ดวงตา...เห็นธรรม
"ใจที่รู้ นั่นแหละคือ ใจที่สงบ
ใจที่ไม่รู้ นั่นแหละคือ ใจที่หลง
อย่าไปกลัวจะไม่สงบ
อย่าไปบังคับใจไม่ให้คิด
เรื่องใจมันเป็นอนัตตา
สิ่งที่หลายทั้งปวงบังคับบัญชาไม่ได้
มันจะสงบ อ๋อ! เราบังคับไม่ได้ มันสงบเอง
คนที่ภาวนาแล้วไปบังคับให้สงบ ไม่ให้มันคิด
นั่นแหละ! จะไม่มีวันรู้จัก "อนัตตา" เลย
ถ้าเห็นอนัตตาบ่อยๆ นี่ มันเข้าถึงธรรมได้นะ
จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเข้าถึงความจริงที่
กายจิตแสดงออกมา ยอมรับ และแก้ไข
ปรับปรุงไปตามหน้าที่ แม้ใจไม่อยากให้เป็น
ก็ อ๋อ! มันเป็นเรื่องของใจ ไม่ใช่เรื่องของเรา
ต้องเด็ดขาดลงไปอย่างนี้ ถึงจะได้ ดวงตา-
เห็นธรรม ไม่เช่นนั้นจะได้ ดวงตาหลงทาง"
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม
“กิริยาจิต” ที่แฝงอยู่ตาม “อายตนะ” หรือ “ทวารทั้ง ๕” มีดังนี้
“ตา” ไปกระทบกับรูป เกิด จักษุวิญญาณ คือ การเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูปไม่ได้
“หู” ไปกระทบกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือ การได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียงไม่ได้
“จมูก” ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือ การได้กลิ่นจะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่นไม่ได้
“ลิ้น” ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือ การได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รสไม่ได้
“กาย” ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือ กายสัมผัสจะห้ามไม่ให้กายรับสัมผัสไม่ได้
“วิญญาณทั้ง ๕” อย่างนี้ เป็น “กิริยาแฝงอยู่” ในกาย ตามทวาร ทำหน้าที่ “รับรู้สิ่งต่างๆ” ที่มากระทบ เป็น”สภาวะแห่งธรรมชาติ” ของมัน “เป็นอยู่เช่นนั้น”
ก็ “สักแต่ว่า” เมื่อ “จิต” “อาศัยทวารทั้ง ๕” เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยัง “สำนักงานจิตกลาง” เพื่อรับรู้ เราจะ “ห้ามมิให้เกิด” “มีเป็น” เช่นนั้น “ย่อมกระทำไม่ได้”
“การป้องกัน” “ทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น” เราจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕” ไม่เพลิดเพลินใน “อายตนะ” เหล่านั้น
หาก”จำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น” ประกอบการงานทางกาย
ก็ควรจะ “กำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต” เช่น “เมื่อเห็น” ก็ “สักแต่ว่าเห็น” “ไม่คิดปรุง” “ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน” “ไม่คิดปรุง” ดังนี้เป็นต้น
(ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้"จิตเอนเอียง" ไปในความเห็น ทั้งดี ทั้งชั่ว)
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
เมื่อบรรลุธรรมเป็น “พระอรหันต์” แล้ว
จะแตกต่างจาก ปุถุชน คนทั่วไป อย่างไร?
.
…. “ ถ้าเป็นพระอรหันต์ ก็หมายความว่า อยู่เหนือความเป็นอะไร เหนือบวชหรือเหนือไม่บวช, เหนือหนุ่ม-เหนือแก่, เหนือความเป็นหญิง-เหนือความเป็นชาย เขาเรียกว่าเหนือไปทั้งหมดที่มันเป็นคู่ๆ เหนือแพ้-เหนือชนะ, เหนือการได้-เหนือการเสีย, เหนือดี-เหนือชั่ว, เหนือบุญ-เหนือบาป, เหนือสุข-เหนือทุกข์ ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นคู่ๆเหล่านี้อีกต่อไป ก็เลยพ้นจากความที่จะถูกบัญญัติว่าเป็นอะไร
…. ชาวบ้านก็สมมุติไปตามเรื่อง จะเรียกท่านว่าเป็นอะไร คือว่า..ชาวโลกจะเรียกท่านว่าอย่างไรก็ตามสมมติของโลก ก็เรียกไป แต่จิตใจของท่านอยู่เหนือความเป็นอย่างนั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงถือว่าท่านอยู่เหนือการที่จะถูกเรียกว่าอะไร
…. จะเรียกว่าผู้ชายก็ไม่ได้ เพราะความต้องการอย่างผู้ชายจะไม่มีเหลืออยู่เลย ถ้าเป็นพระอรหันต์ผู้หญิง ก็จะเรียกว่าผู้หญิงก็ไม่ได้ เพราะไม่มีความต้องการอย่างผู้หญิงเหลืออยู่เลย จะเรียกว่าเป็นคนดีก็ไม่ได้ เพราะไม่ต้องการจะดีอะไร ไม่ต้องมีดีอะไร ไม่อยากจะดีอะไร ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นความดี จะว่าคนชั่วก็ไม่ได้ มันอยู่เหนือที่จะเป็นคนชั่วได้
…. ควรจะสนใจคำพูดชนิดนี้กันไว้บ้าง จะเข้าใจจุดหมายปลายทางของพระอรหันต์ได้ง่ายขึ้น จะมีใครมาทำให้แพ้ก็ไม่ได้ และจะไม่ชนะอะไรด้วย จะไม่ต้องการชนะอะไรด้วย ไม่ต้องการบุญ แล้วก็ไม่มีการทำบาป มันอยู่เหนือบุญเหนือบาปอย่างนี้ ไม่ต้องการความสุขไม่ต้องการความทุกข์ ความสุข(สุขเวทนา)ก็ไม่มีความหมาย ความทุกข์(ทุกขเวทนา)ก็ไม่มีความหมาย ฉะนั้น จึงเรียกว่าไม่ใช่คนเป็นสุขหรือคนเป็นทุกข์ จะพูดกันสักวันหนึ่งก็ได้ว่าท่านที่เป็นพระอรหันต์นั้นจะอยู่ “เหนือการบัญญัติ สมมติ” ของชาวโลก ที่จะไปสมมุติบัญญัติให้ว่าเป็นอะไร...”
.
พุทธทาสภิกขุ
อาการถือ อาการวาง ของใจ สุดท้ายชินไม่เข้าไปถือ จึงไม่มีอะไรให้วางอีก
มันเป็นเพียงอาการที่เราเผลอถือเอาไว้ไม่ยอมปล่อยนั้นเอง พอเรารู้ตัวเราก็ปล่อยได้ในบัจจุบัน แต่พอเราเผลอใหม่ก็เข้าไปถือไว้อีก ถืออะไรเอาไว้ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ที่เราเผลอถือก็เพราะมันชิน เราถือจนชินมาหลายแสนหลายล้านชาติแล้วนะมันชินจนเป็นอัตโนมัติเหมือนกับเราชินเอาช้อนตักข้าวเข้าปากหลับตาก็ทําได้เพราะชินเป็นอัตโนมัติโดยไม่คิด ทํายังไงละจะหายเผลอจากการถือ ก็ต้องเปลี่ยนให้มันมาชินกับการรู้สึกตัว เห็นอะไรรู้อะไรก็ให้รู้สึกตัว รู้สึกตัวบ่อยๆมันก็จะชิน ชินจนจิตผู้รู้เข้มแข็งไม่ไหลไป ชินจนมีสติมากํากับใจ ชินจนเห็นแล้วไม่เข้าไปถืออีก ไม่ใช่คิดก่อนแล้วค่อยวาง เพราะไม่ถือแล้วจะไปวางอะไร ไม่มีอะไรให้วางแล้ว เห็นเพียงสักแต่ว่า ดังนั้นให้ฝึกที่จะชินกับความรู้สึกตัวนะ
.....................
