แล้วขันธ์ ๕ เป็นตัวอะไร?
ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์
ให้รู้ลงไปเรื่อย
พอรู้ว่าขันธ์ ๕เป็นตัวทุกข์
จิตจะปล่อยวางขันธ์ ๕
ถ้ายังไม่เห็นทุกข์ ก็ยังไม่ปล่อยวาง
ฉะนั้น บางทีครูบาอาจารย์สอนนะ
ถ้าไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม
ไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรมะ เพราะยัง"หลง"
เห็นของที่เป็นทุกข์ว่ามันเป็นสุขอยู่
อย่างร่างกายนี้เป็นตัวทุกข์
ถ้ายังเห็นว่าเป็นสุขอยู่ ก็เรียกว่าไม่รู้ธรรมะ
ฉะนั้นรู้สึกตัวไปเรื่อยนะ
เอาโสดาบันให้ได้ ตัวนี้ยากที่สุด
ในบรรดาบรรลุมรรคผลนะ
โสดาปฏิมรรคเกิดยากที่สุด
ถ้าเราได้โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล
เป็นพระโสดาบันแล้ว
ที่เหลือมันจะเป็นเอง
ยังไงก็ต้องได้สกทาคามี
ยังไงก็ต้องได้อนาคามี
ยังไงก็ต้องเป็นพระอรหันต์ในวันหนึ่งข้างหน้า
ฉะนั้น ความยากที่สุด
อยู่ตรงที่เป็นโสดาบันนี่แหละ
มันจะฝืนความรู้สึกอย่างรุนแรง
เพราะเรารู้สึกว่าตัวเรามีอยู่จริง ๆ
เราต้องมาดูจนกระทั่ง
เห็นความจริงว่า"ตัวเราไม่มี"
ร่างกายไม่ใช่เรานะ
เป็น"วัตถุของโลก"...เรา"ยืมโลก"มาใช้ชั่วคราว
"จิตใจ"ก็ไม่ใช่ตัวเรา เราสั่งมันไม่ได้
มันเป็นไปเอง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์
เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เค้าเป็นของเค้าเอง
ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนใจยอมรับความจริง
เมื่อใจยอมรับความจริง
ก็ได้เป็นพระโสดาบัน
พอเป็นโสดาบันแล้วนะ
ที่เหลือง่ายแล้ว
"เจริญสติปัฏฐาน"ธรรมดา
รู้สึกกาย รู้สึกใจไปเรื่อย ดูไปเรื่อย
อินทรีย์แก่กล้าขึ้น
มันก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ
เป็นลำดับ ๆ ไป
เราสั่งให้จิตบรรลุมรรคผลไม่ได้ จิตบรรลุเอง
ฉะนั้นเราไม่ได้ทำอะไรมาก เราแค่"เจริญสติ"
เรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจเรื่อย ๆ ไป
แล้วจิตเค้าพัฒนาของเค้าเอง
ยากที่สุดอยู่ที่โสดาบันนี่แหละ”
…………………..
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๐
*** ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ***
(ตอนที่๑๘/๒๖)
"บันทึกของท่านผู้ทรงคุณอันวิเศษในชาตินี้"
-------------------------------------------
๑๘. ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บัดนี้ท่านได้สมาทานศีลสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปก็โปรดฟังเรื่องราวของท่านผู้เฒ่า เมื่อคืนที่แล้วมามีข้อความสำคัญอยู่ตอนหนึ่ง ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทควรจะฟังย้ำและตั้งใจปฏิบัติ คือท่านกล่าวว่าขณะที่ท่านขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคในขณะนั้น ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสคำว่าขึ้นไปเฝ้านี่ ขอท่านทั้งหลายได้โปรดทราบ ท่านที่ทรงอภิญญาเล็กก็ดี อภิญญาใหญ่ก็ดี คำว่าอภิญญาเล็กก็ได้แก่ "มโนมยิทธิ" สำหรับคำว่าอภิญญาใหญ่ก็คือบำเพ็ญมาจาก "กสิณ ๑๐ "อย่างนี้ เรื่องการเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นของธรรมดาสำหรับท่านพวกนั้น แต่ว่าท่านทั้งหลายสงสัยคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ ก็ขอให้ปฏิบัติตามท่าน ทำให้ได้เยี่ยงท่าน จะเป็นของไม่แปลก เป็นอันว่าครั้นท่านไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีพระพุทธฏีกาว่า ถ้าเธอปรารถนาความเป็นพระโสดาบัน เธอจงปฏิบัติแบบนี้ คือ
๑. ก่อนฉันอาหาร ให้พิจารณาให้เป็น "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะพระองค์เดียว ฆราวาสก็ทำได้ เรียนกันมาแล้ว
๒. ให้เจริญ "อสุภสัญญา" ให้มากเพื่อตัดราคะ
๓. "ละอัสมิมานะ" คือการถือตัวถือตน แล้วตัด"สักกายทิฏฐิ" เป็นต้น ด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ เพื่อความเป็นพระโสดาบันของเธอ
