"สติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก"
สติคือความระลึกรู้สึกตัวนั้น เป็นธรรมที่พาเราแล่นไปสู่วิมุตตินั้นได้ เมื่ออารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธเกิดขึ้นก็รู้ชัดว่าอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธเกิดขึ้น เมื่ออารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความพอใจไม่พอใจเกิดขึ้นก็รู้ชัดว่าอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความพอใจไม่พอใจเกิดขึ้น
เมื่ออารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความมีราคะเกิดขึ้นก็รู้ชัดว่าอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความมีราคะเกิดขึ้น เมื่ออารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลงเกิดขึ้นก็รู้ชัดว่าอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลงเกิดขึ้น เมื่อสติคือความระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้นมีอยู่ จิตก็ไม่เข้าไปผูกติดอยู่กับอารมณ์ เมื่อจิตไม่เข้าไปผูกติดอยู่กับอารมณ์อันใดๆ อันเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ อันเป็นที่ตั้งแห่งความพอใจไม่พอใจ
อันเป็นที่ตั้งแห่งความมีราคะ อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของสิ่งใดๆเกิดขึ้นก็ตาม ก็ไม่มีจิตผูกพันกับอารมณ์นั้นๆ การฝึกสติจึงมีคุณมากมีอานิสงส์มาก การที่เราเข้าไปถือเอาอารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์แห่งความพอใจไม่พอใจ
อารมณ์แห่งความมีราคะ อารมณ์แห่งความหลง อารมณ์อันใดๆเกิดขึ้นก็ตามว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา เมื่อถึงพร้อมในความเป็นอย่างนี้ ผู้โกรธก็ย่อมมี ผู้มีความพอใจไม่พอใจก็ย่อมมี ผู้มีราคะก็ย่อมมี ผู้หลงไหลไปตามอำนาจแห่งอารมณ์ก็ย่อมมี ก็เพราะจิตนั้นเองเข้าไปผูกพันในอารมณ์ เข้าไปยึดถือเอาแล้วซึ่งอารมณ์
เป็นผู้มีจิตฝั่งลงไปในอารมณ์ ถืออารมณ์ทั้งหลายนั้นเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเราดังนี้ เพราะเหตุนั้นเองความเพลิน ความพอใจ ความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์จึงตั้งอยู่ได้
ก็ใครเล่าจะไม่พลาดพลั้งเอาจิตไปผูกติดกับอารมณ์ นอกจากผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา ก็ผู้ใดแลสินความเพลิดเพลินแล้ว ก็ผู้นั้นแลเป็นผู้มีสติคือความระลึกตัวทั่วพร้อมไม่พลาดพลั้งเอาจิตไปผูกติดกับอารมณ์
ความเพลิดใดๆมีอยู่ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณใดๆมีอยู่ ความเพลินนั้นคืออุปาทาน เพราะอุปาทานนั้นเองเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพนั้นเองเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาตินั้นเองเป็นปัจจัย ชราและมรณะจึงเกิดขึ้นพร้อม เป็นอันว่ากองทุกข์นั้นตั้งอยู่ได้ด้วยอาการอย่างนี้
"พระพุทธภาษิตใน สังยุตตนิกาย ตรัสไว้ในตอนหนึ่งเป็นใจความว่า ธรรมทั้งหมด(ทั้งสภาวธรรม สัจจธรรม ปฏิปัตติธรรม และปฏิเวธธรรม) ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า ส่วนธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้นเท่ากับใบไม้เพียงกำเดียว จากใบไม้หมดทั้งป่านั้น, กล่าวคือ เฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ ในส่วนที่เป็นการปฏิบัติที่นั้นเอง. อีกแห่งหนึ่งตรัสไว้ในบาลี อลคัททูปมสูตร มัชฌิมนิกาย มีขอบเขตแคบเข้ามาอีก โดยตรัสว่า "ตถาคตกล่าวสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น." ในบาลี จูฬตัณหาสังเขยยสูตร มัชฌิมนิกาย ได้ตรัสไว้อย่างรัดกุมถึงที่สุด โดยตรัสไว้เป็นใจความว่า คำสอนของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น สรุปลงได้เป็นประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า "สพฺเพฺ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" ซึ่งแปลว่า “สิ่งทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่น ว่าเป็นตัวตนหรือของตน” ดังนี้.
จากพระพุทธภาษิตเหล่านี้ ทำให้เราสรุปความได้ว่า “ธรรม” ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น คือหลักความจริงที่ว่า
(๒.๑) ธรรมชาติทั้งปวง ทั้งที่เปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ใครจะไปถือเอาว่า เป็นตัวตนหรือเป็นของตน ไม่ได้,
(๒.๒) กฎของธรรมชาติมีอยู่อย่างเด็ดขาดว่า ถ้าไปยึดถือหรือมั่นหมายสิ่งใด ว่าเป็นตัวตนหรือของตนก็ตามเข้าแล้ว จะต้องเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ไม่โดยตรงก็โดยเร้นลับ,
(๒.๓) ดังนั้น หน้าที่ตามกฎธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติก็คือ กระทำสิ่งต่างๆ ที่ควรกระทำ และรับผลแห่งการกระทำนั้นๆไปโดยไม่ต้องมีความยึดถือว่าตัวตน หรือของตน ดังที่กล่าวแล้ว,
(๒.๔) เรามีชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ด้วยความยินยอมกันได้ทุกประการ โดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน เพราะไม่มีความยึดมั่นสิ่งใด โดยความเป็นของตนหรือเป็นตัวตนนั่นเอง.
นี้คือตัว “หลักธรรม” ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา และตรงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" แปลว่า “ธรรมทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น” ดังที่กล่าวมาแล้ว”
พุทธทาสภิกขุ
ปาฐกถาเรื่อง “สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป”
แสดงท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๙
ทุกข์ และ หนทางให้ถึง"ความดับแห่งทุกข์"( พระนิพพาน ) อยู่ในร่างกายของคนเป็นๆนี้
"พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในกายที่ยาววาหนึ่ง ที่มีสัญญาและใจ, คือร่างกายที่เป็นๆ ยังมีสัญญา มีใจ ในนั้นมีโลก มีเหตุให้เกิดโลก มีความดับโลก มีทางให้ถึงความดับโลก นั่นแหละ คือมันอยู่ที่ "อายตนะ"
ในกายที่เป็นๆ ของคนเป็นๆ มีอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สามารถในหน้าที่ของมัน. อายตนะทั้ง ๖ รู้สึกต่อโลก โลกจึงมี เพราะอายตนะมันรู้สึก, นี่เรียกว่าโลกมันอยู่ในอายตนะนั้น. ทีนี้ เหตุให้เกิดโลก คือ เกิดทุกข์ ก็เพราะอายตนะนั่นแหละ มันทำการปรุงแต่งให้เกิดโลก หรือเกิดกิเลส และเกิดทุกข์.
ทีนี้ การดับโลก ก็เพราะควบคุมอายตนะได้, ไม่ทำให้เกิดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เป็นทุกข์ ก็เรียกว่าความดับแห่งทุกข์ ก็เพราะว่าควบคุมอายตนะได้.
ทีนี้ ทางให้ถึงความดับแห่งโลกหรือทุกข์ ก็เพราะปฏิบัติถูกในทางอายตนะ,
ระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องในเรื่องของอายตนะนั่นแหละ คือ หนทาง..ให้ถึงความดับแห่งโลก หรือ ความดับแห่งทุกข์..."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง"ความลับของอายตนะเป็นสิ่งที่ต้องเปิดเผย" เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ จากหนังสือ ชุด"ธรรมโฆษณ์" เล่ม "ธรรมะในฐานะวิทยาศาสตร์"
#หมายเหตุ : ( ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ )
"อายตนะภายใน"
คือ ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้, แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน มี ๖ คือ...
๑.จักษุ-ตา ๒.โสตะ-หู ๓.ฆานะ-จมูก
๔.ชิวหา-ลิ้น ๕.กาย-กาย ๖.มโน-ใจ
เรียกอีกอย่างว่า "อินทรีย์ ๖" เพราะเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตนแต่ละอย่าง เช่น จักษุ เป็นเจ้าการ(เป็นใหญ่)ในการเห็น เป็นต้น
"อายตนะภายนอก"
คือ ที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้, แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน มี ๖ คือ...
๑.รูปะ = รูป,สิ่งที่เห็น หรือ วัณณะ คือ สี
๒.สัททะ = เสียง
๓.คันธะ = กลิ่น
๔.รสะ = รส
๕.โผฏฐัพพะ = สัมผัสทางกาย
๖.ธรรมารมณ์ = สิ่งที่ใจนึกคิด,อารมณ์ที่เกิดกับใจ
เรียกอีกอย่างว่า "อารมณ์ ๖" คือ เป็นสิ่งสำหรับให้จิตยึดหน่วง
--------------------------------------
อายตนะ ฝ่ายอสังขตะ คือ พระนิพพาน
"ภาวะแห่งความว่างจากกิเลสและความทุกข์นั้น เสมือนหนึ่งว่า..มันรอเราอยู่ตลอดนิรันดร เมื่อไรเราจะไปถึง ทีนี้ เรามัวโง่ คลานงุ่มง่ามอยู่ที่นี่ มันก็ไปไม่ถึง ความว่างหรือพระนิพพานนั้นก็รออยู่นั่นแหละ นี่มองให้เห็นว่า สิ่งนั้นมีอยู่; เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า..."อายตนะนั้นมีอยู่" ซึ่งมิใช่ ดิน น้ำ ลมไฟ, มิใช่อากาสานัญจายตนะ มิใช่อะไรหมด นั่นแหละ..ที่สุดแห่งความทุกข์ คือ "นิพพาน" เรียกว่า "อายตนะ"
ข้อนี้อาจจะไม่เข้าใจแก่คนบางคน เพราะว่าโดยทั่วไป เราสอน เราเรียน เราบอกกันแต่ "อายตนะฝ่ายสังขตะ" อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, อายตนะ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ มีอยู่ ๖ คู่นี้ เรียกว่า อายตนะ แต่อย่าลืมไปว่า นี้อายตนะฝ่ายสังขตะ ฝ่ายความทุกข์.