" การละวาง ไม่อาจทําได้ด้วยความคิด "
หลักการนะครับ เราใช้ความคิดไปห้ามความคิดไม่ได้ จะไปคิดบังคับเพื่อที่จะปล่อยวาง(สิ่งที่คิด) ไม่ได้จริงๆ เวลาเจอเรื่องใหญ่ๆรับรองหลุดทุกราย
วิธีการจริงๆที่จะทําให้ปล่อยวางได้ หลักคือ " เมื่อเรารู้ความรู้สึกตัว หรือ อยู่กับความรู้สึกตัว เราจะไม่คิด " ความรู้สึกตัว นั้นคือ สติ ครับ ซึ่งก็คือ สติปัฏฐาน4 เมื่อเราหมั่นรู้ความรู้สึกตัวบ่อยๆ เป็นการเจริญสติ(สติปัฏฐาน4) จะทําให้เรามีกําลังของสติมากขึ้นไปเรื่อยๆ
กําลังของสติที่มีมากขึ้นจะทําให้เราเห็นความคิด เห็นรายละเอียดของสิ่งที่เราคิด และเมื่อไหร่ที่เรามีกําลังมากพอ เราจะปล่อยออกจากความคิด ขณะที่เรามีความรู้สึกตัวความคิดจะไม่เกิด
ความรู้สึกตัวปกติจะไม่อยู่ตลอด จะอยู่แค่ช่วงสั้นๆไม่นาน แต่จะขยายเวลามากขึ้นได้เมื่อฝึกไปมากๆขึ้น เมื่อมีความรู้สึกตัวจะมีสติจะไม่เผลอ แล้วสิ่งหล่าวนี้จะไปทําให้ ปัญญาญาณ สามารถที่จะแสดงปัญญาที่แท้จริงออกมาได้ เพราะไม่ถูกความคิดครอบงําอีก
ตัวปัญญาอันนี้หล่ะครับ ที่ทําให้เราแจ้งในวิชชา ละอวิชชา ทําให้เราละ กิเลส ตัญหา ความหลงผิดต่างๆได้ ซึ่งมาถึงตรงนี้ จะทําให้เราใช้ชีวิตไปกับวิชชา ทําให้ศีลค่อยๆถึงพร้อมโดยที่เราไม่ได้ไปบังคับถือศีล เกิดศีลกับใจ
Trader Hunter พบธรรม
“นิพพาน” กับ “สังขาร”
“นิพพาน” ในพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวสำหรับคนทั่วไปแล้ว พึงเข้าใจเถิดว่ามันตรงกันข้ามกับคำว่า “สังขาร” โดยบาลีว่า...
“สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา”
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ”
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงได้ความว่า สิ่งที่เรียกว่า “นิพพาน” นั้น ก็คือไม่ปรุงนั่นเอง
“ความปรุง” คือ เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นความทุกข์
“ความไม่ปรุง” คือ มีสติปัญญาสูงถึงขนาดที่ตัดผ่าวงกลมนี้ได้ขาดกระจายออกไป ไม่ให้หมุนได้อีกต่อไป คือ ไม่เป็นสังสารวัฏฏ์ อย่างนี้เรียกว่าไม่ปรุง
เกิดมาเพื่อหยุดเสียซึ่งสังสารวัฏฏ์ ให้ถึงที่สุดของความทุกข์ คือไม่มีทุกข์เลย นี่เรียกว่า “นิพพาน” อย่างนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลึกลับมหัศจรรย์เหลือวิสัยของคน”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “เกิดมาเพื่อเดินทาง” เมื่อ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๘
--------------------------------
ทุก “สังขาร” ย่อมมี “วัฏฏะ” คือ ความวน
“ควรเข้าใจในตอนนี้อีกด้วยว่า อันคำว่า “ปรุงแต่ง” คือ “สังขตธรรม” สิ่งที่ปรุงแต่งหรือสังขาร สิ่งที่ผสมปรุงแต่งนั้นก็มีความหมายอันเดียวกับคำว่า “วัฏฏะ” คือ คำว่า “วน” และอยู่ในข่ายของ “กาลเวลา” คือ มีอดีต มีอนาคต มีปัจจุบัน กาลเวลา คืออดีต อนาคต และปัจจุบัน ก็ดี ความวนอันเรียกว่า “วัฏฏะ” ก็ดี ความเป็นสังขารคือผสมปรุงแต่งก็ดี ย่อมสัมพันธ์กันอยู่กับ “อนิจจตา” คือความไม่เที่ยง “ทุกขตา” คือความเป็นทุกข์ “อนัตตา” คือความเป็นอนัตตา มิใช่เป็นอัตตาตัวตน
ก็เพราะว่า สิ่งที่เป็นสังขาร คือสิ่งที่ผสมปรุงแต่ง ทั้งที่มีชีวิตและทั้งที่ไม่มีชีวิต จะต้องมี “วัฏฏะ” คือ “ความวน” คือ ไม่นิ่ง ต้องปรุงแต่งอยู่เสมอ ไม่หยุด ไม่นิ่ง และความไม่หยุดไม่นิ่งนั้นก็คือไม่หยุดไม่นิ่งอยู่ด้วย “ความเกิด-ความดับ” ความที่ปรุงเข้ามาเป็นความเกิด และความที่เสื่อมสลายไปก็เป็นความดับ แล้วก็ต้องปรุงเข้ามาใหม่ และเมื่อปรุงเข้ามาใหม่แล้วก็เสื่อมสลายไปอีก แล้วก็ปรุงเข้ามาใหม่อีก ไม่มีหยุด ลักษณะดังกล่าวมานี้เรียกว่า “ไม่เที่ยง” และลักษณะที่กล่าวมานี้ก็เรียกว่า “เป็นทุกข์” ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่คงอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และทั้งเป็นสิ่งที่เป็น “อนัตตา” มิใช่อัตตาตัวตน เพราะเหตุว่าบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ จะบังคับให้เที่ยงคือคงอยู่คงที่ คือให้ดำรงอยู่คงที่ ไม่เกิด ไม่ดับ ก็บังคับไม่ได้ จะให้หยุดก็บังคับไม่ได้ ต้องเกิดต้องดับต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน คือเป็นไปตามคติธรรมดา และเมื่อเป็นไปตามคติธรรมดาดังนี้ ก็ต้องมีกาล มีเวลา คือ มีอดีต มีอนาคต มีปัจจุบัน อดีตก็คือว่าล่วงไปแล้ว ปัจจุบันก็คือบัดนี้ อนาคตก็คือเบื้องหน้า ทุกๆสิ่งต้องมีอดีต ต้องมีปัจจุบัน ต้องมีอนาคต ดังที่สิ่งที่เกิดดับมาแล้วก็เป็นอดีต ที่เกิดดับอยู่ในปัจจุบันก็เป็นปัจจุบัน ที่เกิดดับต่อไปก็เป็นอนาคต ก็สิ่งเดียวกันนี่เอง แต่เพราะมีสันตติ คือความสืบต่อ อันหมายความว่ายังไม่หยุดความเกิดความดับ ยังเกิดดับต่อไป เพราะฉะนั้น จึงมีอดีต มีปัจจุบัน มีอนาคต และแม้ว่าจับเอาเพียงคำว่าเกิดดับเท่านั้น ถ้าเดี๋ยวนี้เกิดก็เป็นปัจจุบัน ดับก็เป็นอนาคต ครั้นมาถึงเวลาดับ ดับก็เป็นปัจจุบัน ที่จะเกิดสืบต่อก็เป็นอนาคต เพราะฉะนั้น อดีตอนาคตปัจจุบัน หรืออดีตปัจจุบันอนาคต จึงเนื่องอยู่กับสิ่งที่เป็น “สังขาร” คือ สิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลาย และที่ว่าเป็น “วัฏฏะ” คือความวนนั้น ก็เพราะว่าวนอยู่ในความเกิดความดับ ไม่นอกไปกว่าความเกิดความดับ เกิดดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ ก็วนอยู่ดั่งนี้
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึง “วัฏฏะ” คือความวนของสัตว์โลกไว้ ๓ อย่าง คือ
๑. กิเลสวัฏฏะ วน คือกิเลส
๒. กรรมวัฏฏะ วน คือกรรม และ
๓. วิปากวัฏฏะ วน คือวิบาก
วน คือ กิเลส นั้นก็หมายความว่า กิเลสเป็นเหตุให้กระทำกรรม ก็มาถึงกรรม และกรรมนั้นก็เป็นเหตุก่อวิบากคือผล ก็มาถึงวิบาก วิบากคือผลนั้นก็เป็นที่ตั้งของกิเลสขึ้นอีก หรือจะกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดกิเลสขึ้นอีกก็ได้ ก็เป็นกิเลสขึ้นมาอีก และเมื่อเป็นกิเลสก็เป็นเหตุให้กระทำกรรม กรรมก็เป็นเหตุให้ได้ประสบวิบากคือผล และผลก็เป็นที่ตั้งหรือเป็นเหตุของกิเลสขึ้นอีก ก็วนอยู่ใน ๓ ประการนี้ คือ กิเลส กรรม วิบาก แล้วก็วิบาก กิเลสกรรม วิบากก็วนเป็นวงกลมอยู่ ดั่งนี้ อันนี้เรียกว่า “วัฏฏะ”
