“อตมฺมยตา” (อะ-ตัม-มะ-ยะ-ตา)
ไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้นๆอีกต่อไป “กูไม่เอากับมึงอีกต่อไป”
.
…. “การจะทำจิตให้ขาวรอบได้ ตามหลักของ“โอวาทปาฏิโมกข์”อันสูงสุดนั้น จะต้องมี “อตมฺมยตา” (อะ-ตัม-มะ-ยะ-ตา) อาตมาออกชื่อมาเกือบ ๒๐ ครั้งแล้ว จำได้ไหม? จำได้หรือยัง เรียกว่าพูดจบก็ลืม อตมฺมยตา อตมฺมยตา อตมฺมยตา ซ้ำๆซากๆไว้ในใจ ว่า “กูไม่เอากับมึงอีกต่อไป” อตมฺมยตาไม่สำเร็จมาแต่ปัจจัยนั้นๆอีกต่อไป ฉันไม่เอากับแกแล้ว บุญก็ไม่ไหว บาปก็ไม่ไหว ดีก็ไม่ไหว ชั่วก็ไม่ไหว สุขก็ไม่ไหว ทุกข์ก็ไม่ไหว ไม่ไหวทั้งนั้น คือ ไม่เอากับมัน ไม่ผูกพันอยู่กับมัน จะหลุดออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนี้เรียกว่า “ไม่สำเร็จอยู่กับ...ไม่สำเร็จมาจาก...หรือ ไม่ผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นๆอีกต่อไป.
…. ก็ดูเถอะ เดี๋ยวนี้มันก็มีอะไรที่ผูกพัน ผูกพันจิตใจอยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าพระ ไม่ว่าฆราวาส ยิ่งมีการงานมาก การงานนี้เป็นสิ่งที่ผูกพันจิตใจ หวังว่าจะดี จะเด่น จะดัง จะโก้ จะหรู จะอวดดีทั้งนั้นเลย สิ่งนั้นแหละผูกพัน ถ้าออกมาเสียได้จากสิ่งผูกพันเหล่านั้น นั่นแหละคือ “อตมฺมยตา” สูงสุดในพระพุทธศาสนาส่วนที่เป็นการปฏิบัติ.
…. เอาละ เป็นอันว่า เราได้พูดกันถึงธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่สามารถจะช่วยให้มีจิตขาวรอบได้ เหนือดี-เหนือชั่ว เหนือบุญ-เหนือบาป เหนือสุข-เหนือทุกข์
…. เดี๋ยวนี้ คนทั้งโลกไม่เป็นอย่างนั้น มีอะไรที่ “ผูกพัน มั่นหมาย” เป็นเหตุให้หลงใหลอยู่กับสิ่งนั้น แล้วก็เป็นเหตุให้ทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น ยึดถือเป็นตัวของกู เป็นตัวกู เป็นของกู กันอยู่ทั้งนั้น ทั้งโลก ไม่มีใครสนใจที่จะหย่าขาดกับสิ่งที่หลงรักหรือพอใจอยู่ในขณะนี้ นี่คือความไม่มี “อตมฺมยตา”
…. ทำเรื่องให้ติดต่อกันให้ดี ว่าเราถือหลักโอวาทปาฏิโมกข์ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ขาวรอบ จะทำให้ขาวรอบนี้มันจะต้องอยู่เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์ ถ้าพูดเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หน่อย ก็ว่า เหนือบวกเหนือลบ เหนือความเป็นบวกเป็นลบ เหนือ POSITIVE เหนือ NEGATIVE เหนือที่เป็นคู่ๆเป็นบวกเป็นลบนั่นแหละ แล้วจิตมันจะขาวรอบ ถ้าว่ามันเพียงแต่ละชั่วมา ก็เหมือนกับว่าละสีสกปรกต่างๆมา เหลืออยู่เป็นสีขาว ทีนี้ละสีขาวนั้นเสียอีกทีหนึ่ง จนไม่มีสีนั่นแหละ จึงจะเรียกว่ามันขาวถึงที่สุด ขาวถึงที่สุด