ทีนี้ อายตนะฝ่ายอสังขตะ คือ "พระนิพพาน" นั่นเอง ภาวะแห่งความว่างที่มีอยู่ ราวประหนึ่งว่า..รอเราอยู่ตลอดกาล นั้น เรียกว่า "อายตนะฝ่ายอสังขตะ"
ทำไมเรียกว่าอายตนะ? ก็เพราะว่า เป็นสิ่งที่จิตถึงได้ เป็นสิ่งที่ติดต่อได้ อายตนะ นี้แปลว่า "ติดต่อ"
ภาวะแห่งความว่างนิรันดร หรือ พระนิพพาน นั้น เป็นสิ่งที่จิตติดต่อได้ ฉะนั้น จึงเรียกว่าอายตนะเหมือนกัน ถ้าเรียนมาแต่ครึ่งเดียว ก็จะรู้จักแต่อายตนะฝ่ายสังขตะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ อย่างนี้เป็นฝ่ายความทุกข์
อายตนะ คือ พระนิพพาน นั้น แม้จะสูงสุด ละเอียด ประณีต สุขุม วิเศษ เท่าไร ก็ยังเป็นสิ่งที่จิตติดต่อได้ คือรู้สึกได้ อย่างในบาลี(พระไตรปิฎก)ว่า " วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ " อย่างนี้จิตนั้นได้ถึงวิสังขารเสียแล้ว คือจิตนั้นถึงพระนิพพาน หรือติดต่อพระนิพพานได้ ฉะนั้น พระนิพพานจึงเป็นสิ่งที่ติดต่อได้ เพราะฉะนั้น พระนิพพานจึงได้ชื่อว่าอายตนะ
คนที่เรียนนักธรรมมาแล้ว แม้เรียนนักธรรมเอกอาจจะไม่ได้ยินอย่างนี้ ฉะนั้น จำไว้ด้วยว่า "อายตนะ" นั้น เขาหมายแต่เพียงว่าติดต่อได้ก็แล้วกัน ถ้าเป็นชั้นอสังขตะก็ต้องติดต่อได้ด้วย"จิตที่หลุดพ้นแล้ว" ถ้าเป็นอายตนะประเภท สังขตะ ที่นี่ มันก็ติดต่ออยู่แล้วกับจิตที่ไม่หลุดพ้น จิตที่ไปพัวพันอยู่แล้ว
เรามานั่งดู ดู ดู เวลาที่จิตเป็นอิสระ มันก็ต้องถึงเข้ากับอายตนะนั้น อายตนะที่ว่างจากกิเลส อายตนะที่ว่างจากความทุกข์ หรือ ภาวะแห่งความว่างชนิดนั้น ก็รู้จักอายตนะนั้นคือพระนิพพานนั้น แม้ยังไม่เป็นการถาวร เราหวังอยู่ว่ามันจะเป็นการถาวรข้างหน้า นี่รู้จักอายตนะพวกสังขตะ และ รู้จักอายตนะพวกอสังขตะเสียทั้งสองฝ่าย ความเป็นสันทิฏฐิโกของเราก็จะมากขึ้น จะมากขึ้น เป็นที่น่าพอใจ"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สันทิฏฐิกธรรมของจตุราริยสัจจ์" เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๔ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม "สันทิฏฐิกธรรม"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ไขรหัส...ทางสู่ “นิพพาน”
“นิพพาน” คือ “ไม่ปรุง” นั่นเอง!
“ นิพพาน ” ในพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวสำหรับคนทั่วไปแล้ว พึงเข้าใจเถิดว่ามันตรงกันข้ามกับคำว่า “สังขาร” โดยบาลีว่า
“ สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา ” สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ” นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงได้ความว่า สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้น ก็คือไม่ปรุงนั่นเอง ( อสังขตธรรม, วิสังขาร )
ความปรุง คือ เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นความทุกข์
ความไม่ปรุง คือ มีสติปัญญาสูงถึงขนาดที่ตัดผ่าวงกลมนี้ได้ขาดกระจายออกไป ไม่ให้หมุนได้อีกต่อไป คือไม่เป็นสังสารวัฏฏ์ ( วิวัฏฏะ ) อย่างนี้เรียกว่า ไม่ปรุง
เกิดมาเพื่อหยุดเสียซึ่งสังสารวัฏฏ์ ให้ถึงที่สุดของความทุกข์ คือไม่มีทุกข์เลย นี่เรียกว่า นิพพาน อย่างนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลึกลับมหัศจรรย์เหลือวิสัยของคน”
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง “เกิดมาเพื่อเดินทาง”
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๘
-------------------------------
คำว่า “ธรรมทั้งปวง” แยกได้เป็น ๒ อย่าง คือ
๑.#สังขตธรรม_ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่มีปัจจัยหรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่งสรรค์ขึ้น สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า หรือสิ่งที่ปรากฎและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"สังขาร' ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน หมายถึงสภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ ทั้งที่ดีที่ชั่วและที่เป็นกลางๆทั้งหมด เว้นแต่ นิพพาน
๒.#อสังขตธรรม_ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่ไม่มีปัจจัยหรือสภาวะไม่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า'วิสังขาร' ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน นั่นเอง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป.อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ไตรลักษณ์”
-------------------------------------------
"นิพพาน" เป็น "อนัตตา" ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
"พุทธศาสนาสอนให้เห็นทุกอย่างโดยความเป็นธาตุ, เป็นสักว่าธาตุ, ไม่มีส่วนใดที่จะถือว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตัวตน เรา เขา. พุทธศาสนามุ่งจะให้เห็น"อนัตตา" คือเห็นว่ามันไม่มีตัว ไม่มีตน สัตว์ บุคคล อะไร, มีแต่สิ่งที่เรียกว่า"ธาตุ"
ทีนี้ ในบรรดาธาตุทั้งหลายนั้น จะมีกี่สิบอย่าง กี่ร้อยอย่าง ก็สุดแท้; แต่สรุปแล้วมันก็มีเพียง ๒ อย่าง คือ "สังขตธาตุ" กับ "อสังขตธาตุ"
โดยสรุปย่อ "สังขตธาตุ" ก็คือ สิ่งที่มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ทำให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีที่สิ้นสุด มันมีตัวมันเองเป็นความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง, อะไรประกอบกันเข้าเป็นสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม ก็เรียกว่า"ธาตุ"ทั้งนั้น. ฉะนั้น สังขตธาตุจึงมีมากมายหลายสิบหลายร้อยอย่าง เรียกว่าสังขตธาตุเพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง นี้ก็เรียกว่า"ธาตุ"เท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา.
ทีนี้อย่างที่สองเรียก "อสังขตธาตุ" นั้น คือตรงกันข้าม สิ่งนี้ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง, แล้วก็ไม่ปรุงแต่งสิ่งใด มันตรงกันข้ามกับสังขตธาตุ โดยประการทั้งปวง. บางทีก็เรียกว่า"นิโรธธาตุ" ธาตุเป็นที่ดับแห่งธาตุทั้งหลาย, บางทีก็เรียกว่า"นิพพานธาตุ" ธาตุเป็นที่ดับเย็นสนิท อย่างนี้ก็มี ; เรียกกันอย่างรัดกุมก็ควรจะเรียกว่า "อสังขตธาตุ" คือ ธาตุที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง, ทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มันจึงไม่เปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ดูน่าเกลียด แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นสักแต่ว่าธาตุ.
สังขตธาตุ ก็เป็นแต่สักว่าธาตุ, อสังขตธาตุ ก็เป็นแต่สักว่าธาตุ ; เพราะฉะนั้นมันจึงมีแต่"อนัตตา", สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นถูก ; แต่ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นถูกกว่า คือว่า สังขารก็ตาม วิสังขารก็ตาม หมายความว่า ที่เป็นสังขารก็ตาม ที่เป็นวิสังขารก็ตาม เป็นอนัตตาด้วย ; ส่วนที่ไม่เที่ยงที่เป็นทุกข์นั้น มันเป็นแต่พวกที่เป็นสังขาร หรือเป็นสังขตธาตุ ฉะนั้น เราจึงกล่าวได้โดยสรุปท้ายในที่สุดว่า จะเป็นธาตุชนิดไหนมันก็ล้วนแต่สักว่าธาตุ, ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อะไรนี้.
ฉะนั้น จึงไม่ถือว่านิพพานนั้นเป็นอัตตา แม้ว่าจะมีคนบางคน ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า นิพพานเป็นอัตตาอะไรก็ตามใจเขา, ไม่จำเป็นจะต้องไปเถียงกัน, และนี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้ชัดว่า ที่เป็นสังขตะก็เป็นเพียงสักว่าธาตุ, ที่เป็นอสังขตะก็เป็นเพียงสักว่าธาตุ. ฉะนั้น เมื่อเป็นเพียงสักว่าธาตุแล้วก็เป็นตัวตนไปไม่ได้ ; ดังนั้น จึงเป็นอนัตตา. ความรู้นี้ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส แต่เป็นที่ดับแห่งกิเลส ; ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสก็ไม่อาจจะทำกรรม ดังนั้น ก็ไม่มีกรรม ไม่มีผลกรรม ด้วยอำนาจของความรู้ข้อนี้. นี้คือตัวพระพุทธศาสนา.
พุทธทาสภิกขุ
บรรยายธรรมหัวข้อ"เรื่องเกี่ยวกับธาตุ"
ธรรมบรรยายชุด"ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา"
เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๑๗
----------------------------------------
เตสํ วูปสโม สุโข : สงบสังขารเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง
เตสํ วูปสโม สุโข : สงบสังขารเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง ไม่ใช่หมายถึงความตาย นั่นภาษาคนโง่พูด ว่านอนอยู่ในโลง นั่นคือสงบสังขารเสียได้ เป็นภาษาชาวบ้าน ภาษาคน.
