พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 9 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 226 **รู้เหตุแห่งทุกข์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าฟังธรรมเรื่องของ *ปัญญา ตอนที่ 1* น่ะเจ้าค่ะ
เมื่อเรามีปัญญา.. เรานั้นจะมีการรู้เข้าใจในเรื่องใดบ้าง ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง ทำความเข้าใจ และนำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม ด้วยเถิดเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอย.. บุคคลเมื่อได้รักษาศีล ทำสมาธิ จนเกิดปัญญาแล้ว
ย่อมมีปัญญารู้เท่าทัน ตามความเป็นจริงของเหตุแห่งทุกข์..
/ ทุกข์ที่มีอยู่ - เกิดขึ้นเพราะอะไร
/ ตัวของเรานี้กำลังเป็นทุกข์อยู่ - ทุกข์เรื่องไหน เพราะอะไรเราจึงทุกข์
/ ตัวของบุคคลผู้อื่นที่กำลังเป็นทุกข์อยู่ - ทุกข์เพราะอะไร อะไรเป็นเหตุของทุกข์
-- ย่อมรู้จัก เข้าใจในเหตุของทุกข์ได้ เป็นอย่างดี --
พระยาธรรมเอย.. เมื่อเรามีปัญญาแล้ว เราก็จะรู้จิตของเรา
ตอนนี้ ที่เรากำลังว้าวุ่น ไม่สงบอยู่ กับเรื่องนั้นเรื่องนี้
เพราะว่า.. เรากำลังหลง ยึดตัวยึดตน ว่านี่คือตัวของเรา / นั่นคือเรื่องของเรา / โน่นก็เรื่องของเรา
มีแต่ของเราทั้งนั้นเลย .. เราก็เลยเป็นทุกข์
- ยึดตัวเราว่า.. มีจริง
- ยึดเรื่องราว และเหตุต่างๆที่เกิดขึ้นว่า..มีจริง
ความยึดทำให้ทุกข์ ความลุ่มหลงในตัวของเรา ในเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเรา / สิ่งต่างๆทั้งหลาย คิดว่าเป็นเรา.. เราก็เลยทุกข์
ทุกข์ เพราะว่า หลง
ทุกข์ เพราะว่า ยึด
-- เราก็จะรู้ตามอารมณ์ของตน เช่นนี้ละ..
เมื่อเรารู้ตาม.. เราก็จะคลายสิ่งที่เป็นอยู่นั้นออกได้
- ถือเป็นผู้มีปัญญา *
เมื่อเรานั้น.. เกิดภาวะความโกรธ
เรามีความโกรธ โกรธคนนั้น โกรธคนนี้..
- โกรธ ที่เขาทำไม่ถูกใจ
- โกรธ ที่ไม่ได้ดั่งใจเรา
เราก็มีสติตามระลึก รู้ตาม..
ตอนนี้ที่เราโกรธอยู่.. ก็เพราะว่าเรา
ยึดว่า เขาทำเรา
ยึดว่า ไม่ถูกใจเรา
ยึดว่า เราถูก- เขาผิด
.. เราก็เลย มีความโกรธ !
* ความโกรธเป็นไฟที่แผดเผา.. ทั้งตัวของเรา และบุคคลผู้อื่น *
เราไม่ควรโกรธ เพราะว่า.. มันมีแต่จะ
ทำร้าย ทำลายความดีของเรา
ทำร้าย ทำลาย ให้ผู้อื่นต้องพลาดจากความสุข - เจอกับความทุกข์
ช่างมันเถิดหนา !
ความคิดของคนเรา ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเสมอไปหรอก
- มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น..