…. เดี๋ยวนี้ ทุกคนหลงดี ใครบ้างที่กล้าพูดว่าไม่ชอบดี หรือไม่บ้าดี ถึงมันกำลังบ้าดี มันก็ละอายไม่กล้าพูดว่ากูบ้าดี มันก็ไม่พูดให้ใครรู้ นั่นแหละรู้กันเอง รู้ตัวเองว่ากำลังบ้าดี หลงดี อะไรที่คิดว่าดีก็หลงสิ่งนั้นแหละ สิ่งนั้นแหละมันก็ผูกพันจิตใจ เป็นเครื่องกระตุ้นเป็นเครื่องผลักดันให้กระทำ ยังอยู่ในขอบเขตของตัณหา อุปาทาน หรืออำนาจของ“อวิชชา” โดยหลงไปว่ามีสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรเป็นตัวตน หมดอวิชชามันก็จะหมดความหลง อย่างนี้จึงจะเป็นอิสระ จะหลุดพ้นออกไปได้ การที่จะหลุดออกไปได้จากสิ่งใด มันก็ต้องหย่าขาดจากสิ่งนั้น อาการที่หย่าขาดกับสิ่งนั้น นั่นแหละ คือ “อตมฺมยตา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “อตมฺมยตากถา”
นั้นคือกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงหรือความไม่เที่ยง..
ซึ่งเรียกว่า.อนิจจัง.
เพราะต้องเป็นไปกับด้วยสิ่งที่อนิจจัง.หรือเปลี่ยนเรื่อย.
ก็เกิดอาการที่เป็นทุกข์ทนยาก.หรือที่เรียกว่า.ทุกขัง.
เพราะไม่มีอะไรต้านทานได้ต่อสิ่งที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์..จึงเรียกว่าไม่มีตน
หรือไม่ใช่ตน.หรือ.อนัตตา.
การที่เป็นไปด้ยอนิจจัง.ทุกขัง.อนัตตา
นี้..เรียกว่า.ธัมมัฏฐิตตา.
คือ.ความที่เราต้องเป็นไปเช่นนี้เป็นธรรม
ดา ทั้งนี้เป็นเพราะมีกฏของธรรมชาติบัง
คับอยู่.นี้.เรียกว่า.ธัมมนิยามตา.
อาการที่ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างนี้.เรียกว่า.อิทัปปัจยตา.เป็นกฏธรรมชาติ มีอำนาจเสมอ.สิ่งที่เรียกกันว่า "พระเป็นเจ้า" .
การที่ไม่มีอะไรต้านทานกฏอิทัปปัจจย
ตานี้.เรียกว่า.สุญญตา.
คือ.ว่างจากตัวตน. หรือว่างจากความ หมายแห่งตัวตน.
มีความจริงสูงสุด.เรียกว่า.ตถตา.
คือ.ความเป็นเช่นนั้นเอง อย่างไม่ฟัง เสียงใคร .ใครจะฝืนให้เป็นไปตามใจตน.มันก็กัดเอง..คือเป็นทุกข์.
ในที่สุดก็เกิดความรู้สึกขั้นสุดท้ายว่า.อตัมมยตา.
ความที่ไม่อาจอาศัยหรือเกี่ยวข้องกับ
สิ่งนี้อีกต่อไป.ซึ่งเป็นความหมายอย่าง
ภาษาชาวบ้าน.พูดว่า.. "กูไม่เอากะมึงอีกต่อไปแล้ว"
สลัดออกไปเสีย.ก็คือการบรรลุมรรค
ผล.ธัมมฐิติญาณ.
รู้ความจริงของสังขาร.สุดลงที่อตัมมยตา
ต่อจากนั้นก็เป็นกลุ่ม.นิพพานญาณ.
เป็นฝ่ายโลกุตตระ.เริ่มต้นแห่งความเย็น
หรือความหมายของนิพพาน.
โลกกลายเป็นโลกเย็น..ในที่สุดก็กลายเป็นโลกเย็น
เพราะเต็มไปด้วยศีลธรรมหรือ.ภาวะปกติ.