วัฏฏะ สังสาระ สังสาระแปลว่าความท่องเที่ยวไป คือ ความท่องเที่ยวไปของสัตว์โลก ก็ท่องเที่ยวไปใน กิเลส กรรม วิบาก ทั้ง ๓ ประการนี้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตาย หรือเวียนเกิดเวียนดับดังที่กล่าวมาแล้ว
และเมื่อดูเข้าไปที่ความวนอันเป็นตัวเหตุชั้นในแล้ว จึงจะพบว่าวนอยู่ใน กิเลส กรรม วิบาก ทั้ง ๓ ประการนี้ ส่วนที่ว่าเวียนเกิดเวียนตายหรือเวียนเกิดเวียนดับมาข้างต้นนั้น ก็ยกเอาข้อวิบากขึ้นมาเพียงประการเดียว วิบากคือผลของกรรม จับเอาขันธ์เป็นที่อาศัยยึดถือทั้ง ๕ ประการนี้ หรือกายใจอันนี้ หรือชีวิตนี้ ก็มีเกิดมีดับ และเมื่อเกิดดับแล้วก็เกิดในเมื่อยังมีกิเลสมีกรรมอยู่ เมื่อมีเกิดก็มีดับอีก และเมื่อมีดับก็มีเกิดแล้วก็มีดับอีก แม้ว่าดูแค่วิบากคือผลคือตัวชีวิตนี้เท่านั้นก็วนอยู่ในเกิดในดับดังที่กล่าวมา แต่นั่นยกขึ้นมาเพียงข้อเดียว แต่เมื่อจะยกทั้งหมดแล้วก็ต้องยกทั้ง ๓ อย่าง คือ กิเลส กรรม วิบาก เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสมีกรรมอยู่ จึงต้องมีเกิดดับแห่งชีวิตหรือแห่งอัตภาพแห่งกายใจอันนี้ เมื่อไม่มีกรรม ไม่มีกิเลส ก็ไม่มีวิบาก ที่จะต้องเกิดดับดังกล่าวมา
เพราะฉะนั้น เมื่อจะยกขึ้นมากล่าวถึงวัฏฏะทั้งหมด จึงต้องกล่าวทั้ง ๓ คือ กิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบาก นี้เองเป็นกุญแจของ “สังขตธรรม” ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง คือเพราะมีวัฏฏะคือความวนแห่งกิเลสแห่งกรรมแห่งวิบากอยู่ดั่งนี้ จึงยังเป็น “สังขตธรรม” ธรรมที่ปรุงแต่งอยู่ตลอดไป เพราะต้องปรุงต้องแต่ง กิเลสก็แต่งกรรม กรรมก็แต่งวิบาก วิบากก็แต่งกิเลส กิเลสก็แต่งกรรม กรรมก็แต่งวิบาก ก็วนเวียนกันดังนี้”
สมเด็จพระญาณสังวร
ที่มา : จากธรรมนิพนธ์ เรื่อง "จิตศึกษา"
---------------------------------
"เตสํ วูปสโม สุโข :
สงบสังขารเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง"
ไม่ใช่หมายถึง “ความตาย” นั่นภาษาคนโง่พูด ว่านอนอยู่ในโลงนั่นคือสงบสังขารเสียได้ เป็นภาษาชาวบ้าน ภาษาคน.
ภาษาธรรมะ สงบสังขารเสียได้
นั่นคือ หยุดการปรุงแต่งเสียได้
ไม่ปรุงแต่งกายสังขาร
ไม่ปรุงแต่งวจีสังขาร
ไม่ปรุงแต่งมโนสังขาร
ทั้งชนิดบาป บุญ อเนญชา,
ไม่ว่าชนิดไหนหมด ไม่มีการปรุง,
มีหัวใจรวมอยู่ที่ดับแห่งความผัสสะเสียได้ แล้วก็ไม่มีการปรุง ก็เรียกว่าสงบแห่งสังขาร
สงบแห่งสังขาร คือ หยุดการปรุง นี่ก็เป็นไวพจน์แห่ง "พระนิพพาน"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง "ความสิ้นกรรมและไวพจน์ของนิพพาน" ณ ลานหินโค้ง ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ฉันจะให้ข้อคิดเตือนใจ ไม่ว่าโยมจะมีของดีอะไร..ไม่ต้องนำมาถวายอะไรหรอกจ้ะ โยมเอากายเอาจิตที่เลื่อมใสในพระศาสนาถวายเป็นพุทธบูชา คือน้อมกายมาประพฤติปฏิบัติ นั่นแหล่ะจ้ะคือของที่ควรกระทำ เป็นของที่สูงค่ามีค่าที่สุดในชีวิตโยม เพราะกายสังขารนี้ถ้าโยมน้อมเข้ามาทำความดี นั่นแหล่ะคือมงคลที่สูงสุด เป็นของดีที่สูงสุดแล้ว เพราะว่าเรานั้นไม่มีใครที่จะส่งเราให้พ้นทุกข์ได้ ลูกหลานเราก็ส่งได้แค่ชั่วคราว
แต่ร่างกายสังขารเป็นของมีค่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ควรน้อมกายสังขารเรานี้ถวายพระพุทธองค์ท่าน แล้วประพฤติปฏิบัติบูชา อย่างนี้แลเรียกว่าเราได้ส่งตัวเราเองให้ข้ามฝั่ง อย่างนี้จะเป็นหลักประกันได้ อย่าให้ใครมาเที่ยวส่งเรา เที่ยวกรวดน้ำให้เรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าไปเชื่อคำว่าคนนั้นคนนี้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้เรา ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยที่เชื่อได้ แม้กระทั่งตัวเราเองยังเชื่อไม่ได้เลย แล้วโยมจะไปเชื่อใคร..
เพราะในตัวของเราในใจของเรานั้น มันก็ยังมีมารอยู่ อย่างนั้นแล้วไม่ควรเชื่ออะไรเลย สิ่งที่จะเชื่อได้เมื่อเรานั้นได้เข้าถึงหลักเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ นั่นแหล่ะของที่เชื่อได้..คือพระรัตนตรัย นอกจากนั้นเชื่อไม่ได้เลย จำไว้นะจ๊ะ ถ้าใครเชื่อนอกเหนือจากพระรัตนตรัยแล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ย่อมต้องวนเวียนตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้นของสังสารวัฏแห่งทุกข์นี้
นั้นก็อยากให้โยมมีโอกาสไม่ว่าจะอยู่บ้านอยู่เรือนก็ดี ถ้าไม่ได้ไปวัดไปวา มีหิ้งพระหิ้งหอก็ชำระร่างกายให้สะอาด อาราธนาศีลอาราธนาธรรม สวดมนต์ภาวนาจิตถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ทำจิตให้เรานั้นสงบ วางจิตเรานั้นให้สบาย คลายจากความฟุ้งซ่านรำคาญใจจากเวรอาฆาตพยาบาท คือไม่ส่งจิตออกไปภายนอก เมื่อเราทำอย่างนี้ได้อยู่บ่อยๆ นี่เค้าเรียกว่าน้อมกาย วาจา ใจ จิตวิญญาณของเราที่มีอยู่ที่บิดามารดาเค้าได้ให้มรดกไว้ เพื่อเป็นการตอบแทนบรรพชนก็ดี
ในการเจริญศีล ทาน ภาวนา อย่างนี้เรียกว่าประพฤติปฏิบัติบูชา เมื่อโยมได้ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ โยมก็จะได้แก้ว ๓ ประการ ใครประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาอยู่บ่อยๆ อันว่าแก้ว ๓ ประการก็คือแก้วสารพัดนึก แก้วสารพัดนึกเป็นอย่างไร เมื่อโยมนึกอะไรที่เป็นกุศลก็ดี..โยมก็จะได้ในความปรารถนานั้น แต่ถ้าเรายังไม่ถึงในความดี การจะระลึกถึงในความดี หรือจะให้ความดีนั้นมันสนองคุณกับเรา..มันก็ยังไม่ถึงได้ นั้นเราต้องถึงในพระรัตนตรัย ถึงในความเชื่อความศรัทธาเสียก่อน อันว่าปาฏิหาริย์มันถึงจะบังเกิดได้
นั้นมนุษย์นั้นที่จะเอาไปได้ก็มีแต่บุญกับบาป..ที่มันจะสนองให้ผลติดตาม ไม่ว่าโยมจะอยู่ในสัมปรายภพใดก็ตาม ดังนั้นแล้วถ้าโยมมีบาปมากกว่าบุญ มันก็เหมือนในทางโลกถ้าบุญโยมน้อย..อุปสรรคในทางโลกมันก็มาก เมื่อโยมตายไปก็เช่นกัน เมื่อบาปโยมมาก..สิ่งที่โยมจะไปเสวยที่ดวงจิตสุดท้ายก็จะไปอยู่ทุคติภูมิมีความลำบาก ขนาดมีกายแล้วยังลำบากขนาดนี้ แล้วถ้าโยมตายไปกับบาปอกุศลเล่าจะไม่ลำบากยิ่งกว่านี้เหรอจ๊ะ
