🌷ธรรมะแด่เธอ...ข้อคิด สติ เตือนใจ🌷
..........................
ลูกรัก...พ่อขอบอกแก่ลูกไว้ว่า...
บุคคลที่เป็นที่รักของผู้อื่น
ใช่ว่าจะมีความสุขอยู่ตลอดเวลา
แต่...#บุคคลที่รักผู้อื่นต่างหาก
#ที่มีความสุขอยู่ตลอดเวลา
แต่รักที่ว่านี้ต้องเป็น
#รักด้วยเมตตา........มิใช่ตัณหา
#รักด้วยกรุณา.........มิใช่หวังเอา
#รักด้วยมุทิตา.........มิใช่ต้องการตอบแทน
#รักด้วยอุเบกขา......มิใช่ละเลย นิ่งเฉย
คัดจากหนังสือ คำสอนของ พ่อ
...............................
เผยแผ่จัดทำโดย ทีมงานมูลนิธิเดินจิต
ติช นัท ฮันห์ . . .
❝ วิสัยโลก
จะต้องมีรัก
แต่ให้ “มีสติ”
ควบคุมใจมิให้ความรัก
มีอำนาจเหนือสติ ❞
.
สมเด็จพระญาณสังวร
พระเจ้าปเสนทิ : "พระศาสนาโคดม ชาวเมืองพา
กันเล่าลือว่า พระองค์ทรงสอน...มิให้คนมีความรัก พวกเขาพูดว่า พระพุทธเจ้ายังสอนว่า
ยิ่งบุคคลมีความรักมากเท่าไร เขายิ่งจะมีความทุกข์ ความผิดหวัง มากขึ้นเท่านั้น
หม่อมฉัน...สามารถเห็นความจริงบางอย่าง
ในคำสอนนั้น แต่...หม่อมฉันไม่สามารถ
พบความสงบกับคำสอนเช่นนี้
ปราศจากความรัก...ชีวิตเหมือนว่างเปล่าจาก
ความหมาย โปรดช่วยหม่อมฉันแก้ปัญหานี้เถิด"
พระตถาคตเจ้า ทรงทอดพระเนตรพระราชา
อย่างอบอุ่น
"มหาบพิตร...พระราชปุจฉาของพระองค์นั้น
ดีมาก คนทั้งหลายย่อมได้รับประโยชน์
จากคำถามนี้
ความรัก...มีหลายประเภท เราควรศึกษา
ธรรมชาติของความรักแต่ละประเภท
ให้ถ่องแท้
ชีวิต...ย่อมต้องการความรักอย่างมาก
แต่...มิใช่ความรักที่อยู่บนฐานของราคะตัณหา
ความยึดติด ความแบ่งแยก และอคติ
มหาบพิตร ยังมีความรักอีกประเภทหนึ่ง
เป็นความรักที่มีความสำคัญยิ่งนัก
ความรักนี้...ประกอบด้วย
ความปรารถนาดีและความต้องการ
ให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือที่เรียกว่า
เ ม ต ต า และ ก รุ ณ า
ปกติ...เมื่อคนพูดถึงความรัก
พวกเขามักจะหมายถึงแต่เพียง
ความรัก...ระหว่างพ่อแม่กับลูก
ความรัก...ระหว่างสามีภรรยา
ความรัก...ระหว่างคนของความคิดที่มี
'ตัวฉัน' และ 'ของฉัน'
ซึ่งยังหมกหมุ่นอยู่กับ"ความติดยึด"
และการแบ่งแยก ผู้คนต้องการรักเฉพาะพ่อแม่
คู่ชีวิต ลูก ๆ หลาน ๆ ญาติพี่น้อง
และเพื่อนร่วมชาติของพวกตนเท่านั้น
เพราะคนเหล่านี้...จมอยู่ในปลักแห่ง
ความติดยึด แม้ว่าเหตุร้ายเหล่านั้น
จะยังไม่เกิดขึ้นจริงก็ตาม
เมื่อเหตุร้ายนั้นเกิดขึ้น พวกเขาก็จะ
ทุกข์โทมนัสอย่างสาหัส
ความรัก...ที่วางอยู่บนพื้นฐานของ"การแบ่งแยก"
ก่อให้เกิด...อคติ ผู้คนจะเกิดรู้สึกไม่พอใจ
หรือกระทั่งเป็นปฏิปักษ์ต่อบุคคลที่อยู่
นอกรัศมีแห่งความรักของเขา
ความติดยึด และ การแบ่งแยก
เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของพวกเรา
และผู้อื่น
มหาบพิตร...