ไม่วุ่นวายอยู่ภายในจิตใจของตน..แม้ว่าภายนอกกายจะมีความวุ่นวายตามธรรมดาของโลก.
ความเย็นอกเย็นใจเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในหมู่คนเหล่านี้..
แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อันสับสนวุ่นวาย.
เพราะมีจิตที่ปราศจากความยึดมั่นอย่างโง่เขลา ไม่ยอมรับสภาพเช่นนั้นเองของโลก.
เรือนจำ.สถานีตำรวจ.ศาล.โรงพยาบาลประสาท..และโรงพยาบาลโรคจิตจะลดลง..เมตตา.และความสัตย์ จะเป็นสิ่งหาได้ง่ายในสังคมนั้น.
มีลักษณะเป็นโลกของพระศรีอารยเมตไตรย..แม้ระเบิดปรมณูจะลงมา ทุกคนก็ยังหัวเราะได้.
เพราะความไม่ยึดมั่นในตัวตน และไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก.เพราะอำนาจของสัมมาทิฏฐิดังกล่าวแล้ว..
182.. นาบุญ อันยอดเยี่ยม ของโลก
นาบุญยอดเยี่ยม คือ นาบุญที่ให้ผลตอบแทนมาก เป็นบุคคลที่ควรถวายทาน ที่ควรเข้าหา ที่ควรต้อนรับ ควรแก่ทักษิณา ควรกราบไหว้ คือ เนื้อนาบุญ ๗ จำพวก
๑. ท่านผู้เป็นอุภโตภาควิมุติ…(ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน) คือ ท่านผู้หลุดพ้นจากรูปกาย ด้วยอรูปสมาบัติ
และหลุดพ้นจากนามกาย ด้วยอริยมรรค คือ พระอรหันต์ผู้บำเพ็ญสมถกัมมัฏฐาน ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกาย ได้เจโตวิมุตติขั้นอรูปสมาบัติ และสิ้นอาสวะ เพราะเห็นด้วยปัญญา เป็นพระอรหันต์ผู้ได้ ปัญญาวิมุตติ
๒. ท่านผู้เป็นปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา) หมายถึงพระอรหันต์ผู้บำเพ็ญวิปัสสนาล้วนๆ มิได้สัมผัส
วิโมกข์ ๘ แต่สิ้นอาสวะเพราะเห็นด้วยปัญญา
๓. ท่านผู้เป็นกายสักขี (ผู้เป็นพยานในนามกาย) หมายถึงท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกาย และอาสวะ
*..บางส่วนก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่ พระอริยบุคคล ผู้บรรลุ ..โสดาปัตติผล...ขึ้นไป จนถึงท่านผู้ปฏิบัติ เพื่อบรรลุพระอรหัต..ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้า ในการปฏิบัติ
๔. ท่านผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ (ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ) หมายถึงท่านผู้เข้าใจอริยสัจถูกต้อง และ อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป
เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่ พระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงผู้ปฏิบัติเพื่อพระอรหัตที่มี ปัญญินทรีย์แก่กล้า ในการปฏิบัติ
๕. ท่านผู้เป็นสัทธาวิมุติ ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา) หมายถึงท่านผู้เข้าใจอริยสัจถูกต้อง ได้แก่ พระอริยบุคคล
ผู้บรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุพระอรหัตที่มี สัทธินทรีย์แก่กล้า ในการปฏิบัติ
๖. ท่านผู้เป็นธัมมานุสารี.. (ผู้แล่นไปตามธรรม) หมายถึงพระอริยบุคคลผู้บำเพ็ญอริยมรรค ดำรงอยู่ใน
*..โสดาปัตติมรรค กำลังปฏิบัติเพื่อ บรรลุโสดาปัตติผล มีปัญญาแก่กล้าเป็นตัวนำ
๗. ท่านผู้เป็นสัทธานุสารี (ผู้แล่นไปตามศรัทธา) หมายถึงท่านผู้ดำรงอยู่ใน *..โสดาปัตติมรรค กำลังปฏิบัติเพื่อ บรรลุโสดาปัตติผล ...มีศรัทธาแก่กล้า เป็นตัวนำ
*** อนึ่ง วิโมกข์๘ คือ.. สภาพที่จิตพ้นจากกิเลส ..จากกำลังของ .ฌาน ..อรูปฌาน และ..สัญญา เวทยิตนิโรธ ...
สัมมาทิฏฐิสูงสุดนั้นเป็นอย่างไร ?
