พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 7 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 334 **การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๑**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาที่จะฟังธรรม ถึงเรื่องการประพฤติปฏิบัติตน ให้เป็นองค์พระอรหันต์ ให้ได้น่ะเจ้าค่ะ
ลูกปรารถนาที่จะฟังธรรมนี้ อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง อีกรูปแบบหนึ่ง
เพราะว่าพระองค์เคยแสดงเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่ลูกคิดว่า.. มันมีการประพฤติปฏิบัติ แนวทางกี่ทาง รูปแบบแบบไหน หรือว่าจะมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่เคยแสดงไว้แล้ว
จึงปรารถนาที่จะทราบว่า เรานั้นจะประพฤติปฏิบัติตนเช่นไร - เราจึงสามารถเข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ได้ น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เราจะประพฤติปฏิบัติตนเอง ให้เข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์นั้น..
เราก็ต้องเริ่ม ตามลำดับเช่นนี้ ลูก
เริ่มตั้งแต่..
รู้จักทุกข์.. รู้ว่าการเกิดนั้น - มันเป็นทุกข์
แล้วเราก็หาดูว่า อะไรคือเหตุแห่งทุกข์
เช่น ถ้าเรายังไม่รู้จักทุกข์ / ไม่รู้ว่าการเกิดมาในโลกใบนี้นั้น.. มันเป็นทุกข์..
-- เราก็จะยังไม่หาทางออกจากทุกข์ --
ฉะนั้น.. บุคคลไม่เจอทุกข์ ไม่รู้ทุกข์.. ย่อมไม่หาหนทาง แนวทางการประพฤติปฏิบัติ หรือวิธีแห่งการดับทุกข์
- จึงต้องเจอทุกข์เสียก่อน หรือไม่ก็เห็นทุกข์เสียก่อน -
** ทุกข์มากเท่าไร.. ก็จะยิ่งมีความปรารถนา ที่จะออกจากกองทุกข์มากเท่านั้น !
บางคน สั่งสมบุญบารมีมามาก..
เมื่อครั้งเกิดมา.. ก็จะมีปัญญาแตกฉาน
รู้ตื่น รู้แจ้ง ในทุกข์ทั้งหลาย ตั้งแต่เล็กแต่น้อย..
- โดยที่ไม่ต้องผ่านพ้นความทุกข์ / เรียนรู้ทุกข์ ด้วยตัวของตนเอง
เพียงแค่มองเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายแค่นั้น.. ก็จะ
รู้สึกทุกข์มากมาย
รู้สึกว่า.. จะต้องทำยังไงให้พ้นจากทุกข์
เกิดมาแต่เล็กแต่น้อย..
- ก็มีปัญญารู้ตื่น
- มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
- ไม่ลุ่มหลงยึดติด พัวพันมัวเมา กับสิ่งต่างๆทั้งหลายที่มันสมมุติมีอยู่
- เห็นแต่เหตุแห่งทุกข์ ที่ซ่อนอยู่ในนั้น
เรียกว่า สั่งสมบารมีมาดีแล้ว.. จึงรู้ จึงเห็น จึงเข้าใจ แต่เล็กแต่น้อย
ออกบวชตั้งแต่เป็นสามเณร ก็..
/ สามารถบรรลุธรรมได้
/ สามารถหาทางออกจากทุกข์ได้
บางคนเกิดมา.. ยังไม่รู้ว่า อะไรคือทุกข์
- ก็ต้องเรียนรู้ไป ศึกษาไป เผชิญชีวิตไป..
-- กว่าจะรู้ทุกข์ ก็ผ่านไปแล้วครึ่งค่อนชีวิต.. ค่อยมาหาเหตุแห่งทุกข์.. ก็มี
บางคน มีหน้าที่ที่ต้องฝึกฝนเรียนรู้ทุกข์ก่อน - ทั้งที่บารมีแห่งตน ก็สั่งสมมามากอยู่..
แต่จำเป็นต้องเรียนรู้ตามรูปแบบของมนุษย์ทั่วไป เพื่อที่จะได้สอนเขาเหล่านั้น ในการออกจากทุกข์ให้ได้
- ก็ต้องไปคลุก เรียนรู้กับทุกข์ก่อน -
เราต้องรู้ก่อน พระยาธรรม..