ในขณะตอนที่เราเป็นคนถ้าเราจะเลือกจะทำความดี หรือไม่ทำความดี..เราก็ยังสามารถเลือกได้ แต่ที่เราไม่เอาดีเพราะอะไร เรานั้นมันขี้เกียจเกียจคร้าน ขาดความเชื่อความศรัทธา เรียกว่ายังประมาทในชีวิตอยู่ คิดว่าความดีนั้น วัดวาอารามนั้น การสวดมนต์นั้นไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่เวลา ไม่ใช่วาระ..ยังไม่ถึงเวลาของเรา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา มันเป็นหน้าที่ของคนวัยชราใกล้จะตาย ที่จะเข้าวัดเข้าวาฟังธรรม
แท้ที่จริงแล้วหาใช่เป็นอย่างนั้นไม่ มนุษย์นั้นโอกาสที่จะทำความดีนั้นมันมีน้อย โอกาสที่จะทำความชั่วมันมีมาก ดังนั้นขณะใดก็ตามที่เรามีโอกาสสร้างความดี เราควรไขว่คว้าไว้เพื่อเจริญเพื่อจะเป็นกำลังต่อต้านให้ความชั่วนั้นมันเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าเราไม่มีภูมิต้านทานเลยในบุญกุศลในความดี มันย่อมเปิดทางเปิดช่องให้มารและสิ่งชั่วร้ายมันบังคับบีฑาเรา ดังนั้นเมื่อโยมมีโอกาสควรเจริญความดีให้มาก
ความดีเมื่อเจริญแล้วจะเป็นอย่างไรในภายภาคหน้า เมื่อโยมประสบอุปสรรค หรือปัญหา หรือความทุกข์ ความดีที่โยมทำไว้และบุญกุศลนั้นแลจะเป็นตัวรองรับ จะเป็นที่พึ่งพาช่วยเหลือโยมได้ ไม่มีอะไรเลยหรือใครเลยที่จะมาช่วยโยมได้ ถ้าโยมไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้
ดังนั้นจึงเป็นของธรรมดา ถ้าโยมสร้างบุญไว้มาก หากมันจะมีอุปสรรคเภทภัยอะไรก็ตาม ก็เรียกว่าหนักมันก็จะเป็นเบาได้ นั้นทุกลมหายใจทุกขณะจิตที่โยมระลึกได้ โยมสามารถสร้างความดีได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งก่อนนอน ก่อนตื่นนอน หรือแม้นอนลงไปก็ตาม จิตที่เราสร้างความดีไว้ ในขณะที่เรานั้นขาดจากสติไป..ความดีนั้นแลก็ยังเป็นที่พึ่งอาศัยคอยตามรักษาจิตได้ นั่นคือ"การเจริญสติ"
สติเมื่อเราเจริญแล้ว..สติตัวนั้นแลจะเป็นตัวทำหน้าที่เป็นตัวรักษา ก็นั่นแลเมื่อเราน้อมนำสติไปเจริญรักษาศีล แม้ขณะที่เราหลับไป..ศีลก็ยังทำหน้าที่รักษากายสังขารเรา เฉกเช่นว่าบุคคลใดที่เจริญศีล ย่อมมีเทพเทวดาพรหมทั้งหลายมารักษากายสังขารและดวงจิต นั้นบุคคลใดก็ดีที่เจริญรักษาศีล แม้จะหลับลงไปก็จะมักไม่ค่อยฝันร้าย
ดังนั้นเค้าจึงบอกว่าการเจริญสตินั้น..มีความสำคัญมาก ไม่ได้บอกว่าฉันไม่มีเวลาที่จะไปวัด ฉันไม่มีเวลาที่จะฟังธรรม ฉันไม่มีเวลาจะสร้างความดี อย่างนี้มารนั้นเค้าได้บังตาโยมแล้ว แล้วแบบนั้นบุคคลประเภทนี้ หมายถึงว่ากำลังกินบุญเก่าอยู่ คำว่าบุญเก่า..กำลังกินของเน่า ของเสีย ของบูดอยู่ ไม่ได้กินของใหม่ ดังนั้นของที่โยมกินอยู่ อาหารเก่าถ้าเราไม่สร้างขึ้นมาใหม่มันก็สามารถหมดได้
ดังนั้นบุคคลที่มีปัญญามีบุญวาสนาบารมีเก่า ย่อมจะสร้างของใหม่ขึ้นมา ด้วยเห็นว่าของที่เรามีอยู่นั้นอาจจะหมดเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่าผู้นั้นเป็นผู้ไม่ประมาทในบุญกุศล ไม่ประมาทในคุณงามความดี บุคคลนี้เค้าเรียกว่ามีปัญญา นั้นอยากให้โยมได้สร้างบุญกุศลขึ้นมาให้มากๆ เพราะเราไม่รู้ว่าบุญวาสนาเราจะหมดไปเมื่อไหร่ เราจะตายไปเมื่อไหร่
ความตายแท้จริงแล้วก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอะไร ถ้าเราพร้อมที่จะตายได้ แต่คราใดบุคคลใดที่ยังไม่พร้อมที่จะตาย มันจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว อะไรที่เรายอมรับได้ ที่เราพร้อมแล้วเตรียมตัวแล้ว เราก็จะไม่หวั่นไหวกับสิ่งนั้น ถ้าโยมคิดว่าในภพสัมปรายภพนั้นที่โยมจะไป โยมได้เตรียมตัวไว้พอสมควรแล้ว อาหารการกินก็คือเสบียงบุญ บุญกุศลที่จะหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณโยมเมื่อโยมไม่มีกายสังขารแล้ว หลักที่พึ่งพาหรือเครื่องรางของขลังที่จะเอาไปได้..ก็คือพระรัตนตรัยที่จะคล้องจิตวิญญาณโยมไป
ดังนั้นแม้มนต์บทหนึ่งบทใดที่โยมระลึกได้สวดได้ แม้พระกรรมฐานที่โยมได้เคยเจริญได้เคยกระทำแล้วก็จะตามติดโยมไปได้ เมื่อโยมเข้าถึงมีความเชื่อในพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สิ่งเหล่านี้แลที่จะตามติดจิตวิญญาณโยมไป จะช่วยคอยปกป้องดวงจิตวิญญาณโยมให้พ้นจากอบายภูมิ พ้นจากสัตว์นรก เปรตวิสัยทั้งหลาย เหล่านี้ก็ควรสะสมให้เกิดขึ้น เมื่อโยมสะสมมีต้นทุนแล้ว ไม่ว่าโยมจะอยู่บ้านอยู่เรือน หรือในขณะที่โยมอยู่ในกาย วาจา ใจ หรือว่ามีกายทำอะไรอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ก็สามารถประพฤติปฏิบัติได้ ไม่ใช่ว่าต้องรอเวลาให้กรรมฐานก่อน
นั้นอารมณ์เหล่าใดก็ตามที่เรานั้นยังละวางไม่ได้ของอกุศลมูลทั้งหลาย เพราะเหตุว่าเป็นอำนาจแห่งกรรมทั้งนั้น ที่เรานั้นยังยึดยังพอใจอยู่ เมื่อเรายังมีความยึดยังพอใจในสิ่งใด บุคคลผู้นั้นจะหาความว่าเป็นสุขที่แท้จริงก็บังเกิดไม่ได้เลย ดังนั้นไอ้ความรักความพอใจที่เราไปยึดอยู่ เค้าก็เรียกว่า"ความหลง" ความหลงที่มันจะขจัดได้ เบาบางได้ มันก็ต้อง"เจริญปัญญา" คนที่จะเจริญปัญญาได้ผู้นั้นแลมันก็ต้องเกิดจากทุกข์ก่อน ถ้ายังสุขอยู่มันจะเอาปัญญาที่ไหนจะไปพิจารณาให้เห็นชอบ
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่จะเห็นธรรม..ผู้นั้นต้องเห็นทุกข์เสียก่อน เพราะเมื่อเห็นทุกข์เกิดขึ้น สติมันก็จะบังเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของจิต ก็เหมือนเรานั่งสมาธิอยู่มีความง่วงเข้ามาเกี่ยวข้อง อากาศเย็นสบายก็ดี แต่ไม่นานนักเวทนาในกายมันเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็ตาม สติเราจะตื่นรู้ขึ้นมาอยู่ในขณะในเวทนานั้น นี่แลมันจะทำให้เราทุกข์ เมื่อเราทุกข์เราจะเกิดความขัดข้องใจ แล้วจะทำอย่างไรให้พ้นจากเวทนานั้นได้