ด้วยว่าจิตแต่ละดวง มีเหตุที่มาของเชื้อ- ที่แตกต่างกัน
จึงสร้างกรรม ที่ต่างกันไป
จึงก่อเกิดเป็น ความโง่ หรือความฉลาด
ก่อเกิดเป็น แง่มุม หรือมุมมองที่ต่างกันไป.. เป็นธรรมดา
บางที บางสิ่งบางอย่าง เราว่า “ถูกแล้ว”
พอกาลเวลาผ่านไป.. เรามาคิดดู เฝ้าดูมันดีๆอีกทีหนึ่ง - มันก็ยังผิดพลาดได้เลย ในความคิด คำพูด การกระทำของเรา ในคราวครั้งนั้น…
ฉะนั้น.. บุคคลผู้อื่น เขาอาจจะถูก ก็ได้
และเราอาจจะยังมองไม่เห็นสิ่งที่ถูกนั้น ก็ได้ +
บางที เรานี้อาจจะพูดถูกอยู่ - แต่ถูกในมุมของเรา
คิดถูก ทำถูก - แต่มันถูกในมุมของเรา
ส่วนเขา ก็มีแง่มุม มุมมองที่ต่างจากเรา - เขาก็เลยคิดอย่างนั้น.. พูดอย่างนั้น..
... มันก็เลยเป็นเรื่องธรรมดา..
อย่าไปโกรธเขาเลย เขาจะพูดจะทำ / ผลที่กระทำมันจะออกมารูปแบบไหน ก็ตามเถิด..
.. มันก็แค่สมมุติว่า เกิดขึ้นแล้วในเรื่องนั้น เรื่องนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ - เพื่อทดสอบจิตของเราเท่านั้น
- ว่าเรามีความโกรธอยู่หรือเปล่า ?
- จะไปโกรธเขาทำไม ?
- จะให้ความโกรธมาครอบงำเราทำไม ?
เมื่อมีปัญญารู้แจ้งเช่นนี้.. ความโกรธก็จะคลายออกไป
เมื่อเรานั้น มีเชื้อแห่งความโลภครอบงำจิตใจเรา - เราตามระลึกรู้ ว่าจิตเรา ณ.ตอนนี้ มีความโลภนะ เห็นของอะไรดีๆ ก็อยากจะเก็บเอาไว้ / สั่งสมเอาไว้
เก็บสิ่งนั้นแล้ว ก็เก็บสิ่งนี้
ไม่ยอมที่จะแบ่งปันให้กับนักบวช หรือว่าผู้อื่นที่อยู่ด้วย / อยู่ร่วม
ให้เขาได้ใช้ ได้ให้เกิดประโยชน์เผื่อแผ่แก่ผู้อื่นเลย..
เป็นนักบวชผู้สั่งสมข้าวของ หวงข้าวหวงของ.. เป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า ?
- เราตามรู้ “อารมณ์แห่งตน” -
ถ้าเกิดว่า.. ยังมีภาวะของจิตที่เป็นเช่นนั้น
เราก็ต้องพิจารณาว่า.. ที่เราออกบวชมานี้ ก็
/ เพื่อละทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป
/ เพื่อดับความโลภแห่งตน
-- แล้วเหตุใดเล่า เราจึงแสดงของอาการไม่ยอมละออกมา --
สิ่งของใดที่ละเอียดประณีตสวยงาม เราจึงนำมาครอบครอง สั่งสมแล้วสั่งสมอีก
ไม่ยอมแบ่งปัน สละออกไป
มีแต่ความอยากได้ มีแต่ความเสียดาย ลุ่มหลงในสิ่งของเหล่านี้อยู่ได้
สละออกเสียเถิด !
ความโลภจะเป็นเหตุครอบงำ ทำให้เรานั้นเพิ่มกิเลสในตนขึ้นทุกวัน
เราเป็นนักบวช แสดงถึงผู้ที่ละแล้ว จึงเรียกว่า “นักบวช”
ฉะนั้น.. สิ่งเหล่านี้ ไม่ควรมีอยู่ในตัวของเรา
เราก็จะสละออกไป
แบ่งปัน ให้เพื่อนนักบวชด้วยกันก็ดี
แบ่งปัน บริจาคออกไป สละออกไป..