ว่านั่น คือ การเลอะโคลน เลอะสิ่งสกปรกโสโครก
ว่าที่นี่ คือ บ่อแห่งไฟ
** ในวัฏสงสารนี้ มี..
ไฟ คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง
ไฟ คือ ความอยาก และความไม่อยาก
ไฟ ที่มันแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง ให้มอดไหม้ไปตามกาลเวลา
ไฟ ที่มันทำให้ทุกสิ่งต้องดับต้องสูญไป -ไม่เหลืออะไรแม้สักอย่าง !
มันสมมุติมีขึ้นมาให้คนทั้งหลายดีใจ จิตทั้งหลายดีใจ..
และมันก็ต้องทำให้มอดไหม้ไป ในที่สุด..
จนท้ายที่สุดแล้ว.. บุคคลหรือสิ่งของ ความรู้สึก หรือว่ากรรมวิบาก ก็ตาม
- มันก็ต้องดับ เสื่อมสลายไป ตามกาลเวลา / ตามเหตุแห่งมัน -
วัฏสงสารนี้ เป็นทะเลทุกข์ ทะเลแห่งเพลิงไฟ..
จิตทั้งหลาย ต้องรู้เช่นนี้อย่างชัดเจนก่อน.. พระยาธรรม
เมื่อรู้เช่นนี้อย่างชัดเจนแล้ว.. จึงค่อยดูเหตุแห่งการดับทุกข์ หรือวิธีของการดับทุกข์
เมื่อเรารู้ทุกข์แล้ว - เราก็ต้องหาวิธีดับทุกข์
เมื่อเราหาวิธีดับทุกข์ - เราก็ต้องหาให้เจอก่อนอีกว่า เหตุของทุกข์ คือ อะไร
คือว่าเรารู้จักทุกข์ แต่เราไม่รู้นี่ลูก ว่า.. เหตุของมันคืออะไร
เมื่อเราไม่รู้ว่า เหตุของมันคืออะไร - เราก็ดับให้ตรงเหตุไม่ได้
ทีนี้ เราก็ต้องมาพิจารณาดูว่า.. ความจริงแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มี !
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวียนวนกันไป
หาอะไรจริงจังกับชีวิตไม่ได้ / ยึดถืออะไรไว้ไม่ได้ สักสิ่งสักอย่าง..
ทีนี้ แปลว่า ที่นี่เป็นโลกแห่งสิ่งสมมุติ ..
ทุกข์ไม่มี / สุขไม่มี
เราไม่มี / เขาไม่มี
ดวงจิตของเราก่อเกิดขึ้นมา - ไม่มีภูมิคุ้มกัน
ถูกกิเลสครอบงำ คือ เชื้อแห่งความหลง ครอบงำเราแล้ว..
เราจึงถูกเขานำพาให้ทำ ชี้สั่งให้สร้างกรรมดี - กรรมชั่ว
- และก็เป็นไปตามสิ่งเหล่านั้น...
เมื่อไรที่เราหมดกรรม หมดกิเลสตัณหา.. เราก็จะหมดไป
กลับคืนสู่ความเป็นอิสระ ความไม่มี
แท้ที่จริงแล้ว เหตุของทุกข์.. ก็มาจาก การมีเรา / มีกิเลสครอบเรา
และกิเลสตัณหานั้น ก็สั่งให้เราสร้างกรรม
กรรมก็สร้างเรา ที่สมมุติเป็นเราอีกทีหนึ่ง
และเราที่สมมุติว่าเป็นเรา.. ก็สร้างกรรมต่อไป ไม่รู้จบ
-- แล้วก็วนเวียนตามกรรม ไม่รู้จบอยู่อย่างนั้น..
แท้ที่จริงแล้ว..
ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่กรรมของเรา
ไม่ใช่กิเลสตัณหาของเรา
ไม่มีเรา
-- แท้ที่จริงแล้ว.. ทุกอย่างว่างเปล่า ++
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว.. เราก็หาอีกทีหนึ่งว่า..
แล้ววิธีแห่งการทำให้เราเข้าถึงการมีกำลัง มีสติ มีปัญญามากพอ ที่จะถอดถอนความเป็นเราได้
.. มันอยู่ที่ไหน / คือวิธีใด ?
เราก็พิจารณาตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า เข้าไว้ดีกว่า..
การที่เรานั้น จะสามารถดับกิเลสตัณหาแห่งเราได้.. เราต้องประพฤติปฏิบัติ อยู่ในกรอบของความดี
คือ การมีศีล - ต้องรักษาศีล
เมื่อมีศีลแล้ว รักษาศีลแล้วอย่างบริสุทธิ์ - ตามศีลที่ตนสมาทานเอาไว้
เมื่อมีกรอบของศีล มาช่วยรักษาเรา
เรารักษามัน - มันก็รักษาเรา
.. จนเรานั้น ห่างไกลจากกิเลสตัณหา..