ก็เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ถ้ามีความปรารถนาอย่างนี้ละก็ โปรดปฏิบัติเช่นนั้นเพื่อความเป็นพระโสดาบันของท่าน เมื่อคืนนี้ว่ามาแล้วอย่างนี้ จะขอซ้ำอีกหน่อยหนึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนใจ แต่ว่าความเป็นโสดาบัน นี่สำหรับผู้ที่เคยปฏิบัติในด้านสาวกภูมิมาตลอดเวลาเป็นของไม่ยาก แต่นี่ท่านผู้นี้ท่านบำเพ็ญบารมีมาในด้านพุทธภูมิ คือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทำอะไรทุกอย่างมันก็ยากไปหมด สำหรับต่อแต่นี้ไป ก็ขอต่อเมื่อวานนี้........(1/6)
โดย พระเดชพระคุณ
พระราชพรหมย่น มหาเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
"มันเกิดมาแล้ว มันก็มีความแก่คร่ำคร่า มีพยาธิเบียดเบียน มีมรณะ ความตาย พลัดพรากจากกัน โสกะ ความโศกพิไรรำพัน มีโทมนัส ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ความขัดข้อง เมื่อเกิดมาก็เป็นทุกข์ พิจารณาทุกขสัจจ์นี่ให้มันเห็นความจริง ความพลัดพราก ความประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์
นี่เนื่องจากทุกข์ทั้งหลายมันมารวมอยู่ที่ขันธ์ทั้งห้า ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ขันธ์ทั้งห้าเป็นที่ประชุม รับภาระของธุระของหนัก ท่านว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนักเน้อ เมื่อวางภาระแล้วก็เป็นสุขเท่านั้น คือวางร่างกายของตน"
..... หลวงปู่ขาว อนาลโย
"ตัวเราไม่มี"
…………………..
(การปฏิบัติธรรม)
เบื้องต้นจะล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเรา
ต่อไปก็จะเข้าใจมากขึ้นว่า
ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเรา
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 4 เมษายน 2561
ตอนที่ 308 **การปฏิบัติให้เป็นพระโสดาบัน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ลูกได้ฟัง เรื่องของพระอริยเจ้า ในระดับที่ 1* คือ พระโสดาบันแล้ว
จึงทำให้ลูกเกิดความคิดว่า ถ้าเกิดว่าเรามีความปรารถนาที่จะเป็นพระโสดาบัน - เราจะต้องสร้างความดี ทำความดีแบบไหนบ้างล่ะเจ้าคะ ? เพื่อเราจะได้เข้าถึงการเป็นอริยบุคคลขั้นที่ 1 หรือพระโสดาบัน น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติ ปฏิบัติ และเผยแผ่ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ เผื่อลูกทั้งหลาย.. จะได้ฝึกฝนตาม และจะได้เป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 1* เจ้าค่ะ "
- - - -
ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ที่รู้จักตั้งเป้าหมาย จุดมุ่งหมายแห่งการทำความดีให้กับตน / ให้กับทุกคน ที่ตั้งใจว่า จะสร้างจะทำความดี
เอาละนะ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟัง
ฟังให้เข้าใจ จำให้ได้ - จะได้นำไปเผยแผ่ได้อย่างถูกต้อง
ลูกเอ๋ย.. การที่เราจะเป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 1* คือ พระโสดาบันนั้น..
เราก็แค่ฝึกฝนตน นำพาตน ให้เข้าถึงองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
เข้าถึง เข้าใจอย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอย.. การที่เรานั้น จะเป็น *พระโสดาบัน*
.. เราก็แค่นำพาตน ให้เข้าถึง เข้าใจ ว่า..การรักษาศีล การทำความดีนั้น เป็นแบบไหน ทำเพื่ออะไร เพราะอะไร ?
- เข้าถึง และเข้าใจอย่างแท้จริง -
การที่เราจะเป็นพระโสดาบัน.. เราก็แค่หมั่นฝึกฝนตนให้รู้แจ้ง เข้าใจในสิ่งทั้งหลาย ที่มันเกิด- ที่มันดับเหล่านั้น.. มองให้เห็นตามความเป็นจริง
ทำใจของตน ให้เข้าถึง เข้าใจในเหตุที่เกิด - ในเหตุที่ดับ
จงนำพาตัวของตน ให้เข้าถึง 3 อย่างนี้อย่างละเอียด เข้าถึงอย่างแท้จริง
แล้วลูกนั้น.. ย่อมสามารถเข้าถึงการเป็นพระโสดาบันได้ ลูก ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. และการที่จะทำให้เราเข้าถึงองค์พระพุทธ เข้าถึงองค์พระธรรม เข้าถึงองค์พระสงฆ์ เราก็ควรที่จะเริ่มต้นจากการศึกษาว่า..
*องค์พระพุทธเจ้า* นั้น..
ท่านเป็นใคร ?
เกิดมาบนโลกนี้ เพื่ออะไร ?
ท่านตรัสรู้ แล้วตรัสรู้เรื่องอะไร ?
เช่น รู้ว่า.. องค์พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสั่งสมบุญบารมี มานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน..
แล้วก็มากำเนิดก่อเกิดเป็นมนุษย์นี่ละ
แล้วก็เป็นผู้เห็นทุกข์ในการเกิด.. จึงออกบวช บวชเพื่อแสวงหาหนทางให้หลุดจากการเกิด
เพราะ..
