สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือความคิดเรา ไม่ใช่สิ่งอื่นๆเลย ภพชาติล้วนเกิดขึ้นเพราะคิด...
สิ่งที่เห็นยากก็คือความคิดเริ่มแรกของเรา ที่เราคิดตามกิเลสของเราจากอวิชชาที่เรายึดเอาไว้อยู่ ความคิดอันนี้หล่ะที่เห็นกันไม่ทันเพราะมันเร็วมากๆ ส่วนใหญ่มักจะมาเห็นตามที่หลัง หรือมาเห็นความคิดสนับสนุนที่คิดตามต่อๆกันมา ถ้าเห็นความคิดเริ่มแรกอันนี้ได้ แล้วเห็นได้บ่อยๆ จะค่อยๆละความคิดได้จากตอนที่มันเพึ่งเริ่มเกิด ยังเป็นความคิดอ่อนๆยังไม่มีกําลังของความคิดมาก เราสามารถใช้กําลังของสติที่มีตัดออกไปได้ แต่หากเราปล่อยจนความคิดนั้นโตขึ้นไปเรื่อยๆ กําลังสติของเราจะเอาไม่อยู่และตัดไม่ได้ ความคิดใหญ่โตขึ้นได้ด้วยความคิด ความคิดถูกหล่อเลี้ยงด้วยความคิด ตรงนี้หล่ะที่เป็นรากเหง้าแห่งต้นกําเนิด ที่จิตเราไปยึดจับกับอวิชชา ที่เราทําตามกิเลสของเรา แกะตรงนี้ได้เห็นตรงนี้ทันละได้เมื่อไหร่ จะค่อยๆเอาชนะจิตชนะใจเราได้อย่างแท้จริง โดยใช้ปัญญาที่แจ้งในวิชชาไปละ จนเราค่อยๆหมดอุปาทาน
เพียงการปฏิบัติให้รู้ทันความอยาก แล้วละวางซะ
คือ เราจะไม่มุ่งดู ด้วยความอยากจะเอาอะไร
แต่จะดูแค่ไม่อยากได้อะไร
เราลองทำแบบนี้ดูก็ได้ พยายามจะทำเหมือนแบบไม่ได้ทำ นั่งไปก็ทำใจ แบบว่าไม่เอาอะไร
จะวางเฉย จะปล่อยวาง ฝึกจิตไปอย่างนี้อย่างเดียว
ปรับผ่อนรักษาจิต บอกจิตไม่เอาอะไร
เมื่อจิตมันปล่อยได้ วางได้ เราก็จะพบกับความเบาใจเกิดขึ้น
ความสงบใจมันก็เกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่ต้องดิ้นรน
ทะยานอยากแสวงหา ค้นหาอะไรที่ตรงไหน
เราลองสังเกตดูได้ว่า ขณะที่เราปฏิบัตินี่
เรากลัวว่าจะไม่ได้อะไรจริงไหม นั่นแหละมันคือไม่ได้อะไร ยิ่งอยากได้ มันก็ยิ่งไม่ได้
เพราะสิ่งที่ควรได้ คือ ความละวาง ความสละ ความปล่อย
การเจริญวิปัสสนานี้ เป้าหมายก็คือการสละได้
การปล่อยได้ การวางได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ลองมาทำเหตุเสียใหม่
ทำเหตุให้มันตรงต่อผล คือ ทำให้มันไร้ความอยาก
ทำไปนี่ก็ฝึกหัด การปลอดจากความอยากไว้เรื่อยๆ
เมื่อความอยากเข้ามา ก็ดูแลรักษา ปรับผ่อน
ให้จิตมันไร้ความอยาก
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
ระวังการปรุงแต่งผู้รู้ขึ้นมา ให้แค่ "รู้สึกตัว"
สิ่งที่ต้องระวัง การแช่อยู่กับผู้รู้ จะเป็นการปรุงแต่งผู้รู้ขึ้นมา ผู้รู้แท้ๆนั้นแค่รู้เฉยๆ เป็นช่วงเวลาไม่นาน แล้วจบ แล้วเดี๋ยวก็จะมารู้ใหม่ พอชํานาญจะนานขึ้นบ่อยขึ้น และปรากฏขึ้นให้เห็นเอง เรื่อยๆทั้งวัน การรู้เฉยๆ หรือ ความเป็นปกติของใจ นี้สําคัญมาก เพราะเป็นการทวนกระแสกลับมาเห็นจิตใจตนเอง การทวนกระแสจะเกิดขึ้นเอง ไม่ได้ไปบังคับให้เกิด ใจสอนใจ
" เพียงสายลมพัดผ่าน "
เรื่องราวต่างๆหรืออะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามา ก็ขอให้เป็นเพียงแค่ " รู้สึกตัว " ดุจดังสายลมพัดผ่าน....สติจะค่อยๆชัดขึ้นเอง....เพียงแค่สายลมพัดผ่าน...ไม่ให้ค่ากับอะไรอีกต่อไป...