ภาษาธรรมะ สงบสังขารเสียได้ นั่นคือหยุดการปรุงแต่งเสียได้ ไม่ปรุงแต่งกายสังขาร ไม่ปรุงแต่งวจีสังขาร ไม่ปรุงแต่งมโนสังขาร ทั้งชนิดบาป บุญ อเนญชา, ไม่ว่าชนิดไหนหมด ไม่มีการปรุง, มีหัวใจรวมอยู่ที่ดับแห่งความผัสสะเสียได้ แล้วก็ไม่มีการปรุง ก็เรียกว่าสงบแห่งสังขาร สงบแห่งสังขารคือหยุดการปรุง นี่ก็เป็นไวพจน์แห่ง "พระนิพพาน"
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง"ความสิ้นกรรมและไวพจน์ของนิพพาน"
ณ ลานหินโค้ง ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗
------------------------------
"หยุด"ความทุกข์ ในกระแส"ปฏิจจสมุปบาท"
ความรู้สึกว่า "ตัวกู-ของกู" นี้ เรียกว่า "อุปาทาน" เกิดมาจากตัณหา ตัณหาปรุงเป็นอุปาทาน
ถ้าปฏิจจสมุปบาทได้ส่งทยอยกันมาจนถึงตัณหาอุปาทานแล้ว มันก็เป็นมูลเหตุของความทุกข์ได้โดยสมบูรณ์แล้ว นี้แปลว่า เดี๋ยวนี้เชื้อโรคฟักตัวเต็มที่แล้ว เชื้อโรคที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะของผัสสะหรือเวทนานั้น เมื่อมาถึงขั้นของตัณหาอุปาทานนี้ มันฟักตัวเต็มที่ถึงขนาดจะเป็นอาการของโรคโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะว่าหลังจากอุปาทานก็มีภพ "อุปาทานทำให้เกิดภพ"
"ภพ" แปลว่า ความมี-ความเป็น ความมี-ความเป็นของอะไร? ก็ของตัวกู และของกูนั่นเอง
"กรรมภพ" ก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิดตัวกูและของกู ถ้าเรียกว่า “ภพ” เฉยๆ ก็คือ ภาวะแห่งตัวกูเต็มที่ เป็นโรคเต็มที่
ภพให้เกิดชาติ ก็หมายความว่า ความเต็มที่นั้นมันแสดงออกมาเป็นชาติ คือ ความเกิด นี้ "ตัวกู"ได้เกิดออกมาแล้ว เป็นความทุกข์ เป็นความแก่ ความตาย โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส มากมายเหลือที่จะจาระไนอาการ แต่รวมเรียกว่า "เป็นทุกข์"
ขณะนี้ก็คืออาการที่เรากำลังเจ็บปวด ทุรนทุรายอยู่ด้วยผลของโรค นี้เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ได้เป็นมา ได้ทยอยกันมา จนถึงกับเกิดโรค หรือ เกิดทุกข์
ในทางปฏิบัติ เราหยุดมันเสียให้ได้ ตรงที่ไม่ให้ผัสสะปรุงเวทนา หรือถ้าพลาดตรงนั้นก็ให้มาทำตรงที่ไม่ให้เวทนาปรุงเป็นตัณหา หลังจากนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราพยายามมีธรรมะกันให้ได้ตรงที่...ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่นนี้ โดยที่เราศึกษาอบรมกันอยู่เป็นประจำในข้อที่ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" แปลว่า คนธรรมดาเขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นี้ เป็นทางที่เดินกันจนเตียนโล่งไปหมด เดินง่ายที่สุด
แต่เราไม่เอาอย่างนั้น พอมีผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับเดินไปในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทาง "ตัวกู-ของกู" อย่างนี้ไม่มีทุกข์เลยทุกวันทุกคืนจะไม่มีทุกข์เลย แล้วถ้าทำได้เก่ง คือทำไปตามวิธีที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้ในตัวเอง
ถ้าเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้ากล่าว มันก็มีหลักง่ายๆ คือหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก ชื่อ "พาหิยะ" ว่า...
“ดูกร พาหิยะ เมื่อใดเธอได้เห็นรูป สักว่าตาเห็น ได้ฟังเสียง สักว่าหูได้ยิน ได้ดมกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ชิม ได้สัมผัสผิวหนัง ก็สักแต่ว่า เป็นการกระทบทางผิวหนัง จะคิดนึกขึ้นมาในใจ ก็สักแต่ว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้นตัวเธอจักไม่มี (คือ ตัวกูไม่มี) เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้น หรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มี นั่นแหละคือที่ สิ้นสุดของความทุกข์ นั่นแหละคือนิพพาน”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ รวบรวม. ##
ผู้ที่คุ้นเคยกับการสังเกตจิตเท่านั้น ที่จะเข้าใจธรรมะได้ดี
"การสนใจสังเกตพินิจพิจารณาอยู่เสมอ ทุกคราวที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับใจ ที่เป็นความทุกข์หรือเป็นความสุขก็ตาม
ผู้ที่มีความคุ้นเคยกับการสังเกตในเรื่องทางจิตใจเท่านั้นที่จะเข้าใจธรรมะได้ดี
ผู้ที่เพียงแต่อ่านๆ ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้. บางทียิ่งไปกว่านั้นก็คือจะเฝือ.
แต่ถ้าเป็นผู้ที่พยายามสังเกตเรื่องเกี่ยวกับจิตใจของตัวเอง โดยเอาเรื่องจริงในใจของตัวเองเป็นเกณฑ์อยู่เสมอแล้ว ไม่มีทางที่จะฟั่นเฝือ; จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ความทุกข์และความดับทุกข์ได้ดี."
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมกถาเรื่อง "ความว่าง"
เมื่อ ๗ มกราคม ๒๕๐๕
จากหนังสือ "แก่นพุทธศาสน์"
----------------------------------------
พราก "จิต" ออกมาเสีย จากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
“ไม่มีอะไรนอกไปจาก“จิต”
ในบรรดาสิ่งที่เรียกว่า“โลก”นี้
เพราะ“จิต”เท่านั้น ที่จะรู้สึกต่อสิ่งนั้น
แล้วสิ่งนั้น มันรู้สึกทาง“จิต”
ไม่มีอะไรที่จะรู้สึกได้นอกจากทาง“จิต”
เขาจึงพูดอย่างรวบรัดทั้งหมดโดยสิ้นเชิงว่า
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ นอกจากสิ่งที่“จิต”รู้
ถ้าไม่มี“จิต”เสียอย่างเดียว “โลก”นี้ก็ไม่มี.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย“สติปัฏฐาน ๔ ประยุกต์” เมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๙
-------------------------------
"จิต"นั่นเอง ! กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม
จงพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
"จงเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิต ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ..ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มี"ตัวเรา" คือนึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ ไม่ต้องมี"ตัวเรา"สำหรับจะเอานั่นเอานี่ ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่า"ตัวตน"เท่าที่มีอยู่จริงๆในเวลานี้ ก็ทนไม่ไหวแล้ว. เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว.
จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่ว่า เมื่อดูกันเข้าจริงๆ ก็เห็นมีแต่ "จิต นั่นเอง ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม" ทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น.
ถ้าเอาสิ่งที่ที่ครอบงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก็ไม่มีที่จิตอีกต่อไป. ไม่ต้องมี"ตัวเรา"อะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์....การทำอย่างนี้จะเป็นการเร็วมาก เป็นการเคลื่อนไปโดยเร็ว อาจจะทันกับเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ที่พวกเราในที่นี้จะต้องตายก็ได้....
ความมุ่งหมายของพุทธศาสนา สอนให้มนุษย์มีใจสูงถึงขั้น "เหนือโลก" หรือหลุดพ้นจากเครื่องพัวพันทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พุทธศาสนามีระดับสูงกว่าศาสนาอื่น อันมีความสูงเพียงขั้นศีลธรรม
ฉะนั้น ความปรารถนาในการ "พรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง" จึงเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา....
การตัดลัดเพ่งตรงไปยังภาวะที่ "ปราศจากความยึดถือของจิต" เช่นนี้ ย่อมจะพบความจริงได้ง่ายและเร็วกว่าที่จะมาตั้งพิธีใหญ่โต ตั้งต้นไล่กันไปตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งจาระไนได้เป็นร้อยๆ พันๆ ชนิด....
...พุทธศาสนาอย่างเก่าแท้ ซึ่งมีแต่สอนให้ชำระจิตให้หมดจดจากสิ่งห่อหุ้มเป็นข้อสำคัญ และอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพุทธศาสนา ที่ผิดแผกไปจากศาสนาอื่นๆในโลก
ฉะนั้น ถ้าเราพบวิธีที่ว่า ทำอย่างไรความยึดถือว่า"ตัวตน"(ตัวกู-ของกู)จะหมดไปได้แล้ว นั่นก็คือ...วิธีลัดสั้นที่สุด"
พุทธทาสภิกขุ
ปาฐกถาธรรม "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม"
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๑
ที่ "พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย"
# ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ รวบรวม #
ไขรหัส...ทางสู่ “นิพพาน”
“นิพพาน” คือ “ไม่ปรุง” นั่นเอง!
