เข้าป่าเข้าดง ปลีกวิเวกไปใหน แต่อย่างใดเลย ก็ได้
อนึ่ง , นั้นต้องด้วย ความมี ตัวรู้ , ที่คอยตามดู ตามเห็น ตามความเป็นจริง , ตัวรู้ จึงชื่อว่า สำคัญที่สุด , มากกว่าระดับขั้น ของฌาน เสียอีก น่ะครับ
" ความคิด นั้น มันเกิดอยู่...เสมอ
เหมือนลมหายใจ นั่นเอง ห้าม ไม่ได้
การ...ปฏิบัติ ก็ไม่ได้มุ่งดับ...ความคิด
เอาแค่ว่า...พอ"รู้อารมณ์"
แล้ว...จิต มันคิดนึก ปรุงแต่ง ก็ให้รู้...ทัน
อย่า...ฝันทั้งที่ตื่น คือ...หลงคิดไป โดยไม่รู้ตัว เท่านี้
ก็...พอ."
_____________________________________
( หลวงปู่ดุลย์ อตุโล.)
" ขอแต่ให้เรามี...สติ
กำหนดอยู่เสมอว่า...
บัดนี้ จิตใจของเราอยู่ในลักษณะอย่างไร
มีอารมณ์อะไรอยู่
จิต เป็นสุขไหม
จิต เป็นทุกข์ไหม
จิต วุ่นวายไหม
จิต สงบไหม ให้เรารู้เห็น อย่างนี้
หมายความว่า...
ให้รู้จักความรับผิดชอบ ของจิตอยู่
ตลอดเวลา นี้เรียกว่า...
การ...ทำจิตของเราให้สงบ."
-------------------------------------------------------------
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
" เวลาเรามี...ไม่มาก
เรามาฝึกจิต ก็ต้องดูจิต
ดู...อาการของจิต
ลองดู...จิต ให้เห็น...จิตเรา
อย่า...ไปยึดมั่น ถือมั่น
ถือมั่น...
ก็เห็นสุข เป็นของจริง สุข เป็นเรา
สุข เป็นของเรา
ทุกข์ เป็นเรา ทุกข์ เป็นของเรา
มันคิดเช่นนี้
แต่...ความเป็นจริงนี้
สุข สักแต่ว่าสุข ไม่ใช่ เรา ไม่ใช่ เขา
ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ทุกข์นี้ ก็ไม่ใช่ เรา ไม่ใช่ เขา
ตัวคน ที่รู้ทุกข์ หรือสุขนี้
ก็ไม่ใช่ เรา ไม่ใช่ เขา
ถ้าเรา...เห็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไร จะเกาะ
(มีอาการ)เกิดสุข ขึ้นมา สุข ก็เกาะเรา
ไม่ได้
(มีอาการ)เกิดทุกข์ ขึ้นมา ทุกข์ ก็เกาะเรา
ไม่ได้
ทำไมไม่ได้...
เพราะว่า...มันไม่แน่ เป็นของปลอม ทั้งนั้น
เป็นของไม่แน่นอน
ถ้าเรา...คิดเช่นนี้ จะภาวนา ได้เร็ว
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะไป จะมา
ทุกอย่าง จิตกำหนดอยู่...เสมอ
ให้...รู้
มีอารมณ์ มันเข้ามา ตา เห็นรูป หู ได้ยิน-
เสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส อะไรต่างๆนี้
มัน จะเกิดความชอบ ไม่ชอบ ขึ้นมาทันที
มัน จะเกิดสุข เกิดทุกข์ ขึ้นมาทันที
อันนี้ เราเรียกว่า...
อ่านดู...จิต
มันจะเห็น...จิต
เพราะ...มันเกิดจากจิตดวงเดียว เท่านี้
มัน จะให้สุข
มัน จะให้ทุกข์
ทุกอย่างเกิดจาก...จิต
ถ้าเราตามดูจิตของเราอยู่ เช่นนี้
มัน จะเห็นกิเลส
มัน จะเห็นจิตของเราสม่ำเสมอเลยทีเดียว
อันนี้แหละ...
คือ...การภาวนา."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
หากเรารู้ในสิ่งใด แล้วยังทุกข์เพราะสิ่งนั้น
นั่นคือ รู้ด้วยกิเลส
แต่..หากเรารู้ในสิ่งใด แล้วไม่ทุกข์ไปกับสิ่งนั้น
นั่นล่ะคือ รู้ด้วยปัญญา
#พ่อ #พระธัมมสรโณ
"เห็นธรรมะ คือ เห็นตัวเอง"
.