ความเป็นจริงของเวทนาของกายนั้น เมื่อเป็นทุกข์แล้ว..มนุษย์ทั้งหลายย่อมดิ้นรนที่จะแสวงหาออกจากการเป็นทุกข์นั้น เหมือนเรามีความหิวเราก็ไปบริโภคอาหาร เวทนานั้นก็ดับลงไปไม่เกิดขึ้นอีก ประทังความหิวอย่างนี้ แต่ถามว่าความหิวนี้ต้องเกิดขึ้นอยู่ตลอดหรือไม่..มันก็เกิดขึ้นอยู่ตลอด ถ้าวันใดวันหนึ่งอาหารและยาของเราไม่มีบริโภคจะทำอย่างไร นี่แลก็เหมือนกัน
ถ้าเราไม่เจริญสะสมบุญกุศลไว้ บุญกุศลเราหมดเมื่อไหร่เราก็จะขาดแคลนเสบียงอาหาร ทีนี้เมื่อเราหิวเราจะไปเอาที่ไหนกินได้ เพราะต่างคนก็ต่างมีทุกข์มีเวรมีภัยกัน เพราะต่างคนก็ต่างต้องเอาตัวรอด แล้วจะทำอย่างไร เราต้องเป็นที่พึ่งของตัวเราเอง สะสมบารมีหาทางออกจากทุกข์ให้ได้ แล้วอย่าเพิ่มกรรมขึ้นมา อย่าเที่ยวไปสร้างเวรสร้างพยาบาท นี่เค้าเรียกว่ามันจะทำให้เราติดกรรม ถ้าเมื่อเราติดกรรมแล้ว กรรมเราก็มีมากอยู่แล้ว เรายังไปเอากรรมคนอื่นเอาความทุกข์คนอื่น ยังไปพยาบาทคนอื่น นี่ที่เรียกว่าเราไปเอากรรมคนอื่นเค้ามา
ดังนั้นการที่เรานั้นจะสลัดทำให้กรรมเรานั้นเบาบางลงทำอย่างไร เราต้องละจากความพอใจ ละจากความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่เป็นอกุศล เพราะด้วยอำนาจแห่งไฟ ๓ กอง คือไฟโทสะ โมหะ โลภะ เหล่านี้ให้พิจารณา ที่มันทำให้จิตเราดิ้นรนแสวงหา หรือทำให้เราเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป ถ้าเราเป็นสุขแท้จริงแล้วบุคคลผู้นั้นจะไม่ดิ้นรนแสวงหา นั่นเค้าเรียกมีความพอแล้ว แต่ถ้าเรายังดิ้นรนแสวงหาอยู่ แสดงว่ากิเลสตัณหานั้นมันยังไม่อิ่มมันยังไม่เต็มมันยังไม่พอ เมื่อไม่พอแล้วมันก็ยังพร่องอยู่ เมื่อมันพร่องอยู่แล้วอย่างนี้ ก็ต้องดิ้นรนแสวงหานำเอามาเสริมให้มันเต็ม
แต่ความเป็นจริงกิเลสตัณหาทั้งหลายไม่สามารถเติมให้มันเต็มได้ เพราะว่ายิ่งเสพก็ยิ่งติด มีทางเดียวที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัส กิเลสตัณหาทั้งหลายนี้ที่ทำให้มันก่อภพก่อชาติมาเนิ่นนานแต่เพียงใดอย่างนี้ เค้าบอกให้เรานั้นต้องตัดละที่ใจ เพราะใจเป็นประธานแห่งกรรมทั้งหลาย ใจมันเป็นใหญ่ ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน อกุศลมูลก็ดีก็มีใจถึงก่อน อย่างนี้ให้กำหนดรู้ว่าเราไปยึดไปมีความพอใจอะไร เมื่อเรารู้โทษว่าสิ่งนั้นมันให้สุขให้คุณเราจริงหรือไม่ ก็ให้พิจารณาไป อย่างนี้แล้วถ้าเราเห็นโทษแล้วในภัย เราก็สามารถจะคลายในอารมณ์ที่เราไปยึดไปพอใจได้
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
“ตราบใดก็ตาม ที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเอง
ก็ยังไม่นับว่า แกรู้จักข้า
แต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
เมื่อนั้นข้าว่า แกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้วล่ะ”
คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มีดีอยู่อย่างเดียว คือ สวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติภาวนาคือ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของชั่วคราว มีแต่ปัญหามีแต่ทุกข์ แล้วก็เสื่อม พังสลายไปในที่สุด
ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งหลาย ถ้าท่านต้องการพ้นภัยจากการเกิดแก่เจ็บตาย ท่านควรมีคุณธรรม 6 ประการนี้ไว้เป็นประจำจิตประจำใจ ทุกท่านย่อมจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ถึงความสุขใจอย่างยอดเยี่ยม
คุณ 6 ประการนั้นคือ
1. ข่มจิตในเวลาที่ควรข่ม
2. ประคับประคองจิตในยามที่ควรประคับประคอง
3. ทำจิตให้ร่าเริงในยามที่ควรร่าเริง
4. ทำจิตวางเฉยในยามที่ควรวางเฉย
5. มีจิตน้อมไปในอริยมรรค อริยผลอันประณีตสูงสุด
6. มีจิตตั้งมั่นในพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตผู้ปฏิบัติที่มีความสามารถฉลาด
ย่อมจะต้องศึกษาจิตใจและอารมณ์ของตนให้เข้าใจ และรู้จักวิธีกำหนดปล่อยวางหรือควบคุมจิตใจและอารมณ์ให้ได้ เปรียบเสมือนเวลาที่เราขับรถยนต์ จะต้องศึกษาให้เข้าถึงวิธีการขับขี่ที่ปลอดภัย บางครั้งควรเร่ง บางคราวควรผ่อน บางทีก็ต้องหยุดเร่งในเวลาที่ควรเร่ง ผ่อนในเวลาที่ควรผ่อน หยุดในเวลาที่ควรหยุด ก็จะสามารถถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
ข้อสำคัญที่สุดของการปฏิบัติคือ ต้องไม่ประมาท ต้องปฏิบัติให้เต็มที่ตั้งแต่วันนี้ ใครจะรู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ถ้าเราปฏิบัติไม่เป็นเสียแต่วันนี้ เวลาใกล้จะตายมันก็ไม่เป็นเหมือนกัน เหมือนคนที่เพิ่งคิดหัดว่ายน้ำ เวลาใกล้จะจมน้ำตาย นั่นแหละก็จมตายไปเปล่าๆ ถ้าใน 1 วันนี้ไม่ปฏิบัติภาวนาวันนั้นขาดทุนเสียหายหลายล้านบาท
จงมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่า คน สัตว์ สิ่ง ของ เงิน ทอง ลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ เป็นของโกหกของสมมุติ ภาพมายาทั้งนั้น ทุกอย่างไม่ใช่ของจริงเป็นของหลอกลวงที่คนไม่ฉลาดต่างพากันหลงใหลกับสิ่งของ สมมุติของโกหก ไม่ว่าอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย ก็ไม่ใช่ของเราจริงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากเหตุ(คือ ความไม่รู้ ความอยากได้) ถ้าต้องการดับทุกข์ ต้องดับเหตุก่อน คือ ให้รู้ว่าทั้ง 3 โลก เป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงเป็นโทษเป็นทุกข์เป็นปัญหา และสูญสลายตายกันในที่สุด ถ้าเรามีญาณก็จะรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเราไม่มีการบังเอิญเลย
ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมพิจารณาร่างกายคนสัตว์ในโลกว่าน่าเกลียดน่ากลัว เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นภาระต้องดูแลอย่างหนัก เน่าเหม็นแตกสลายตายไปกันหมด ผู้ที่มีศรัทธาแท้คือผู้ที่เชื่อและยอมรับ พระพุทะ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแทนที่จะเอาความโลภ ความโกรธ ความหลงมาเป็นที่พึ่ง ผู้ปฏิบัติตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คือ ให้ขยันภาวนา แล้วความโลภ ความโกรธ ความหลงจะน้อยลงและหมดไป
ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต ผู้ฝึกจิตถ้าทำจิตให้มีอารมณ์หลายอย่างจะสงบไม่ได้ และไม่คงสภาพของจิตตามเป็นจริง ถ้าทำจิตให้ดิ่งแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว โดยเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายตายหมดสิ้นแล้ว จิตก็มีกำลังเปล่งรัศมีแห่งความสว่างออกมาเต็มที่ มองสภาพของจิตตามเป็นจริง ได้ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกิเลส อะไรควรรักษา อะไรควรละทิ้งออกจากจิต ไม่ควรใส่ใจสนใจเรื่องของผู้อื่น ควรตั้งใจตรวจสำรวจดูจิตของเราเองว่ายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง คิดว่าร่างกายนี้ยังเป็นของจิตหรือไม่ ตามความเป็นจริงแล้ว จิตกับกายไม่ใช่อันเดียวกัน เพียงแต่มาอาศัยกันชั่วคราวเท่านั้น
อารมณ์วางเฉยมี 3 อย่าง
1. วางเฉยแบบหยาบ คือ อารมณ์ปุถุชนที่เฉยๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ซึ่งมีเป็นครั้งคราวเท่านั้น
2. วางเฉยแบบกลาง มีในผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา มีความรู้ตัว มีความสงบของจิต วางอารมณ์จากความดี ความชั่ว สุข ทุกข์ ใดๆในโลกีย์วิสัย เฉยบ่อยมากขึ้น
3. วางเฉยแบบละเอียด คือ อารมณ์ของพระอริยเจ้า พระอรหันต์ ซึ่งไม่มีอารมณ์สุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว ดีใจปนเสียใจ วิตกกังวลฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่มี ไม่คิดปรุงแต่งไปในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีความวางเฉยในร่างกายของท่านเอง จะเจ็บปวดทรมาน จิตท่านนิ่งเฉยอยู่ในจิตของท่านว่าจิตส่วนจิต กายเป็นเพียงของสมมุติของชั่วคราว ตายเมื่อไรท่านก็พร้อมที่จะทิ้งรูปนามขันธ์ เสวยวิมุติสุขแดนอมตะทิพย์นิพพานติดตามองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ของดีนั้นมีอยู่ในตัวเราทุกคน ของดีนั้นอยู่ที่จิตของท่านทุกท่าน ของไม่ดีอยู่ที่ร่างกาย
กิเลสเป็นเหตุให้สัตว์ทำกรรม และให้รับเสวยผล วนไปเวียนมาทำนองนี้ตลอดอนันตกาล
เพราะกิเลสเป็นเหตุเพียงอันเดียวเท่านั้น วัฏฏะของใจก็หมุนไปเวียนมาไม่มีวันจบสิ้น
ถ้ามิได้ดับเชื้อภายในนี้เสียให้สิ้นซากลง กรรมและวิบากย่อมมีทางสืบต่อ การเกิดการตายของสัตว์ผู้จำต้องรับผลตามลำดับแห่งภพ จะหาวันสิ้นสุดลงไม่ได้ ต้องเป็นวัฏฏวนอยู่ทำนองนี้ตลอดไป
การตายแล้วสูญ ตามความคิดเห็นของนานาจิตตังนั้น จึงหาที่สอดแทรกลงไม่ได้ในระหว่างแห่งภพของสัตว์ผู้มีกิเลสภายในใจ ซึ่งรอจะเกิดอยู่ทุกโอกาสที่จิตเคลื่อนย้ายออกจากร่างเก่าภพเก่าของตน เพื่อปฏิสนธิในภพต่อไป
คำสอน
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เพราะว่าความรู้สึกที่เป็น #ของคู่
ประเภทตรงกันข้ามฝังจิตอยู่ ในอนุสัย
ของคู่ เช่น ดีชั่ว สูงต่ำ ดำขาว .. เป็นเนื้อเดียวกันหมด
#เมื่อแยกคู่ไม่ได้ตัวนั้นแหละคือตัวว่าง
ไม่ซ้ายไม่ขวา อยู่เหนือบุญเหนือบาป
#เหนือสมมุติเหนือบัญญัติ
#เหนืออนิจจังทุกขังอนัตตาเหนือเหตุเหนือผล
สมมุติบัญญัติ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา นั้น มันเป็นอยู่ในโลก
เหนือเหตุเหนือผล เรียกว่า #โลกุตร เหนือโลก
อยู่เหนือกามโลก โลกทั้งสาม กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั้งหมด
ว่าง เหนือเหตุผลทั้งหมด
...
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลักของวัฏฏะ ได้แก่ ต้นเหตุ คือ "ใจ" เป็นผู้ประดิษฐ์กรรมดี กรรมชั่ว
"ใจ" จึงเป็นเหมือนโรงงานผลิตสิ่งต่างๆให้สำเร็จรูปออกมา ที่เรียกกันว่า "ผลกรรม"
ซึ่งทำให้ผู้รับเสวย เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ
เพราะอำนาจของกิเลสที่เป็นเชื้อฝังอยู่ภายในใจผลักดันให้ทำกรรม....
สัมมาทิฏฐิ มี ๒ ระดับ
แบบ โลกียะ ยังมีตัวตน
แบบ โลกุตตระ ไม่มีตัวตน
.
…. “สัมมาทิฏฐิ” แปลว่า มีความเห็นชอบ. เรื่ององค์แห่งมรรคนี้เคยพูดกันมาซ้ำๆ ซากๆ หลายครั้งหลายหนแล้ว, เข้าใจว่าคงจะยังจําได้กันอยู่เป็นส่วนมาก แต่มีข้อสําคัญที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องชัดเจนว่า “สัมมาทิฏฐิ” นี้ก็ยังถูกแบ่งออกเป็น ๒ ระดับ หรือ ๒ ขั้นตอน คือ สัมมาทิฏฐิขั้นต่ำๆ นี่ก็มี, สัมมาทิฏฐิขั้นสูงก็มี. ขั้นต่ำๆก็เรียกว่าไปตามโลก ไปตามกระแสโลก เป็นโลกียะ, ขั้นสูงก็เหนือโลก เป็น โลกุตตระ
…. สัมมาทิฏฐิขั้นต่ำๆ นี้ ท่านเรียกว่า “สาสวา” คือ ยังมีอาสวะ, “ปุญญภาคิยา” = มีส่วนแห่งบุญ, “อุปธิเวปกฺกา” = มีอุปธิเป็นวิบาก, นี่คือสัมมาทิฏฐิที่ยังเป็นไปตามระดับธรรมดาของบุคคลผู้ “มีตัวตน” ตามกระแสโลก; คือ ทิฏฐิที่ว่า การให้ทานมีผล - ทานมี, ยัญที่บูชามี, การบูชามี, โลกนี้มี, โลกหน้ามี, มารดามี, บิดามี, สัตว์โอปปาติกะมี, ผู้ปฏิบัติธรรมสําเร็จบริบูรณ์ ทําให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่นมี, นี่สัมมาทิฏฐิเพียงเท่านี้, แม้ที่ว่าทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว นี้ก็อยู่ในพวกนี้ คือพวกขั้นต้น : สัมมาทิฏฐิขั้นโลกียะ ยัง สาสวะ คือ มีอาสวะ เพราะว่ายังเนื่องอยู่ด้วยความมีตัวมีตน, แล้วก็เรียกว่า ปุญญภาคิยะ = เป็นส่วนแห่งบุญ คือ มีไว้สําหรับแสวงบุญ ประกอบบุญ สร้างบุญ ยังผูกพันอยู่กับบุญ, แล้วอุปธิเวปักกา หมายความว่า มีวิบากเป็นอุปธิ คือ ความยึดมั่นถือมั่นในความดีที่สุด, ที่รู้สึกว่าดีก็ยึดถือไว้โดยความเป็นความดี เป็นความดีของตนเสียด้วย, ความยึดถืออย่างนี้เรียกว่า “อุปธิ”. สัมมาทิฏฐิชนิดนี้ยังเป็น อุปธิเวปกฺกา - มีผลเป็นอุปธิ คือความยึดมั่นถือมั่น คือยังเป็นกิเลสชนิดละเอียดอยู่ ยังไม่สิ้นเชิง ไม่สิ้นจากกิเลส. สิ่งที่เรียกว่า “อุปธิ” นั้น คือความยึดมั่นถือมั่น หรือสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น, ถ้าอย่างนี้ก็ยังผูกพันอยู่ในวัฏฏะ นี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิด้วยเหมือนกันแหละ. ในกุศลกรรมบถ ๑๐ น่ะ ท่านแสดงสัมมาทิฏฐิว่าอย่างนี้ ในกุศลกรรมบถ ๑๐ นั่นแหละ มีคําว่าสัมมาทิฏฐิอยู่ด้วยคําหนึ่ง; ท่านแสดงไว้ด้วยทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ เช่นนี้
.