เป็นความรู้จักสิ่งทั้งปวงว่า.เป็นสิ่งปรุงแต่ง.มีมาจากเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งและจะปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด.
< ธรรมะ 9 ตา >
โดย…..ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ
เมื่อหลวงพ่อพุทธทาสตัดสินใจเดินทางจากกรุงเทพมหานคร กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนเพื่อค้นคว้าศึกษาพุทธธรรมจากพระไตรปิฎกและจัดระบบชีวิตของการประพฤติพรหมจรรย์ตามรอยพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านได้พำนักที่วัดตระพังจิก ซึ่งเป็นวัดร้างมาหลายสิบปี เป็นที่สงบสงัดสมควรเป็นที่บำเพ็ญความเพียรเพื่อการขูดเกลาศึกษาค้นคว้า ต่อมาท่านเรียกสถานที่นี้ว่า สวนโมกขพลาราม แปลว่า สถานที่อันร่มรื่นเป็นพลังแห่งความหลุดพ้น
หลวงพ่อพุทธทาสใช้เวลา ศึกษา ปฏิบัติและเผยแพร่พุทธธรรมจากพระไตรปิฎกที่เรียกว่า ชุดธรรมโฆษณ์จากพระโอฐ์ จำนวนมากมายมหาศาล ท่านเคยกล่าวว่า ต่อจากนี้ไปใครจะบ่นไม่ได้อีกว่า ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน เพราะท่านได้เขียนไว้ทุกประเภททุกขนาด สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกขั้นตอนของชีวิต
อย่างไรก็ตามแก่นธรรมที่หลวงพ่อได้แสดงไว้สามารถสรุปลงได้ในเก้าตาคือ
๑) อนิจจตา แปลว่าความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลง แปรปรวนไป ไหลเรื่อย
๒) ทุกขตา สภาพที่ทนได้ยาก เมื่อสิ่งต่างๆอยู่ภายใต้กฎอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดทนอยู่ในสภาพเดิมได้ต้องเปลี่ยนไปในรูปต่างๆจากความใหม่สู่ความเก่า จากความเก่าสู่ความสูญสลายไม่สามารถจะทนทานได้ในสภาพเดิม
๓) อนัตตตา ความไม่มีตัวตน ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจาก การรวมตัวกันของธาตุเพียงชั่งคราว เมื่ออนิจจังแสดงอำนาจไม่มีสิ่งใดจะเป็นตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร หาตัวตนที่เป็นแก่นสารไม่ได้ พบกันเพียงชั่วขณะแล้วก็อำลากันไป
๔) ธัมมัฏฐิตัตตา แปลว่า ความดำรงอยู่แห่งธรรมดาหรือธรรมชาติ เช่นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแล้ว ตกทางทิศตะวันตก เคยเป็นมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
๕) ธัมมนิยามตา ความเปลี่ยนแปลงทำให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามวิถีของมัน เช่นใบไม้ดอกไม้หลากหลายชนิดที่มีสีสรรแตกต่างกัน มีทั้งขาว เขียวเหลือง แดงปะปนกันไป ต้นไม้หรือใบไม้ที่เคยมีสีสรรอย่างนั้นก็คงความเป็นอย่างนั้นของมันไม่เหมือนกันกับสิ่งอื่นเรียกว่า ถูกกำหนดโดยธรรม
๖) สุญญตา แปลว่าความว่าง ทุกสิ่งเป็นเพียงมายาภาพที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านมาเท่าไรก็ผ่านไปเท่านั้น สิ่งใดเกิดจากความว่างสุดท้ายก็สลายไปสู่ความว่าง ซึ่งความว่างนี้มีอยู่ในสรรพสิ่ง
๗) อิทัปัจจยตา แปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นมาลอยๆโดยไร้เหตุปัจจัย แต่สิ่งทั้งหลายไม่ว่านามหรือรูปล้วนเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย หรือกฎแห่งเหตุและผล สอดรับกันไปเป็นกระบวนการ