“ นิพพาน ” ในพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวสำหรับคนทั่วไปแล้ว พึงเข้าใจเถิดว่ามันตรงกันข้ามกับคำว่า “สังขาร” โดยบาลีว่า
“ สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา ” สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ” นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงได้ความว่า สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้น ก็คือไม่ปรุงนั่นเอง ( อสังขตธรรม, วิสังขาร )
ความปรุง คือ เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นความทุกข์
ความไม่ปรุง คือ มีสติปัญญาสูงถึงขนาดที่ตัดผ่าวงกลมนี้ได้ขาดกระจายออกไป ไม่ให้หมุนได้อีกต่อไป คือไม่เป็นสังสารวัฏฏ์ ( วิวัฏฏะ ) อย่างนี้เรียกว่า ไม่ปรุง
เกิดมาเพื่อหยุดเสียซึ่งสังสารวัฏฏ์ ให้ถึงที่สุดของความทุกข์ คือไม่มีทุกข์เลย นี่เรียกว่า นิพพาน อย่างนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลึกลับมหัศจรรย์เหลือวิสัยของคน”
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง “เกิดมาเพื่อเดินทาง”
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๘
-------------------------------
คำว่า “ธรรมทั้งปวง” แยกได้เป็น ๒ อย่าง คือ
๑.#สังขตธรรม_ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่มีปัจจัยหรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่งสรรค์ขึ้น สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า หรือสิ่งที่ปรากฎและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"สังขาร' ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน หมายถึงสภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ ทั้งที่ดีที่ชั่วและที่เป็นกลางๆทั้งหมด เว้นแต่ นิพพาน
๒.#อสังขตธรรม_ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่ไม่มีปัจจัยหรือสภาวะไม่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า'วิสังขาร' ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน นั่นเอง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป.อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ไตรลักษณ์”
-------------------------------------------
"นิพพาน" เป็น "อนัตตา" ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
"พุทธศาสนาสอนให้เห็นทุกอย่างโดยความเป็นธาตุ, เป็นสักว่าธาตุ, ไม่มีส่วนใดที่จะถือว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตัวตน เรา เขา. พุทธศาสนามุ่งจะให้เห็น"อนัตตา" คือเห็นว่ามันไม่มีตัว ไม่มีตน สัตว์ บุคคล อะไร, มีแต่สิ่งที่เรียกว่า"ธาตุ"
ทีนี้ ในบรรดาธาตุทั้งหลายนั้น จะมีกี่สิบอย่าง กี่ร้อยอย่าง ก็สุดแท้; แต่สรุปแล้วมันก็มีเพียง ๒ อย่าง คือ "สังขตธาตุ" กับ "อสังขตธาตุ"
โดยสรุปย่อ "สังขตธาตุ" ก็คือ สิ่งที่มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ทำให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีที่สิ้นสุด มันมีตัวมันเองเป็นความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง, อะไรประกอบกันเข้าเป็นสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม ก็เรียกว่า"ธาตุ"ทั้งนั้น. ฉะนั้น สังขตธาตุจึงมีมากมายหลายสิบหลายร้อยอย่าง เรียกว่าสังขตธาตุเพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง นี้ก็เรียกว่า"ธาตุ"เท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา.
ทีนี้อย่างที่สองเรียก "อสังขตธาตุ" นั้น คือตรงกันข้าม สิ่งนี้ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง, แล้วก็ไม่ปรุงแต่งสิ่งใด มันตรงกันข้ามกับสังขตธาตุ โดยประการทั้งปวง. บางทีก็เรียกว่า"นิโรธธาตุ" ธาตุเป็นที่ดับแห่งธาตุทั้งหลาย, บางทีก็เรียกว่า"นิพพานธาตุ" ธาตุเป็นที่ดับเย็นสนิท อย่างนี้ก็มี ; เรียกกันอย่างรัดกุมก็ควรจะเรียกว่า "อสังขตธาตุ" คือ ธาตุที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง, ทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มันจึงไม่เปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ดูน่าเกลียด แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นสักแต่ว่าธาตุ.
สังขตธาตุ ก็เป็นแต่สักว่าธาตุ, อสังขตธาตุ ก็เป็นแต่สักว่าธาตุ ; เพราะฉะนั้นมันจึงมีแต่"อนัตตา", สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นถูก ; แต่ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตานั้นถูกกว่า คือว่า สังขารก็ตาม วิสังขารก็ตาม หมายความว่า ที่เป็นสังขารก็ตาม ที่เป็นวิสังขารก็ตาม เป็นอนัตตาด้วย ; ส่วนที่ไม่เที่ยงที่เป็นทุกข์นั้น มันเป็นแต่พวกที่เป็นสังขาร หรือเป็นสังขตธาตุ ฉะนั้น เราจึงกล่าวได้โดยสรุปท้ายในที่สุดว่า จะเป็นธาตุชนิดไหนมันก็ล้วนแต่สักว่าธาตุ, ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อะไรนี้.
ฉะนั้น จึงไม่ถือว่านิพพานนั้นเป็นอัตตา แม้ว่าจะมีคนบางคน ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า นิพพานเป็นอัตตาอะไรก็ตามใจเขา, ไม่จำเป็นจะต้องไปเถียงกัน, และนี้ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้ชัดว่า ที่เป็นสังขตะก็เป็นเพียงสักว่าธาตุ, ที่เป็นอสังขตะก็เป็นเพียงสักว่าธาตุ. ฉะนั้น เมื่อเป็นเพียงสักว่าธาตุแล้วก็เป็นตัวตนไปไม่ได้ ; ดังนั้น จึงเป็นอนัตตา. ความรู้นี้ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส แต่เป็นที่ดับแห่งกิเลส ; ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสก็ไม่อาจจะทำกรรม ดังนั้น ก็ไม่มีกรรม ไม่มีผลกรรม ด้วยอำนาจของความรู้ข้อนี้. นี้คือตัวพระพุทธศาสนา.
พุทธทาสภิกขุ
บรรยายธรรมหัวข้อ"เรื่องเกี่ยวกับธาตุ"
ธรรมบรรยายชุด"ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา"
เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๑๗
----------------------------------------
เตสํ วูปสโม สุโข : สงบสังขารเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง
เตสํ วูปสโม สุโข : สงบสังขารเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง ไม่ใช่หมายถึงความตาย นั่นภาษาคนโง่พูด ว่านอนอยู่ในโลง นั่นคือสงบสังขารเสียได้ เป็นภาษาชาวบ้าน ภาษาคน.
ภาษาธรรมะ สงบสังขารเสียได้ นั่นคือหยุดการปรุงแต่งเสียได้ ไม่ปรุงแต่งกายสังขาร ไม่ปรุงแต่งวจีสังขาร ไม่ปรุงแต่งมโนสังขาร ทั้งชนิดบาป บุญ อเนญชา, ไม่ว่าชนิดไหนหมด ไม่มีการปรุง, มีหัวใจรวมอยู่ที่ดับแห่งความผัสสะเสียได้ แล้วก็ไม่มีการปรุง ก็เรียกว่าสงบแห่งสังขาร สงบแห่งสังขารคือหยุดการปรุง นี่ก็เป็นไวพจน์แห่ง "พระนิพพาน"
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง"ความสิ้นกรรมและไวพจน์ของนิพพาน"
ณ ลานหินโค้ง ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗
------------------------------
"หยุด"ความทุกข์ ในกระแส"ปฏิจจสมุปบาท"
ความรู้สึกว่า "ตัวกู-ของกู" นี้ เรียกว่า "อุปาทาน" เกิดมาจากตัณหา ตัณหาปรุงเป็นอุปาทาน
ถ้าปฏิจจสมุปบาทได้ส่งทยอยกันมาจนถึงตัณหาอุปาทานแล้ว มันก็เป็นมูลเหตุของความทุกข์ได้โดยสมบูรณ์แล้ว นี้แปลว่า เดี๋ยวนี้เชื้อโรคฟักตัวเต็มที่แล้ว เชื้อโรคที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะของผัสสะหรือเวทนานั้น เมื่อมาถึงขั้นของตัณหาอุปาทานนี้ มันฟักตัวเต็มที่ถึงขนาดจะเป็นอาการของโรคโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะว่าหลังจากอุปาทานก็มีภพ "อุปาทานทำให้เกิดภพ"
"ภพ" แปลว่า ความมี-ความเป็น ความมี-ความเป็นของอะไร? ก็ของตัวกู และของกูนั่นเอง
"กรรมภพ" ก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิดตัวกูและของกู ถ้าเรียกว่า “ภพ” เฉยๆ ก็คือ ภาวะแห่งตัวกูเต็มที่ เป็นโรคเต็มที่
ภพให้เกิดชาติ ก็หมายความว่า ความเต็มที่นั้นมันแสดงออกมาเป็นชาติ คือ ความเกิด นี้ "ตัวกู"ได้เกิดออกมาแล้ว เป็นความทุกข์ เป็นความแก่ ความตาย โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส มากมายเหลือที่จะจาระไนอาการ แต่รวมเรียกว่า "เป็นทุกข์"
ขณะนี้ก็คืออาการที่เรากำลังเจ็บปวด ทุรนทุรายอยู่ด้วยผลของโรค นี้เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ได้เป็นมา ได้ทยอยกันมา จนถึงกับเกิดโรค หรือ เกิดทุกข์
ในทางปฏิบัติ เราหยุดมันเสียให้ได้ ตรงที่ไม่ให้ผัสสะปรุงเวทนา หรือถ้าพลาดตรงนั้นก็ให้มาทำตรงที่ไม่ให้เวทนาปรุงเป็นตัณหา หลังจากนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราพยายามมีธรรมะกันให้ได้ตรงที่...ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่นนี้ โดยที่เราศึกษาอบรมกันอยู่เป็นประจำในข้อที่ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" แปลว่า คนธรรมดาเขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นี้ เป็นทางที่เดินกันจนเตียนโล่งไปหมด เดินง่ายที่สุด
แต่เราไม่เอาอย่างนั้น พอมีผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับเดินไปในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทาง "ตัวกู-ของกู" อย่างนี้ไม่มีทุกข์เลยทุกวันทุกคืนจะไม่มีทุกข์เลย แล้วถ้าทำได้เก่ง คือทำไปตามวิธีที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้ในตัวเอง
ถ้าเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้ากล่าว มันก็มีหลักง่ายๆ คือหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก ชื่อ "พาหิยะ" ว่า...
“ดูกร พาหิยะ เมื่อใดเธอได้เห็นรูป สักว่าตาเห็น ได้ฟังเสียง สักว่าหูได้ยิน ได้ดมกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ชิม ได้สัมผัสผิวหนัง ก็สักแต่ว่า เป็นการกระทบทางผิวหนัง จะคิดนึกขึ้นมาในใจ ก็สักแต่ว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้นตัวเธอจักไม่มี (คือ ตัวกูไม่มี) เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้น หรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มี นั่นแหละคือที่ สิ้นสุดของความทุกข์ นั่นแหละคือนิพพาน”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ รวบรวม. ##
“วัฏสงสาร” ที่เป็น“สันทิฏฐิโก” อันบุคคลเห็นได้ด้วยตนเอง
“วัฏสงสารก่อนตาย ในคนที่ยังเป็นๆอยู่นี่ เราบอกวัฏสงสารนี้เป็น “สันทิฏฐิโก” ที่จริงกว่า จำเป็นกว่า วัฏสงสารนี้อยู่ในจิตใจในบุคคล
คือ เมื่อบุคคลอยากอะไร มันเป็น “กิเลส”
เมื่อบุคคลทำอะไรลงไปตามความอยากนี้ มันเป็น “กรรม”
กรรม มันก็เกิด“ผล”ที่บุคคลได้รับอยู่
นี่ วัฏสงสาร ที่วนเวียนอยู่ในจิตใจของคน
วันแล้ว วันเล่า เดือนแล้ว เดือนเล่า เป็นรอบๆ
วันหนึ่งอาจจะมีวัฏสงสารหลายรอบ เราชี้อย่างนี้...