…. แต่ครั้นมาถึง “อัฏฐังคิกมรรค” ก็ดี หรือ “สัมมัตตะ ๑๐” ก็ดี คําว่า สัมมาทิฏฐิ ท่านไม่แสดงอย่างนี้: ท่านแสดงเป็นแบบ “โลกุตตระ” คือว่า...
ทุกฺเข ญาณํ - ความรู้ในทุกข์,
ทุกฺขสมุทเย ญาณํ - ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์,
ทุกฺขนิโรเธ ญาณํ - ความรู้ในความดับทุกข์,
ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฏิปทาย ญาณํ - ความรู้ในหนทางให้ถึงความดับทุกข์,
อยํ วุจฺจติ สมฺมาทิฏฺฐิ - นี้เราเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
…. แล้วยังมี สัมมาทิฏฐิ ที่แสดงไว้ในรูปอย่างอื่น เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ดี, ปฏิจจสมุปบาท ก็ดี ไม่ข้องแวะในที่สุด ๒ ส่วน ก็ดี; นี้ล้วนแต่เป็นสัมมาทิฏฐิอย่างประเภทหลังนี้ทั้งนั้น; คือเป็น อนาสวา = เป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่ประกอบด้วยอาสวะแล้ว แล้วก็เป็น อริยา คือ สัมมาทิฏฐิที่เป็น อริยะ, เป็นโลกุตตรา = ที่จะนําขึ้นไปเหนือโลก แล้วก็ มคฺคงฺคา - เป็นองค์แห่งมรรค
…. สัมมาทิฏฐิ อย่างที่ว่าทีหลังนี้ เป็น มัคคังคา คือ เป็นองค์แห่งมรรค; สัมมาทิฏฐิที่ว่าก่อนนั้นไม่เป็นมัคคังคา เพราะยังเป็นสาสวะ ยังเป็นปุญญภาคิยา เป็น อุปธิเวปักกา
.
…. รวมความว่า แม้จะเป็นสัมมาทิฏฐิด้วยกัน ก็ยังอยู่กันคนละระดับ : อันหนึ่งเป็นไปอย่างถูกต้องในโลก ยังไม่ขึ้นสู่โลกุตตระ อันที่แท้จริงนี้ จะนําออกจากโลก อยู่เหนือโลก แล้วเป็นไปเพื่อนิพพานโดยตรง
…. สัมมาทิฏฐิอย่างแรกนั้น จะวนเวียนอยู่ในโลกนี้ ในวัฏฏะนี้อย่างดีที่สุด จึงเป็น ปุญญภาคิยา = เป็นไปฝ่ายบุญ ฝ่ายดีที่สุด แต่ไม่ออกจากวัฏฏะ,
…. ส่วนอย่างหลังนั้นจะออกจากวัฏฏะ จึงเรียกว่าเป็น อริยา คือ ประเสริฐ เป็นอนาสวา - ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตรา - เหนือโลก เป็น มัคคังคา – เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางของ พระนิพพาน.
…. ถ้าเราจะเรียกกันเป็นคู่ๆ ก็จะเรียกว่า สัมมาทิฏฐิที่เป็นอริยะ และ ไม่เป็นอริยะ อย่างนี้ก็ได้ หรือเรียกว่า สัมมาทิฏฐิที่เป็นสาสวะ และ อนาสวะ ก็ได้ คือ มีอาสวะ และ ไม่มีอาสวะ, อย่างนี้ก็ได้
…. นี่เป็นชื่อที่จะแบ่งกันได้ชัดเจนว่า สัมมาทิฏฐิเป็นอริยะนั้น จะเห็นไปถึงความ “ไม่มีตัวตน”; แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิต่ำๆ ยังไม่เป็นอริยะนั้น จะหยุดอยู่ที่ดีที่สุดในวัฏฏะ เป็นอันว่าในที่นี้เราต้องการ สัมมาทิฏฐิที่ถูกต้องและสมบูรณ์ คือเป็น อนาสวะ และเป็นอริยะ, เอาสัมมาทิฏฐิชนิดนี้มาเป็นรุ่งอรุณ, รุ่งอรุณ คือ แสงเงินแสงทองที่เมื่อตั้งขึ้นแล้วเวลากลางวันจะมาถึงเข้าตามลําดับ. เมื่อสัมมาทิฏฐินี้เป็นรุ่งอรุณแล้ว, สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ ก็ตามมาเป็นลําดับเหมือนกับเวลากลางวัน”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคอาสาฬหบูชา ครั้งที่ ๔ หัวข้อเรื่อง “ความถูกต้องของความเป็นพุทธบริษัท” เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๔ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “สัมมัตตานุภาพ”
ความดับแห่งกรรม
.
❝ พระพุทธภาษิตมีอยู่ว่า “ผัสสนิโรโธ กัมมนิโรโธ ”
ผัสสนิโรโธ = ความดับแห่งผัสสะ,
กัมมนิโรโธ = เป็นความดับแห่งกรรม,
ดับผัสสะ นั่นแหละ คือความดับแห่งกรรม.
ดับผัสสะ หมายความว่า ผัสสะไม่ทำหน้าที่,
ผัสสะไม่อาจทำหน้าที่ แม้ผัสสะจะทำหน้าที่ก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะไม่ถูกยึดถือเอา.
.
ถ้าดับอันนี้เสียได้กรรมก็ไม่เกิด
และเกิดแล้วก็เลิก.
มันเหมือนกับวิทยาศาสตร์ทางจิตในขั้นที่ลึกลับอย่างยิ่ง.
ดับผัสสะเสียได้ หมายความว่า มี“สติ”มาทัน มี“วิชชา”มาทัน ไม่เกิดยึดถือว่าผัสสะเป็นตัวตน หรือผัสสะของตน นั่นเรียกว่าผัสสะนั้นมันจะสลายไป ไม่มีความหมาย เหมือนกับเป็นการดับแห่งผัสสะ ถ้าผัสสะดับแล้ว เวทนาก็ไม่มี ตัณหาก็ไม่มี อุปาทานก็ไม่มี...ตัวตนก็ไม่มีสำหรับจะรับผลกรรม.❞
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “ความสิ้นกรรมและไวพจน์ของนิพพาน” ณ ลานหินโค้ง เมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗
มองดูจิตตนเองด้วยสติสัมปชัญญะทุกอิริยาบถ
คนส่วนมากมันไม่มองดูจิตใจตัวเอง
มีแต่ "ผู้ภาวนา" เท่านั้นที่จะมองเห็นจิตใจตัวเอง
จะควบคุมจิตของตนเองเสมอๆ ไป
ผู้ภาวนามันต้องเป็นอย่างนั้น
ไม่ว่ากลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน
ก็ต้องมี "สติสัมปชัญญะ"
ควบคุมจิต ประคองจิตที่เป็นปกติอยู่แล้ว
ให้เป็นปกติสม่ำเสมอไป
อย่าให้มันขึ้นลงสูงต่ำไปตามอารมณ์ภายนอกต่างๆนั้นนะ
ให้มันตั้งมั่นอยู่ใน "พุทโธคุณ" อย่างเดียว
ผู้ใดนึกพุทโธเป็นอารมณ์
ก็ให้ใจมันตั้งมั่นอยู่ในพุทโธคุณอันนั้น
# หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย#
ทั้งรูป ทั้งนาม #สิ่งทั้งหลายที่จิตไปคิดทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด
เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามเป็นจริง ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของหลอกลวง สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า #จิตนี้ไม่มีอะไร ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายตามใคร จิตเป็นเสรี รุ่งโรจน์โชติการ #ไม่มีเรื่องราวต่างๆเข้าไปอยู่ในที่นั้น ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง หลงอัตตานี่เอง
พระศาสดาจึงให้มองดูจิตของเรา เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย ถูกอารมณ์ดีมากระทบ ก็มิได้ดีด้วย ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบ ก็มิได้ร้ายด้วย เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจนแล้ว รู้ว่าสภาวะเหล่านี้ ไม่เป็นแก่นสาร
ท่านเห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านให้รอบรู้ของท่านอยู่อย่างนี้..."