- ให้กับผู้อื่นเขาได้ใช้สอย เขาได้นำไปทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์ -
สิ่งของข้าวของทั้งหลาย - มันก็แค่มีมา
- เพื่อทดสอบความโลภ ความหลงในสิ่งของเหล่านั้น *
เมื่อเรามีปัญญารู้เท่าทันเช่นนี้
.. เราก็จะสามารถที่จะถอดถอน ถอนความโลภออกจากเรา
เมื่อเราตามรู้จิต และรู้ว่า
ตอนนี้ เรากำลังติดและหลงอยู่กับเชื้อของราคะ เชื้อของความรัก - รักในตนในบุคคลผู้อื่นอยู่
เชื้อตัวนี้กำลังทำงานอยู่ในตัวของเรา
เรามาพิจารณาดูเชื้อให้ดี - เราก็จะรู้เท่าทันมันว่า..
การยึดติดในตัวของตน / ยึดติดในตัวของบุคคลผู้อื่น คือ การผูกมัดรัดกันเอาไว้
และเหตุมันก็จะเกิดตามมา คือ การสานต่อทุกสิ่งทุกอย่างให้มันก่อเกิด
เมื่อมีคู่ มีครอบครัว - ก็ต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆทั้งหลาย มาประกอบให้ครอบครัวดี
มาทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สมบูรณ์ ลาภยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง ความสุขความสบาย ความเจริญก้าวหน้าจะต้องมีอยู่ใน ครอบครัวของตน
เป็นเหตุให้ จะต้องไปสร้างสิ่งที่เป็นเหตุของทุกข์ มาพัวพันเราเยอะแยะมากมาย
แค่เราคนเดียว ร่างกายร่างเดียว เรานั้นกินอยู่คนเดียว ใช้อยู่คนเดียว
.. มันก็ยาก ก็ลำบาก ที่จะดูร่างกายนี้จนกว่าจะดับแล้ว
และบัดนี้ จิตของเรายังวิ่งวุ่น อยากได้อยากมี ในสิ่งที่จะมาประกอบ - เพื่อให้มันยุ่งกว่าเดิม.. เพื่ออะไรหนอ
ครอบครัวจะสมบูรณ์เพียงใด - มันก็แค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เมื่อมีพ่อมีแม่ ก็มีลูก
ต้องมีบ้านมีรถ มีสิ่งต่างๆที่สมบูรณ์
แต่วันหนึ่ง.. พ่อต้องจากไป แม่ต้องจากไป หรือลูกก็ต้องจากไป
บ้านก็ต้องจากคนที่สร้างไป
หรือคนที่สร้าง- ก็ต้องจากบ้านไป
ทุกสิ่งและทุกอย่างประกอบขึ้น - เพื่อที่จะแยกออกเท่านั้น !
.. ไม่มีสิ่งใดเลยที่มันจะยั่งยืนอยู่ตลอดไป ++
เหตุใดเล่า !
แค่ที่เรามีอยู่นี้ ก็ทุกข์อยู่แล้ว.. ทำไมเราจะต้องไปดึงเหตุของทุกข์ หลายอย่างมาประกอบกัน ให้มันทุกข์เพื่ออะไรเล่า !
มีเรา และจะทำให้ดับเรา
แค่ขยะกองนี้ ที่จะแยกจะอยู่เหนือมัน จะทิ้งมัน.. ก็สุดแสนจะยาก จะลำบาก
...แล้วเรายังจะคิดที่จะไปดึงขยะหลายๆกอง มากองรวมกัน เพื่ออะไรเล่า !
เหตุที่มันเป็นขยะ เพราะมันเป็นของเน่าเหม็น มันเป็นเชื้อโรค
เป็นเหตุของทุกข์ - ที่ทำให้ดวงจิตของเราทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้ !
เมื่อเราคนเดียว ก็ยุ่งอยู่แล้ว.. เหตุใดเล่า เราจะไปเอาคนนั้นคนนี้ มาทำให้ยุ่งเพิ่ม
เมื่อประกอบขึ้นแล้ว ประกอบมากเพียงใด - ก็ต้องเจ็บต้องปวด ต้องทุกข์ มากเพียงนั้น
เมื่อเวลาจะประกอบขึ้นมา - ก็ทุกข์ เพราะดิ้นรนขวนขวาย
เมื่อมีอยู่ - ก็ทุกข์ เพราะต้องดูแลให้ดี ให้สมบูรณ์ที่สุด ต้องประกอบความสุข ความดีนั้นเอาไว้ให้ได้
เหนื่อยที่ต้องดู ประกอบให้เป็นเช่นนั้น..