วัฏสงสาร ที่ร้ายกาจ ที่รุนแรง ที่เป็นปัญหามาก ว่ามันอยู่ที่ความอยาก แล้วกระทำตามความอยาก และได้ผลขึ้นมา แล้วมันทำให้อยากต่อไปอีก นี่อย่างนี้...
ทุกเรื่อง ต้องชี้ลงไปยังจิตใจของบุคคล จึงเป็นสันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง “ไขข้อข้องใจ..ทำไมจึงแตกต่าง” บรรยายธรรมในลักษณะ ถาม-ตอบ ในวาระที่ ๑ วันล้ออายุ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๓ จากหนังสือ “ธรรมะน้ำ ล้างธรรมะโคลน” หน้า ๗๒
หมายเหตุ : ( ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ )
“ สันทิฏฐิโก ” มีความหมายว่า “อันบุคคลเห็นได้ด้วยตนเอง” เห็นเองรู้เอง ประจักษ์แจ้งกับตนเอง
---------------------------------------
" วัฏฏสงสาร "
"เมื่อพูดกันตามความจริงขั้นที่เด็ดขาดถึงที่สุด ซึ่งเรียกว่าขั้น"ปรมัตถ์"แล้ว คนเราจะเอาอะไร เป็นอะไร ไม่ได้เลย
เพราะเหตุใด? เพราะเหตุว่า ทั้งคนที่จะเอา และสิ่งที่ถูกเอานั้น มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ด้วยกันทั้งนั้น แต่คนที่ไม่รู้เช่นนั้น ย่อมจะต้องมีความรู้สึกว่า "เราเอา" "เรามี" "เราเป็น" เป็นธรรมดา นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้
ความรู้สึกว่าเอา ว่าเป็น นั่นเอง ได้ทำให้เกิดมีความหนักใจหรือความทุกข์ขึ้นมา การเอา การเป็น ก็เป็น"ความอยาก"อย่างหนึ่ง คืออยากไม่ให้สิ่งที่ตนกำลังเอา กำลังเป็นอยู่นั้นสูญหายหลุดลอยไป ความทุกข์เกิดมาจาก ความอยากมี อยากเป็น อันรวมเรียกสั้นๆว่า "ความอยาก" ซึ่งเรียกโดยภาษาบาลีว่า "ตัณหา"
การที่อยากก็เพราะไม่รู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรอยาก มันเป็นความเข้าใจผิดติดตามมาตามสัญชาตญาณ เกิดมาตั้งแต่เด็กๆก็รู้จักอยาก แล้วก็เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ซึ่งตรงตามที่อยากก็มี ไม่ตรงก็มี ถ้าได้ผลตรงตามที่อยาก ก็เกิดอยากให้มากขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ผลตรงตามที่อยาก ก็ต้องดิ้นรนทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป จนกว่าจะได้ผลตรงตามที่อยาก เมื่อทำลงไปมันก็ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง วนเวียนเป็นวงกลม กิเลส - การกระทำ(กรรม) - ผล(วิบาก) อยู่อย่างนี้ เรียกว่า "วัฏฏสงสาร"
คำว่า"วัฏฏสงสาร"นั้นอย่าเพ่อไปเข้าใจว่า เป็นเรื่องการเวียนวน ชาติโน้น ชาตินี้ ชาตินั้น แต่อย่างเดียว ที่แท้จริงกว่านั้น เป็นเรื่องการวนเวียนของสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ความอยาก - การกระทำตามความอยาก - ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ได้มาจากการกระทำนั้น แล้วไม่สามารถหยุดความอยากได้ เลยต้องอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป แล้วก็กระทำอีก - ได้ผลมาอีก - เลยส่งเสริมความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปอีก เป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านเรียกว่า "วัฏฏะ" หรือ "วัฏฏสงสาร" เพราะเป็นวงกลมที่เวียนวน ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้.
คนเราต้องทนทุกข์ทรมาน ก็เพราะติดอยู่ในวงกลมนี้เอง ถ้าใครหลุดออกไปจากวงกลมนี้ได้ ก็เป็นอันว่า พ้นไปจากความทุกข์ทุกอย่าง แน่นอน ( นิพพาน )."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง"ลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง" ในหนังสือ "คู่มือมนุษย์"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
“คำว่า“เรา” หรือ ความรู้สึกว่า “ตัวเรา”นั้น เป็นความรู้สึกของ“กิเลส”
“จิต”นั้น ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะจิตนั้นไม่มีความยึดถือตัวมันเองว่า “ตัวเรา” จึงได้หลุดพ้นออกมาได้
ท่าน(พระพุทธเจ้า)จึงตรัสว่า “การหลุดพ้นนั้นมีแล้ว แต่ตัวผู้หลุดพ้นหามีไม่”
การพูดว่า “ตัวเรา” ในขั้นนี้
ถ้ามีพูด ก็สักว่าพูด
เพราะไม่มีคำอื่นจะพูดเท่านั้น
หาได้มีความยึดถือกอดรัดเอา
“สิ่งที่บริสุทธิ์”นั้น
มาเป็น “ตัวเรา” อีกก็หาไม่”
พุทธทาสภิกขุ
ทึ่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง“หลักหินยาน-มหายาน”
--------------------------------------
“อนึ่ง ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้น ดำรงอยู่และแปรผันไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีสิ่งอื่นเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรอื่นดับไป”
(วชิราสูตร สงฺ. ส. ๑๕/๑๗๑/๒๒๘)
“ทุกข์นั่นแหละมีอยู่ แต่ผู้ทุกข์หามีไม่
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้ทำไม่มี
นิพพานมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี
ทางก็มีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี”
( วิสุทฺธิมคฺ ๓/๑๐๑ )
“ผู้ทำกรรมก็ไม่มี ผู้เสวยผลก็ไม่มี
มีแต่ธรรมทั้งหลายล้วนๆเป็นไป”
( วิสุทฺธิมคฺ ๓/๒๒๖-๗ )
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ความสำคัญใหญ่ยิ่งที่ควรศึกษาเรื่อง “ตัวเรา-ของเรา ( ตัวกู-ของกู )”
“เราจะพิจารณากันว่า “ตัวเรา – ของเรา” ( ตัวกู – ของกู ) นี้ มันทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างไร แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร เริ่มตั้งแต่ชั้นที่จะทำลายตัวเราชนิดอันชั่วร้าย ให้เหลืออยู่แต่ตัวเราชนิดที่ดีๆ แล้วค่อยๆบรรเทาความยึดถือในตัวเราชั้นดีให้น้อยลงๆ จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้ายคือไม่มีความรู้สึกของ “ตัวเรา – ของเรา” ( ตัวกู – ของกู ) ชนิดใดๆเหลืออยู่ในใจเลย เรื่องมันก็จบกันเพียงเท่านี้ และเป็นการจบเรื่องหมดทั้งพระไตรปิฎกหรือทั้งหมดในพระพุทธศาสนา แล้วผู้นั้นก็จะประสบสันติสุขอันถาวรไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นไร เพราะสิ่งที่เรียกว่า ตัวเรา-ของเรา นี้ มันเป็นเหตุของความทุกข์ทุกอย่าง สิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” และ “ของเรา” นี้ ก็มีชื่อโดยภาษาบาลีว่า “อหังการ” และ “มมังการ” ถ้าเป็นคำทางจิตวิทยาจะเรียกว่า “อัตตา” และ “อัตตนียา” ก็ได้ ทั้งหมดนี้ก็หมายถึงจิตที่กำลังกลัดกลุ้มอยู่ ด้วยความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวจัด กำลังดิ้นรนทุกอย่างเพื่อจะทำตามใจตน โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ
“อุปาทาน” คือ การยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจ เช่น ยึดมั่นในเบญจขันธ์ คือร่างกายและจิตใจรวมกันว่าเป็น “ตัวตน” และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ถูกใจ อันมาเกี่ยวข้องด้วย ว่าเป็น “ของตน” หรือที่ละเอียดลงไปกว่านั้นก็ยึดถือจิตส่วนหนึ่งว่าเป็น “ตัวเรา” แล้วยึดถือเอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจำ และความนึกคิด สี่อย่างนี้ว่าเป็น “ของเรา”
พุทธภาษิตมีอยู่ว่า “เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั่นแหละเป็นตัวทุกข์” ฉะนั้น คนที่มีอุปาทานยึดมั่นว่า “ตัวเรา” ว่า “ของเรา” จึงมีเบญจขันธ์ที่เป็นทุกข์ คือแสดงอาการที่ทนได้ยากแก่บุคคลนั้น และแสดงอาการที่น่าเกลียดน่าเอือมระอาแก่บุคคลที่ได้พบเห็นทั่วไป
ส่วนเบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานครอบงำนั้นหาเป็นทุกข์ไม่ ฉะนั้น คำว่าบริสุทธิ์หรือหลุดพ้น จึงหมายถึงการหลุดพ้นจากอุปาทานว่า “คนทั้งหลายย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน” ถ้ายังมีอุปาทานก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ สิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา-ของเรา” นั่นแหละ เป็นบ่วงทุกข์ที่คล้องหรือร้อยรัดผูกพันเราทั้งหลายอยู่ ถ้าเราตัดบ่วงนี้ให้ขาดไม่ได้อยู่เพียงใด เราก็จะต้องเป็นทุกข์อยู่เรื่อยไป