* เมื่อมีการเกิดคราใด - ย่อมมีการตายในครานั้น *
และการเกิดกับการตายนั้น ย่อมแสดงให้เห็นถึง..
* การพลัดพรากจากสิ่งของ และบุคคลอันเป็นที่รัก.. ย่อมเป็นทุกข์ *
ฉะนั้น.. องค์พระพุทธเจ้าจึงออกบวช เพื่อแสวงหาหนทางที่จะหลุดจากการเกิด..
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วว่า.. องค์พระพุทธเจ้าเป็นใคร
องค์พระพุทธเจ้าแสวงหาหนทาง จนพบว่า.. การที่เรานั้น
/ ฝึกฝนอยู่บนทางสายกลาง ฝึกฝนตนอย่างแน่วแน่ แท้จริง
/ ละการสร้างบาป ทำความดี
-- จะทำให้จิตนั้นยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ.. จนรู้แจ้ง เข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลาย
จึงเรียกว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
* เป็นผู้รู้แจ้งโลก รู้เหตุเกิดของทุกสิ่ง รู้เหตุดับของทุกสิ่ง.. จึงเป็นผู้อยู่เหนือโลก
* เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
บัดนี้.. พระองค์ท่านเสด็จสู่พระนิพพาน..
ท่านเป็นผู้ไม่เกิด เป็นผู้ไม่ตาย
ท่านเป็นผู้ที่ปราศจากสิ่งมัวหมอง..
คือ ความลุ่มหลง ยึดติดต่างๆ
คือ การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
คือ การผิดหวัง
คือ การพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก / บุคคลอันเป็นที่รักที่พอใจ
บัดนี้.. องค์พระพุทธเจ้า ปรินิพพานเช่นนี้ --
เมื่อทำความเข้าใจ รู้จักกับองค์พระพุทธเจ้าแล้ว.. เราก็ทำจิตทำใจแห่งตน ให้เรียนรู้ถึง *พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอีก*
เรียนรู้ว่า พระพุทธเจ้านั้น..
สอนให้เรารักษาศีล
สอนให้เราทำความดี
สอนให้เรานั้น ทำสมาธิ ฝึกฝนปัญญา
.. เพื่อที่จะได้ดับกิเลสตัณหาแห่งตน
.. เพื่อที่จะได้ไปสู่พระนิพพาน
* การทำความดี - ทำเพื่อดับการเกิดแห่งตน *
เมื่อเข้าใจ เข้าถึงพระธรรมคำสอน ที่ถูกต้องอย่างแท้จริงแล้ว..
จงนำพาจิตแห่งตน ศึกษาเรียนรู้ เข้าถึง *พระสงฆ์*
พระสงฆ์ เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา จากยุคสู่ยุค
* เป็นองค์ที่สาม แห่งองค์พระรัตนตรัย *
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว..
ก็มีพระสงฆ์นี่ละ คือ ผู้สืบทอดธรรม - ยุคสู่ยุค
องค์พระสงฆ์ - เป็นผู้ที่เป็นองค์แทน พระธรรม และพระพุทธ
องค์พระสงฆ์ คือ ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งแก่เรา เราจงเคารพนอบน้อมต่อ องค์พระสงฆ์
เพราะองค์พระสงฆ์..
คือ ผู้ที่ดำรงศาสนา
คือ ผู้ที่สืบทอดศาสนา
คือ ผู้ที่เป็นตัวแทนแห่งองค์พระธรรม และองค์พระพุทธ
เป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธศาสนา.. ไม่เสื่อม ไม่หายไปไหน
ให้เรานั้นยังคงได้เรียนรู้ ศึกษาธรรม
และองค์พระสงฆ์.. ก็ไม่ใช่ตัวตนของบุคคลใด บุคคลหนึ่ง
แต่เป็นผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง
เป็นผู้เข้าถึง เข้าใจ.. รู้แจ้งตามองค์พระพุทธเจ้า
ฉะนั้น.. จะเรียกว่า เป็นความดี ในกรอบความดีกรอบหนึ่ง ที่จะทำให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในกรอบนั้น
แล้วก็ใช้กรอบแห่งความดีนั้น.. ทำความดีสืบทอดกันไป
.. อย่างนั้น ก็เรียกว่า.. องค์พระสงฆ์
หรือจะเป็นตัวบุคคล ก็คือ บุคคลผู้ประพฤติ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง
อยู่ในกรอบของการปฏิบัติขององค์พระสงฆ์ ได้อย่างแท้จริง
-- นั่นก็เรียกว่า *องค์พระสงฆ์*
จงพาจิตของตนให้เรียนรู้ ศึกษาเข้าใจ..
รู้แล้ว - ก็ให้รู้อีก
รู้ลึกเข้าไป.. สู่จิตสู่ใจ
รู้จนถึงจุดที่ลูกนั้น..ไม่เกิดความลังเลสงสัย ในองค์พระพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสอน และในองค์พระสงฆ์
-- ไม่สงสัยในองค์พระรัตนตรัย คือ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม องค์พระสงฆ์นั้น...
ทำเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
นี่คือ วิธีแห่งการฝึกฝนจิตของตน ให้เข้าถึงองค์พระรัตนตรัยทั้ง 3 องค์
- เพื่อเคารพบูชาต่อองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
- เพื่อเป็นหนทาง และจุดมุ่งหมาย - ที่จะเดินตามเสียก่อน
ทีนี้ ต่อไป.. เราก็ต้องนำพาจิตใจของเรา ให้เข้าถึง
การทำความดี โดยการรักษาศีล
การทำความดี โดยการทำทาน
ทำความดีต่างๆ ที่เราพอจะทำได้.. เพื่ออะไร ?
อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่า.. รักษาศีล เพื่ออะไร
เราต้องรู้เช่นนี้ ลูกเอ๋ย..
การรักษาศีล คือ การตีกรอบให้เราอยู่ในความดี ไม่ละเมิดไปทำความชั่ว
แบ่งแยกการการทำดี และการทำชั่วอย่างชัดเจน
ถ้าเราสามารถอยู่ในกรอบ ตั้งแต่ศีล 5 ขึ้นไปได้ - ถือว่า เราอยู่ในกรอบของการทำความดี
ถ้าเรา ไม่สามารถอยู่ในกรอบของศีล - ตั้งแต่ศีล 5 ขึ้นไป
นั่นแสดงว่า เรายังไม่ทำความดีโดยสมบูรณ์
.. ยังเป็นความดีที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง..
- ไม่มีกรอบของตนเองอยู่ -
ฉะนั้น.. การทำความดี อยู่ในกรอบของศีล ตั้งแต่ศีล 5 เป็นต้นไป..
จึงถือว่า.. เป็นการตีกรอบให้เรานั้น ได้สร้าง ได้ทำความดี / ละเว้นต่อการทำความชั่ว
นั่นจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า.. การรักษาศีล
- หยุดการสร้างเวรสร้างกรรมให้กับเรา
- รวมถึง ยังช่วยยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้น
- ไม่ไปทำกรรมชั่ว กรรมชั่วไม่เข้าถึงตัว
- หักห้ามใจตน ละเว้นจากการทำชั่วได้
นั่นแสดงให้เห็นถึงว่า.. ตนสามารถละความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
กิเลสนั้นได้เบาบางลง ตามระดับศีลที่ตนรักษาได้
การรักษาศีล.. ก็เพื่อป้องกันตน ไม่ให้ปนเปื้อนกับกิเลสตัณหาเพิ่มอีก
เช่น
ศีลข้อที่ 1* ห้ามฆ่าสัตว์ ก็คือ การที่เรานั้นจะไปปนเปื้อนกับการฆ่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโกรธ หรืออาฆาตจองเวรของผู้อื่นที่มีต่อเรา // ของเราที่มีต่อผู้อื่น
ศีลข้อที่ 2* เกี่ยวข้องกับกิเลส คือ ความโลภ ซึ่งลักเล็กขโมยน้อย หยิบฉวยเอาของผู้อื่นมาเป็นของเรา
- นั่นถือว่า ก่อความโลภ -
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ศีลแต่ข้อ ก็มีการตีกรอบเอาไว้.. เพื่อห่างไกลจากกิเลสตัณหา แต่ละตัว แต่ละเชื้อ
การที่เรารักษาศีล 5.. ก็เพื่อให้เรา
ห่างไกลจากกิเลสตัณหา
หยุดการสร้างเวรสร้างกรรม
-- เราจะได้ไม่ต้องกลับมาชดใช้เวรกรรมที่ก่ออีก..
เรานั้น ห่างไกลจากกิเลสตัณหา เราก็จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ และถูกมันครอบงำอีก
เรานั้น ทำความดี.. ก็เพื่อชำระกิเลสตัณหาแห่งตน
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. ต้องทำความเข้าใจการรักษาศีลเช่นนี้ รวมถึงการทำความดีอื่นๆ เช่น
การฟังธรรม การทำสมาธิ การฝึกฝนปัญญา หรือว่า การทำความดีใด.. ก็ตาม
- เราก็ทำเพื่อฝึกตนเอง ให้ดับกิเลส ดับตัณหาให้ได้
- ทำดีไป เพื่อดับอัตตา ตัวตน ..ไม่ใช่ทำความดีเพื่อเอามายึดติด ลุ่มหลง ยึดมั่นถือมั่น
* การทำดีทั้งหลายทั้งปวง - ทำเพื่อดับความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ เท่านั้น *
เมื่อเราเข้าใจการรักษาศีล เข้าใจการทำความดี อย่างถูกต้อง
ทำเพื่อมุ่งมั่นไปสู่การดับกิเลสตัณหา
เข้าใจ และทำเช่นนี้ -- ย่อมเข้าถึงความดีของพระโสดาบัน ที่จะทำ..