เรารักษามันได้กี่ข้อ มันก็รักษาเราเท่านั้น
เป็นชั้นของกำแพง ที่จะขวางกั้นไม่ให้สิ่งที่ไม่ดี รั่วไหลเข้ามา
เราก็จะถูกศีลนั้นป้องกัน -ไม่ให้กิเลสตัณหา ไหลเข้ามาทับถมเรา
เมื่อเรามีศีล เราไม่ทำกรรมชั่วกับใคร
- กรรมชั่วที่จะส่งผลกลับมา ทำร้ายทำลาย ทำให้จิตใจของเรารุ่มร้อน.. ย่อมไม่มี ++
เมื่อเรามีศีล ศีลย่อมป้องกันเรา.. ไม่ให้กิเลสตัณหาไหลเข้ามาทับถมเราเพิ่ม
จิตที่ปราศจากกิเลส และกรรมวิบาก - ปราศจากมากเท่าไร..
/ ก็จะมีปัญญารู้ตื่น รู้แจ้งมากเท่านั้น
/ มีความสงบมากขึ้นเท่านั้น
ทีนี้ เมื่อเรามีศีลแล้ว.. เราก็จะสงบ จะสว่าง
เมื่อสงบ และสว่าง.. เราย่อมรู้ว่า เราจะต้องทำให้ชีวิตของเรา เป็นไปในทิศทางใด ที่ดีขึ้น ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเรารู้ตื่น รู้แจ้งเช่นนี้ ..
- เราก็ย่อมทำแต่สิ่งที่เกิดประโยชน์แก่เรา ในทิศทางที่ดี ++
ฉะนั้น.. ให้เริ่มต้นด้วยการ มีศีล
มีศีล แล้วก็หมั่นฟังธรรม
ฟังธรรมให้เข้าใจ ให้รู้แนวทางของการปฏิบัติ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ
-- ให้รู้ว่า.. การที่เราจะไปสู่ความพ้นทุกข์ คือ การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น.. เราก็ต้องปฏิบัติเช่นไร
ฟังธรรม เพื่อรู้เป็นแนวทาง
ฟังธรรม เพื่อรู้แผนที่.. ที่จะไปสู่การเป็นองค์พระอรหันต์
เมื่อจิตใจสงบ ด้วยการมีศีล
เมื่อจิตใจสงบ ด้วยการปราศจากกิเลสตัณหา
สงบ ด้วยการปราศจากกรรมวิบาก...
ฟังธรรม.. ก็เข้าใจดี
ทำสมาธิ ก็ได้.. เพราะว่า สงบดี
ฝึกฝนปัญญา ก็ได้รวดเร็ว ว่องไว
..เพราะไม่มีกิเลสตัณหา และกรรมวิบากรบกวนมาก - เหมือนการไม่มีศีล
ไม่มีสิ่งรบกวนมากมาย.. ย่อมสามารถ ค่อยๆขัดเกลาดวงจิตของตนเอง ให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ..
เมื่อเจอกับอุปสรรค ปัญหาใด / เจอกับอะไรก็ตาม ..
- ย่อมรู้เท่าทัน สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตน.. จนข้ามพ้นอุปสรรค ปัญหานั้นได้
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. เมื่อเรารู้แนวทางแห่งการดับเหตุแห่งทุกข์ ว่า..
คือการ มีศีล
มีศีลแล้ว ก็จะมีธรรมเข้ามาในจิตใจ
จะมีสมาธิ และก็มีปัญญาแตกฉานขึ้น ในตัวของเรา
- โดยธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้นเอง ++
เราก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรมากมาย.. เราก็แค่ทำตาม
/ โดยการ รักษาศีล
/ โดยการ ฟังธรรม
/ โดยการ มีสมาธิ ฝึกสมาธิ ทำสมาธิ
/ แล้วก็ฝึกฝนปัญญา หรือว่าปัญญา - มันก็จะแตกขึ้นมาเรื่อยๆ ตามการมีศีล มีธรรม มีสมาธิ ของเรา
-- แล้วปัญญา ก็จะไปส่งเสริมให้ ตัวศีล ตัวธรรม ตัวสมาธิ - แข็งแรงขึ้น…
มันก็จะค้ำกันไป 4 ย่างก้าวนี้
เปรียบเสมือนมีรถที่มันมี 4 ล้อ - มันก็สมบูรณ์ทั้ง 4 ล้อแล้ว..