“ความหลุดพ้น” ( วิมุตติ ) เป็นวัตถุที่ประสงค์มุ่งหมายของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ดังพระพุทธภาษิตตรัสเป็นใจความว่า “พรหมจรรย์นี้ มิได้มีลาภ สักการะ สรรเสริญ เป็นอานิสงส์ มิได้มีกามสุขในสวรรค์เป็นอานิสงส์ มิได้มีการเข้าถึงความเป็นอันเดียวกับพรหมในพรหมโลกเป็นอานิสงส์ แต่ว่ามีวิมุตติเป็นอานิสงส์ ดังนี้”
วิมุตติในที่นี้ ก็หมายถึง ความหลุดพ้นจากอำนาจของลาภ สักการะ การสรรเสริญ ของกามสุขในสวรรค์ ของความอยากเป็นพรหม แต่ความรู้สึกว่ามี “ตัวตน-ของตน” นั่นแหละ เป็นตัวการที่หวังลาภ สักการะ สรรเสริญ ทั้งกามสุขในสวรรค์ หรือความเป็นพรหม เพราะมันเป็นความรู้สึกที่อยากได้ อยากเป็น อยากเอา ถ้ามีการได้ การเป็น ด้วยอุปาทานนี้เพียงใดแล้ว ความทุกข์ย่อมเกิดอยู่เสมอไป ต่อเมื่อเอาอุปาทานนี้ออกไปเสียแล้ว การได้ การเป็นทั้งหลาย จึงจะไม่เป็นทุกข์
ใจความสำคัญอยู่ตรงที่มีการได้ การเอา การเป็น ด้วยอุปาทาน อีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นการได้ การเอา การเป็น ด้วยสติปัญญา ไม่มีอุปาทาน และคำว่า “สติปัญญา” ในที่นี้ หมายถึงสติปัญญาที่แท้จริง ไม่ใช่สติปัญญาชนิดที่อุปาทานครอบงำไว้แล้ว เช่น สติปัญญาของปุถุชนทั้งหลายในเวลานี้ ที่นับถือกันว่ามีการศึกษาทางโลกก้าวหน้าเจริญที่สุด ส่วนจิตใจของเขากลับจมดิ่งอยู่ภายใต้อำนาจของอุปาทาน ชนิดที่เรียกว่า “ตัวเรา-ของเรา” สติปัญญาของเขาจึงไม่บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ดังนั้น จึงไม่ใช่ปัญญาตามความหมายของพุทธศาสนา” เขาไม่มีชีวิตอยู่ด้วยการควบคุมของสติปัญญา แต่มีชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปาทานว่า “ตัวเรา-ของเรา” นี้เสมอไป
บรรยากาศของโลกสมัยนี้ จึงมีแต่ความเห็นแก่ตัวจัด กลุ้มรุมอยู่ทั่วไป และเข้มข้นยิ่งขึ้นทุกทีๆ นั่นแหละคือ พิษสงของสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา-ของเรา” เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงที่ชาวโลกกำลังประสบอยู่ ถึงกับทำให้นอนตาหลับไม่ได้ ทั้งๆที่อวดอ้างอยู่ว่าอะไรๆก็เจริญ การศึกษาก็เจริญ ประดิษฐกรรมและอุตสาหกรรมก็เจริญ แต่ความทุกข์ที่ทรมานด้านจิตใจของคนกลับถูกสลัดให้พ้นออกไปไม่ได้ ก็เพราะอำนาจของสิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้น คือความเห็นแก่ตัวจัด ฉะนั้น แม้ว่าคนสมัยนี้จะได้ทำตนให้มีประสิทธิภาพในการงานมากขึ้นเท่าใด ประสิทธิภาพเหล่านั้นๆก็มีแต่จะพาให้คนไหลไปสู่สังสารวัฏ คือความทุกข์ ซ้ำๆซากๆไม่สิ้นสุด ไม่มีส่วนที่จะไหลไปใกล้พระนิพพานหรือความพ้นทุกข์ กล่าวคือ สันติภาพอันแท้จริงและถาวรได้เลย มีแต่จะยิ่งห่างออกไปๆจากสันติภาพที่แท้จริง
ฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า ความสามารถของชาวโลกเราสมัยนี้ มีแต่จะกลายเป็นความสามารถที่ผิดทางไปเสียทั้งนั้น แล้วเราจะปรารถนามันไปทำไมกัน จงเอาสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา-ของเรา” ( ตัวกู-ของกู )นี่ออกไปเสียก่อน โลกนี้จึงจะมีความสามารถหรือการกระทำที่พึงปรารถนา นี่แหละคือความสำคัญใหญ่ยิ่งที่ควรศึกษาเรื่อง “ตัวเรา-ของเรา ( ตัวกู-ของกู )”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ปมเดียวที่ควรแก้”
“การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง”
โดย...“พุทธทาสภิกขุ”
“ธรรมทานนั้นมีผลมากกว่าทานอื่นจริงๆ วัตถุทานก็ช่วยกันแต่เรื่องมีชีวิตอยู่รอด, อภัยทานก็เป็นเรื่องมีชีวิตอยู่รอด แต่มันยังไม่ดับทุกข์ มีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์น่ะ! มันดีอะไร, ให้เขามีชีวิตอยู่ แต่เขาได้รับทุกข์ทรมานอยู่ นี้มันดีอะไร?
เมื่อรอดชีวิตอยู่ แล้วมันจะต้องไม่มีความทุกข์ด้วย จึงจะนับว่าดีมีประโยชน์ ข้อนี้สำคัญกว่าด้วยธรรมทาน มีความรู้ธรรมะแล้วรู้จักทำให้ไม่มีความทุกข์ รู้จักป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ รู้จักหยุดความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่ ธรรมทานจึงมีผลกว่าในลักษณะอย่างนี้ มันช่วยให้ชีวิตไม่เป็นหมัน
วัตถุทาน และอภัยทาน ช่วยให้เรารอดชีวิตอยู่ บางทีก็อยู่เฉยๆ มันสักว่ารอดชีวิตอยู่เฉยๆ แต่ถ้ามีธรรมทานเข้ามาก็จะสามารถช่วยให้มีผลถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เพราะฉะนั้น ขอให้สนใจในเรื่องธรรมทาน
ทีนี้ ให้ธรรมทานมีจิตใจอยู่เหนือกิเลส ไม่ประกอบไปด้วยกิเลส มันก็ไม่มีปัญหา มันก็เสวยความสุขชนิดที่ไม่เกี่ยวกับกิเลส ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าเป็นของเหนือกว่า
เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนพยายามให้ธรรมทาน คือทำให้บุคคลอื่นมีธรรมะแล้วก็จะได้ผลชนิดที่ละเอียด ลึกซึ้ง ประณีต ประเสริฐ ยิ่งกว่าให้วัตถุทาน
ให้วัตถุทาน ชื่อว่าให้กำลังแรงกาย ส่งผลให้ร่ำรวย เป็นสุขในสวรรค์
ให้อภัยทาน ชื่อว่าให้ความไม่มีเวร ส่งผลให้ชีวิตสงบ เป็นสุขในสวรรค์
ให้ธรรมทาน ชื่อว่าให้ปัญญา ให้แสงสว่าง ให้ความพ้นทุกข์ ส่งผลให้มีสติปัญญาเห็นแจ้งในมรรค ผล เข้าถึงสุขสูงสุดในนิพพาน”
...พุทธทาสภิกขุ
~ พุทธธรรม ธรรมะเพื่อทางพ้นทุกข์
°°°°°
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”
พุทธศาสนสุภาษิต
----------
"การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งปวง
รสแห่งธรรม ชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ชนะทุกข์ทั้งปวง"
*พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ท้าวสักกะจอมเทพและเหล่าเทวดา*
สักกเทวราชวัตถุ
พระไตรปิฎกภาษาไทย(มจร.)
ขุ. ธ. ๒๕/๓๖๔/๑๔๔
โลกิยธรรม กับ โลกุตตรธรรม โลกุตตรภูมิ และ สุญญตา
“(คนทั่วไป)มักจะถือกันเป็นหลักตายตัวว่า โลกิยะ-อยู่ในโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก ส่วนโลกุตตระ-อยู่นอกโลก เหนือโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก อย่างนี้ไม่ถูก
โลกิยะ มันเป็นชั้นต้น เป็นของมีอยู่แล้วของบุคคลที่ยังไม่รู้อะไร อยู่ในวิสัยโลกอยู่แล้ว มีแต่จะเลื่อนไปหาโลกุตตระ ไม่ใช่หันหลังให้กันแล้วเดินไปคนละทิศคนละทาง
โลกิยะ ก็แปลว่ามันยังทำอะไรมากไม่ได้ ยังมีความรู้ต่ำ ยังมีตัวตน ยังมีของตน แต่แล้วมันก็ต้องค่อยๆไป ค่อยๆไปในทางของโลกุตตระ เพื่อไม่ให้มีตัวตน เพื่อจะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง คือ เหนือโลก...
โลกิยธรรม มันตั้งต้นด้วยความมีตัวตน มีดี มีชั่ว มีบุญ มีบาป มีตัวมีตนที่จะทำบุญทำบาป เสวยสุข เสวยทุกข์ มันตั้งต้นด้วยตัวตนอย่างนี้ ก็เป็นโลกิยธรรม เอาข้างดีไว้
แต่พอเห็นว่า ชั่วก็ไม่ไหว ดีก็ไม่ไหว อยากจะพ้นชั่วพ้นดีเสียที ก็เดินต่อไป จะไปเป็น “โลกุตตรธรรม...
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระองค์ได้ทรงบัญญัติโลกุตตรธรรมสำหรับทุกคน
ก่อนนี้เขาเชื่อกันว่า..ป่วยการ เราปุถุชนคนธรรมดา อย่าไปสนใจเรื่องโลกุตตรธรรม มรรค ผล นิพพานเลย ไม่อยู่ในวิสัย แล้วก็สอนกันอย่างนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ก็สอนกันเสียอย่างนั้น แล้วก็ห้ามเด็กๆไม่ให้สนใจเรื่องโลกุตตรธรรม ว่ามันไม่จำเป็นบ้าง ว่ามันเกินไปแล้วบ้าง ไม่สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นเรื่องที่เรามอบให้สำหรับทุกคน เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำหรับทุกคนที่มีความทุกข์ ใครมีความทุกข์ก็ต้องมีโลกุตตรธรรม เพราะว่าสิ่งอื่นมันดับทุกข์ไม่ได้
ฉะนั้น ถ้าใครมีความทุกข์ คนนั้นต้องใช้โลกุตตรธรรม ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ โลกุตตรธรรม ให้เป็นสมบัติสำหรับทุกคน...”