ความรัก...ซึ่งชีวิตทั้งปวงต้องการ
อย่างแท้จริง คือ...
ค ว า ม เ ม ต ต า และ ค ว า ม ก รุ ณ า
เมตตา..คือ...
ความรัก ที่จะนำความสุขมาให้ผู้อื่น
กรุณา...คือ...
ความรัก ที่จะช่วยขจัดทุกข์ให้แก่ผู้อื่น
เมตตา - กรุณา ไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน
เมตตา - กรุณา ไม่จำกัดขอบเขตเฉพาะแต่พ่อแม่
คู่ชีวิต ลูกหลาน ญาติพี่น้อง คนวรรณะเดียวกัน
และเพื่อนร่วมชาติ
เมตตา - กรุณา ขยายขอบเขตสู่มวลมนุษย์
และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ในเมตตา - กรุณา ไม่มีการแบ่งแยก
ไม่มี 'ของฉัน' หรือไม่มี 'ไม่ใช่ของฉัน'
และ...เพราะไม่มีการแบ่งแยก
จึงไม่มีการติดยึด
เมตตา - กรุณา สร้าง..สุข บรรเทา...ทุกข์
ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์และความผิดหวัง
ปราศจาก...เมตตา - กรุณา
ชีวิตจะว่างเปล่าจากความหมายดังที่
พระองค์ทรงกล่าวไว้
หากมี...เมตตา - กรุณา
ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วย...ศานติ
ความเบิกบาน และ ความพึงพอใจ
มหาบพิตร พระองค์เป็นผู้ปกครอง
ราชอาณาจักร พสกนิกรทั้งปวง
ของพระองค์จะได้รับประโยชน์จากการ...
บำเพ็ญเมตตา - กรุณาธรรมของพระองค์"
"ความรัก...คือ...ความเข้าใจ"
คือเมฆสีขาว...ทางก้าวเก่าแก่
เมื่อเธอมีจิตพุทธะ
เธอจะกลับเข้าสู่ความธรรมดา
แต่เธอจะเป็นคนธรรมดาที่ตื่นแล้ว...
และเมื่อเธอตื่นแล้ว
เธอจะค้นพบความจริงอันสูงสุด ที่ละเอียดลึกซึ้ง
ที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสภายนอก
:
:ความจริงอันสูงสุดนั้น เรียกว่า "สัจธรรม"
:
:เมื่อเธอรู้จักสัจธรรม
เธอจะเกิดความเข้าใจของความเป็นไปของสรรพสิ่ง
เมื่อเธอเข้าใจสรรพสิ่ง
เธอก็จะวางความคิดเป็น
วางอารมณ์เป็น
วางกิเลสเป็น
วางอัตตาเป็น
และวางความกลัวเป็น...
:
:เมื่อเธอวางเป็น
เธอก็จะไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆที่เสื่อมสลายได้
:เมื่อไร้การยึดติด เธอก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่า
:แต่ทว่าความว่างเปล่านั้นได้ห่อหุ้มทุกสรรพสิ่งไว้ข้างใน
:
:เหมือนเธอได้ยืนมองความเป็นไปของสรรพสิ่งจากจุดศูนย์กลางของวงกลมการขับเคลื่อน
ของวัฏจักรแห่งการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และการดับไป
:
:เช่นนั้นแล้ว
เธอก็จะกลับคืนสู่ความเป็นอันสูงสุดดั่งที่เธอเป็นมา
:
:นั่นหมายถึงว่า เธอจะกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ
ที่เรียกว่า "พุทธะ" และ "พระเจ้า"
:
พุทธะและพระเจ้า คือ ธรรมชาติ
ธรรมชาติ ก็คือ ความธรรมดา
:
และความธรรมดานี้เอง
คือจุดเริ่มต้นของการเดินบนทางสายกลางอันเบิกบาน
:
และสุดท้ายทางสายกลางจะนำพาเธอ
ไปสู่การหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง
รวมทั้งพันธนาการจากภาระกรรมทั้งหมด...
:
:เพราะการเป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวงนั้น
คือสิ่งที่เธอทุกคนร่ำร้องเรียกหามาตลอด
ทั้งจากในอดีต ทั้งจากปัจจุบัน และในอนาคต...