- มันย่อมพากัน ช่วยกันขับเคลื่อน.. พาให้เราไปถึงจุดมุ่งหมายในที่สุด ++
เมื่อเราประพฤติปฏิบัติ อยู่ในกรอบแห่งศีล ธรรม สมาธิ และปัญญาแล้ว..
จิตใจของเรา จะค่อยๆเลื่อนระดับ เข้าสู่การเป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ 1 คือ *พระโสดาบัน*
ค่อยๆ พาให้เราเจริญก้าวหน้าไปถึง การเป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ 2 คือ *พระสกิทาคามี*
ค่อยๆพาเรา ให้ไปถึงระดับของพระอริยเจ้า อริยบุคคลขั้นที่ 3 คือ *พระอนาคามี*
และในที่สุด.. ก็จะนำพาให้เรา ไปถึง การเป็น *องค์พระอรหันต์* ได้ในที่สุด..
ความสำเร็จของเรา ย่อมมี.. ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น.. ให้เริ่มต้นจากการ
* รู้ทุกข์
* รู้เหตุแห่งทุกข์
* รู้วิธีดับทุกข์
* และประพฤติปฏิบัติตามวิธีนั้น ให้ได้
แล้วจิตก็จะค่อยๆเลื่อนขึ้นมา สู่การเป็นพระอริยเจ้า เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน เป็นลำดับๆไป
เมื่อถึงระดับที่ 1 เพราะเรามี *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา* แล้ว..
เราก็ย่อมค่อยๆขยับเข้าถึงระดับที่ 2, ที่ 3
และในที่สุด.. การถึงซึ่งความเป็นองค์พระอรหันต์ของเรา.. ย่อมต้องมี ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยัง - แนวทางการประพฤติปฏิบัติ น่ะลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจ รูปแบบของการประพฤติปฏิบัติ ตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางให้ในวันนี้ แล้วเจ้าค่ะ
ลูกเข้าใจว่า.. ให้เรา
/ รู้ทุกข์
/ รู้เหตุแห่งทุกข์
/ รู้วิธีดับทุกข์
/ แล้วก็ทำตามวิธีนั้น ไปเรื่อยๆ...
จิตของเรา จะเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน คือ การเป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 1, 2, 3 และ 4
เราจะสามารถเข้าถึง การเป็น *องค์พระอรหันต์*
การกระทำใดก็ตาม.. ที่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในข้อบัญญัติ หรือว่าคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว
ถ้าเราได้ทำตาม.. มันย่อมเจริญงอกงามไปเรื่อยๆ ตามเหตุ ตามปัจจัยของมัน
มีศีล มีธรรม มีสมาธิ - ก็จะมีปัญญา
*ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*.. จะช่วยให้เราขัดเกลากิเลสตัณหา
ดับกิเลสตัณหาแล้ว.. ก็จะดับการเกิดได้
** การเข้าถึง การเป็นองค์พระอรหันต์ ก็คือ การดับการเกิดได้ นั่นเอง ++
.. พอจะเข้าใจเช่นนี้ แล้วละเจ้าค่ะ
แต่พระพุทธองค์เจ้าขา.. ยังมีหนทางอื่นๆ อีกมั้ยเจ้าคะ - ที่เราจะยึดเป็นการปฏิบัติ น่ะเจ้าค่ะ ?
- - -
พระพุทธองค์ :: ยังมีหนทางอื่น แนวทางอื่น.. ที่เราสามารถหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้ เช่นเดียวกัน..พระยาธรรมเอ๋ย
- ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมองมุมไหน จะยกอะไรขึ้นมา ทำให้เราเข้าสู่การเป็นองค์พระอรหันต์..
แต่ว่าสิ่งที่ได้กล่าวมานั้น ก็คือ สิ่งที่ควรพิจารณาเป็นขั้นต้น
หรือเป็นแนวทางหลักแห่งการพิจารณา ลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
แล้วลูกจะขอถามถึง แนวทางต่อไป
ลูกมีความปรารถนาที่จะทราบเอาไว้ น่ะเจ้าค่ะ
ว่าเราจะมีแนวทางอื่น อีกหรือเปล่า..
แต่ว่า ลูกจะขอถามเป็นคลิปที่ 2 หรือตอนที่ 2 นะเจ้าคะ..
สาธุ