พุทธทาสภิกขุ
-----------------------
โลกุตตรภูมิ
"สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" เป็นสิ่งที่อาจจะกล่าวได้ว่า หาได้ในโลก หรือมีอยู่ในโลก ทั้งที่เป็นเรื่องเหนือโลก นอกโลก พ้นโลก โดยประการทั้งปวง เพราะว่า ข้อนี้หมายถึงภูมิแห่งจิตใจ หรือสภาวะแห่งจิตใจของบุคคลที่มีความรู้สึกอยู่เหนือความครอบงำของโลก คือเหนืออิทธิพลของสิ่งที่มีอยู่ในโลกโดยประการทั้งปวง
จะจำแนกเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ตาม(มักจะเรียกกันว่า กามคุณ ๕) จะจำแนกเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือ วิญญาณ ก็ตาม หรือ จะจำแนกเป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่รวมเรียกว่า "โลก" หรือสิ่งที่มีอยู่ในโลก
สิ่งเหล่านั้น จะไม่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป จะไม่มีอะไรมาล่อให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้น จิตใจจึงไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งเหล่านี้ นี่เรียกว่า..โลกไม่อาจจะครอบงำบุคคลนั้นได้อีกต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" ในอันดับแรกเป็นพระโสดาบัน แล้วเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ ขึ้นไปตามลำดับ ชื่อเหล่านั้นไม่สำคัญ เราไม่ต้องเข้าใจก็ได้ เพราะว่าพระอริยเจ้าท่านไม่สนใจ และท่านไม่เคยสนใจเลยว่า ท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง เป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่สนใจจะทราบ และไม่อยากจะทราบ ไม่จำเป็นจะต้องทราบ
แต่สิ่งที่ท่านทราบแน่ๆทราบอย่างยิ่งนั้นก็คือ ภาวะแห่งจิตใจของท่านหรือความรู้สึกในจิตใจของท่าน ซึ่งท่านรู้ด้วยตนเองว่ามันเป็นอย่างไร คือเดี๋ยวนี้หลุดออกมาจากอำนาจของโลกแล้วหรือยัง หรือว่าหลุดมาแล้วเพียงเท่าไร ความร้อนหายไปอย่างไร ความเย็นเข้ามาแทนเท่าไร หรือว่าความทุกข์สิ้นไปเท่าไร ท่านรู้ดียิ่งกว่ารู้ นี่คือรู้ตัวธรรม หรือรู้ตัวโลกุตตรธรรมที่แท้จริงในใจของท่าน โดยไม่ต้องรู้ว่าธรรมนั้นเรียกชื่อเป็นบาลีว่าอะไร หรือท่านกำลังตั้งอยู่ในภูมิไหน ชั้นไหน เรียกชื่อว่าอย่างไร
ไม่เหมือนกับนักวิปัสสนาสมัยนี้ ที่ต้องให้เขาตั้งให้ว่าเป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง เป็นพระสกิทาคามีแล้วหรือยัง สิ่งที่ได้บรรลุ เป็นดวง เป็นแสง เรียกชื่อว่าอะไรเป็นภาษาบาลี"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนา เรื่อง "ความเป็นเจ้าโลก"
---------------------------------
“โลกุตตระ” กับ “สุญญตา”
“โลกุตฺตรา”เป็นเรื่องเหนือโลก คือ เป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์อยู่เหนือการครอบงำย่ำยีของโลก ถ้าถูกโลกครอบงำย่ำยี ก็หมายความว่า มีความทุกข์ ฉะนั้น เราจะอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก
เมื่อใดอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก เมื่อนั้น เรียกว่าอยู่เหนือโลก หรือ “โลกุตตระ”แล้วเรื่องนี้ต้องเป็น “สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา” คือ เนื่องเฉพาะด้วยเรื่อง “สุญญตา” ต้องเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สุญญตา”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย “สุญญตาหัวใจของพุทธศาสนา” เมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๐๙
--------------------------
อธิบาย ความหมายของคำว่า "สุญญตา" "โลกว่าง" "จิตว่าง"
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น "ตัวตน" หรือ "ของตน" เป็น"ตัวเรา" หรือ"ของเรา"...
จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน ของตน หรือกำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนของตนนี้ ขอเรียกว่า "จิตว่าง" เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
มีคำอธิบายใน "ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑" ว่า
"ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต"
(แปลว่า) ชื่อว่า "สุญญตา" เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า "จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ" เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน "โสฬสปัญหา" ว่า...
"สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป" เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วย"อุปาทาน" ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า "สุญฺญตา"
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า"โลกนี้ว่าง" เพราะว่างจาก "ตัวตน" "ของตน" ได้ใจความถัดมาว่า "จิตว่าง" เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า "สุญญตา"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
"เช่นนั้นเอง"
วิปัสสนากัมมัฏฐาน นี้ ต้อง ดู ดู ดู (ไม่ใช่การคิดคำนวณ) จนเห็นประจักษ์แจ้งว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง"
“เราขอเน้นว่า การเวียนเกิดแห่ง ตัวตน ตัวกู-ของกู นั่นแหละ! ตัวทุกข์ แม้แต่เกิดครั้งเดียวมันก็เป็นทุกข์ ไม่ต้องพูดถึงเกิดซ้ำๆซากๆอย่างวนเวียน ฉะนั้น การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นทุกข์ และวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้นเป็นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ให้เห็นแจ้งในความจริงเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด
วิปัสสนากัมมัฏฐานนี้ ต้องเป็น..วิปัสสนาจริง คือ เป็นการดู ไม่ใช่การคิดคำนวณ ไม่ใช่การพิจารณาโดยเหตุผล ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิเสียก่อน แล้วเอาจิตชนิดนั้นมา ดู-ดู-ดู ลงไปที่สังขาร(ความปรุงแต่ง)ที่กำลังเป็นปัญหา คือความทุกข์ จนรู้ประจักษ์ในเรื่องของความทุกข์ และเหตุแห่งความทุกข์ รู้ความเป็นเช่นนั้นเอง เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็น "ตัวตน" นี่การเวียนว่ายตายเกิดก็สิ้นสุดลง
เราเน้นวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างนี้ ซึ่งไม่เหมือนกันกับของคนพวกอื่น ที่เอาวิปัสสนากัมมัฏฐานไปเป็นการคิดตามเหตุผล โดยไม่ต้องดู
วิปัสสนานี้ต้อง..ดู-ดู-ดู จนเห็น
พอเห็นแล้วก็ประจักษ์แจ้งว่า
"มันเป็นเช่นนั้นเอง"
ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าเป็น "ตัวตน"
นี่แหละ! วิปัสสนาอันแท้จริง
คือ..ดู-ดู-ดู แล้วเห็น
เห็นแล้ว ก็ปล่อยวางเอง
วิปัสสนากัมมัฏฐานชนิดที่นำความคิดอย่างนั้น อย่างนี้ ให้พิจารณาอย่างนั้น อย่างนี้ นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ดู และไม่ได้เห็น แต่มันพูดไปตามความเชื่อ มันคิดไปตามความเชื่อ มันมีเหตุผลของคนที่พูดกันไปตามที่สอนสืบๆกันมา อย่างนี้ ไม่เห็นแจ้ง และไม่ดับทุกข์ได้เลย เราไม่สอน
ขอยืนยันว่า วิปัสสนากัมมัฏฐานที่ดูให้เห็นจริง นั่นแหละ! เป็นทางดับทุกข์ แต่ต้องถูกต้องตามแบบของวิปัสสนากัมมัฏฐาน อย่าให้เป็นวิปัสสนาเถื่อน ซึ่งมันดับทุกข์ไม่ได้”
พุทธทาสภิกขุ
บรรยายธรรมในลักษณะ ถาม-ตอบ ในวาระที่ ๓ วันล้ออายุ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๓ จาก : หนังสือ "ธรรมะน้ำ ล้างธรรมะโคลน"
-----------------------------------------
“ตถตา” เช่นนั้นเอง ความเป็นเช่นนั้นเอง
“ตถตา” แปลว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเอง...
“ตถตา” มีความหมายว่า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันเป็นอย่างนี้เอง หรือว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตา คือเพราะมีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น เพราะไม่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงดับลง...
ทุกสิ่งแสดงความเป็น"เช่นนั้นเอง"อยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ...
"ตถตา" นี้สำคัญมาก ถ้าเห็นแล้วปุถุชนก็จะกลายเป็นพระอริยเจ้า เพราะถ้าเห็นแล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆในโลก โดยความเป็นตัวตน หรือโดยความเป็น "ตัวกู-ของกู" ก็เพราะเขาไม่เห็นความความเป็นเช่นนั้นเองของสิ่งนั้นๆ
เพราะเขาไม่รู้ หรือโง่เขลาต่อสิ่งนั้นๆ จึงไปยึดเอาเป็นสิ่งที่น่ารักมีความรัก และโกรธในสิ่งที่ชวนให้โกรธ เกลียดในสิ่งที่ชวนให้เกลียด กลัวในสิ่งที่ชวนให้กลัว แล้วก็เป็นทุกข์เอง....
ตถตา - เป็นเช่นนั้นเอง
อวิตถตา - ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น
อนัญญถตา - ไม่มีความเป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น
ธัมมัฏฐิตตา - มีความตั้งอยู่ตามธรรมดาของธรรมชาติทั้งหลาย
ธัมมนิยามตา - เป็นกฎตายตัวของธรรมชาติทั้งหลาย
อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาโท - ความที่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ย่อมเกิดขึ้น เมื่อไม่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมไม่เกิดขึ้น มันอาศัยกันและกันแล้วเกิดขึ้น
นี่คือ อาการที่มันเป็นเช่นนั้นเอง ความเป็นอย่างนั้นเอง
เรียกว่า "ตถตา" หรือ "ตถาตา" หรือ ตถา เฉยๆก็ได้...
สังขารทั้งหลาย
เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เช่นนั้นเอง
ทุกขัง เป็นทุกข์ เช่นนั้นเอง
เป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน เช่นนั้นเอง
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมกถา ตถตาหน้าเชิงตะกอน วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๖
------------------------------------------
ไม่มีอะไรที่จะไม่ใช่เช่นนั้นเอง
"ช่วยจำให้ดีว่า อะไรๆเกิดขึ้นก็ให้มันรู้สึกได้ว่า มันเป็นเพียง "ความรู้สึก" เท่านั้นหนอ มันเป็นเพียง"ความรู้สึกแห่งจิต"(เวทนา)เท่านั้นหนอ!