กุญแจภาวนา
หลวงพ่อชา สุภัทโท
อาตมาติดตรงจิตผู้รู้อยู่เป็นสิบๆ ปี "
ตอนวัยรุ่นอายุ 17-18 อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา
เบื่อเพื่อน เบื่อความวุ่นวาย เบื่อการเที่ยว
รู้สึกเบื่อขึ้นมาก็เลยอยากอยู่คนเดียว
อยู่คนเดียว ก็อยู่บ้าน ก็ไม่ได้ทำอะไร
.
ก็เลยภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ ไปถึงจุดหนึ่ง
อยู่ดีๆ พุทโธ มันหายไป เหลือแต่ตัวรู้ความรู้สึกตัว
แล้วก็เหลือแต่ตัวรู้ขึ้นมา กายมันหลับไป
แต่จิตมันก็ตื่นรู้อยู่อย่างนั้นแหละ
ก็เลยเข้าใจเรื่องของตัวรู้ ตอนนั้นยังไม่รู้มันคืออะไรหรอก
แต่รู้ว่ามันสงบแล้วก็จะรู้สึกว่าเรานี่อยู่กับโลกยากแล้วนะ
.
เริ่มเห็นโทษภัยของความคิด ความปรุงแต่งว่ามันทุกข์จริงๆ
ก็ใช้เวลาปรับตัว เลยเริ่มศึกษาธรรมะเพราะสนใจสภาวะนิพพาน
ของหลวงพ่อพุทธทาส ของครูบาอาจารย์ต่างๆ
.
เมื่อมีโอกาสได้มาบวชที่วัดมเหยงค์ หลวงพ่อท่านก็สอนวิปัสสนา
สอนจิตผู้รู้บ้าง ก็เลยเข้าใจเลย เพราะว่าเราอยู่กับสภาวะนี้มา
ตัวรู้เนี่ยเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
.
หลวงพ่อก็ให้อยู่กับตัวรู้มาเรื่อยๆ แล้วก็ได้เรียนบาลีจนถึงประโยค 7
ศึกษาด้วย ทำงานที่วัดด้วย
จนรู้สึกว่าพอแล้วอยากจะปฏิบัติอย่างเต็มที่
ก็เลยขอหลวงพ่อเข้ากรรมฐาน หลวงพ่อก็อนุญาตฝึกปฏิบัติ
ก็มาติดตรงจิตผู้รู้เหมือนเดิม ตั้งแต่ 17 จน 30 มั้ง
12-13 ปีนี้เข้าไปละเอียดมาก
.
แต่ไม่รู้ไปยังไงต่อ ทีนี้พอฟังเวลาหลวงพ่อบรรยายธรรม
หลวงพ่อจะยกพระสูตรขึ้นมา พอเราฟังรู้สึกมันดื่มด่ำมาก
แล้วยิ่งเราเรียนมาด้วยเราจะฟังแล้วเราเข้าใจหมด
จึงสนใจที่จะศึกษาพระไตรปิฎก
ก็เลยมาศึกษาในส่วนของอานาปานสติ 16 ขั้น
.
ก็มาเจอคำนี้แหละเมื่อจิตตั้งมั่น
พระพุทธองค์ก็ทรงสอนให้ยิ่งขึ้นไปว่า "เปลื้องจิต"
หรือทำจิตให้ปล่อยอยู่ พอเจอคำว่าเปลื้องจิต
อยู่ดีๆ มันเกิดความเบิกบาน
พอเบิกบานสภาวะทุกอย่างเกิดการแยกธาตุ แยกขันธ์
สรรพสิ่งแตกดับอยู่ท่ามกลางความว่าง
สภาวะนี้เกิดจากวิปัสสนาญาณ
หรือที่ภาษาพระเรียกว่า “ธรรมจักษุ” ปรากฏขึ้น
เห็นโลกในอีกแบบหนึ่งตามความเป็นจริง
ก็เลยรู้ว่ามีอะไรที่ต้องไปต่ออีกเยอะเลย
.
เลยทำให้ศึกษาอานาปานสติขั้นต่อไป ทำให้รู้ขั้นลำดับญาณ
เห็นความไม่เที่ยง เห็นความจางคลาย
จนปล่อยวางทุกสรรพสิ่ง เข้าถึงวิสังขาร
ภาวะที่มันไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีแต่ความบริสุทธิ์ เป็นภราดรภาพ
.
ถึงแม้ว่าความสุขในสมาธิจะประณีตแล้ว
ก็ยังมีการปรุงแต่งและมีความแปรปรวนอยู่
แต่ภาวะนี้ไม่มีความแปรปรวน ไม่มีความปรุงแต่ง
เป็นภราดรภาพ นี้แหละคือแก่นของพระพุทธศาสนา
.
โดยส่วนตัวมีประสบการณ์มาติดตัวนี้ 10 กว่าปี ก็เลยอยากที่จะแนะนำ
ซึ่งจากที่สอนญาติโยมมาก็พบว่าโยมเข้ามาติดตรงนี้เยอะ
พอผ่านได้แล้วมันก็ไปต่อได้อีกเยอะเลย
.
จากตอนนั้นย้อนกลับไปถึงตอนที่เป็นฆราวาส
เหมือนตอนนี้กลายเป็นคนละคนไปแล้ว
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า
เราจะอยู่ไปทำไม เป็นช่วงที่เรามีความสามารถ
แต่เราทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ
กลายเป็นการค้างคาอะไรหลายๆ อย่าง
และรู้สึกว่าเราไม่มีตัวตนอยู่ในโลก
.
พอมาถึงตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นสลายไปหมดแล้ว
เหลือแต่ความบริสุทธิ์ และมีใจที่อยากเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น
ให้เขาได้มีการตื่นรู้และพัฒนาตนเอง ให้เป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง
.
พอมีโอกาสได้ถ่ายทอดและแนะนำ แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถก้าวข้าม
หรือพัฒนาไปต่อได้ จึงเป็นที่มาของการถ่ายทอดธรรม
เรื่องของการถ่ายทอด “จิตสู่จิต”
เมื่อเกิดกระบวนการถ่ายทอดธรรมจากจิตสู่จิต
ผู้ปฏิบัติจะสามารถยกระดับสภาวธรรม
เข้าสู่สภาวะในระดับที่สูงขึ้นไปในแต่ละขั้นได้
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้
๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก
ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัวหรือรู้ “ตัว” อย่างเดียว
รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ “รู้อยู่เฉยๆ” ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม
เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไปคิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ
จากนั้น ค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอ รักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป
ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆ ไป
ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า “พุทโธ” หรือ คำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต
พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ด้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายยอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว
เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้
ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู้อารมณ์ทันที
เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกันที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ
เจตจำนงนี้ คือ ตัว “ศีล”
การบริกรรม “พุทโธ” เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป
แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
ดั้งนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดจน และความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ
เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย
เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย
เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเองเพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบ และคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ “พฤติแห่งจิต” ที่ฐานนั้นๆ
บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคอง รักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่เงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้ากิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต)
ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสาม คือ ราคะ โทสะ โมหะ
๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิตให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)
ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖
๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกายอยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ
คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด
๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติสังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจพฤติของจิตได้อย่างละเอียดลออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีสิ้นสุด มันเป็นมายา หลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้
คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณนั่นเอง
๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น
เรียกว่า “สมุจเฉทธรรมทั้งปวง”
๗. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า “พ้นเหตุเกิด”
๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร
เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรมจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)
เมื่อจิตว่างจาก “พฤติ” ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึงความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วจิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึมซาบอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า “นิพพาน”
โดยปกติ คำสอนธรรมมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นแบบ “ปริศนาธรรม” มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้น คำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า “พฤติของจิต” แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
คำว่า “ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต” เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่ายเข้าใจง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่
ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ “พฤติแห่งจิต” อยู่ตลอกเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลัง เพราะคำว่า “มรรคปฏิปทา” นั้น จะต้องอยู่ใน “มรรคจิต” เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย
การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีล วิสุทธิมรรค พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
กำลังใจที่เข้มแข็ง ไม่ใช่กำลังใจที่เคร่งเครียด
#หากแต่เป็นกำลังใจที่ปฏิบัติธรรมแบบสบายๆ
#แต่มีความต่อเนื่องอยู่ในจิตใจเป็นปกติ
#คำว่าต่อเนื่องจักต้องมีทั้งสมถะ และวิปัสสนาควบคู่กันไป
ความสุขและความทุกข์อันเกิดจากอายตนะสัมผัส
#จักต้องฉลาดนำมาเป็นกรรมฐานได้ตลอดเวลา
จิตจักต้องทรงสติให้ทรงตัว โดยโทษจิตตนเองเอาไว้เสมอๆ