๘) ตถาตา สภาวะที่เปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ ต้องมีเหตุปัจจัยประกอบกันเข้า เป็นเพียงมายา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารทุกอย่างล้วนมาจากความว่างเปล่าไปสู่ความว่างเปล่า ไม่เป็นอย่างอื่น แต่จะเป็นอย่างนั้นตลอดไปเรียกว่า ตถาตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
๙) อตัมมยตา หลวงพ่อพุทธทาสแปลได้ถึงใจว่า กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย เมื่อใดเห็นแจ้งด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากเหตุปัจจัยล้วนผ่านมาแล้วผ่านไป แบกสิ่งใดก็หนักเพราะสิ่งนั้น ครั้นวางลงไปไม่หยิบฉวยมาเป็นเราหรือของเราทุกอย่างก็ว่างโล่งโปร่งสบาย เมื่อประจักษ์ชัดว่า แบกทุกครั้งหนักทุกครั้ง ยึดทุกครั้ง ทุกข์ทุกครั้ง วนเวียนซ้ำซาก จึงเปล่งวาจาด้วยความเห็นแจ้งว่า อตัมมยตา กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย
เหล่านี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนาที่หลวงพ่อพุทธทาสได้นำมาสอนเพื่อนมนุษย์ให้ได้รับประโยชน์อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
ธรรมะ 9 ตา มีความสำคัญคือเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การดับทุกข์ เมื่อได้ปฏิบัติตามแล้วสามารถทำให้เราไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง และสามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้มากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้เราไม่เป็นทุกข์นั่นเอง
รู้จัก “เช่นนั้นเอง” แล้ว
จิตจะไม่หวั่นไหว เมื่อมีอะไรมากระทบ
.
…. “ เรามารู้เรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรที่มาทําให้หวั่นไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่มันมีอยู่ประจําวัน , เช่นวันนี้กินข้าวไม่อร่อย มันก็หวั่นไหวเสียแล้ว, หวั่นไหวไปในทางที่ไม่อร่อย ชักจะเศร้าไปเสียแล้ว ถ้าวันนี้กินข้าวของมันอร่อย ก็ชักจะยินดีเสียแล้ว, ชักจะเหลิงไปแล้ว นี่มันโง่เพราะมันไม่รู้จักว่ามันเช่นนั้นเอง, มันต้องเป็น “เช่นนั้นเอง” อร่อยหรือไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง คือเป็นเพียง “ความรู้สึก” เท่านั้น แล้วมันต้องเป็นเช่นนั้นเอง ตรงที่ว่า มันจะต้องมีอร่อยบ้าง มีไม่อร่อยบ้าง, ต้องมีทั้งอร่อยและทั้งไม่อร่อย
…. ฉะนั้น ในโลกนี้ มันต้องมีสิ่งที่เป็นคู่ๆ คู่ๆ กันอย่างนี้แหละ : ได้ลาภ-เสื่อมลาภ, ได้ยศ-เสื่อมยศ, ได้นินทา-ได้สรรเสริญ, ได้สุข-ได้ทุกข์, นี่มันมีคู่ตรงกันข้ามให้มากระทบเราอยู่ในโลกนี้เป็นของเช่นนั้นเอง นี้ครั้นมากระทบเข้าแล้ว มันก็เห็น “เช่นนั้นเอง” ว่าเป็นเพียงความรู้สึก
…. นี่ ขอให้ช่วยกันเอาไปคิดนึกให้เข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ในใจ ราวกับว่าแขวนไว้ที่คอ; แขวนไว้ที่คอ คือมันอยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา, นี่ เรารู้สึกคิดนึกได้ตลอดเวลา เหมือนกับแขวนไว้ที่คอ. อาตมาก็ให้พระเครื่องไปแขวนไว้ที่คอทุกคน คือคําว่า “เช่นนั้นเอง” เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา, เอาหัวใจของพระพุทธศาสนามาแจกกันเป็นพระเครื่องสําหรับแขวนคอ