เรื่องดี บ้า สุข ทุกข์ รวย จน เรื่องอะไรต่ออะไรทุกเรื่อง มันเป็น"ความรู้สึก"ของจิตเท่านั้นหนอ
พอเห็นเป็นความรู้สึกเท่านั้นหนอ มันก็หยุดเป็นทุกข์ทันที
นี่ ธรรมะที่เป็น..สุญญตา อนัตตา ตถาตา ดับทุกข์ได้อย่างนี้ ทุกระดับ ทุกข์เลวๆโง่ๆมันก็ดับได้ ทุกข์ที่สูงขึ้นไปมันก็ดับได้ ทุกที่สูงที่สุดละเอียดลออมันก็ดับได้ จนกระทั่งบรรลุ มรรค ผล นิพพาน
เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกนี้ เป็นคนธรรมดาสามัญ ทำไร่ทำนา หาปู หาปลาได้กินไปวันหนึ่งก็เถอะ ขอให้รู้จักคำว่า "เช่นนั้นเอง" แล้วมันจะไม่มีความทุกข์
ถ้าเป็นปัญญาชนก็ยิ่งจะต้องรู้ให้มากขึ้นไปอีกว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง" เท่านั้นแหละ! ไม่มีอะไรที่จะไม่ใช่เช่นนั้นเอง"
พุทธทาสภิกขุ
------------------------------------
วิปัสสนา
"วิปัสสนา" มีวิธีปฏิบัติสำคัญที่เรียกว่า "สติปัฏฐาน" คือ การเอาสติมาใช้ในการจับตาประดาปรากฏการณ์ที่ภาษาพระเรียกว่า "อารมณ์"ต่างๆ หรือตามดูรู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตจิตใจของเรา เอาสติไปจับให้ทันหมด แล้วส่งให้ปัญญารู้เห็นเข้าใจ
สติ กับ ปัญญา ทำงานคู่กัน (ปัญญาในที่นี้เรียกว่า “สัมปชัญญะ”) ขอเปรียบเทียบให้ฟัง เหมือนกับตาเรานี้เป็นปัญญา เราจะมองอะไร สิ่งนั้นต้องอยู่ต่อหน้า ถ้าสิ่งนั้นหลุดลอยไป เราก็มองไม่ได้ ปัญญาก็ต้องมองสิ่งที่อยู่ต่อหน้าจิต สิ่งนั้นจะอยู่ต่อหน้าจิตได้อย่างไร ก็ต้องจับหรือกำกับไว้ สิ่งที่จับไว้ก็คือสติ สติจับสิ่งนั้นไว้ต่อหน้าแล้ว ปัญญาก็เหมือนตาที่มองดูสิ่งนั้น
ในวิธีปฏิบัติวิปัสสนา จะมีสติเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวจับสิ่งนั้นไว้ให้ปัญญาดู สติกับปัญญาจึงทำงานคู่กัน สติเป็นองค์ธรรมฝ่ายจิต คืออยู่ในหมวดสมาธิ ก็มาทำงานประสานกับปัญญา เหมือนกับรับใช้ปัญญา
สติตามทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ให้พลาดไป สติจับ ปัญญาก็ดู ปัญญาดูรู้ตามเป็นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในด้านร่างกาย ความเคลื่อนไหว การยืน การนั่ง การนอน การกิน การดื่ม การรับประทานอาหาร สติจับทันหมด ปัญญาก็ดูรู้ตามเป็นจริง
อาการที่เกิดขึ้นเป็นไปในจิตใจ เช่น ความรู้สึกสุขทุกข์ และความคิดอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจิตใจของเราทุกอย่าง สติจับให้ปัญญาดูหมดทันกับปัจจุบัน
เมื่อดูไปๆ ปัญญาก็เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะสิ่งทั้งหลาย เมื่อเรามองตามที่มันเป็น ตามดูต่อเนื่องไปและไม่ขาดตอน ก็จะเห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไป ซึ่งเป็นอาการของอนิจจังตลอดเวลา
พอเราดูโดยไม่มีอะไรมาบังตา ก็เห็นตามเป็นจริง เห็นสภาพที่เป็นอย่างนั้น คือเห็นความเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ตามที่มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้คือเรื่องของ "สติปัฏฐาน"
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมบรรยาย "สมาธิแบบพุทธ"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ธรรมที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ “ฆราวาส”
อะไร คือ“อนาคตภัย”ของพุทธศาสนา?
“ฆราวาสควรจะเรียนธรรมะเรื่องอะไร มีฆราวาสพวกหนึ่งหัวหน้าชื่อว่า “ธัมมทินนะ” ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเขาตลอดกาล พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงว่า...
“สุตตันตะทั้งหลายเหล่าใด ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นเรื่องลึก มีความหมายซึ้ง เป็นเรื่องเหนือโลก เกี่ยวด้วยเรื่องสุญญตา นั้นคือธรรมะที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เธอทั้งหลายตลอดกาล”
พูดสั้นๆก็คือว่า ฆราวาสควรจะได้ฟัง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ เรื่อง“สุญญตา” (จิตว่าง) แล้วจะได้รับประโยชน์ตลอดกาล แต่เดี๋ยวนี้คนไม่รู้เรื่องสุญญตา คนโง่ๆเลยแปลคำสุญญตาผิดเป็นสูญเปล่า ไม่มีอะไร หรือทำไม่ได้ คนก็เลยกลัว ไม่มีใครแตะต้องเรื่องสุญญตา แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นเรื่องที่ฆราวาสทุกคนจะต้องสนใจ จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เขาทั้งหลายตลอดกาลนาน สุญญตา แปลว่า ความว่าง คือว่างจากความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นกิเลส อันทำให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ เมื่อจิตใจวุ่นอยู่ด้วยกิเลส เช่น ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความหลง หรือกำลังตกอบายอย่างที่ว่านี้ เรียกว่า “จิตวุ่น” ไม่ว่าง ในขณะใดจิตว่างจากสิ่งวุ่นวายเหล่านี้แล้ว มีความฉลาดอย่างยิ่ง มีความปกติอย่างยิ่ง นี้เรียกว่า “จิตว่าง” หรือ “สุญญตา”
พระพุทธภาษิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่สำคัญมาก และอยากจะนำมาบอกกล่าวให้ทราบ มีอยู่ว่า พระพุทธะ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุว่า เมื่อใดภิกษุทั้งหลายไม่สนใจในเรื่องสุญญตา แต่ไปสนใจในเรื่องที่เขาปรุงแต่งร้อยกรองกันขึ้นใหม่ๆ ไพเราะสละสลวย ทั้งทางตัวหนังสือและข้อความ โดยพวกกวีที่เป็นสาวกรุ่นหลังแล้ว เมื่อนั้น ตัวแท้ของศาสนาจะไม่มีเหลือ เปรียบเหมือนกลองศึกชื่อ “อานะกะ” ของกษัตริย์พวกทสารหะ เป็นกลองศึกสืบกันมาแต่โบราณ พอกลองนั้นมันผุพังตรงไหน เขาก็คว้านเนื้อไม้ที่ผุพังออก แล้วเอาไม้ใหม่อัดเข้าไป พอนานๆเข้าหลายชั่วอายุคน กลองใบนั้นจึงไม่มีเนื้อไม้เก่าเหลืออยู่เลย มีแต่เนื้อไม้ใหม่ที่เป็นของยึดประสานใหม่เท่านั้น กลองใบนั้นสูญเสียเนื้อไม้เก่าสิ้นเชิง ฉันใด เมื่อภิกษุทั้งหลาย พุทธบริษัททั้งหลาย ไม่สนใจเรื่องสุญญตาที่ตถาคตภาษิตไว้ อันเป็นเรื่องลึก มีความหมายซึ้ง เป็นเรื่องเหนือโลกที่เกี่ยวด้วยเรื่องสุญญตาแล้ว เมื่อนั้นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาจะไม่เหลืออยู่เลย เพราะภิกษุทั้งหลายไปสนใจในเรื่องร้อยกรองขึ้นใหม่ ที่เป็นสาวกภาษิต โดยพวกกวีชั้นหลัง เป็นเรื่องนอกแนวสุญญตา
พระองค์ยังตรัสไว้ในที่อื่นอีกว่า เมื่อใดไม่มีการสนใจเรื่อง “สุญญตา” เมื่อนั้นสิ่งที่เรียกว่า “อนาคตภัย” ได้มาถึงศาสนานี้แล้ว คือว่าเมื่อพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ภัยจะยังไม่เกิด จึงตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ไว้ว่า “อนาคตภัยนี้ยังไม่ถึง แต่ในกาลข้างหน้าจะมีสมัยหนึ่ง ซึ่งพุทธบริษัทไม่สนใจเรื่องสุญญตาของตถาคต แต่ไปสนใจเรื่องที่ร้อยกรองขึ้นอย่างไพเราะของสาวกรุ่นหลัง และไม่ใช่เรื่องสุญญตา เมื่อนั้นชื่อว่าอนาคตภัยได้มาถึงแล้ว เมื่อนั้นชื่อว่านิสัยเลอะเลือน เธอจงรู้ความข้อนี้ เมื่อรู้ความข้อนี้แล้วจงพยายามสกัดกั้นมันเสีย
สมัยนี้ก็ควรจะคิดว่าอนาคตภัยนั้นมาถึงหรือยัง โดยตัดสินด้วยเรื่อง “สุญญตา” เมื่อพวกเรายังมีความรู้ ยังมีการปฏิบัติ มีความสามารถที่จะทำจิตให้ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวเรา หรือของเรา กันอยู่บ้างแล้ว ก็ยังเรียกว่าเรื่องสุญญตายังเหลืออยู่ ถ้าเรายังรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จิตยังว่างได้อยู่บ้างแล้ว ก็เรียกว่ายังได้รับประโยชน์จากสุญญตา เนื้อแท้ของศาสนายังเหลืออยู่”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “พระพุทธเจ้าสอนอะไร” จากหนังสือ “วิธีปฏิบัติธรรมทางลัด”