การเห็นธรรมะนั้นคือเห็นตัวเอง เราไม่เคยมองเห็นตัวเองเลย แต่ว่าเราคิดถึงตัวเอง เราสร้างภาพตัวเองขึ้นมาในจินตนาการ ว่าเราเป็นอันนั้น เราเป็นอันนี้ แล้วเราก็เจ็บปวดกับอันนั้นอันนี้ แต่เราไม่เคยเห็นตัวเอง ทั้งไม่รู้จัก ถ้าเห็นตัวเองภาพในจินตนาการของเราจะดับไป
.
เห็นตัวเอง คือเห็นไม้เห็นมือกำลังยกไปยกมา ถามว่าเห็นด้วยอะไร ไม่ใช่ด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อมันเห็นอะไรไม่ค่อยได้มาก มันเห็นเฉพาะรูปที่มันอยากจะเห็น ขอบเขตมันมีอยู่ แต่ “เห็น” ด้วยความรู้ตัว รู้ตัวว่ากำลังนั่ง กำลังเดิน โดยไม่มีความคิดเกี่ยวกับการเดิน มีแต่ความรู้สึกสัมผัสล้วนๆ สิ่งนี้เป็นจริงได้ในที่ทุกแห่ง เราสามารถเห็นตัวเราเองได้ กำลังเดินอยู่ ถ้าเห็นตัวเองอย่างนี้ อะไรที่มันผิดเพี้ยนมันจะเห็นก่อน เช่น โทสะเกิด มันจะหยุดตรงนั้น "พอรู้ตัวได้ ... มันก็ตกไป สิ้นไป ดับไป"
.
การเห็นตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ นั้นคือการอยู่เหนือความคิด โดยปกติคนเรานั้นมักจะคิดถึงตัวเอง คิดถึงคนที่เรารัก แล้วก็ใช้ความคิด คิดถึงความคิดอื่นๆ เช่น นักภาวนา นักปฏิบัติ คิดว่า เอ๊ะ! ความคิดคืออะไร นั่นคือความคิด ความคิดนั่นแหละคิดถึงความคิด เราไม่ควรปฏิบัติเช่นนั้น
.
ถ้าเราสำรวมสัมปชัญญะ สมปฤดีทั้งหมดมาที่การเคลื่อนไหว แล้วก็ “ปล่อยให้มันคิด แต่อย่าไปคิดกับมัน” ถ้อยคำเหล่านี้ดูชอบกล คือปล่อยให้มันคิด แต่อย่าไปคิดกับมัน แสดงว่าเราเป็นตัวสัมปชัญญะ “คิดก็คิด มันคิดของมัน แต่เราไม่ได้คิดด้วย” ทำอยู่อย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานจะเห็นแจ้งด้วยปัญญา เห็นความต่างระหว่างความคิด กับ ความรู้สึก ความคิดนั้นอย่างหนึ่ง ความรู้ตัวอีกอย่างหนึ่ง
.เขมานันทะ (อ.โกวิท เอนกชัย)
#ปุจฉา: เคยได้ยินพระอาจารย์บอกว่า จิต เปรียบเหมือนกับไฟฉาย ที่ส่องไปที่ใดก็แค่ในจุดๆ หนึ่ง ส่วนสภาวะรู้ เปรียบเหมือนเรดาร์ กวาดไปได้ทั่วโดยไม่ระบุ
ไม่มีที่หมาย หรือ สัญญาว่าเป็นสิ่งใด
ผมรู้สึกว่า เหมือนจะแยกได้ อีกใจหนึ่งก็เหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งๆ เดียวกัน และมันเป็นคนละอย่างใช่ไหม?
#วิสัชนา: โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
การรับรู้ มันมีทั้งระดับโลกียธรรม และระดับโลกุตตรธรรม
ก็คือ การรับรู้ที่เป็นเรื่องของสังขารอยู่
กับการรับรู้ที่เป็นวิสังขาร สองอันนี้มันเป็นคนละสิ่งกัน
.