:-อนันดารายา-
26/03/63
อัศจรรย์ความรัก
ความรัก ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ทำให้ เกิดการดูดซับพลังงาน และ ขยายตัวเคลื่อนไหว ของพลังงานออกไปไกลทั่วจักรวาล เกิดภาวะสมดุลทางจิตใจ พลังงานความรัก เป็นอิสระ
และไม่เป็นอันตราย บุคคลที่มีความรักอย่างแท้จริงแล้ว จะสามารถดูดซับพลังงานเข้ามา อย่างมหาศาล
และลอยตัวขึ้นสู่สมอง ซึ่งพลังงานจะมาพร้อมกับน้ำ ลอยขึ้นสู่สมอง (น้ำมีประจุไฟฟ้าอยู่มาก)
….ส่วนกระแสความเกลียดชัง จะทำให้พลังงานประจุไฟฟ้ากระจุกตัว ตามร่างกาย ไม่ขยายออก
สมองหลั่งสารความเครียด กดดันมาก ก่อเกิดภาวะ สับสน เร่าร้อน ทุกข์กระสับกระส่ายร่างกายทรุดโทรม
....การรักทุกสรรพสิ่ง โดยไม่คาดหวัง รักด้วยใจ ใจนั้นจะขยายเป็นจักรวาล ดูดซับประจุไฟฟ้า พัฒนาน้ำในสมอง ให้รวมเส้นแสงจักรวาล พลังจักรวาลเข้าไว้ ณ ที่เดียวกัน
จึงทำให้ระยะทางหายไป กาลเวลาหายไป ..
....ความรักอันยิ่งใหญ่ จะทำให้เกิดการดูดซับประจุอย่างมหาศาล เกิดความเร็ววงรอบสูง สารแห่งความสุขจะหลั่งได้ตลอด นึกกี่ครั้ง หรือแค่ได้ยินเสียง เห็นใบหน้าแม้กระทั่งกลิ่น จะเกิดกระแส จิตวิญญาณอัตโนมัติ และเมื่ออธิษฐานสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นจะเป็นจริงตามที่ขอ
..และเมื่อนึกถึงความรักความเมตตา (อัปปมัญญา).. จะเกิดการขยายชั้นของพลังงานออกไปเป็นวงกว้าง ทำให้จักระ 4 (หัวใจ) ขยาย จึงทำให้จักระ1(ก้นกบ) ขยายอย่างไม่รู้จบ จึงทำให้คนที่มีความรัก
มีพลังงานคุณฑาลินี ที่ลอยตัวสูงจากข้างล่าง
..เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มีจำประจุไฟฟ้ามหาศาล
เกิดการแตกระเบิดของพลังงาน ประจุไฟฟ้าขยายวงรอบออกไปไกล มีความเร็ววงรอบสูง
... สามารถเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล
**... ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักที่แท้จริง เป็นสัญญาจิตวิญญาณอัตโนมัติ เพราะเมื่อบอกรักด้วยใจแล้ว
ใจจะขยายเป็นจักรวาล ยิ่งบอกรักวันละหลายๆหน(แผ่เมตตา) จะเกิดการขยายตัวของประจุออกไป
.. ทำให้คนที่บอกรักมีความสุข สารเอนโดฟินหลั่ง เมื่อสารแห่งความสุขเกิด ก็จะสร้างภูมิคุ้มกัน
***...ทุกศาสนา จึงสอนให้แผ่ความรัก ความเมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่แบ่งแยกทั้งนั้น
ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ใจจึงจะเป็นอิสระ ใจจะขยายเป็นจักรวาลและมีอำนาจ
... มันคือพลังจิตจากความรักอย่างโดยแท้ และนำพาไปสู่ความเป็นนิรันดร์..