…. ฉะนั้น ถ้าใครเช่นนั้นเองไม่ได้ ก็คือคนโง่, อะไรเกิดขึ้นมันเช่นนั้นเองไม่ได้ มันก็คือคนโง่, มันก็ต้องยินดียินร้ายตลอดเวลา นี่เอาไปคอยกําหนดดูตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร ; แล้วก็แจกไปตามเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ : สบายแก่ตา ไม่สบายแก่ตา, สบายแก่หู ไม่สบายแก่หู, สบายแก่จมูก ไม่สบายแก่จมูก, สบายแก่ลิ้น ไม่สบายแก่ลิ้น, สบายแก่ผิวหนัง ไม่สบายแก่ผิวหนัง, สบายแก่จิตใจ ไม่สบายแก่จิตใจ, นี่ทั้ง ๖ คู่นี้ มันเช่นนั้นเองเหมือนกันหมดเลย ทั้ง ๖ อย่าง และทุกๆคู่ ที่สบายก็เช่นนั้นเอง ไม่สบายก็เช่นนั้นเอง, มันเป็นเพียง “ความรู้สึก” เท่านั้น เอาคําว่า สุข ว่า ทุกข์ ออกไปทั้งหมด ก็เหลือแต่ “ความรู้สึก” เท่านั้น ที่เกิดขึ้นตามกฎเหตุปัจจัย คือกฎแห่งความเป็น “เช่นนั้นเอง” คือ “อิทัปปัจจยตา”
.
อิทัปปัจจยตา ก็คือเรื่อง “ตถตา”
…. อาตมาพูดหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าท่านทั้งหลายจะฟังออกหรือจําได้ หรือเข้าใจ จึงบอกแล้วบอกอีกอย่างน่ารําคาญ ว่าเรื่อง “อิทัปปัจจยตา” นั้น มันก็คือเรื่อง “ตถตา” แปลว่า “เช่นนั้นเอง”, อวิตถตา - ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น, อนัญญถตา - ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากความเป็นอย่างนั้น, ธัมมัฏฐิตตา - มันเป็นการตั้งอยู่แห่งธรรมดาอย่างนั้น, ธัมมนิยามตา – มันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา, อิทัปปัจจยตา – คือความที่เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น
…. เพราะฉะนั้น อะไรเกิดขึ้น : สวยหรือไม่สวย, น่ารักหรือไม่น่ารัก, น่ายินดีหรือไม่น่ายินดี, มันก็เป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยอย่างนั้นแล้วจึงเกิดขึ้น แล้วก็เป็น“เช่นนั้นเอง” อย่าไปเที่ยวโง่หลงรัก ที่มันหลอกให้รัก, ไปโกรธไปเกลียด ที่มันหลอกให้โกรธให้เกลียด, อย่างที่เป็นอยู่ประจําวัน มันไม่ปรกติ; มันเหมือนกับถูกตบแก้มซ้ายที แก้มขวาที, ถูกตบแก้มซ้ายที ถูกตบแก้มขวาที อย่างนี้อยู่ตลอดวัน เพราะความที่ไม่มีหัวใจของพระพุทธศาสนามาคุ้มครอง. ถ้ามี “เช่นนั้นเอง” คุ้มครอง มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ; จะไม่ถูกตบแก้มซ้ายที แก้มขวาที ตลอดวัน เหมือนที่เขาเป็นๆกันอยู่
…. นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา สรุปรวมลงในคําว่า “ตถตา” แปลว่า “เป็นเช่นนั้น”. คํานี้จะแปลว่า เช่นนี้ ก็ได้, มันเช่นนี้เอง, เช่นนั้นเอง ก็เหมือนกันแหละ”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมโอวาทสำหรับปีใหม่ แก่คณะนักศึกษารวมกันหลายคณะ ณ ลานหินโค้ง วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ เวลา ๑๙.๓๐ น. จากหนังสือชุดลอยปทุม เล่มชื่อว่า “เช่นนั้นเอง” หน้า ๑๐๐-๑๐๓