เมื่อมันมีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เราไม่สามารถประคองเอาไว้ ให้มันอยู่ตลอดกับเราไปได้..
เมื่อสิ่งนั้นหลุดออกจากสิ่งที่เราประกอบทิ้งไป / หลุดออกไป
.. ไม่ว่าจะเป็น สามี ภรรยา ลูก หรือสิ่งของ ข้าวของ
เมื่อมันเกิด ถึงเวลาดับ - มันดับไป เราก็ต้องเป็นทุกข์มาก - ที่เราไม่สามารถยื้อเอาไว้
ประกอบขึ้น - ก็เป็นทุกข์ *
ดูแลให้มันคงอยู่ - ก็เป็นทุกข์ *
เมื่อมันต้องพลัดพราก ต้องจากต้องดับไป - ก็เป็นทุกข์ *
เหตุใด เราจึงต้องทำให้มันทุกข์เล่า !
- อย่าไปยุ่งกับมันเลย -
เมื่อเราตามรู้จิต มีปัญญาพิจารณาเช่นนี้.. ความรัก ก็ดับลงจากจิตใจของเรา
ตัวเราตามรู้จิตอยู่เสมอ .. ตอนนี้เราทุกข์เพราะอะไร ?
ทุกข์เพราะ หลงในตัวในตน
ทุกข์เพราะ ความรัก
ทุกข์เพราะ ความโลภ
ทุกข์เพราะ ความโกรธ
ทุกข์เพราะว่า ความอยาก และความไม่อยาก
ทุกข์เพราะว่า ยึดติด
สิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยงแท้ - จะยึดติดเพื่ออะไร ?
ทุกสิ่งและทุกอย่าง ที่มันจะเกิดขึ้นหรือดับไป..
มันไม่ได้เป็นไปตามใจ ของเราเลย
- แต่มันเป็นไปตามเหตุของมัน -
มันไม่ได้เป็น ตามความอยากของเราหรอก !
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมรู้ตามเหตุแห่งทุกข์ เช่นนี้ละ
และรู้ตามจิตตน รู้ตามว่าตนนั้นทุกข์ เพราะอะไร..
และมีปัญญาดับทุกข์ ที่มันมีอยู่
-- อย่างนี้ละ เรียกว่าเป็น *ผู้มีปัญญา*
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณที่พระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. แล้วถ้าเกิดว่าเรารู้ว่าทุกข์ รู้ว่าร้อน - แต่เรายังไม่มีปัญญาดับ
นั่นแปลว่า “ปัญญาเรา ยังไม่ถึงการมีปัญญาอย่างแท้จริง”
เราต้องฝึกฝนตนเองให้มีปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ โดยการเพ่งในศีล โดยการทำสมาธิให้มาก
.. อย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย .. ศีลและสมาธิ เป็นสิ่งที่เราควรรักษา / เป็นสิ่งที่เราควรทำ
เป็นเหตุที่จะนำเหตุนั้นไปเกิดเป็นผลของปัญญา ให้เรารู้แจ้ง**
จึงควรทำ และทำอย่างสม่ำเสมอ ทำให้มากเท่าที่จะทำได้ ทำให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนั่นละ ดีแล้ว
-- และปัญญาก็จะเกิดขึ้น จากการหมั่นฝึกฝน ตรึกตรอง ทบทวน หาความจริงของเรื่องราวต่างๆด้วย ++
ฉะนั้น.. มีศีล มีธรรม มีสมาธิ - ต้องฝึกปัญญาด้วยลูก
จึงจะมีปัญญา มากขึ้นเรื่อยๆได้..
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ฟังเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ
แล้วไว้ลูก จะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ
สาธุ