Suchittra Guggaih Pu On
“ความสุขที่ปรารถนา”
ความสุขที่เกิดจากความสงบของจิต ที่เราปรารถนากันนักกันหนาเรียกว่าสันติสุข ความสุขที่เกิดจากความสงบนั้น ต้องอาศัยการควบคุมจิตใจให้อยู่นิ่ง เหมือนกับที่เรามานั่งอยู่นี่ เราสามารถควบคุมร่างกายเราได้ ร่างกายเรานั้น ไม่ใช่เป็นของยากที่จะบังคับ สามารถให้นั่งนิ่งได้ ชั่วโมง สองชั่วโมงนี่ พอบังคับกันได้ แต่จิตใจนี่ ให้มันนิ่งได้แม้กระทั่งเพียงสองสามนาทีก็รู้สึกว่ายากเหลือเกิน ให้มันอยู่กับคำว่าพุทโธ พุทโธ ไม่ให้ไปคิดเรื่องราวต่างๆ ก็รู้สึกว่ามันแสนจะยาก ที่มันยากก็เพราะว่าเราขาดเหตุปัจจัย คือตัวที่จะควบคุมจิตใจนั่นเอง
ตัวที่จะควบคุมจิตใจเราเรียกว่าสติ ความระลึกรู้ ความระลึกรู้หมายถึง ทำให้รู้อยู่กับปัจจุบัน ให้รู้อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ รู้อยู่ว่าใจกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเรานั่งอยู่ ก็ให้ใจรู้อยู่กับการนั่ง ให้รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ที่เราเรียกว่าอานาปานสติ ถ้ารู้อยู่ตรงนี้ รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ก็ถือว่าเรามีสติควบคุมใจ โดยใช้การกำหนดรู้ลมเป็นเครื่องควบคุมใจ อานาปานะ แปลว่าลมเข้าลมออก
สติแปลว่าการระลึกรู้ อานาปานสติคือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นวิธีควบคุมจิตใจให้มันนิ่ง
ถ้าจิตใจถูกควบคุมอยู่กับลมได้โดยสม่ำเสมอต่อเนื่องกัน จิตก็จะค่อยๆ สงบตัวลง ค่อยๆ นิ่ง ค่อยๆ นิ่ง และในที่สุดมันก็จะหยุดนิ่งไปเลย เมื่อหยุดนิ่งแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ เกิดขึ้นมาภายในจิตใจ ซึ่งเราไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นความรู้สึกที่มันว่างเปล่า เวิ้งว้าง เบาอกเบาใจ เกิดความปิติ เกิดความสุข บางทีขนลุกซ่าขึ้นมาในขณะนั้น หรือน้ำตาอาจจะไหลออกมา เพราะเป็นความรู้สึกที่มันอัศจรรย์ใจ เป็นสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต นี่คือความสุขที่เกิดจากความสงบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า นัตถิสันติปรังสุขัง ไม่มีสุขไหนจะเท่ากับความสงบ สุขอื่นที่จะเหนือกว่าความสุขที่เกิดจากความสงบของจิต ไม่มีในโลกนี้ ต่อให้มีเงินมีทองกี่ร้อยล้านกี่พันล้าน สามารถซื้อข้าวซื้อของ สร้างตึกสูงเป็นร้อยๆชั้น มีรถยนต์ราคาคันละสิบๆล้านก็ตาม ความสุขที่ได้จากสิ่งเหล่านั้นไม่เท่าธุลีเมื่อเปรียบเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
สมาธิก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เป็นธรรมเบื้องต้นเท่านั้นเอง ยังมีความสุขที่เหนือกว่าสมาธิอีก คือสุขที่เกิดจากปัญญา สุขที่เกิดจากการหลุดพ้นวิมุตติ อันนี้เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติที่เราต้องไต่ขึ้นไป จากสุขที่เราได้รับจากการให้ทาน สู่ความสุขที่เกิดจากการรักษาศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สู่ความสุขของสมาธิ ขณะที่จิตสงบตัวอยู่นั้น จิตจะไม่มีอาการดิ้น จิต จะไม่หนีไปไหนโดยที่เราไม่ต้องบังคับ คือหลังจากที่เรากำหนดลมหายใจและจิตค่อยๆ สงบเข้าไป จนกระทั่งจิตเข้าไปรวมตัวลง เราเรียกว่าจิตรวมลงเป็นสมาธิ พอรวมตัวลงเป็นสมาธิแล้ว ในขณะนั้นเราไม่ต้องไปกำหนดสติ เราไม่ต้องไปกำหนดลมอีกต่อไป ขณะนั้นเราก็ปล่อยวางลมไป ลมก็หายไป จิตรวมอยู่เฉยๆ ตั้งนิ่งอยู่ในขณะนั้น ถ้าเป็นนักโทษ นักโทษตอนนั้นก็ไม่วิ่งหนีแล้ว นักโทษเหนื่อยวิ่งไม่ไหวก็นั่งอยู่เฉยๆ ตำรวจผู้ที่จะต้องคอยตามจับนักโทษก็ไม่ต้องคอยมานั่งเฝ้า
เพราะฉะนั้นขณะที่จิตเข้าสู่สมาธิ จึงเป็นขณะที่มีความสบาย ไม่มีความเครียด จากการที่ต้องคอยควบคุมจิตใจ เหมือนกับขณะที่เรากำลังเจริญอานาปานสติ ขณะที่เราเจริญอานาปานสติ จะเกิดความรู้สึกการต่อสู้กัน ระหว่างการมีสติกับการเผลอสติ เวลามีสติก็รู้อยู่กับลม เวลาเผลอสติ ก็ไปคิดอยู่กับเรื่องราวต่างๆ นานา คิดเรื่องโน้นบ้าง คิดเรื่องนี้บ้าง พอได้สติ ก็ดึงกลับมาหาลม ช่วงนั้นมันเป็นเหมือนกับการชักคะเย่อกัน เกิดความตึงเครียดระหว่างการต่อสู้กันสองฝ่าย ฝ่ายที่พยามจะดึงจิตไว้ กับฝ่ายที่พยามจะฉุดจิตให้ไปตามอารมณ์ต่างๆ แต่ถ้าฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าเป็นฝ่ายสติ คือฝ่ายธรรมะ ถ้าสามารถรั้งจิตไว้ให้อยู่ได้ กระทั่งฝ่ายที่จะฉุดจิตให้ไปตามกระแสอารมณ์ต่างๆนั้น หมดกำลังลง จิตก็จะรวมตัวลง พอรวมตัวลงปั๊บ ก็เหมือนกับทีมสองทีมที่ชักคะเย่อกัน พอทีมหนึ่งยอมแพ้ ไม่มีกำลังที่จะต้านทานแล้ว ฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าก็ไม่ต้องออกกำลังอีกแล้ว พอเขาปล่อย ความตึงเครียดมันก็หมดไป จิตเวลาเข้าสู่สมาธิก็เป็นในลักษณะนั้น มันหมดความตึงเครียดไม่ต้องมาคอยควบคุมจิตอีกต่อไป ไม่ต้องตั้งสติแล้วในขณะนั้น คือขณะนั้นสติมีแล้วโดยอัตโนมัติ มันรู้อยู่กับจิต ตัวสติกับจิตตอนนั้นมันรวมกันเป็นหนึ่ง ที่เราเรียกว่าจิตรวม หรือสักแต่ว่ารู้ จิตรู้อยู่ตามลำพังของตัวเอง รู้อยู่ว่าขณะนี้จิตไม่คิดไม่ปรุง จิตไม่คิดอยากจะไปโน่นมานี่ จิตสงบอยู่ จิตอยู่เฉยๆ
อันนี้แหละเป็นความอัศจรรย์ใจเป็นความสุขที่ผู้ใดเมื่อได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้แล้ว จะยินดีที่จะสละความสุขต่างๆ ที่เคยมีมาก่อน เคยมีความสุขอยู่กับการอยู่บ้านใหญ่โต อยู่ในพระราชวัง มีบริษัทบริวาร มีข้าวของเงินทองต่างๆ ที่จับจ่ายใช้สอยเหลือเฟือ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายกับจิตดวงนั้นอีกต่อไป จิตดวงนั้นจะพยายามแสวงหาแต่ที่สงบ ที่วิเวก ที่สงัด พยายามหลบหลีกคน เมื่อก่อนนี้เป็นคนที่ชอบสังคม เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นคนเบื่อสังคม ไม่อยากจะพูดคุย ไม่อยากจะเจอใคร เพราะเสียเวลา พูดไปมันก็เท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่เหมือนกับหลบไปอยู่ตามลำพังที่ไหนเงียบๆ นั่งกำหนดจิต นั่งดูลมหายใจเข้าออก ไม่ให้จิตไปคิด ไปปรุง แล้วจิตก็รวมลงเป็นสมาธิ อันนั้นแหละเป็นความสุขที่แท้จริง.
กัณฑ์ที่ ๑ พรรษา ๒๕๔๐ (กำลังใจ ๑)
“กามสุขเป็นทุกข์”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต