การพิจารณาเห็น " การเกิดขึ้น " แห่ง " ปัญจุปาทานักขันธ์ "
และ " การดับลงไป " แห่ง " ปัญจุปาทานักขันธ์ " .. เป็น " สุดยอดวิปัสสนา "
นี้เป็น สมาธิภาวนา เป็นไปเพื่อ " ความสิ้นไปแห่งอาสวะ "
..
พระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
//อนุตตรสัมมาสัมโพธิ //
คือ ปัญญาอันวิเศษสุด พาพ้น จาก การเวียนนว่ายตายเกิด มีอยู่ในทุกคน เสมอกัน มิแตกต่างกันเลย
พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเปล่งวาจายืนยันสัจธรรมข้อนี้ไว้ว่า
"แปลกจริงหนอ เวไนยสัตว์ทั้งปวงต่างมี"อนุตตรสัมมาสัมโพธิ"เหมือนกันหมดทุกคน ต่างกันแต่เพียงมี"ผู้รู้"กับ"ไม่รู้"เท่านั้น"
เพราะความไม่รู้ จึงเป็นเสมือนเมฆหมอก บดบัง "ธรรมญาณ" ให้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ อายตนะหกได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ลืมเลือน "ธรรมญาณ" อันแท้จริง
เรา จึงตกอยู่ในวังวนแห่ง"ความหลงใหล" ขาดความเป็นอิสระ ขาดปัญญาพิจารณาธรรม ไม่เห็นถึงสัจธรรมแท้จริง
การที่บุคคลจะทำจิตให้บริสุทธิ์ได้
จะต้องคลาย"ความยึดถือ"ใน"ตัวตน"
ใน"รูป นาม" และใน"อารมณ์"ทั้งหลาย
ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ ๖
ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ
ให้เป็น ๑ อยู่เสมอ อย่าให้กลายเป็น
เลข ๒-๓-๔-๕ ฯลฯไปได้
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
อาการ ๓๒ อาการใดอาการหนึ่ง..เมื่อโยมพิจารณาแล้วเห็นสภาวะความไม่เที่ยง ไอ้ความไม่เที่ยงมันต้องพิจารณาให้ถึงความเบื่อหน่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ายังไม่เบื่อแสดงว่ายังไม่ถูกจริต ให้พิจารณาเรื่อยไปอีก เรื่อยไปอีก..จนมันแคบลง แคบลง เค้าถึงบอกว่ามันอยู่ที่ปัญญาอยู่ที่สติเรา ถ้าสติเรายังไม่ตั้งมั่น อย่าเพิ่งไปพิจาณาอะไรที่มันกว้างๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ความไม่เที่ยง..คืออะไร ก็อารมณ์ใดที่เรายกขึ้นมาเค้าเรียกปรารภธรรม ตรึกตรองในธรรม "อารมณ์เหล่าใด"
"ธรรมเหล่าใด เหล่าหนึ่ง"ก็ดี เมื่อเราพิจารณาแล้วเห็นสภาวะไม่เที่ยง เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..แล้วดับไปนั่นแล แล้วถ้าเห็นแล้วมันทำให้เราสลดเกิดความสังเวช ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในกายสังขารนี้ เกิดความละความพอใจ อย่างนี้แล้วให้เราพิจารณาอารมณ์นั้นเป็นหลัก
พอเราพิจารณาอารมณ์นั้นเป็นหลักแล้ว แล้วเข้าถึงอารมณ์นั้น เข้าถึงความสงบ ก็เอาความสงบนั้นเจริญวิปัสสนาญาณเป็นวิปัสสนาได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าสมถะที่เรายกขึ้นมาเป็นอาการ ๓๒ ก็ดี..เอามาพิจารณาอสุภะก็ดี เพื่อแก้อาการจริตของเรา บางคนมีโทสะจริต มีโมหะจริต มีราคะจริตเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จริตพวกเหล่านี้มันทำให้จิตเรามันฟุ้ง จิตเราไม่รวมเป็นหนึ่ง จิตเราไม่สงบ จิตเราไม่ตั้งมั่น จิตเราไม่เป็นเอกัคคตา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แสดงว่าเค้าทำให้เรานั้น..อุบายทั้งหลายทำให้เรานั้นได้เข้าถึงความสงบ เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ บางคนก็พุทโธ บางคนก็ยุบหนอ พองหนอ, สัมมา อะระหัง, พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พวกเหล่านี้มันเป็นองค์บริกรรม องค์ภาวนา เป็นอุบายให้จิตนั้นเข้าถึงความสงบ
เพราะการเราเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ในการดูองค์ภาวนาก็ดี ดูองค์บริกรรมก็ดี เค้าเรียกว่าจิตเป็นฌาน เพราะการเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เช่นว่า ภาวนาพุทโธ..ก็พุทโธอย่างเดียว อย่างนี้เค้าเรียกว่าวิตก วิจาร อยู่ในปฐมฌานแล้ว ดังนั้นแล้วอาการใดอาการหนึ่งก็ดีใน ๓๒ ที่โยมได้พิจารณา ยกมาข้อหนึ่ง..
บางคนก็ถูกจริตสัณฐานในกระเพาะอาหาร มีอาหารเก่าอาหารใหม่คั่งค้าง บางคนก็พิจารณาสัณฐานในน้ำเลือดน้ำหนองอย่างนี้ บางคนก็พิจารณาร่างกายสังขารเป็นท่อน เป็นชิ้น เป็นอัน แยกออกจากกัน ขาขาด หัวขาด บางคนก็พิจารณาสัณฐานคือความอืดเน่าพองว่าศพ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วันอย่างนี้มีสัณฐานสีเขียวสีแดง ช้ำเลือดช้ำหนอง ไหลคลุ้งแบบอย่างนี้
ก็พิจารณาอย่างนี้ แล้วพิจารณาแล้วมันเข้าถึงจริตเรา มันทำให้จิตเราตื่นรู้ ทำให้เรานั้นคลายจากความยึดมั่นถือมั่น คลายจากความกำหนัดเสียได้ นั่นแล..อย่างนี้แล
เค้าเรียกว่าเราถูกจริต ให้เราพิจารณาให้บ่อยๆ เมื่อพิจารณาเข้าถึงความสงบได้นั่น แล เราก็เจริญวิปัสสนา
ถ้าโยมเจริญวิปัสสนาเจริญปัญญาอยู่ขณะนั้น แม้มีความง่วงก็ดี..ความง่วงมันจะค่อยๆสลัดหายออกไปหายออกไป เพราะว่าอะไรรู้มั้ยจ๊ะ เพราะว่าแสงปัญญาเมื่อสาดส่องไปที่ใด..อวิชชามันจะอยู่ไม่ได้ ก็เหมือนว่าที่ไหนมันรกร้าง มันเป็นป่าชัฏ เมื่อโยมไปถางมันเตียนแล้ว โยมเห็นทุกอย่างแล้ว..ความกลัวโยมจะมีมั้ยจ๊ะ มันก็ไม่มีความกลัว
แสงสว่างที่เราสาดไปนั่นแล เมื่อเห็นแล้วมันทำให้จิตเราเบิกบาน สว่าง อะไรที่ถูกปกปิด ก็จะเห็นตามความเป็นจริง มั้ยจ๊ะ ไอ้ที่เรายังมีความลังเลสงสัย แสดงว่าจิตเรายังไม่สว่าง จิตเรายังไม่ตื่นรู้ มันจึงเห็นแจ้งแทงตลอดไม่ได้ ดังนั้นอาการเหล่านี้ ธรรมเหล่านี้ เค้าเรียกธรรมสังเวช ทำให้เราเกิดธรรมสังเวชเกิดขึ้น
ธรรมสังเวชเมื่อเราพิจารณาแล้วทำให้เราเกิดความสลดหดหู่ หดหู่นี่ไม่ได้บอกทำให้จิตเราหดหู่ แต่หดหู่หมายถึงว่าทำให้จิตเราตื่นรู้ เห็นตามความเป็นจริงว่าอะไรมันปกปิดซ่อนอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ปกปิดซ่อนอยู่ที่ใต้สิ่งที่เรา
" หลง.ยึดมั่นถือมั่น" มาเนิ่นนาน บางคนก็ยึดมั่นถือมั่นมาเนิ่นนานในกายสังขารนี้ว่าเป็นของกู ใช่มั้ยจ๊ะ ไปหลงพิถีพิถันบำรุงบำเรอมาเนิ่นนาน จนมาบัดนี้ก็ยังเหี่ยว ก็ยังหย่อน ก็ยังยาน ก็ยังคล้อย ก็พิจารณาไป..
ดังนั้น แล้วอะไรก็ตามที่โยมพิจารณาแล้วมันเป็นไปในทาง เพื่อการละ เพื่อทำให้โยมนั้นเกิดความสลดหดหู่เศร้าหมอง ความไม่เที่ยง..นั่นเรียกว่ากรรมฐาน ทั้งนั้น
โยมจะยกข้อใดข้อหนึ่งก็ดีเอามาพิจารณา แสดงว่าโยมกำลังเจริญพระกรรมฐานอยู่
ถ้าอารมณ์เหล่าใดนั้นโยมเกิดความพอใจ เกิดความเคลิบเคลิ้มใจ เหล่านั้นไม่เรียกว่ากรรมฐานเลย แบบนั้นเค้าเรียกว่าจิตเรานั้นอยู่ภายใต้ของ"กามคุณ"อยู่
ไอ้พวกกามคุณนั้น ต้องทำอย่างไร ต้องแก้ด้วยอะไร ถ้ายังแก้ไม่ได้ ยังพิจารณาธรรมอะไรยังไม่ได้ ปัญญามันยังไม่มากพอที่จะไปพิจารณาในธรรม ให้เรามีภาวนา คำว่าภาวนาเหมือนว่าเป็นหลัก เหมือนไม้ไปปักหลักไว้ ให้จิตเรานั้นจับไว้ แสดงว่าอารมณ์นั้นจิตมันยังไม่สงบ แสดงว่ามีอารมณ์มาพัดพาทำให้จิตเราฟุ้ง
เพราะว่าจิตนี้จะว่าเป็นจิตก็ยังไม่ได้ มันจะเป็นสภาวะธรรมสภาวะหนึ่ง ถ้าเราไม่มีหลักแล้ว..จิตนี้เลื่อนลอยมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เลื่อนลอยค่ะ) เราต้องจับไว้ ไอ้การที่ไปจับจิตเลย..เอาอะไรไปจับมัน เอามือไปจับมันได้มั้ยจ๊ะ จับมันก็ไม่ได้ ก็เรียกว่าจิตนี้มันก็ไม่ใช่จิตเลยทีเดียว
แต่ไอ้สิ่งที่จับได้ก็คือ..คือ การไปจับ"ใจ"
ใจเราไปยึดไปพอใจอะไร เราเอาสติไปรู้อยู่ตรงนั้น
คือไปรู้อารมณ์ตรงนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้น..จิตนี้ เราจึงต้องมีองค์ภาวนา เพื่อให้จิตมันอยู่กับภาวนา จิตอยู่กับภาวนา จิตอยู่กับพระรัตนตรัย ก็เหมือนที่ดวงจิตสุดท้ายที่โยมจะไป จิตที่โยมทำอะไรจิตที่โยมระลึกถึงอะไรอยู่..จิตโยมก็อยู่ที่ตรงนั้นก่อนที่โยมจะไป ก่อนที่โยมจะหลับนอน เข้าใจแบบนี้มั้ยจ๊ะ นั้นฝึกให้มันเคยชิน..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ที่โยมเดินกันเดินมีสติมั้ยจ๊ะ แล้วหาอะไรเจอกันบ้างจ๊ะ แล้วโยมรับกรรมฐานไปแล้ว ทำไมไม่สำรวมกาย วาจาให้มันดีล่ะจ๊ะ ในลานกรรมฐาน..ยิ่งโยมสงบมากเท่าไหร่ ศีลโยมก็บังเกิดมากเท่านั้น อันว่าสำรวมกาย วาจา ใจก็คือศีลให้เกิดขึ้น จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัย แล้วที่โยมเดินกันเดินได้อะไรบ้างจ๊ะ ถ้าโยมได้สติได้สมาธิโยมต้องมีกำลังจิต ความหดหู่เศร้าหมองใจย่อมจะไม่บังเกิดกับโยม หรือกับบุคคลใดที่ปฏิบัติได้แบบนั้น
เดินเพื่อให้มันขับไล่สิ่งอัปมงคลหรือนิวรณ์ ที่มันมาปกคลุมดวงจิต เดินให้พิจารณา..เมื่อเท้าเราสัมผัสพื้นก็จะเกิดความรู้สึก ไอ้"ความรู้สึก"นั่นแหล่ะคือผัสสะ จะทำให้เกิด"สติ"เกิด"ตัวรู้"ไปกระทบให้"รู้ รูป-นาม" แล้วถ้าโยมไม่เอารูป เอานาม มาประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วโยมจะเอาอะไรปฏิบัติจ๊ะ..
บางคนก็เดินทอดน่อง บางคนก็เดินทอดอารมณ์ รู้จักเดินทอดอารมณ์มั้ยจ๊ะ เคยทอดปลามั้ยจ๊ะ ทอดปลาก็อยากจะให้สุกอย่างเดียว ไอ้พวกเดินทอดอารมณ์ก็จะเดินอย่างเดียว คือการเดินทอดอารมณ์นั้นชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว คือเดินตามอารมณ์ชองกูน่ะ กูจะเดินยังไงก็เรื่องของกู
นี้โยมไม่มีสติกับการเดิน การสำรวมกาย วาจา ใจ การเดินที่โยมเดินโยมก็ต้องรู้ เท้าโยมก้าวออกไปสัมผัสนั้น..ในขณะที่โยมสัมผัส โยมไปเหยียบลูกหินที่มันมีคมมีแหลม โยมรู้สึกอย่างไร บางคนสติไม่เท่าทัน..สะดุ้ง ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วถ้าคนมีสติน่ะเค้าสะดุ้งก็จริง..แต่เค้าจะไม่ยกเท้าหนี เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะคนที่ยกเท้าหนีเค้าเรียกกลัว เกิดความกลัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วพอกลัวแล้วโยมก็ต้องคอยระวัง ไม่กล้าลงเท้าเต็ม เดินเขย่งเท้าเหมือนผู้ดีตีนแดง ตะแคงตูดเดินแบบนั้น โยมมาทำอะไรกันจ๊ะถ้าแบบนี้
อันว่าการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงกรรมฐาน คือการละอารมณ์ ทีนี้โยมไม่สร้างอารมณ์ก่อน มันจะมีอารมณ์มั้ยจ๊ะ โยมจะรู้อารมณ์มั้ยจ๊ะ
"อารมณ์เหล่าใดก็ตาม"ที่มากระทบ มาสัมผัส เรียกว่าเป็น"เหตุแห่งทุกข์"ทั้งนั้นหรือเรียก"เหตุแห่งธรรม"
ถ้าโยมไม่เห็นเหตุแห่งธรรมแล้ว โยมจะเอาธรรมที่ไหนมาพิจารณาให้เกิดปัญญาล่ะจ๊ะ แล้วโยมจะมองตับไตไส้พุงโยม แล้วโยมจะมองเห็นมั้ยจ๊ะ โยมก็ย่อมมองไม่เห็น ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะโยม"ยังหลงอยู่ว่าสวยว่างาม ว่านี่ตัวกูของกู" บางคนเดินไปพิจารณาเล็บเท้า โอ้..เล็บไม่สวยซะแล้ว
นั้นความกลัวเราจะกำจัดได้อย่างไร เราก็ต้องมีภาวนาจิต มีสติกำหนดรู้ ใช่มั้ยจ๊ะ นี้โยมยังไม่รู้สึก..ว่าถ้าเราเหยียบไปเต็มๆเท้า ลงน้ำหนักลงไปแล้วจะเป็นอย่างไร การเดิน การนั่ง การยืน อันที่จริงแล้วเมื่อโยมผ่านไปทางใด แม้ทางนั้นมีหนามโยมก็ต้องเดินถ้าเป็นผู้นักปฏิบัติจริง
เพราะอะไรเล่า..นั่นแหล่ะคือวิบากกรรมของเรา แต่ถ้าคนมีปัญญามันคงไม่โง่ไปเหยียบหรอกจ้ะ ใช่มั้ยจ๊ะ มันก็เดินข้ามไปสิจ๊ะ แต่เดินทางเดียวมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ฉันบอกอย่างนี้ อ้อ..อย่างนี้ก็ต้องเหยียบลุยไปเลย ก็สมควรแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นโยมก็ต้องเดินข้ามเอาสิจ๊ะ อันนั้นมันเกินวิสัยของเรา
แต่ถ้าโยมไปเหยียบลูกหินที่มันมีคม มันทำให้โยมสะดุ้ง ไอ้ตัวสะดุ้งนี่มันทำให้โยมมีสติขึ้นมา ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วถ้าโยมไปใส่รองเท้า..โยมมีสติมากน้อยแค่ไหนล่ะจ๊ะ นั้นการจะประพฤติปฏิบัติ ทำอะไรมันต้องสัมผัสให้ครบ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ครบธาตุทั้ง ๔
แต่ถ้าโยมจะนั่งสมาธิเจริญจิตภาวนา โยมก็ต้องนั่งเอาขาคู้ เอาขาขวาทับเท้าซ้าย นิ้วโยมน่ะ..นิ้วโป้งก็ต้องชนกัน เพื่อให้ธาตุไฟเตโชนี้มันหมุนเวียนครบรอบ ไม่ต้องชนกันได้มั้ยจ๊ะ อ้าว..แบบนี้ไม่มีใครบัญญัติว่าไม่ได้ แต่ธาตุโยมจะเสีย สมาธิจะรวมตัวกันยาก เพราะเมื่อมันไม่เกิดพลังงานแล้ว มันไม่จดจ่อไม่ต่อเนื่อง พลังงานก็จะออกจากเราไป นี้เค้าเรียกว่าจะทำให้กายสังขารนั้นเสื่อมเร็ว
แต่ถ้านิ้วโป้งชนกันนี้..พลังงานจะอยู่ในกายของเรา จะปรับธาตุ เมื่อมันออกกันไม่ได้..มันก็ไปออกทางรูขุมขน หรือรูกระหม่อม หรือทวาร ขับคราบเหงื่อคราบไคล เชื้อโรคหรือสิ่งอัปมงคล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้ามันไม่มีทางออกมันจะออกทางไหน มันก็จะผลักดันออกทางทวาร รูขุมขน กระหม่อม ก็เป็นทวารอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าให้ธาตุไฟเตโชครบองค์ประชุม
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
#ข้อวัตรปฏิบัติพระธรรมกรรมฐานนั้น
มีรากฐานอยู่ที่ การกระทำศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ พร้อมๆไปกับ การเจริญสมาธิภาวนา เพื่อจะทำ จิต ให้สงบระงับจากอารมณ์ทั้งปวง เพราะความที่จิตปลอดจากอกุศล ว่างเว้นจากอารมณ์ อันเกิดมาจากการสัมผัสทาง อายตนะ คือตาที่กระทบกับรูป หูที่กระทบกับเสียง จมูกกระทบกับกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายที่กระทบกับสิ่งสัมผัสทางกาย และใจที่กระทบกับอารมณ์ในภายใน ที่ทำให้เกิดเวทนา ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้ดีรู้ชั่ว รู้สวยรู้ไม่สวย รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารักทั้งหลายแล้ว จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว
อารมณ์นั้นก็ได้แก่พระกรรมฐาน หมายถึงการเอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้ในใจ
#ความตั้งมั่นของจิตในลักษณะการเช่นนี้
ย่อมจะทำจิตให้สงบอย่างเดียว เป็นความสงบที่สะอาดและบริสุทธิ์ผ่องใส
หลังจากนั้นแล้วจึงหันมาพิจารณา ธาตุ ทั้ง ๔ อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
และพิจารณา ขันธ์ ทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ให้รู้ว่าธาตุขันธ์และรูปนามทั้งหลาย แท้จริงคือบ่อเกิดของความทุกข์โศกร่ำไรรำพันนานาประการเหล่านี้นั่นเอง
เหตุที่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ก็เพราะ อวิชชา ความไม่รู้แจ้งในความเป็นของไม่เที่ยง ในความเป็นของเสื่อมโทรม ของธาตุขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเหตุและเพราะความไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงว่า มันมิใช่สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา ไม่รู้จักความไม่เที่ยง ไม่รู้จักความเป็นทุกข์ และไม่รู้จักความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนตามเป็นจริงแล้ว
อาสวกิเลส คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ย่อมครอบงำจิตของคนๆนั้นให้มืดมัว เร่าร้อนและเป็นทุกข์ได้ในที่สุด
#ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติธรรมจึงมีรากฐานสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ ศีล เป็นเบื้องต้น และทำ สมาธิในท่ามกลาง เพื่อจะให้เกิด ปัญญา ความรู้แจ้งแทงตลอดในธาตุขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ในที่สุด และเพื่อจะให้รู้จักพิจารณาว่า ร่างกายของเราที่ปั้นปรุงขึ้นมาจากธาตุทั้ง ๔
นี้ประกอบอยู่ด้วย นามธาตุ อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๔ อย่าง ได้แก่
เวทนา คือความรู้สุข รู้ทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์
สัญญาคือความจำได้หมายรู้ในอายตนะทั้งหลายที่มากระทบแล้ว รู้สึกแล้ว
สังขาร คือความไหลเวียนปรุงเปลี่ยนไม่หยุดอยู่ของนามธาตุนั้น
และ วิญญาณ คือความรู้สึกได้
รวมเป็น ๔ อย่างด้วยกัน เรียกว่าขันธ์ เมื่อรวมเข้ากับธาตุทั้ง ๔ คือ รูปขันธ์ ด้วยแล้วจึงเป็นขันธ์ ๕
รวมย่อแล้วก็ว่า กายกับใจ นี้เป็นสิ่งที่ไม่ยืนยงคงที่ ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือร่างกาย เนื้อหนังของเรานี้ เป็นของไม่สวยไม่งาม สกปรกโสโครกนับวันแต่จะเน่าเปื่อยผุพังดับสลายไปเท่านั้น จะหาความเป็นแก่นสารไม่ได้โดยประการทั้งปวง
การภาวนาที่ถูกต้องจะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ นักภาวนาเมื่อรู้เห็นซึ่งสภาพตามที่เป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมจะเกิดธรรมสังเวช มีความสะดุ้งกลัวต่อภัยและความเป็นโทษทุกข์ของ สังขาร เมื่อเล็งเห็นโทษและความไม่เป็นแก่นสารของสังขารทั้งปวงแล้ว
#จิตของนักปฏิบัติก็ย่อมจะเบื่อหน่าย
อยากจะหลีกหนีไปให้พ้นจากสังขารและโทษทุกข์ของสังขาร ไม่อยากประสบพบเห็นกับความทุกข์ทรมานอีกแล้ว เมื่อนั้นจิตก็ย่อมจะคลายจากความกำหนัดยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ ย่อมคลายความกำหนัดรักใคร่ชอบใจ ในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่ชอบใจ เมื่อจิตมีความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดเช่นนี้แล้ว ทุกข์ทั้งปวงก็ย่อมดับลงได้โดยแท้
#ข้อที่ว่าทุกข์ทั้งปวงดับลงนี้ เป็นเพราะรู้เท่าทันอวิชชาคือความไม่รู้ตามเป็นจริงในธรรมดับไปนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้ความรู้ความเห็นในธรรม ที่เรียกว่าปัญญานั้นเจริญถึงที่สุด ผลที่ได้รับก็คือปัญญาอันสงบระงับและแจ่มแจ้ง
#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต
*********************
ในการพิจารณาธรรม จนเกิดวิมุตติหรือบรรลุธรรมนั้น จะต้องมีโยนิโสมนสิการ คือมีการพิจารณาใคร่ครวญ ให้เห็นถึงต้นเหตุ คือต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบครอบทุกแง่มุมและสืบไปให้ถึงต้นเหตุจริงๆ จนจิตบังเกิดความหลุดพ้น (วิมุตติ) ซึ่งเรียกว่าเป็น การเห็นสัจธรรม ซึ่งในขณะที่มีการเห็นสัจธรรม หรือเห็นความจริงแท้ของธรรมชาตินั้นจะมีลำดับขั้นในการเห็นโดยละเอียด อยู่ถึง ๙ ขั้น อันได้แก่
๑. อนิจจตา เห็นความไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา เห็นความต้องทน
๓. อนัตตา เห็นความไม่ใช่ตัวตน
๔. ธัมมัฏฐิตตา เห็นความที่มันตั้งอยู่ โดยความเป็นอย่างนั้น
๕. ธัมมนิยามตา เห็นความที่มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติอย่างนั้น
๖. อิทัปปัจจยตา เห็นความที่มันเป็นไปตามปัจจัย
๗. สุญญตา เห็นความว่างจากตัวตน
๘. ตถตา เห็นความที่มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
๙. อตัมมยตา เห็นสภาวะจิตที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้
เมื่อเรายกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (เช่น รูปขันธ์) ขึ้นมาเพ่งพิจารณา
ให้เห็นความไม่เที่ยง (หรือการเกิด-ดับ) อย่างแรงกล้า (ด้วยสมาธิ) ก็จะมองเห็นความทุกข์และถ้าเพ่งมองทุกข์ต่อไปอย่างแรงกล้า ก็จะมองเห็นความไม่ใช่ตัวตน และถ้าเพ่งมองไปไม่หยุด ก็จะบังเกิดการเห็นต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายจิตก็จะเกิดความเห็นแจ้ง ในความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วจิตก็จะหลุดพ้น และมองเห็นสภาวะจิตที่หลุดพ้น ที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้อีกต่อไป
ซึ่งการเห็นทั้งหมดนี้ จะเกิดต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว แต่เราสามารถแยกแยะ ออกมาให้ศึกษาได้ถึง ๙ ขั้น โดยในแต่ละขั้นนั้นจะเรียกว่าเป็น ญาณ ที่หมายถึง ความรู้ที่เกิดมาจากการปฏิบัติ แต่ญาณทั้ง ๙ ขั้นนี้เมื่อสรุปแล้วจะเหลือเพียง ๒ ญาณ อันได้แก่
๑. ธัมมฐิติญาณ ญาณที่เห็นความตั้งอยู่ของธรรมชาติ
๒. นิพพานญาณ ญาณที่เป็นส่วนของการดับทุกข์
ญาณทั้งหลายถ้ายังไม่ถึงกับดับทุกข์ได้ จะสรุปลงในธัมมฐิติญาณ คือยังเป็นเพียงการเห็นความตั้งอยู่ ของธรรมชาติเท่านั้น
แต่ถ้านิพพานปรากฏแล้ว ก็จะเกิดนิพพานญาณ คือ จะ"เกิดความรู้ว่านิพพานปรากฏแล้ว" ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว....
Cr. Trader Hunter พบธรรม
ธรรมทั้งหลายรวมลงได้ที่ อริยสัจสี่ และอริยสัจนั้นสามารถรู้ได้ จากการศึกษาดูจิตของตนเอง เพราะทุกข์ นั้นเกิดมาจากสมุทัย หรือตัณหา ความทะยานอยากของจิต และความพ้นทุกข์ ก็เกิดจากความสิ้นไปของตัณหา แม้แต่มรรคมีองค์แปดที่ย่อลงเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดจากจิตทั้งสิ้น
กล่าวคือ...
▪ศีล ก็เป็นความปรกติของจิตที่ไม่ถูกสภาวะอันใดครอบงำ
▪สมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต และ
▪ปัญญา คือความรอบรู้ของจิต
ดังนั้นธรรมทั้งปวงนั้นสามารถเรียนรู้ได้ที่จิตของตนเอง
"ศีล" คือ ปรกติจิต ที่อยู่ปราศจากโทษ
เป็นจิตที่มีเกราะบัง ป้องกันการกระทำชั่ว ทุกอย่าง
"สมาธิ" ผลสืบเนื่อง จากการรักษาศีล คือจิตที่มีความมั่นคง มีความสงบ เป็น พลังที่จะส่งต่อไปอีก
"ปัญญา" ผู้รู้ คือ จิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้ง แทงตลอด ตาม
ความเป็นจริงอย่างไร
"วิมุติ" คือ จิตที่"เข้าถึงความว่าง"จาก"ความว่าง"
คือละความสบาย...
เหลือแต่ "ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย "
โอวาทธรรม
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
" ผู้ปฏิบัติ เพื่อกำจัดอวิชชาให้สิ้นไป
จำต้องยึดอริยสัจ ๔ หรือสติปัฏฐาน ๔
อันเป็นที่รวมวิชชาแห่งทางดำเนินท่านเองว่า...
เมื่อจิต ก้าวขึ้นสู่ความว่างเปล่าจากรูปธรรมทั้งหลายแล้ว
ก็มีแต่ตามติดสังขารความปรุงของใจ
กับ วิญญาณที่สัมผัสรับรู้จากสิ่งต่าง ๆ
และ เวทนาจิตที่ส่งผล ให้ปรากฏจากการปรุง
การรับรู้ทางวิญญาณ
ด้วยสติกับปัญญา ที่มีอยู่ในที่แห่งเดียวกัน เท่านั้น
เพราะสังขาร ก็ปรุงจากจิต
วิญญาณ ก็รับทราบจากจิต
ต่างก็ดับลงที่จิต เมื่อสติตามทัน ปัญญาค้นพบสาเหตุ
และวิพากษ์คลี่คลายทันกับเหตุการณ์ สิ่งเหล่านั้น ย่อม
กำเริบรุนเเรงไปไม่ได้
การตามรู้สังขาร วิญญาณว่าปรุงเรื่องอะไร
รับทราบเรื่องอะไร
เพียงเท่านั้นยังไม่สากับใจ ที่มีสติปัญญาอัตโนมัติ
เป็นพี่เลี้ยงอยู่...ตลอดเวลา ไม่เผลอตัว
ยังสามารถขุดค้นลงถึงต้นตอ ที่เกิดแห่งสังขาร
และวิญญาณอีกว่า เกิดมาจากที่ไหน อะไร
เป็นเครื่องผลักดัน ให้เกิดอยู่ไม่หยุด ไม่ถอย
ตัวผลักดันนี้ คือตัวอวิชชาแท้
การพิจารณาอวิชชา
เพื่อถอนรากถอนโคนจริง ๆ จึงอยู่ที่ตรงนี้
ขุดค้นลงที่ใจอันเป็นเรือนรัง ของอวิชชาฝังจม อยู่นั่นแล
จึงเห็นตัวอวิชชาแตกกระจายสลายตัวลง
ในขณะที่มหาสติ มหาปัญญาเข้าถึงตัว
นี้คือ การพิจารณาอวิชชาแท้ และ คือวิธีการถอดถอน
อวิชชา ออกจากใจ ตามทางมรรค ทางผล ที่พระบรม
ศาสดาทรง สั่งสอนไว้แท้."
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่มา : จากหนังสือปฏิปทา
พระธุดงคกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
โดย องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
การปฏิบัติธรรมนั้น
ไม่ว่านักพรตนักบวชหรือฆราวาส
ก็มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรมพิจารณาธรรมได้เท่ากัน
และธรรมที่พิจารณานั้น
ก็เป็นธรรมอันเดียวกันนั่นเอง
พิจารณาให้ไปสู่"ความสงบระงับ"อันเดียวกัน
ด้วยวิถีของมรรคอันเดียวกัน
ฉะนั้น ท่านจึงว่าจะเป็นฆราวาสก็ตาม
บรรพชิตก็ตาม มีสิทธิที่จะประพฤติ
หรือปฏิบัติธรรมจนได้รู้ได้เห็น
ตามความเป็นจริงเหมือนกัน
เมื่อเรา " รู้สภาวะสังขาร ตามความเป็นจริง " อย่างนี้แล้ว
เราก็"วาง"เสีย และเมื่อ"รู้เท่า"อย่างนี้แล้ว
"ภพ"ก็เกิดไม่ได้ เพราะ"อะไร"ก็เกิดไม่ได้
เพราะ มันไม่มีทางจะเกิด
เพราะ "เรารู้เท่าตามความเป็นจริง" เสียแล้ว
ฉะนั้น ให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรามีอยู่เป็นอยู่นั้น มันเป็นสักแต่ว่า “อาศัย” เท่านั้น
ถ้ารู้ได้เช่นนี้ ท่านว่า"รู้เท่าตามสังขาร"
ทีนี้แม้จะ"มี"อะไรอยู่ ก็เหมือน"ไม่มี"
"ได้"ก็เหมือนเสีย "เสีย"ก็เหมือนได้
สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงสอนให้ "รู้" อย่างนี้
เพราะนี่คือ " ความสงบ "
สงบจากความสุข - สงบจากความทุกข์
สงบจากความดีใจ - เสียใจ
ได้มา - ก็ไม่ดีใจ เสียไป - ก็ไม่เสียใจ
มันเป็นเรื่องที่ทั้ง"ไม่เกิดและไม่ตาย"
เรื่องเกิดเรื่องตายนี้ไม่ได้หมายถึง
อวัยวะร่างกายอันนี้ แต่หมายถึง"อารมณ์"
"ความรู้สึก"ที่ไม่มีแล้ว หมดแล้ว
ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา
ท่านจึงทรงบอกว่าภพสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์จบแล้ว ไม่มีภพอื่นชาติอื่นอีกแล้ว
ท่านรู้อย่างนั้นแล้ว ท่านก็"รู้สิ่งที่มันไม่เกิดไม่ตาย"
ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง นี่คือโอวาท
ที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงกำชับ
สาวกมากที่สุดว่าให้พยายามเข้าให้ถึง
อันนี้ที่เป็นสัมมาปฏิปทา
ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถึงทางสายกลาง
ไม่ตรงเข้าไปถึงทางสายกลางให้ได้แล้ว
ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์
-------------------------
ทางสายกลาง ตอนจบ
การบรรยายธรรมด้วยภาษาพื้นเมืองแก่พระภิกษุ
สามเณร และฆราวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓
(หนังสือนอกเหตุเหนือผล ของ พระโพธิญาณเถร
หลวงพ่อชา สุภัทรโท
หัวใจสำคัญของการพัฒนาจิตหรือการฝึกจิต นั้น
มีอยู่ด้วยกัน 3 ประการด้วยกัน นั่นคือ
1.สติ
2.สมาธิ
3.ปัญญา
เมื่อเรามี"สติ"อยู่กับสิ่งใดต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน สมาธิ ความตั้งใจมั่น ก็จะค่อยๆบังเกิดขึ้น โดยที่เราจะ
มี...สติ..มีสมาธิ อยู่กับ"สิ่งที่จิตกำลังระลึกรู้" อยู่นั่นเอง
ส่วน"ปัญญา" นั้น ก็จะเกิดขึ้นมาหลังจากที่ มีสติ และ สมาธิ พอสมควรแล้ว
โดยที่"ปัญญา"นี้จะมีคุณสมบัติติดตัวมาในแต่ละคนโดยเฉพาะแตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าใครจะมีปัญญามาก มีปัญญาน้อย มีปัญญาเน้นหนักไปในด้านใด ลักษณะใด
แต่โดยรวมๆแล้ว เมื่อ"จิต"ไประลึกรู้สิ่งใด ตัวที่ทำหน้าที่เข้าไปสอดส่องพิจารณาใคร่ครวญถึงสิ่งที่กำลังระลึกรู้นั้น ก็คือ ตัวปัญญานี่เอง
โดยที่การสังเกตพิจารณา "สิ่งที่กำลังระลึกรู้" นั้น
จะมีความละเอียดลึกซึ้งเพียงใด
ก็ขึ้นอยู่ที่ระดับปัญญาของแต่ละบุคคล
เพราะใจไม่มีหลักเป็นเครื่องอยู่
จึงไหลออกไปสู่กระแสของตัณหา
ความต้องการและไม่ต้องการจึงตามมา
เลยตกอยู่ใต้อำนาจของเวลาและอารมณ์
ถ้าใจได้หลักเป็นเครื่องอยู่ จะนิ่งอยู่รู้อยู่สิ้นกังขา
เห็นอริยสัจ 4 ตามสติปัญญา จึงหยุดตามล่าหาพระอาจารย์
ผู้ที่รู้เข้าใจอริยสัจ 4 แล้วย่อมไม่ตามล่าหาพระอาจารย์ ก็คือรู้ที่มาของเหตุให้ทุกข์เกิด ว่าเกิดจากอะไร เวลามันดับเพราะอะไร รู้ทางดำเนินแล้วว่า ทุกข์เกิดจากตัณหา ความอยากต้องการให้โลกเขาเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่เป็นตามใจอยากและอะไรจะเกิดตามมา...
หงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ ก็เพราะใจยังไม่มีหลักจึงได้หลุดไหลไปตามกระแสของ อวิชชา ปัจจยาสังขารา ถูกมันหลอกให้ออกไปปรุง วิตก วิจารณ์ ความต้องการและไม่ต้องการก็เข้ามาครอบจิตโดยอัตโนมัติก็เป็นอย่างที่โลกเขาเป็นกัน
แต่ ถ้าใจได้หลักแล้วจะอยู่กับปัจจุบันขณะ มี"สติ..เป็นเครื่องระลึกรู้"อยู่ทุกขณะเวลา
กระทบผัสสะอายตนะทั้ง 6 จิตรู้เท่าทัน ไม่ส่งออกนอก
"ตัณหา"ก็ไม่มีโอกาสเข้ามาครอบงำได้ ก็อยู่เป็นปกติในปัจจุบันธรรมนี้เอง...! ทิฎฐิวิสุทธิ-กังขาวิตรณวิสุทธิ
จากหนังสือ ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม
พระอาจารย์เรวัติ สุปภาโต
สำนักสงฆ์พุทธเจดีย์คีรีเขต
"สภาวะของสุญญตา..ภายในจะเป็นมิติที่ว่างบริสุทธิ์"
..เหลือแต่สติที่บริสุทธิ์
..เหลือแต่ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์
ส่วนมิติภายนอก..จะเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
..เป็นคนละมิติกัน
..เพราะว่าจิตใจเรามันหลงวังวนของโลก
จึงหลงวกวนอยู่กับสมมุติต่างๆ..
เมื่อใดที่เราสามารถ"สละ"..."วาง" ทุกสิ่งทุกอย่าง..
จาก"สิ่งที่ยึด".."ที่หลงอยู่".."ปล่อยวาง" ทุกสิ่งทุกอย่างได้
ก็จะสามารถหลุดออก...คลายออก..
"สลัดคืนจากทุกสิ่ง..คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์"
เข้าถึง"ความว่างที่บริสุทธิ์ได้"
ผู้ปฏิบัติก็จะพบกับความสุขที่ลึกซึ้งที่สุด..
"ไม่มีสิ่งใดเทียบได้เลย"
"ทุกๆคน"..สามารถที่จะเข้าถึงเนื้อธรรมนี้ได้
ถ้าเราได้ฝึกหัดพัฒนาสติอยู่เสมอ..
..ก็จะเป็นโอกาสอันดีของชีวิตเรา
ที่จะปลดเปลื้องตน..จากวังวนแห่งกองทุกข์
..พบกับ ความสงบสุขที่แท้จริง..คือ พระนิพพานได้
// หลักธรรม 3 สาย//
*หินยาน – คือ ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ ความผิดหวัง และ ความวิปลาส ตรงไปตรงมา การรู้จิตภายในตน
* มหายาน - คือ การฝึกความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ก่อนตนเอง เผชิญหน้ากับธรรมชาติของจิต การเข้าใจอารมณ์
*วัชรยาน - คือ เรื่องเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และทรงพลัง มีความศรัทธา กรุณา อย่างเชื่อมั่น แน่วแน่ ฉับพลัน และมิอาจทำลายได้ พาหนะอันแข็งแกร่ง
………………………………
// ธรรม 3 สิ่ง..//
ศรัทธา ธรรมวิจัย สำรวมอินทรีย์
ทั้งสามสิ่งนี้ คือแรงดลบันดาลแห่งจิต
ไร้ตัณหาราคะ ไร้ความยึดมั่น ไร้โมหะ
ทั้งสามสิ่งนี้คือเกราะคุ้มครองดวงจิต
สมาธิภาวนา อุตสาหะ ขันติธรรม
ทั้งสามสิ่งนี้ เป็นอาชาไนยของจิต
สติ ความรู้แจ้ง บรมสุข
ทั้งสามสิ่งนี้ เป็นผลไม้อันหอมหวานแห่งดวงจิต
ทุกสามสิ่งนี้ จงบ่มเพาะ แสงหา รดน้ำพรวนดิน
ดูกายให้ชัด เมื่อชัด.มันจะวางเอง.
ดูเวทนา สัญญา.สังขาร.วิญญาน...."กิเลส"จะถูกทำลาย.
คลายการ"ยึดมั่น".ถ้าเห็นชัดจริง.มันวางจริง.พ้นจริง
.......................
พิจารณาเกิด-ดับ จนจิตว่าง.
ว่างนี้ยังว่างไม่จริง.ว่างแต่นอก.แต่ในไม่ว่าง.
"จิตผู้รู้"ยังอยู่.เมื่อใดจิตพัง.จะว่างไปหมด.
จึงว่างแท้จริง
..........................
"รู้ตัว"ต่อเนื่อง.เรียกมหาสติ...มหาปัญญา.
สุข-ทุกข์...ความคิดเข้ามา.ดับไป.ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต.ดับๆๆจน"จิตว่าง".ตลอดเวลา..ว่างนี้ไม่ใช่นิพพาน
มโนธาตุ โพธิญาณ
จิต พิจารณา จิต จิต อบรม จิต รู้ธรรม...ภายในจิต
รู้แล้วละวาง ปล่อยทิ้ง ไม่ยึดมั่น...
จิตวาง ทิ้งหมด...รู้หมด ทิ้งหมด...ได้หมด .ไม่ทิ้งไม่ได้ ผู้คิดไม่รู้...ผู้รู้ไม่คิด...
หลวงปู่ดูลย์
"ที่เรียกว่าหลงรู้"
มี "สติ"...รู้เท่าทันความคิด คือ รู้แท้ นั้น จึงเรียกว่า
"รู้ในสังขาร" โดยแท้จริง...................พระสิ้นคิด
ทางบรรลุธรรม เมือ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ
หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ถ้าจิต สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา บุญ บารมี แก่รอบแล้ว จิตหยุดความปรุงแต่งแล้ว มันจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ รวมเอง ทำไมมันรวมเข้าอัปนาสมาธิได้เอง เพราะว่าจิตไม่ไหลไปตามกาม ฌานจะเกิดเอง
โดยธรรมชาติของจิตนี้ต้องเวียนอยู่ในภพ ภพที่จิตเวียนอยู่ได้ มีอยู่ ๓ ภพ เท่านั้น
๑ กามวจรภพ ภพที่เวียนไปในกาม คือ หาอารมณ์เพลิดเพลินไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพลินไปเรื่อย พวกเราจิตหมุนอยู่ติ้วๆ ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย นึกออกมั้ย อันนี้แหละเรียกว่า กามภพ เรียกให้เต็มยศนะ เรียกว่า กามวจรภูมิ "ใจ"..ก็ไปเวียนอยู่อย่างนี้
ถ้าหลุดออกจากกามภพแล้วนะ ก็จะเข้าไป "รูปภพ" หรือรูปภูมิ ก็คือ ไปสงบอยู่กับการรู้รูป เช่น รู้ลมหายใจแล้วจิตไม่เอาแล้วโลกข้างนอก อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เห็นจะมีสาระอะไรเลย จิตมารวมลงที่อารมณ์ภายในอันเดียว อาจจะมารู้ลมหายใจอยู่อันเดียว รู้ร่างกายอยู่อันเดียว มาเพ่งรูปอยู่อันเดียว เพ่งดวงกสิณ ดวงนิมิตอยู่อันเดียว จิตเพ่งรูปอยู่เรียกว่า...รูปภูมิ
ถ้าจิตไม่อยู่ในกามภูมิ ไม่อยู่ในรูปภูมิ จิตก็ต้องเข้า "อรูปภูมิ" ทิ้งรูปไปแล้วไปอยู่กับ"นามธรรม" เช่นไปอยู่กับ"ความว่าง" จิตอยู่ในความว่าง อยู่กับความไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นบางคนที่เขาสอนให้ภาวนาเพื่อให้ไปอยู่กับความว่าง อันนั้นเพี้ยนนะ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอรูปภูมิ เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่ง เป็นภพอีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง
ทีนี้ ถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลย
จิตแส่ส่าย ออกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแต่ทุกข์
จิตไม่แส่ส่าย จิตก็หลุดออกกามภูมิ เข้ารูปภูมิ หรืออรปภูมิ เข้าเองเลยนะ
เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา หัดเจริญสติไปเรื่อย พอ ศีล สมาธิ ปัญญา สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบนะ จิตจะหมดความหลงใหล รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย มาดึงดูจิตไหลไปไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะ
ชั่วขณะเท่านั้นแหละ ชั่วขณะ จิตจะตั้งมั่น รู้ว่าไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้ง เด่นดวง จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้น ถึงเราจะเจริญสติ เจริญปัญญา โดยเข้าฌานไม่เป็น ถึงนาทีสุดท้าย ที่จะเกิดอริยมรรค อริยผล ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค จนถึงอรหัตตมรรค จิตจะเข้าฌานของเขาเองนะ จิตจะเข้าฌานของเขาเอง
ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิอริยมรรคเนี่ย ไม่ต้องถอยออกมาอยู่กับโลกก่อนนะ ไม่ต้องกลับมาอยู่ในกามภูมิก่อน จิตก็ไปตัดอยู่ข้างในได้เลยนะ นี่เป็นอีกพวกหนึ่ง
แต่รวมความก็คือ อริยมรรค ไม่เกิดอยู่ในจิตที่อยู่ใน"กาม" อย่างพวกเรา
อริยมรรคจะต้องเกิดใน"รูปภูมิ หรืออรูปภูมิ"นะ จะเกิดกันตรงนั้น จะล้างกันตรงนั้น เพราะฉะนั้นจิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สมาธิ คือ "จิต" ที่แน่นอยู่ในอารมณ์เดียวเรียกว่า “สมถะ”
"จิต"ที่ไม่ติดต่อกับสิ่งใด มีความสะอาด ปราศจากอารมณ์ภายนอก มีสติสัมปชัญญะ รู้รอบคอบ ปลดปล่อยอารมณ์เสียได้ เรียกว่า “วิปัสสนา”
เมื่อสมาธิซึ่งประกอบด้วยวิปัสสนาเกิดขึ้น ความเป็นใหญ่ เป็นอิสระในตัวทั้ง ๕ อย่างก็จะบังเกิดขึ้นพร้อมกันคือ
๑. ”สัททินทรีย์” ศรัทธาความเชื่อก็เข้มแข็งมั่นคง ใครจะมาพูดดีหรือไม่ดีอย่างไร ใจก็ไม่หวั่นไหว
๒. “วิริยินทรีย์” ความพากเพียรก็แก่กล้า ถึงใครจะมาสอนให้หรือไม่สอนให้ ก็ทำไปเรื่อย ไม่ท้อถอยหรือหยุดหย่อน
๓. “สตินทรีย์” สติก็เป็นใหญ่ เป็นมหาสติ ไม่ต้องไปข่มไปบังคับ มันก็แผ่จ้ากระจายไปทั่วตัว เหมือนต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านใบของมันย่อมจะแผ่สาขาลงมาคลุมลำต้นของมันไว้ และพัดกระพือขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครไปจับเขย่าหรือดึงยอดมันลงมา ความรู้ของเราก็จะจ้าไปหมด ทั้งยืนเดิน นั่ง นอนทุกอิริยาบถ มันรู้ของมันได้เองโดยไม่ต้องไปนึก ความรู้รอบอย่างนี้แหละเรียกว่า ”มหาสติปัฏฐาน”
๔. “สมาธินทรีย์” สมาธิของเราก็เป็นใหญ่ จะทำอะไร ๆ อยู่ก็ตาม จิตก็ไม่มีวอกแวก ถึงจะพูด จะคุยกันให้ปากอ้าออกไปตั้งวา ใจก็คงที่เป็นปกติอยู่ กายมันจะอยากกิน อยากนอน อยากนั่ง อยากยืน อยากเดิน อยากวิ่ง อยากนึก อยากคิด อยากพูด อยากทำก็ทำไป ช่างมัน หรือว่ากายมันจะเจ็บ จะป่วย จะปวด จะเมื่อยที่ตรงไหนก็ให้มันเป็นไป จิตใจก็ตั้งเที่ยงอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่วอกแวกไปทางอื่น
๕ “ปัญญินทริย์” ปัญญาความฉลาดรู้ ก็เป็นให้เกิดขึ้นในตนเอง อาจสามารถที่จะทำดวงจิตของตนให้บรรลุธรรมสำเร็จมรรคผลเป็นโสดา สกิทาคา อนาคาจนถึง อรหันต์ ก็ได้
-:- ท่านพ่อลี ธมฺมธโร -:-
ก่อนมีไม่เคยมี
ทางออกอยู่ตรงทางเข้า
จะหมดกรรมต้องหมดตัวตน
หมดกรรม คือเหนือตัวตน..
เหนือตัวตน คือ สภาวะธรรมล้วนๆ
ไร้การปรุงแต่ง ..
เป็นไปด้วยธรรมชาติ..เช่นนั้นเอง..
.
สิ้นเหตุแห่งการเวียนว่าย
ด้วยการรู้แจ้งในสัจธรรม..
ชีวิตที่เหลือเป็นธรรมทาน(เนื้อนาบุญของโลก)
รักตัวเองอย่างแท้จริง..ให้พากันมีสติให้มากๆ นะคะ..
การมีสติ หมายถึง ไม่ว่่าจะทำอะไร,เคลื่อนไหวกาย-จิต,ความรู้สึก อารมณ์ ความนึกคิดเช่นใด..ก็ให้มีสติเห็นรับรู้ไว้นะคะ..😊
.การฝึกสติตัวเดียวนี้..นำสู่..
💝การดำรงอยู่ในปัจจุบัน..
💙นำสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสรรพสิ่ง..เพราะขณะที่มีสติ..จิตจะมีการหลอมรวมกับทุกสรรพสิ่งอัตโนมัติ..สตินำสู่สิ่งที่สูงกว่า..
🌈สติ นำสู่การมีปัญญาและเจริญปัญญา..ปัญญาชนิดนี้นำสู่การมีชีวิตที่เห็นจริงบนโลกใบนี้#การมีปัญญาเห็นจริง..เป็นชีวิตที่มีความสุขโดยธรรมชาติในปัจจุบันนั้นๆ..
💞ประโยชน์ของการมีสติระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน.. เป็นการปฎิบัติธรรมขั้นสูง..#แม้ไม่หวังผล ก็จะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าผิดหวังจากการฝึก,เจริญสติ..
❣️การมีสติ ไม่ทำให้บ้า,ไม่คลุ้มคลั่ง,ช่วยให้รักษาความปกติของชีวิตไว้ได้,ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งยั่วยุ,ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำและสามารถเอาชนะตัวตนฝ่ายลบของตัวเองได้..
☘️การมีสติ..นำสู่การมีชีวิตที่เป็นจริงทุกๆ ขณะ..ไม่หลอกไม่ลวง ไม่เพ้อ ไม่เผลอ.. ทั้งตนเองและผู้อื่น..😊
ฯลฯ..
การฝึกธรรมะ..มีเบื้องต้น..มีท่ามกลาง..มีบั้นปลาย..
ยิ่งฝึกฐานให้แน่น..ยอดจะคงมั่นด้วย..
ทุกๆ ขณะของชีวิต..เผลอไม่ได้เลย..เผลอก็ออกนอกทางสร้างทุกข์ให้ตัวเองทันที..
รักชีวิต..มอบสิ่งที่ประเสริฐสุดให้ชีวิต🎀✨
ทวนกระแสไปสู่ก่อนหน้าคิด
...การที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อให้สิ้นสุดทุกข์นั้นต้องทวนกระแสอารมณ์ไปสู่ก่อนหน้าที่อารมณ์จะเกิด อารมณ์ในที่นี้คือความคิด
ถ้าเราตั้งคำถามเดี๋ยวนี้ว่า ก่อนหน้าคิดคืออะไร ก็ยังตกอยู่ภายใต้รูปของความคิดเหมือนเดิม
ดังนั้นการทวนกระแสไปสู่ต้นน้ำจริง ๆ ต้นกำเนิดจริง ๆ ที่ที่ความคิดออกมา เราถึงต้องทำภาวนากิจ เพื่อ"เร้าความรู้สึกตัวให้สูง" เพื่อความแก่กล้าของอินทรีย์ทั้งห้า (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) เพื่อจะทวนเข้าไปสู่ก่อนหน้าความคิดเกิด
คำว่าทวนกระแสนั้นไม่ได้มุ่งไปไหน นอกจากการเข้าถึงที่สุดในตัวเอง ไม่ใช่ต้านกระแส เราต้องแยกแยะว่าการต้านกระแสนั้นเป็นเรื่องโง่งม เช่นไปหยุดความคิดนั้นมันต้านความคิดไป ธรรมดาว่าเรือต้องแล่นขึ้นเหนือผิวน้ำ แต่อาศัยกระแสน้ำนั่นเองทวนไป แต่ถ้าเรือจมนั้นไปไม่ได้ มันมุดลงใต้น้ำแล้ว
ดังนั้นในภาคปฏิบัติ"มุ่งรู้ตัว เมื่อคิดต้องรู้..."
โดย เขมานันทะ
รู้อะไร ไม่สู้รู้สึกตัว ดูความรู้สึก ตอน เห็นกายจะเห็นจิต เห็นจิตจะเห็นกาย
.
การรู้กายมันจะสื่อถึงจิต คือเห็นกายต้องเห็นจิตด้วยอันนี้ต้องดูให้ถูก ถ้าดูได้ถูกต้อง เห็นกายจะเห็นจิต เห็นจิตจะเห็นกาย เราต้องเห็นความรู้สึกของเรา ไม่คิดปรุงไหลไปจนกายก็ไม่รู้ จิตก็ไม่รู้ อันนี้แหละหลง
.
ถ้าเห็นความรู้สึกของเราแล้ววางเสีย เราก็สงบลง ทีนี้จะนึกจะคิดอะไรก็ได้ ไม่ใช่นึกคิดไม่ได้ แต่เรารู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คือจะคิดอะไรมันจะเห็นความคิด แม้จะนึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็รู้ตัวของเราอยู่ ไม่มีทางหลงได้เลย
.
เราต้องฝึกอันนี้ อย่าไปทำอย่างอื่นเลย เราต้องอยู่เหนือมัน ไม่ให้มันลากเราไป ถ้าเราเห็นอยู่อย่างนี้ ก็คือเรารู้ตัวเราเห็นตัวเรา เห็นจิตเห็นใจ พอจิตมีการเขยื้อนก็รู้ พอรู้ก็วาง พอว่างก็สงบ
อาการสงบเราก็เห็นอยู่ มันมีอะไรผิดปกติเราก็รู้ทันที เช่น โอ้ เผลออีกแล้ว อันนี้หมายถึงการฝึกสติ
.
เน้นคำว่า"รู้ตัว"ไม่ใช่ไปทำความสงบ
ฟังให้ดี ๆ ใจเฉย ๆ ก็ให้เห็นว่าไม่มีอะไร เราจะพูด คิด ทำอะไร หรือใครมายั่วยุยังไง เราก็ยังเห็นจิตของเรา นี่ เรารู้ตัวอยู่ รู้จักจริง ๆ เราจะควบคุมจิตของเราได้
ไม่ใช่การบังคับจิตนะ เพียงแต่รู้ อะไรเป็นอะไร จะรู้จักวางเฉย
.
หลวงพ่อ สมบูรณ์ ฉัตตสุวัณโณ
รู้อะไร ไม่สู้รู้สึกตัว
สำรวม"ใจ"ไว้ให้ดี จิตเป็นศีล สมาธิเป็นปัญญา พระพุทธเจ้าให้น้อมเข้ามา เราต้องการ"เห็นใจ"
"หนังห่ออยู่" เป็น"กาย" หนังไม่รู้เรื่อง เป็น"สมมุติ"
มันเป็นธรรมชาติ เป็น"ธาตุไม่รู"้ มัน"อนิจจัง"ตลอดกาล เป็นของ"เกิดมาตาย" ไม่ได้"เกิดมาเป็นเรา"
ไม่ได้"เกิดมาเพื่อเป็นของเรา"
ของเกิดมาตายเขาไม่รู้เรื่อง น้อมเข้ามา ธรรมไม่ได้อยู่ข้างนอก "กิเลส"มันอยู่ข้างใน
พระพุทธเจ้าสอนให้เอาจิตเกี่ยวข้องกับธรรม ธรรมก็คือ"ของเกิดมาดับ" ธรรมก็คือ"ของเกิดมาตาย"
รูปหรือนาม ก็เกิดมาตาย เกิดมาตายไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเป็นสาระ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเป็นแก่นสาร มีแต่ของเกิดมาตายทั้งนั้น
ถ้าเราเห็นชัดว่ามันเป็นของเกิด จิตมันตื่น มันถอนตัวออกทันที ทำไมจึงตื่น ทำไมจึงถอนตัว เพราะของที่ต้องเกิดนั้นเป็นของที่ต้องดับอยู่แล้ว
ดูแลห่วงแหนขนาดไหนก็ช่างเถอะ มันตายไปทุกขณะ ตายแล้วก็เน่าก็เปื่อยก็ทิ้งกันไป มันเกิดมาเน่ามาเปื่อย หาประมาณมิได้
หลวงปู่ แบน ธนากโร
" อย่าลืม กาย ใจ ตนเอง "
เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ชัดขึ้นลึกขึ้น นี้หล่ะสติปัฏฐานทั้ง4 กําลังค่อยๆผลัดกันเสริมซึ่งกันและกันขึ้นมา จนเห็นโดยไม่ไปกําหนด ว่าเป็นฐานใดอีก เพียรเจริญในมรรค เดินบนทางสายกลาง หนทางแห่งการพ้นตน พ้นได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่นเลย รู้กาย รู้ใจตนเอง ให้ธาตุรู้เด่นชัดขึ้นมา เป็นหนทางแห่งวิมุตติ
Trader Hunter พบธรรม
ความคิด นึก ปรุงแต่งของเราเอง นั่นแหละ
" บดบังความจริงสูงสุด " ไว้
"หลง" ติดในวังวนของความคิดว่าเป็นปัญญานั้นแล...