สำหรับปุถุชนทั่วไป ก็คือใช้เครื่องมือรับรู้ที่เป็นโลกียธรรม
ก็คือ วิญญาณขันธ์ หรือ จิต นั่นเอง
จิต เกิดดับ ทีละดวง
รู้ ทีละอารมณ์
สภาวะของคนทั่วไป จิตก็จะเกิดตามอายาตนะทั้งหก
จิต เกิดที่ตา เกิดการเห็น
เกิดที่หู เกิดการได้ยิน
เกิดที่จมูก เกิดการได้กลิ่น
เกิดที่ลิ้น เกิดการลิ้มรส
เกิดที่กาย เกิดสัมผัสทางกาย...เกิดการรับรู้ขึ้นมา
จิต.เกิดดับทั่วตัว นี่คือ วิญญาณขันธ์ เครื่องมือในการรับรู้ถ้าจิตไม่เกิด วิญญาณไม่เกิด มันก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้
แต่พอเราฝึกพัฒนาสติ จน..สติตั้งมั่น
จิตไม่ได้อาศัยช่องทาง อายาตนะทั้งหกแล้ว
เค้าเกิดที่ใจอย่างเดียว
เกิดที่ใจ ดับที่ใจ ก็รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้
นั่นคือ สภาวะในระดับ รูปาวจร หรือในระดับสมาธิเป็นต้นไป
และเมื่อเราพัฒนาสติจนจิตตั้งมั่น ที่เรียกว่าเกิด จิตผู้รู้ ขึ้นมา
ตัวรู้ ที่ครูบาอาจารย์พูดถึง หรือ จิตตั้งมั่น
เราจะพบถึงความเป็นตั้งมั่นหนึ่งเดียว และรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น นิ่งอยู่ รู้อยู่
ในระดับโลกียธรรม มันยังมีอาการยึดตัวรู้
หรือ ยึดวิญญาณขันธ์อยู่
ลักษณะก็จะเป็น เรารู้ เราคิด เราพูด เราคุย
เราเป็นผู้กระทำ...มีตัวเราอยู่
เพราะว่า ตัวเรา มันเกิดจากอาการยึดขันธ์ 5
มันยังยึดวิญญาณขันธ์ หรือ ยึดตัวรู้อยู่
เพราะฉะนั้น มันยังรู้สึกว่า ตัวรู้ เป็น ตัวเรา
ถึงแม้ว่า มันจะวางกายไปแล้ว
รู้สึกว่ากายเป็นสิ่งแค่เคลื่อนไปแล้ว
แต่ว่า มันยังมีอาการยึดตัวรู้อยู่
หรือ ยึดวิญญาณขันธ์อยู่
มันยังมีความเป็นตัวเราอยู่
นี่คือ สภาวะระดับโลกียธรรม
.
แต่เมื่อใดที่เราพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนเกิดสภาวะ รู้ ตื่นแล้วก็ เบิกบาน คือ มันถอยจากวิญญาณขันธ์ได้
แม้กระทั่งตัวรู้ หรือ วิญญาณขันธ์ ก็กลายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ขึ้นมา
มันจะเกิดสภาวะเห็นตามความเป็นจริงขึ้นมา
ซึ่งลักษณะของการรับรู้สิ่งนี้ มันต่างจากการรับรู้ ด้วยวิญญาณขันธ์
จิต เกิดขึ้นทีละดวง รู้ ทีละอารมณ์
ถึงแม้ว่าจะเกิดดับรวดเร็วมาก แต่มันจะรู้พร้อมได้อย่างไร?? ก็ในเมื่อ มันเกิดทีละดวง รู้ทีละอารมณ์
.
แต่ผู้ที่ปฏิบัติถึงขั้น จะพบว่า
สภาวะที่รู้สึกตัวทั่วพร้อม มันมีอยู่จริง มันไม่ได้รู้ทีละอย่าง
เกิดพร้อมกัน ก็รู้พร้อมกัน
แม้กระทั่ง การแตกดับยิบยับ ทั่วทั้งกาย การแตกดับทุกเซลล์ ในร่างกาย ความคิด ความปรุง สภาวะทุกอย่าง
มันรับรู้ได้พร้อมกัน
มันรู้พร้อม ได้อย่างไร???
มันรู้พร้อม ได้เพราะว่า
อันนั้นคือเครื่องมือของการรับรู้ระดับโลกุตตระ
ก็คือ รู้ ที่เป็น วิสังขาร
ไม่ใช่ รู้ ที่เป็นสังขาร
รู้ ที่เป็นสังขาร คือ จิต เกิดทีละดวง รู้ทีละอารมณ์
ลักษณะ การทำงาน มันเหมือน ไฟฉาย
เวลาไฟฉาย มันส่อง ไปที่ตรงไหน
มันก็รู้เห็น แค่ที่ตรงนั้น มันไม่สามารถรู้เห็นตัวเองได้
แต่ รู้ที่เป็น วิสังขาร หรือ อมตธรรม
ลักษณะ มันเหมือนเรด้า หรือ ความสว่าง
เวลาข่ายเรด้า มันกางออกมา สภาวะเบิกบาน
ทุกอย่างที่อยู่ในข่ายของเรด้า มันจะถูกรู้ ถูกเห็น ทั้งหมด
เกิดพร้อมกัน ก็รู้พร้อมกัน
แล้วในขณะที่ดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณแบบนี้
สภาวธรรมจะเป็นประดุจ หยดน้ำบนใบบัว
เวลา หยดน้ำ มันหยดลงไปในใบบัว
มันจะกลิ้งออก หลุดออก ไม่ซึมซาบเข้าไป
เพราะว่า สังขตธรรม กับ อมตธรรม จะไม่ระคนกัน
เหมือน น้ำ กับ น้ำมัน ที่มันไม่ระคนกัน
รูปนามขันธ์ 5 สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา
กับ อมตธรรม หรือ ภาวะรู้ที่เป็นโลกุตตระ จะไม่ระคนกัน
เพราะฉะนั้น ในขณะที่ดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณตรงนี้
มันจะมีทั้งธรรมชาติที่เป็นสังขตธรรม และ
ธรรมชาติ ที่เป็น อมตธรรม
จึงเกิดสภาวะแยกธาตุ แยกขันธ์ แตกดับของใครของมันขึ้นมา
แล้วการรับรู้ มันสามารถรับรู้ได้รอบทิศทางเลย ที่เรียกว่า รู้รอบ แบบ 360 องศา เลย ถ้ากำลังดีๆ นะ
ภาษาพระท่านเรียก ญาณทัศนะ การรู้เห็นตามความเป็นจริง นั่นคือเครื่องมือรับรู้ในระดับโลกุตตรธรรม
ซึ่งการรับรู้ที่เป็นโลกุตตรธรรมนี้ จะปราศจาก การยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ ในโลกเลย
ที่เรียกว่า เห็น สักแต่ว่า เห็น
ได้ยิน สักแต่ว่า ได้ยิน
ทราบ สักแต่ว่า ทราบ
รู้ สึกแต่ว่า รู้
ซึ่งถ้าข่ายการรับรู้เราตรงนี้มันกว้างออก ทุกอย่างที่อยู่ในข่ายการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ ก็ถูกรู้ แตกดับของใครของมัน
เราจะพบว่า มันไม่ต้องใช้อายตนะ
ทางตา หู จมูกลิ้นกายและใจ มันรับรู้ด้วยญาณทัศนะ
ถ้าข่ายมันกว้าง มันรับรู้แบบ เซอร์ราวด์ เลย
มันรับรู้ ทุกสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วแตกดับ
ขึ้นอยู่กับ คุณภาพของวิปัสสนาญาณ
เวลาชอบพาไปฝึกในที่ธรรมชาติ ที่ทะเลบ้าง ที่ป่าเขาบ้าง
เวลาพาฝึก ข่ายญานกว้าง การรับรู้ที่มันเฉียบคม
มันจะทำให้เรา เข้าใจสภาวะได้ชัดเจนขึ้น
มันจะมีทั้งเนื้อสภาวะที่เกิดดับ
และ สภาวะธรรมที่มันไม่เกิดดับ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น การรับรู้ มันมีทั้งระดับโลกียธรรม และ
ระดับโลกุตตรธรรม
โลกียธรรม เป็นเรื่องของสังขาร
คือ สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ก็คือ วิญญาณขันธ์
.
โลกุตตรธรรม เป็นเรื่องของ วิสังขาร
ธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกปรุงแต่ง เป็นเรื่องของ อมตธรรม
การที่เราจะเข้าถึงสภาวะรู้ที่เป็นโลกุตตรธรรมได้
ก็ด้วยการฝึก สติปัฏฐาน ปลุกพุทธสภาวะขึ้นมา
หรือ สภาวะรู้ขึ้นมา จนสภาวะรู้ มีกำลังพอ กระแสปฏิจจสมุปบาท ที่มันบดบังอยู่ มันจะถูกเพิกออกไป ที่ว่าทำจิตให้ถูกรู้ แล้วมันจะเกิดการเห็นตามความเป็นจริง
.
ตอบปัญหาธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
ณ ยุวพุทธ o๔ / ๒๗ กพ ๒๕๖๓