พระยาธรรมเอ๋ย.. ต่อไป หากว่าเราฝึกฝนจิตของเรา ให้พิจารณา มองให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง เหตุที่เกิด- และเหตุที่ดับ
มองบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ ให้เห็นแจ้งตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
แล้วก็คลายความยึดติดจากทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว.. ในระดับที่ดี
คือ ในระดับที่ไม่ไปผิดศีลผิดธรรม / ไม่ไปสร้างกรรมทำเวรกับบุคคลผู้อื่น - กับตนเอง
- นั่นถือว่า ใช้ได้ ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. การที่ลูกนั้น ตั้งใจที่จะเป็นพระโสดาบัน
ก็แค่ทำตน ให้เข้าถึงองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ อย่างแท้จริง
แค่ทำตน ให้รู้จักการรักษาศีล
- รักษาศีล เพื่ออะไร
- เหตุของการทำดี เพื่ออะไร
.. ทำเพื่อดับกิเลสตัณหา ++
เมื่อมีองค์พระพุทธ องค์พระธรรม องค์พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เป็นจุดมุ่งหมายที่จะไปให้ถึงแล้ว
เมื่อมีศีล มีธรรม มีการทำทาน มีสมาธิ และฝึกฝนปัญญา
เมื่อมีความดีเหล่านี้ ชำระกิเลสแห่งลูกแล้ว..
-- ลูกย่อมมีดวงปัญญา ที่แท้จริง ที่แจ่มแจ้ง - เกิดขึ้น มีอยู่ในตัวของลูก.. ให้มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง..
* ลูกย่อมห่างไกล จากกิเลสตัณหา
- ห่างมาอยู่ในระดับ ที่ไม่สร้างกรรมชั่วอีก
- ห่างมาอยู่ในระดับ ที่สามารถปิดประตูแห่งนรก / ที่สามารถปิดประตูแห่งการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
* ลูกย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น
-- และลูกย่อมเข้าถึง กระแสแห่งพระนิพพานแล้ว - ถือเป็นพระโสดาบันแล้ว...
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. ลองฝึกฝนตามเช่นนี้ดูนะ
แล้วลูกทั้งหลาย.. ก็จะเข้าถึง เข้าใจ การเป็นพระโสดาบันอย่างแท้จริง ด้วยตัวของลูก.. ที่เข้าถึงแล้ว
ใครจะบอก ใครจะสอน ใครจะพูดว่าอะไร
.. ก็ไม่เท่าตัวของเรา เข้าถึงและรู้ด้วยตัวของเราเอง *
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่าการที่เรานั้นจะเป็นพระโสดาบัน
/ เราต้องทำตนให้เข้าถึงองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
/ เข้าถึงการรักษาศีล การทำความดี และต้องทำให้ถูกต้องตามหลัก - ตามทางสายกลาง
/ ต้องพิจารณาถอดถอนความลุ่มหลงในทุกสิ่ง รวมถึงตัวเรา.. โดยการเห็นความไม่เที่ยงแท้
ทำอย่างนี้.. จนเข้าใจ
เข้าใจแล้ว ก็ทำให้เข้าถึงด้วย
เมื่อเราทรงอารมณ์ทั้ง 3 อย่างนี้ อยู่ในตัวเราแล้ว อย่างแท้จริง จนไม่กล้าทำผิดอีก..
เราก็จะสามารถ เป็นพระอริยเจ้าได้ ในระดับของ *พระโสดาบัน*
.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา
ลูกจะนำธรรมนี้ไปปฏิบัติตาม และเผยแผ่
เพื่อสร้างพระอริยเจ้า..ให้เกิดขึ้นมากมายบนโลก เจ้าค่ะ
สาธุ
< พระโสดาบัน >
ในสมัยพุทธกาลพระอริยสาวกที่มีมากที่สุดก็คือ พระโสดาบัน พระโสดาบันในสมัยนั้นมีมากกว่าผู้ถึงไตรสรณาคมน์เสียอีก สำหรับชาวบ้านผู้ครองเรือน การบรรลุโสดาบันถือได้ว่าเป็นเป้าหมายของชีวิตเป็นความปลอดภัยของชีวิต เพราะผู้บรรลุโสดาบันเป็นผู้ปิดประตูแห่งอบายภูมิได้แล้ว เป็นผู้ที่เกิดอีกอย่างมากไม่เกินเจ็ดชาติ
แต่ในสมัยปัจจุบัน การบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก บางคนบอกว่าเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินฝัน แม้เพียงแค่การรักษาศีล ๕ ก็ยังทำไม่ค่อยได้ ดังนั้น เลยไม่ค่อยมีใครเพียรพยายามเพื่อบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน
สาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าพระโสดาบันคือใคร บางคนเข้าใจผิดคิดว่าพระโสดาบันต้องเป็นภิกษุเท่านั้น ชาวบ้านเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดอย่างยิ่ง
จากเหตุผลดังกล่าว จึงได้เขียนเรื่องพระโสดาบันขึ้น ด้วยเหตุผล ๔ ประการ คือ
๑.เพื่อให้มนุษย์ผู้มีกิเลสน้อย มีกำลังใจวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติธรรม
๒.เพื่อแก้ความเข้าใจผิดของมนุษย์บางคนที่บอกว่า การบรรลุธรรมเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
๓.เพื่อเป็นคู่มือในการปฏิบัติธรรมของบุคคลทั่วไป
๔.เพื่อความเจริญงอกงาม ตั้งมั่น ไพบูลย์ของพระสัทธรรม
พระโสดาบันคือใคร?
พระโสดาบันคือบุคคลพิเศษ มีลักษณะที่พอจะประมวลได้ดังนี้
๑.พระโสดาบัน คือบุคคลผู้เข้าถึงกระแสธรรมแล้ว (กระแสแห่งพระ-นิพพาน)
๒.เป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในกาลข้างหน้าอย่างแน่นอน
๓.เป็นอริยบุคคล คือเป็นบุคคลผู้ประเสริฐในโลก (ใจประเสริฐ)
๔.เป็นบุคคลที่ประกอบด้วยลักษณะสังฆคุณ ๙ ประการ
๕.เป็นผู้ที่พ้นจากนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉานได้อย่างเด็ดขาด
๖.เป็นผู้มีราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง จนไม่อาจนำไปสู่อบายภูมิได้
ปฏิบัติอย่างไรจึงจะเป็นพระโสดาบัน?
ผู้ที่ใครจะบรรลุเป็นพระโสดาบัน จะต้องปฏิบัติตามหลัก
๔ ประการนี้ ซึ่งเรียกว่า “โสตาปัตติยังคะ” แปลว่า องค์คุณของการบรรลุโสดาบัน ๔ ประการ หากไม่ประพฤติตามหลักธรรม ๔ ข้อนี้ จะไม่บรรลุธรรมได้เลย ธรรมทั้ง ๔ ข้อนี้ก็คือ
๑. สัปปุริสสังเสวะ คือ การคบสัตบุรุษ
๒. สัทธัมมัสสวนะ คือ การฟังพระสัทธรรม
๓. โยนิโสมนสิการ คือ การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย
๔. ธัมมานุธัมมปฏิบัตติ คือ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
คุณสมบัติของพระโสดาบัน
พระโสดาบันทุกท่านเป็นผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๔ ประการดังนี้ คือ
๑.เป็นผู้ที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระพุทธเจ้าว่า “แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้ตื่นแล้วเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม”
๒.เป็นผู้ที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระสัทธรรมว่า “พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน”
๓.เป็นผู้ที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระสงฆ์ว่า “พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติชอบคือคู่บุรุษ
๔ บุรุษ บุคคล ๘ นั่นคือ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ควรรับของบูชา เป็นผู้ควรรับของต้อนรับ เป็นผู้ควรรับของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นบุญเขตของชาวโลก ไม่มีเขตอื่นยิ่งกว่า”
๔.เป็นผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้ารักใคร่ (อริยกันตศีล) อันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิไม่ลูบคลำ เป็นไปเพื่อสมาธิ
พระโสดาบัน ๓ ประเภท
พระโสดาบันมี ๓ จำพวก คือ
๑.เอกพีชี คือ พระโสดาบันผู้ที่จะเกิดอีกเพียงครั้งเดียวก็จะบรรลุนิพพาน
๒.โกลังโกละ คือ พระโสดาบันผู้ที่จะเกิดอีก ๒-๖ ชาติก็จะบรรลุนิพพาน
๓.สัตตักขัตตุปรมะ คือ พระโสดาบันผู้ที่จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ
พระโสดาบันต้องละอะไรได้บ้าง?
พระโสดาบันต้องเป็นผู้ละสังโยชน์ (เครื่องผูก) ๓ ประการ ได้อย่างเด็ด-ขาด คือ
๑.ละสักกายทิฏฐิ คือ ละความเห็นเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวได้อย่างเด็ดขาด
๒.ละวิจิกิจฉา คือ ละความลังเลสงสัยในกุศลธรรมได้อย่างเด็ดขาด
๓.ละสีลัพพตปรามาส คือ ละความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเข้าใจว่ามีได้ด้วยอำนาจศีลและพรตได้อย่างเด็ดขาด
๑) สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นอันเป็นเหตุให้คนเห็นแก่ตัว
อ.วศิน อินทสระ ได้อธิบายความหมายของสักกายทิฏฐิไว้ในหนังสือ “ธรรมปฏิสันถาร หน้า ๔๑ ไว้ว่า
“สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นว่ากายนี้เป็นของตนหรือเป็นตัวตนของเรา ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิด จริงๆ แล้วกายของเรานี้หรือของใครก็ตาม เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ เกิดขึ้นเพราะการรวมตัวของธาติคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ (ช่องว่าง – space) และวิญญาณรวมเป็นธาตุ ๖ เมื่อธาตุ ๖ รวมกันก็สมมติว่าเป็นคน อันที่จริงคนเป็นเพียงสิ่งสมมติอย่างหนึ่ง จริงๆ แล้วไม่มี แต่คนทั้งหลายมักไปยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน นอกจากยึดถือกายของตนแล้ว ยังไปยึดกายของผู้อื่นว่าเป็นของตนอีก
ผู้ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว ย่อมเห็นกายเป็นเพียงประมวลแห่งธาตุ ๔ หรือ ธาตุ ๖ ดังกล่าวแล้ว เมื่อเห็นชัดเจนอยู่ในใจอย่างนี้ ใครทำร้ายร่างกายก็ไม่ทำร้ายตอบ พระโสดาบันจึงรักษาศีลข้อปาณาติบาตได้อย่างบริสุทธิ์”
๒) วิจิกิจฉา คือ ความเคลือบแคลงสงสัยในกุศลกรรม
อ.วศิน อินทสระ ได้อธิบายวิจิกิจฉาไว้ในหนังสือ “ธรรมปฏิสันถาร หน้า ๔๒” ไว้ว่า
“วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย สงสัยในทางให้ถึงนิพพาน สงสัยในเรื่องชาติก่อน ชาติหน้า นรก สวรรค์ ซึ่งคนโดยทั่วไปสงสัยกันมาก โดยที่สุดเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ยังมีคนสงสัยอยู่ความสงสัยอย่างนี้ไม่มีแก่พระโสดาบัน”
ความลังเลสงสัยมีหลายประการ แต่ความลังเลสงสัยที่จัดว่าเป็นนิวรณ์ ซึ่งเป็นธรรมที่ขัดขวางต่อการบรรลุธรรม คือความสงสัยในกุศลธรรมเท่านั้น ความสงสัยในเรื่องอื่น ไม่จัดว่าเป็นวิจิกิจฉานิวรณ์ (ความสงสัยที่สกัดกั้นคุณความดี)
๓) สีลัพพตปรามาส คือ ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ว่ามีได้ด้วยศีลและพรต
อ.วศิน อินทสระ ได้อธิบายสีลัพพตปรามาสไว้ในหนังสือ “ธรรมปฏิสันถาร หน้า ๔๒” ไว้ว่า
“สีลัพพตปรามาส คือการลูบคลำศีลและวัตร ได้แก่ การเข้าไปเกี่ยวข้องศีลและวัตรในทางที่ผิด ขอให้คิดอย่างนี้ก่อน การรักษาศีลก็เพื่อคามบริสุทธิ์แห่ง กาย วาจา นี่คือจุดมุ่งหมาย แต่การรักษาศีลเพื่อให้ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ อย่างนี้ผิดจุดมุ่งหมายเป็นศีลปรามาส
การประพฤติวัตรต่างๆ เช่น การไม่กินอาหารเวลาหลังเที่ยงไปแล้ว (ยามวิกาล) การไม่ประดับประดาตกแต่งร่างกายด้วยของหอม เป็นต้น ก็เพื่อขัดเกลากิเลสให้เบาบาง แต่ถ้าประพฤติวัตรเพื่อให้ได้ ลาภ ยศ ชื่อเสียง หรือเพื่อให้เกิดความขลัง เป็นต้น อย่างนี้ผิดจุดมุ่งหมาย เป็นวัตรปรามาส รวม ๒ อ่าง เป็นสีลัพพตปรามาส”
รู้ได้อย่างไรว่าใครคือโสดาบัน?
เนื่องจากพระโสดาบัน มีลักษณะภายนอกเหมือนบุคคลธรรมดาทั่วไป มีเพียงใจของท่านเท่านั้นที่ประเสริฐกว่าคนอื่นๆ ดังนั้น การจะรู้ว่าใครเป็นโสดาบัน โดยดูจากลักษณะภายนอกจึงไม่อาจทราบได้ เพราะโสดาบันบางคนก็เป็นพ่อบ้าน-แม่บ้าน บางคนก็เป็นคนใช้ (นางชุชชุตรา) บางคนก็เป็นโรคเรื้อน (นายสุปปะพุทธกุฏฐิ) เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นพระโสดาบันก็มีลักษณะทางใจที่พอจะให้เรากำหนดรู้ได้ ดังนี้
๑.-เป็นผู้ละความเห็นแก่ตัว ความสงสัยในกุศลธรรมและความเชื่อถือหรือความยึดถือในศีลและวัตรปฏิบัติที่งมงายได้อย่างเด็ดขาด
๒.-เป็นผู้ประกอบด้วยความศรัทธาอันไม่หวั่นไหว (อจลา สทฺธา) และความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น (อเวจฺจปฺสาโท) ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าชอบใจ ๘ ประการ
๓.-เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ แม้ตัวตายก็ไม่ยอมละเลิกสิกขาบท (ศีล) ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติแล้วตลอดชีวิต ดังที่พระองค์ตรัสไว้ใน “ปหาราสูตร” ว่า (๒๓/๑๗๔)
“ดูก่อนปหาราท มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่เคยล้นฝั่ง ฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้น ย่อมไม่ล่วงสิขาบท (ศีล) ที่เราบัญญัติขึ้นแล้ว แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต”
๔.-เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ในทุก ๆ ชาติ ที่ยังเกิดอยู่ ดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์
สุมังคลวิลาสินี ๑ หน้า ๒๗๔ ว่า
“แม้ในระหว่างที่ยังเกิดอยู่ทุกๆ ชาติ พระอริยสาวกย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ย่อมไม่ดื่มสุรา แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตเลย”
๕.-เป็นผู้ที่ประกอบด้วยคุณสมบัติของอุบาสก ๑๐ ประการ คือ (ข้อนี้หมายเอาเฉพาะอุบาสก-อุบาสิกาที่เป็นโสดาบันเท่านั้น ไม่รวมถึงภิกษุ – สามเณรโสดาบัน)
๑) เป็นผู้ร่วมสุขและทุกข์เสมอด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
๒) เป็นผู้รักษาความประพฤติทางกาย และทางวาจาได้เรียบร้อยดี
๓) เป็นผู้ถือธรรม (ความถูกต้อง) เป็นใหญ่เท่านั้น
๔) เป็นผู้ยินดีทำบุญทำทานตามกำลัง
๕) เป็นผู้ที่พยายามศึกษาเรียนรู้คำสั่งสอนของพระศาสดายิ่งขึ้น
๖) เป็นคนที่มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
๗) เป็นผู้ไม่เชื่อข่าวลือ คือเป็นผู้เชื่อกรรมไม่เชื่อมงคล เช่น ไม่เชื่อว่าการลอดท้องช้างจะทำให้มีโชคมีลาภ ดังที่เขาเล่าลือกัน แต่เชื่อว่าโชคลาภย่อมมีได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรเท่านั้น ดังคำสุภาษิตว่า “แสวงหาลาภจากงาน ดีกว่าบนบานบวงทรวง”
๘) แม้จะสิ้นชีวิตก็จะไม่นับถือศาสนาอื่นอีกนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๙) เป็นผู้ชอบความสามัคคี ยินดีให้บุคคลมีความสามัคคีกัน และทำแต่สิ่งที่จะสมานสามัคคีกัน
๑๐) เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และไม่เอาพระศาสนาไปหลอกใครหากิน
ทำบุญอย่างไรถึงจะเป็นพระโสดาบัน?
การทำบุญนั้นแบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
๑.วัฏฏคามินีกุศล คือ การทำบุญให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา เพื่อต้องการโภคะสมบัติ คือ ปรารถนาให้ตนร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหา-เศรษฐี เป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเทวดา หรือเกิดเป็นพระพรหม เป็นต้น
๒.วิวัฏฏคามินีกุศล คือ การทำบุญให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนาเพื่อต้องการหลุดพ้นไปจากโลก เพื่อต้องการดับกิเลสโดยตรง
การทำกุศลด้วยแนวความคิดในประเภทที่ ๒ นี้เท่านั้น จึงจะทำให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันโดยเร็วพลัน
อานิสงส์ของการบรรลุโสดาบัน
พระโสดาบันเป็นผู้ได้รับสิทธิพิเศษเหรือกว่าผู้อื่น ๓ ประการ คือ
๑.เป็นผู้เหลือทุกข์แค่เล็กน้อย ดังที่ปรากฏในนขสิขสูตร (๑๖/๑๔๗) ว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบัณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงเอาปลายพระนขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสกะพระภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน? ฝุ่นประมาณน้อยนี้ที่เราเอาปลายเล็บช้อนขึ้นกับแผ่นดินใหญ่นี้ อย่างไหนจะมากกว่ากันหนอ”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แหละมากกว่า ฝุ่นที่ปลายเล็บนี้มีประมาณน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายฉันนั้นแหละเหมือนกัน ความทุกข์ที่หมดสิ้นไปของบุคคลผู้เป็นพระอริยสาวก ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ ผู้ตรัสรู้แล้ว มีมากกว่าส่วนที่เหลือมีประมาณน้อย เมื่อเทียบเข้ากับกองทุกข์ที่หมดสิ้นไปอันมีในก่อน ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑,๐๐๐ ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การตรัสรู้ธรรมให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้แล การได้ธรรมจักษุให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้”
๒.เป็นผู้ปิดประตูอบายได้แล้ว (ปิหิตาปายทฺวาโร) จะไม่ไปเกิดในสถานที่อันต่ำช้าอีกต่อไป ดังที่พระโสดาบันทุกท่านจะมีญาณเป็นเครื่องรู้ตัวว่า “เราเป็นผู้มีนรกกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว, เราเป็นพระโสดาบันมีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ มีอันจะตรัสรู้ในภายหน้า”
๓.เป็นผู้ประเสริฐกว่าใครๆ ในโลก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
โสดาบันปัตติผล ประเสริฐกว่า กว่าการเป็นพระราชาแต่ผู้เดียวในแผ่นดิน กว่าการไปสู่สวรรค์และกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง
พึงอนุเคราะห์กันด้วยโสตาปัตติยังคะเถิด
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ไม่เคยฟังธรรม เมื่อจะอนุเคราะห์กัน มักจะมอบของขวัญที่มีค่ามากให้แก่กัน เช่น บ้าน ที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง หรือยศถาบรรดาศักดิ์ ฯลฯ เป็นต้น นั่นเป็นการอนุเคราะห์ที่ไม่ประเสริฐเลย
การอนุเคราะห์ที่ประเสริฐ คือการแนะนำพร่ำสอน ให้ตั้งมั่นอยู่ในโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเท่านั้น ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
(มิตตามัจจสูตร ๑๙/๓๖๔)
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนทั้งหลายที่พวกเธอจะพึงอนุเคราะห์ก็ดี ชนทั้งหลายที่พอจะรับฟังคำสั่งสอนได้ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นมิตร เป็นผู้ร่วมงาน เป็นญาติ หรือเป็นสายโลหิต, พวกเธอชักชวนแนะนำพร่ำสอน ให้เขาเหล่านั้น ตั้งอยู่ในองค์คุณแห่งพระโสดาบัน ๔ ประการเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ พึงมีความแปรเป็นอย่างอื่นไปได้ ส่วนอริยสาวกที่ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่พึงมีความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้เลย การที่พระอริยสาวกผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว จักบังเกิดในนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน หรือเปรตวิสัย ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้”
พุทฺธวิริโย ภิกฺขุ