ความรู้สึกตัวสําคัญที่สุด เพราะเป็นสัมมาสติ ทําให้มีสัมมาสมาธิ ถึงแม้เป็นขณิกสมาธิ(สมาธิช่วงสั้นๆ) แต่ก็สามารถเจริญวิปัสสนาญาณได้ ทําให้เกิดปัญญา ได้วิชชา ไปละอวิชชา
ผู้ที่เจริญภาวนามากๆ
จะรู้สึกซึ้งถึงเสน่ห์ของความเดี่ยวโดด
รู้สึกถึงคุณงามความดีดั้งเดิม
ไม่ต้องลงแรงหา ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องจ่ายเงิน
ทันทีที่เรารู้สึกตัวล้วนๆ จะรู้สึกถึงความเงียบอันมโหฬาร
ความเงียบจะแล่นผ่านหัวใจของผู้ซึ่งรู้สึกตัวได้
ดังนั้นเขาจึงเป็นบุรุษซึ่งก้าวเดินออกนอกลำดับของกาลเวลา
และนั่นย่อมหมายถึงเขาก้าวออกจากความทุกข์ทรมาน
ซึ่งมนุษย์ทั่วไปเป็นอยู่
ดังนั้นจึงรักความเงียบ
มารู้ซึ้งถึงเสน่ห์ความละมุนของความมืด
ซึ่งคนทั่วไปกลัว ...กลัวผี ...กลัวงู
กลัวสิ่งที่โผล่ออกมาแล้วตัวเองคาดไม่ถึง
แท้ที่จริงสิ่งที่เราคาดไม่ถึงนั้น นั่นแหละคือความจริง
เพราะว่าสิ่งที่คาดถึงก็กลับกลายเป็นรูปแบบของความหมาย
เป็นสิ่งสมมุติ สิ่งใดที่เราคิดถึงมันได้ สิ่งนั้นมันไม่จีรัง
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม
ความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่องกันขึ้นนั้น
เราไม่รู้อะไรเลย ...คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
จนในที่สุดความคิดก็ขาดสะบั้นลง
ความจริงที่เหนือคิดก็ปรากฏออก
ข้อเท็จจริงของชีวิตก็คือ ทุกๆ วัน
เราดำเนินไปบนรากฐานของความจริง
แม้เราจะคิดถึงพรุ่งนี้....
แต่พรุ่งนี้ก็จะเปิดเผยตัวเองอยู่ในรูปของความจริงเท่านั้น
...ท่านเขมานันทะ
เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงแล้ว จิตก็หมดพันธะกับเรื่องโศก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น
แล้วจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิด ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ
อันโทษทัณฑ์ทางกาย อาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้นต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง ฯ
"พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทางความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
รู้ตัวไม่มีตัว รู้ใจไม่มีใจ
รู้ทันใจเราเอง คือสติ สติมากํากับใจ ให้เรารู้ทัน
เราจึงไม่เผลอไปตามกิเลสของเรานะ
ไม่อย่างนั้นเราจะดําเนินชีวิตไปตามความคิด ที่ถูกชักนําด้วยกิเลสในระดับจิตใจของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว
ผลักดันออกมาเป็นการกระทําต่างๆ จุดเริ่มต้น ล้วนเกิดจากตรงนี้ทั้งนั้นเลย
ตรงใจที่หลงทําตามกิเลส โดยไม่รู้ตัว เพียงแต่แค่เราตื่นขึ้นมา จากความฝันที่เราลืมตาตื่นอยู่ ตื่นจากการถูกปกคลุมด้วยความคิดที่ชักนําจากกิเลส ภายใต้จิตใต้สํานึกของเราเอง
พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น
" จิตว่าง" ในที่นี้ ยังมีความคิดอารมณ์นะ
เพียงแต่ไม่เข้าไปยึดถือความคิดอารมณ์ จิตมีหน้าที่เพียงแค่ รับรู้ แต่ไม่ยึดถือ , " ไม่ยึดถือ " คือการไม่เข้าไปยึดถือความคิดอารมณ์ ตัวตนเอง , " ไม่มีของกู " คือการไม่เข้าไปยึดถือ สิ่งที่ถูกรู้ , " ไม่มีตัวกู "
คือไม่ยึดถือจิตผู้รู้ ไม่เพ่งใส่จิตผู้รู้ จนเข้าไปยึดติดกับจิตผู้รู้ จนหลงเพลินไปกับผู้รู้
หมั่นเจริญสติ รู้สึกตัว การรู้สึกตัว จะทําให้จิตผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา ปลอกลอกออกจากความคิด เข้ามาเห็นความจริงสิ่งที่ถูกรู้ เพื่อเจริญวิปัสสนา
\การเจริญวิปัสสนา ต้องไม่ ยึดผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ ให้เพียงแค่ รับรู้ ปัญญาญาณจึงเกิด เพื่อมาละกิเลส เกิดความชินที่ใจ ชินที่จะปล่อย มันจะล้างอนุสัยทั้งหลายที่ผังรากไว้ลึกๆในจิตเราออกไป
ให้หาวิหารธรรมให้ใจอยู่ เช่น รู้สึกตัวอยู่กับกายหรือการขยับกาย หรือ รู้สึกตัวกับลมหายใจ เพื่อให้จิตเกิดตั้งมั่นขึ้นมา เพื่อเป็นผู้รู้ การจะเป็นผู้รู้ได้นั้น จิตตั้งรวมตั้งมั่นขึ้นมาก่อน ซึ่งทําได้โดยหมั่นรู้สึกตัว
การที่เราหมั่นรู้สึกตัวบ่อยๆ ตรงที่รู้สึกนั้น จะทําให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา อีกหน่อย สติเราจะมีกําลังมาก และจะทําให้ผู้รู้ มีกําลัง เข้าไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ ได้โดยไม่เผลอไหลตามไป
ให้หมั่นรู้สึกตัว เพื่อให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมาก่อน เพื่อจะได้มีคุณภาพของสติพอ ที่จะไปรู้ไปดู โดยไม่เผลอขาดสติ
เมื่อรู้สึกตัวบ่อยๆ มันจะต่อไปรู้ สิ่งต่างๆที่มากระทบกายใจต่อเอง
ทําให้เรา เข้าไปดูกาย ดูจิตใจ เป็นการเจริญสติปัฏฐาน4 ดูกายดูจิต
ไม่ใช่อยู่ๆนึกอยากจะไปดูจิต ก็ดูได้เลย เพราะถ้ากําลังสติมีน้อย จิตผู้รู้ยังไม่เข้มแข็งพอ ต้องหมั่นรู้สึกตัว เพื่อจะได้รู้ถึงจิตผู้รู้ ให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา จนมีศักยภาพพอที่จะได้ดู จิต จะไปเห็นความคิดเห็นอารมณ์เห็นเวทนาต่างๆ ได้เอง
เพราะเมื่อจิตผู้รู้มีกําลังแล้ว มันจะเป็นอิสระจากความคิด และเข้าไปเห็น กาย จิตใจ ตามความจริง
" ฉันไม่ชอบสุข
ฉันชอบทุกข์
หากฉันสุข พิษทั้ง ๕
(คือ)โลภ โทสะ โมหะ มานะ ริษยา ก็จะเพิ่ม
หากฉันทุกข์
กรรม ไม่ดีในอดีต ก็จะลด
ฉันไม่มักใหญ่ใฝ่สูง
ฉันชอบฐานะที่ต่ำต้อย
หากฉัน...
เป็นคนสำคัญ มานะ และริษยา จะเพิ่มพูล
หากฉันต่ำต้อย
ฉันจะผ่อนคลาย และการฝึกจิตจะก้าวหน้า
ที่ ที่ต่ำที่สุด
คือ...
ที่ของนักบุญทั้งหลายในอดีต."
(ท่านพาทรุล รินโปเช
ลามะท่านสำคัญ ของธิเบต ๒๐๐ ปีก่อน)
หากเราแจ้งแก่ปัญญา มองออกและสลัดหลุดจากพันธะทั้งหลายเหล่านี้ได้เมื่อไหร่ ความยึดติดในสังสารวัฏ ก็น้อยลงไปเท่านั้น
อันตัวเราทุกคนนั้น ถูกกระแสแห่งกรรม ล่อหลอกให้มายึดเกาะเกี่ยวกัน จากกรรมที่เคยทําร่วมกันมา แล้วต้องมาสนองตอบกันทั้งในเชิง หลง รัก โกรธ เกลียด ต่อกัน
พอดี ก็ดีพอ ญาณจึงบังเกิดแก่ตน
จิตตนเองต้องเห็นทางที่พอเหมาะพอดีของตนเองจึงพ้นได้เอง ทางสายกลางของใครก็ของมัน ต้องทําเองปฏิบัติเองเล่นกับกายเล่นกับใจตนเองจึงรู้เองเห็นเอง เมื่อเห็นแล้วก็จะรู้แก่จิตตนเองว่าระดับไหนที่พอเหมาะแก่ตน ปัญญาญาณจึงบังเกิดแก่ตนเอง ไปคิดเท่าไหร่ก็หาไม่เจอหรอก แค่เริ่มคิดก็ไปขวางแล้ว ยิ่งคิดยิ่งไกลห่าง
แค่ "รู้สึกตัว" สติจะมา ปัญญาญาณจะเกิด กับใจตน ไม่ได้เกิดที่สมอง ไม่ใช่ความคิด แต่เป็นรู้ผุดขึ้นจากใจเรา เห็นใจบ่อยๆ รู้เห็นกิริยาของใจ เล่นกับใจ ละการใช้กายหรือสมองลง ศักยภาพทางกายมองไม่เห็น ต้องศักยภาพทางใจถึงเห็น เห็นได้ด้วยใจตน ใจสอนใจ
" คำว่าเจริญสตินี่
ทุกส่วนให้มันทำหน้าที่ของมัน
โดยสมบูรณ์ของมัน
ไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติของมัน
การปฏิบัติวิธีนี้คือ
เป็นวิธีที่จะเอาไปใช้กับการกับงาน
จึงว่าไม่ได้ให้ฝืนธรรมชาติ
ตา เป็นหน้าที่ของมองให้เห็น
หู เป็นหน้าที่ของฟังเสียง
จมูก เป็นหน้าที่ของที่จะรู้ว่าเหม็นหอม
แล้วการเคลื่อนไหวของกายนี้
ต้องให้มันเป็นไปตามธรรมชาติหน้าที่ของมัน ไม่ต้องฝืนมัน แต่ให้มัน รู้เท่าทัน เท่านั้นเอง "
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
การทําสมาธิ รู้สึกตัวกับลมหายใจ
รู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า รู้สึกตัวกับลมหายใจออก ตรงที่รู้สึก นั้นเป็นการอยู่กับจิตผู้รู้ จิตผู้รู้จะตั้งมั่นเด่นขึ้นมา ปล่อยจากขันธ์หยาบมาละเอียด
อย่าไปอยากให้เกิดสภาวะ อย่าอยากใดๆทั้งสิ้น อย่าไปอยากหูดับ กายเบา จะไม่เกิด ให้ปล่อยกายสบายๆ วางใจสบายๆอยู่กับความรู้สึกที่ปรากฏ จิตจะปล่อยวางอารมณ์อื่นเองอัตโนมัติ ปล่อยแล้วก็อย่าไปดึงกลับมาอีก ตรงนี้อย่าพยายามไปคิดพิจารณาหรือสงสัยนะ มันจะหลุด
กาย ใจ จะหลุดออกจากการยึดถือ ปล่อยออกจากขันธ์ ยิ่งรู้สึกตัวชัด ตรงนี้รู้อยู่กับใจแล้ว กายหลุดไป หรือ กายเบา ไม่มีความเวทนาจากกายอีก เพราะความเวทนาเป็นอารมณ์หยาบ
เห็นเป็นขณะ เป็นช่วง บางทีว่างมีรู้สึกตัว , บางทีหลุดเผลอไม่รู้ตัวว่าง หรือ ไหลไปคิดหรืออยู่กับอารมณ์ , ให้ กลับมารู้สึกตัวเป็นหลัก เป็นการกลับมาอยู่กับจิตผู้รู้ ปล่อยออกจากอารมณ์
จิตตั้งมั่นเด่น ใจจะว่างๆ สังเกตุดูความว่างที่ปรากฏ อย่าเข้าไปอยู่กับความว่าง ให้เห็นเองว่าใครเป็นผู้รู้ความว่างอยู่ นั้นคือจิตผู้รู้ที่เข้าไปรู้ความว่างนั้นเอง ให้อยู่กับจิตผู้รู้ ที่รู้ความว่าง อย่าปล่อยใจไหลไปแช่ความว่าง
ธรรรมแท้จะปรากฏกับใจ ตามความก้าวหน้าในธรรม
อยู่กับความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวคือสัมมาสติ เป็นก้าวหลักก้าวสําคัญในมรรค8 เมื่อสัมมาสติเจริญ จะไปดึงให้ สัมมาสมาธิเจริญ แล้วจะไปดึงให้ สัมมาอื่นๆในมรรค8 ค่อยๆเจริญกับใจ
รวมคำสอนหลวงพ่อเทียน
►การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม
►การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึก
►ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
►ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจากสติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว
►เพียงแต่เคลื่อนไหวทีละครั้งและรู้ เมื่อเธอไม่รู้ปล่อยมันไป เมื่อรู้ปล่อยมันไป บางครั้งเธอรู้ บางครั้งเธอไม่รู้ มันเป็นเช่นนั้น แต่ให้รู้
►การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือการเจริญสติ
►สมาธิคือการตั้งใจ
►ใช้สติดูจิตใจ ไม่ว่าความคิดอะไรเกิดขึ้น เห็นมันทันที และเราจะรู้ถึงความหลอกลวง รู้ทันเวลา รู้การป้องกัน และรู้การแก้ไข รู้ถึงการเอาชนะความคิดปรุงแต่ง ศีลจะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราเอง ไม่ใช่คนดอกที่รักษาศีล แต่ศีลต่างหากที่รักษาคน
►ให้ลืมตาทำเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกระพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้าย แลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ
►ถ้ารู้สึกในการเคลื่อนไหวได้ ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ซักเสื้อผ้า ล้างถ้วย ล้างชาม ถ้ารู้สึกที่มันเคลื่อนมันไหวในขณะนั้น ก็เป็นการปฏิบัติธรรมได้
►พุทธศาสนาคือ มารู้สึกต่อการเคลื่อนการไหวในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั่นแหละ คือมันรู้สึกในการเคลื่อนไหวของกายและใจ เป็นญาณเข้ามารู้ รู้สึกที่เนื้อที่ตัวตื่นตัว มันจะเป็นใหญ่ในตัวของมันได้เอง รู้สึกใจตื่นใจ มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นใหญ่ในใจของมันได้เอง เมื่อมันเปลี่ยนแปลง มันก็เหมือนกับเราหงายของที่คว่ำขึ้นมา มันก็เห็นว่า มีอะไรอยู่ที่ตรงนั้น
►คำว่าติดต่อกันเหมือนลูกโซ่นั้น ไม่ใช่แต่ว่านั่งอยู่ในห้องกรรมฐานเพียงอย่างเดียว จะไปไหนมาไหน อาบน้ำ ซักเสื้อ ซักผ้า ก็ให้มีสติดูการเคลื่อนไหวของรูปกาย และมีสติดูจิตดูใจอยู่เสมอ นั่นแหละท่านเรียกว่า ปฏิบัติให้ติดต่อเหมือนลูกโซ่
►ทันทีที่ความคิดเกิดขึ้น ปัดมันทิ้งออกไปทันที และให้มาอยู่กับความรู้สึกตัว
ขอบคุณคุณประเสริฐ คุณกล้วย กลุ่มหลวงพ่อสมบูรณ์ ที่รวบรวมคำสอนดีๆ ของหลวงพ่อเทียนมาครับ
การแก้ การทําสมาธิเผลอเพ่ง แล้วไปว่างติดอยู่กับความสงบ
ต้องลองสังเกตุดูครับ ว่าที่จิตนิ่งว่างนั้น ว่างแล้วมีสติกํากับ ระลึกรู้สัมผัสที่เข้ามากระทบไหม ถ้ามีก็เป็นการว่างของจิตที่ตั้งมั่นเพื่อเจริญวิปัสสนา
แต่ถ้าไม่มีสติกํากับแต่เป็นการลงไปแช่ในความว่างสงบแบบไม่ระลึกรู้อะไรนอกจากอารมณ์ความว่างนั้นจะเป็นสมถะที่ไปติดกับความว่าง ต้องแก้ไขโดยการกลับมาระลึกรู้กับลมหายใจใช้ลมหายใจปรับช่วยให้เบาๆคลายออก " โดยไม่เพ่ง " เพราะการเพ่งจะทําให้เราไหลไปอยู่กับอารมณ์ว่างเพียงอารมณ์เดียวไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ครับ วิธีสังเกตุว่าเพ่งไหม สังเกตุที่หัวคิ้วตนเองถ้ามีเกร็งแม้เพียงนิดเดียวแสดงว่าเผลอเพ่งอยู่ นักปฏิบัติชอบเผลอเพ่งกันโดยไม่รู้ตัวนะครับ
วิธีคลายก็ให้ยิ้มเบาๆคลายออกทางกายให้ใจเบาๆมีปิติ จะได้หลุดการการไปเพ่งยึดเอาไว้ครับ วิปัสสนาจึงจะเจริญ
ที่มันละ เพราะเรารู้ทัน รู้ทันใจเรา พอเรารู้ทัน ใจเรามันไม่เอา จากกําลังของสติเป็นตัวนําปัญญามา แต่เมื่อเรามีสติมากขึ้น จะเกิดปัญญา ปัญญาตัวนี้หล่ะที่ทําให้ใจเราเห็นถูก พอใจเราเห็นถูก ที่นี้มันไม่มีการไปละอะไรแล้ว
เทียบให้เห็นง่ายๆว่า เมื่อก่อนเราชอบเนื้อหนัง เพราะใจเราหลงผิด พอเรารู้ทันมีสติบ้างเล็กน้อย เราละได้ด้วยสติมีการไปปัดออก แต่พอเราเจริญสติไปมากๆ เกิดปัญญาญาณขึ้นมา เรารู้แจ้งในวิชชา ใจเราละอวิชชาออกไป เมื่อใจเรารู้ด้วยปัญญาแล้ว เราไม่หลงผิดอีก ที่นี้เราเห็นความจริงแห่งเนื้อหนังที่เราเคยหลงชอบติดใจ เราเห็นเหมือนเป็นของสกปรกมากเห็นเป็นอุจจาระเลย ยังต้องละอะไรอีกไหม ใจเราเห็นเป็นอุจจาระ ให้เอานิ้วจิ้มขี้เราเอาไหมละ ไม่มีละแล้วใช่ไหม เพราะใจเราไม่เอา ใจเราเห็นถูก มันไม่มีอะไรให้ละแล้วนะ
ละ เพราะเรารู้ทัน (ตัวแบบ)
“…วิชชา แปลว่าอะไร ?
มันไม่ใช่ภาษาที่เราพูดกัน
‘วิชชา’ คือ 'ความรู้แจ้ง-รู้จริง-รู้แล้วไม่เปลี่ยนแปลง'
ส่วน ‘อวิชชา’ นั้น
แปลว่า 'ความไม่รู้แจ้ง-ไม่รู้จริง
(รู้แล้ว)เปลี่ยนแปลงไปได้'
พูดตามภาษาบ้านเราว่า
*ให้รู้ตนเอง-ศึกษาตนเอง-ให้ตื่นตัว*
ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นอย่างไร ความไม่รู้-มันก็ไม่มี
ถ้าความไม่รู้มีอยู่ ความรู้ก็ไม่มีในที่นั้น-ไม่มีจริง ๆ
*ถ้าเราฝึกหัดตัวเราเอง
ให้รู้ตัวเอง-ตื่นตัว-เข้าใจตัว
ความไม่รู้-ความไม่ตื่น
ความไม่เข้าใจ-ความไม่เห็น ก็จะไม่มี*
ต้องรู้ตาม-เห็นตาม-เข้าใจตามได้จริง ๆ ...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
"พระนิพพาน" อยู่ใกล้ที่สุด ไม่ไกล อย่าไปหาไกล
"หนัง" มันห่อไว้ กระดูกมันห่อไว้ ทำลายมันออกให้หมด
"จิต" อันนี้มันก็ปิดบังมรรคผลนิพพานไว้
ทำลายจิตลงไปอีก จิตแตกสลายออกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลนิพพาน ทำลายให้เป็นของว่าง
ยึด "ผู้รู้" ว่า "เป็นเรา" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
"จิตสักแต่ว่าจิต" "ธรรมสักแต่ว่าธรรม"
ไม่ให้มันไปไหน ให้มันอยู่ใน "กาย เวทนา จิต ธรรม"
ของ "สมมุติแท้ๆ" ก็มี "ของจริง" อยู่ในสมมุตินั้น
"จิต" เป็นตัว "สมุทัย" เป็น "ตัวอริยะสัจ"
มี "สติ" แล้ว "ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็สมบูรณ์
ศูนย์รวมของธรรม อยู่ที่ใจ
กิเลสตัณหาอยู่ในจิตเท่านั้น ไม่ได้อยู่ใน รูป เสียง....."
ธรรม" ทั้งหลายเกิดจาก "จิต" ของเรา
อยู่ที่ "จิต" เวทนาไม่มีตัวไม่มีตน
"จิต" ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ "มันอยู่" ใน "จิตอันนี้" หวงหนังห่อขี้ หนังห่อมูตรห่อคูต
หลวงปู่ แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ กิ่งอ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร
“…สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง
คำว่าสมาธินั้น
ไม่ได้หมายถึงการไปนั่งภาวนาพุทโธ-ธัมโม
หรืออะระหัง พอง-ยุบ ดูลมหายใจอะไร
*สมาธิคือตั้งใจมั่น ตั้งใจทำการทำงาน-พูด-คิด*
การงานนั้นจะสำเร็จลุล่วงไปได้โดยดี
เพราะว่ามีสมาธินั่นเอง
ดังนั้น*เมื่อเราเห็นจิต-เห็นใจของเรามันนึก-มันคิด
เรารู้เท่า-รู้ทัน รู้จักกัน-รู้จักแก้
เห็นแจ้ง-รู้จริงตามความเป็นจริง
นั่นแหละคือสมาธิ สมาธิจึงแปลว่าตั้งใจมั่น
เมื่อเราเห็นจิต-เห็นใจเรา
เห็นชีวิตของเราเป็นปกติอย่างนี้
นั่นแหละถือว่าเรามีสมาธิ
จึง(สามารถ)กำจัดกิเลสอย่างกลาง*
เราไม่ใช่ไปนั่ง(ทำ)ความสงบ
ความสงบนั้นจึงมีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน(คือ)
สงบแบบไม่รู้ สงบแบบอยู่ในถ้ำ-สงบแบบมืด
สงบแบบที่เกลียวมันอัดแน่นอยู่นั่นแหละ
สงบแบบคว่ำหน้าอยู่นั่นแหละ
อันนั้นสงบแบบหนึ่ง
(อีกแบบหนึ่ง)อันคำว่าสงบนี่
เรานั่งอยู่ที่นี่ในขณะนี้
จะเป็นพระ-เป็นเณร เป็นญาติ-เป็นโยม
เป็นคนหนุ่ม-คนสาว คนเฒ่าคนแก่ก็ตาม
ฟังตัวของผม-ฟังตัวอาตมาพูดอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
*ดูจิต-ดูใจของท่านดูซิ นั่นแหละคือความสงบแท้
อันนี้แหละ เราไม่ต้องไปสร้างความสงบอะไร
ไม่ต้องไปสร้างสมาธิอะไร เพราะสมาธิมันมีอยู่แล้ว*
เราไม่ได้ทำที่ตรงนี้ เราจึงไม่รู้จักความสงบแบบนี้
เพราะสัญญาตัวนี้มันไม่ได้ทำหน้าที่ของมัน
เราต้องให้สัญญาตัวนี้ทำหน้าที่ของมันจริง ๆ
สัญญา จึงว่าความหมายรู้-จำได้
ไม่ใช่ไปจำมาจากตำรา
ไม่ใช่ไปจำมาจากครูบาอาจารย์สอน
ให้เราจำ เรานึก-เราคิด...เราเห็น-เรารู้
อันนั้นแหละคือสัญญาแท้
เรากำมือ-รู้สึก เราเหยียดมือ-รู้สึก
เรา(กะ)พริบตา-รู้สึก เราเหลือบซ้ายแลขวา-รู้สึก
เราหายใจเข้า-หายใจออก รู้สึก
*อันความรู้สึกนั่นแหละคือสัญญา ให้มันทำหน้าที่ของมัน
เรียกว่าสัญญา ความหมายรู้-จำได้
มันจะไม่มีวันหลง-วันลืม
เพราะมันได้ทำหน้าที่ของมันจริง ๆ แล้ว เป็นอย่างนั้น
สังขารมันจะไม่ปรุงไปในทางที่ผิด*
สังขารคือจิตใจมันนึก-มันคิด มันปรุง-มันแต่ง
มันเป็นอารมณ์ขึ้นมา
ถ้ามันเป็นอารมณ์ขึ้นมาแล้ว นั่นแหละเราขัดใจ
เราไม่พอใจ มันมีการขัดแย้งอยู่ในตัวของมันเอง
มันมีการขัดแย้งอยู่ในตัวของมันเอง
ไม่ใช่ขัดแย้งคนอื่นนะ
ขัดแย้งดีใจ-เสียใจ พอใจ-ไม่พอใจนี่
*เมื่อเรามาเห็น-มารู้ มาทำความเข้าใจกับที่ตรงนี้
ความสับสนวุ่นวาย เหตุมันจะไม่เกิดขึ้นที่ตรงนี้
เพราะมันไม่มีการขัดแย้งกับตัวของมันเอง
เพราะตัวสัญญาตัวนี้เข้าไปอยู่ที่ตรงนั้น
เพราะตัวสมาธิ-ตัวสติ-ตัวปัญญา
เข้าไปรู้-เข้าไปเห็นที่ตรงนั้น
มันได้ทำหน้าที่ของมันโดยตรงขึ้นมาแล้ว
อันนี้แหละ สมาธิจึงเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง*...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า: "
▪ความไม่รู้ (อวิชชา) ทำให้ยิ่งทุกข์ ยิ่งเข้าใจผิด ยิ่งกังวล
▪ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสับสน ความอิจฉา ความกลัว เป็นส่วนหนึ่งของความไม่รู้
▪มายาล่อหลอกในทิศตรงข้าม มันมีสองหน้า จงอยู่ตรงกลางเหมือนกับเช่นดาวเหนือ
▪อย่าให้ร่างกายอดอยาก (อัตตกิลมถานุโยค) หรืออย่าสนองกิเลสของมัน (กามสุขัลลิกานุโยค) จงแน่วแน่อยู่ตรงกลาง (ทางสายกลาง)
▪เมื่อเราตระหนักถึงความชั่วร้ายจากมายา ความกังวลทั้งหมดก็จะหายไป เราจะสัมผัสความรักและการยอมรับ ความรู้สึกทั้งสองอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อมีความรู้สึกนี้ เราจะไม่มีความรู้สึกเกลียดใครอีกเลย แม้แต่คนที่โหดร้ายกับเรา เราก็จะไม่รู้สึกเกลียดเค้า แต่ในทางตรงกันข้าม เราจะพยายามวิเคราะห์คนๆนั้นในแง่ของทางโลกที่ยังมีสิ่งให้ยึดติด"
San Nirvana
วิปัสสนาจะเกิดตอนไหน ?
วิปัสสนาจะเกิดเมื่อ จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ , จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ จะเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะจิต เพราะจิตมีความไวมาก ดังนั้นการ หมั่นรู้สึกตัวในชีวิตประจําวัน แล้วจิตตั้งมั่นขึ้นมา ก็สามารถเจริญวิปัสสนาได้ แม้เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ในผู้ที่นั่งสมาธิได้ จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ได้นานกว่า( แม้นานกว่า แต่ก็ไม่ได้นานมากๆ เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเหมือนกัน ) จะสามารถเจริญวิปัสสนาได้นานกว่าอีกหน่อย
ในผู้ที่ปฏิบัติไปมากแล้ว จิตจะเริ่มมีความคุ้นชิน จากที่รู้สึกตัวช่วงเวลาสั้นๆ จะขยายแล้วออกไปได้มากขึ้น และ สามารถเจริญวิปัสสนาได้นานขึ้นไปเอง
หลังจากจิตตั้งมั่นแล้ว วิปัสสนาจะเกิดเมื่อ เข้าไปเห็นรูปนาม ตามความจริง หรือ เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม การเห็นนี้จะไม่มีการเข้าไปคิดพิจารณา แต่เป็นการรับรู้ด้วยใจ ไม่ใช่สมองคิด ตรงนี้หล่ะถึงจะเป็นวิปัสสนาแท้ๆ เป็นวิชชามาละอวิชชา ครับ เวลาปฏิบัติ ไม่ต้องไปพยายามคิดจะเจริญวิปัสสนา เพราะวิปัสสนาจะเกิดเอง
ให้เตรียมใจให้พร้อม โดย ปฏิบัติ รู้สึกตัว หรือ ทําสมาธิ ให้จิตตั้งมั่นขึ้นมา ให้รู้แค่รับรู้ อยู่กับความรู้สึกตัว ทั้งรู้สึกตัว ทั้งตอนทําสมาธิหรือไม่ทําสมาธิ ธรรมจะปรากฏให้เห็นเอง , การไปคิดพิจารณา แม้คิดพิจารณาซากศพคิดถึงไตรลักษณ์ยังเป็นระดับใช้สมองคิด ยังไม่ใช่วิปัสนาแท้จริง
ในผู้ที่จิตตั้งมั่นแล้วไม่เห็นไตรลักษณ์ สามารถเหนี่ยวนําโดยใช้ความคิดพิจารณาถึงไตรลักษณ์ เพื่อเป็นเชื้อให้จิตสามารถเจริญไตรลักษณ์ได้ แต่ในช่วงที่ใช้ความคิดนี้ยังไม่ใช่วิปัสสนา แต่หลังจากคิดแล้ว เมื่อจิตตั้งมั่นขึ้นมา(ขณะจิตตั้งมั่น จะปล่อยไม่ยึดความคิด) แล้วเห็นไตรลักษณ์จึงจะเป็นวิปัสสนา
กายสบายใจสงบมีความสุข สติรู้อยู่กับปัจจุบัน มีสัมมาสติ ตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน กรรมในอดีตทําอะไรไม่ได้ ความสงบเย็นที่เกิด มีความปิติจากภายใน ไม่แข่งขันชิงดีชิงเด่นใคร การหลุดพ้นจากสิ่งยึดทั้งหลาย ย่อมเกิดในปัจจุบัน ณ.จิตที่หลุดพ้น
ประเด็นที่สําคัญที่สุด ให้รู้จักความรู้สึกตัวแท้ๆ ให้ได้ก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อ รู้ได้ว่าอะไรเป็นความรู้สึกตัวแท้ๆแล้ว เพียงแค่หมั่นสังเกตุเห็นความรู้สึกตัว จะเห็นในอริยาบทใดก็ได้
" ความรู้สึกตัวแท้ๆ คือ ความรู้สึกที่เกิดแว๊บแรกเวลาเรา โดนสัมผัส เช่น โดนลมพัดผ่านกาย เรารู้สึกถึง ตรงที่รู้สึก นี้หล่ะคือความรู้สึกตัวแท้ๆ
การขยับกาย ช่วยให้เราเห็นความรู้สึกตัวได้ชัด แต่การขยับกายไม่ใช่ความรู้สึกตัว
การหายใจ แล้วเรา รู้สึกถึงลม ตรงที่รู้สึก เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ หรือ อานาปานสติ แล้ว
" แค่ หมั่น รู้สึกตัว "
ลองหายใจดู แล้ว สังเกตุดูนะ รู้สึกไหม ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ คือความรู้สึกตัว
แค่ รู้สึก อย่าไปปรุงแต่ง ไม่ไปดักรู้ ไม่ไปกําหนดรู้ มันจะเป็นการไปปรุงแต่งความรู้สึกเทียมๆขึ้นมา กลายเป็นคิดรู้สึก
แค่ รู้สึก สบายๆ
อย่าไปให้ความหมายมันด้วย แค่รู้สึก มันจะไม่มีความหมาย ที่มีความหมายเป็นคําพูดขึ้นมา เช่น ร้อนเย็น ยาวสั้น ตรงนั้นไม่ใช่แล้ว
แค่ รู้สึก แว๊ปแรก มันไม่มีความหมาย ไม่มีคําพูด
อย่าไปพยายามจับอะไร
เราหายใจอยู่แล้ว เราแค่รู้สึก ที่เราหายใจ แค่นั้น สั้นๆ เบาๆ สบายๆ
ลมพัดโดนกาย รู้สึกไหม ตรงที่ลมโดนกาย รู้สึกตัว แค่นี้ แว๊บเดียว
ไม่มีความหมายใดๆ ถ้ามีความหมาย มันไปคิดปรุงแล้ว
แค่เริ่มคิด ก็ไม่ใช่ความรู้สึกตัวแล้ว
จิตผู้รู้ แยกออกจาก สิ่งที่ถูกรู้ ปล่อยอุปาทาน(ไม่มีการทํา)
.
การส่งใจเข้าไปรับรู้เป็นความปกติของจิต แต่ถ้าเลยจากการรับรู้ เลยเข้าไปวิตกวิจารณ์ เลยเข้าไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่อยู่กับจิตผู้รู้ ล้วนเป็นการส่งจิตออกนอก ขณะนั้นไม่รู้สึกตัวแล้ว
.
จิตมีสภาพรู้อารมณ์ อารมณ์ไม่ใช่หมายถึงอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงคือสิ่งที่ถูกรู้ของจิต
.
รู้ทันความสงสัย(รู้ทันใจที่สงสัย) ไม่ใช่เข้าไปอยู่กับความสงสัย เป็นการไม่รู้สึกตัว แล้วเข้าไปรวมกับสิ่งที่ถูกรู้(กาย ใจ(อารมณ์ความคิด))
.
อย่าเข้าไปรวมกับสิ่งที่ถูกรู้ ให้รู้สึกตัว จิตผู้รู้จะเด่นแยกออกมา
.
การที่จิตผู้รู้ เข้าไปรวมกับสิ่งที่ถูกรู้ เป็นไหลไปตามอารมณ์ เป็นการส่งจิตออกนอกทุกกรณี สิ่งที่เกิดทําให้จิตผู้รู้ไม่เป็นอิสระถูกครอบงําด้วยอารณม์หรือสิ่งที่ถูกรู้ ทําให้ไม่เห็นความจริง
.
การปฏิบัตินั้นเป็นไปเพื่อให้ จิตผู้รู้เป็นอิสระ เข้มแข็งขึ้นมา ไม่เข้าไปถูกครอบงํา จิตผู้รู้ที่อิสระ คือการเข้าสู่โลกแห่งใจ
.
ใจที่อิสระ เห็นความจริงของโลกในมิติที่เหนือกว่า ธรรมแท้นั้นเป็นธรรมดา ความเป็นปกติของใจ
.
ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้แค่ "รู้สึกตัว" นั้นประเสริฐที่สุดแล้ว หนทางนี้วิเศษที่สุดแล้ว อย่าไปทําเกินเลย โดยเฉพาะการไม่รู้ทันใจตัวเอง ยังวิตกวิจารณ์ต่อไป จะมาขวางทาง
.
"รู้สึกตัว" คือการสอนเพื่อให้จิตอิสระ เพื่อเข้าสู่สภาวะแห่งใจ ที่ง่ายที่สุดแล้ว แต่ทําเลยเกินจะไม่เห็น
เป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจให้มาก
ว่าทำไมเส้นทางนี้ชัดเจนแล้ว
ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศไว้
ชัดเจนแล้วไม่มีอะไรน่าสงสัย
แต่ทำไมเรายังสงสัย ไม่แน่ใจ
เพราะแรงกรรมของเรายังสูงอยู่
ถ้าเรามีความตั้งใจอย่างจริงจัง
แรงกรรมนี้แทนที่เราต้องไปเสวย
อีกหลายภพหลายชาติ
เราสามารถทำให้สั้นลงได้
เพราะเราเข้าไปลดกำลัง
ตัวรู้หรือตัวสติ
จะเข้าไปลดแรงเหวี่ยงของจิต
หรือแรงกรรม ให้มันสั้นเข้าๆ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรับประกันว่า
ถ้าคนไหนได้รู้สภาวะปัจจุบันชัดๆ แล้ว
แม้แรงกรรมจะสูงขนาดไหน
ไม่เกินเจ็ดปี จิตต้องมาลง ณ ปัจจุบัน
อย่างกลางไม่เกินหนึ่งถึงสามปี
อย่างเร็วที่สุดไม่เกินหนึ่งวันถึงหนึ่งปี
มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้
เราก็ไม่ตกลงปลงใจที่จะเชื่อได้
เนื่องจากมีแรงกรรมที่ต้องชดใช้
เพราะเรามีอวิชชาอยู่
เมื่อมีอวิชชา ตัวเพลิน ตัวเผลออยู่
มันก็ต้องมีกรรมตามมา
เพราะเป็นเหตุปัจจัยของมัน
ถ้าเราไม่อยากให้มีกรรม
หรือกรรมที่สั่งสมมาเยอะแยะ
ให้หมดไปไวๆ
เราก็ต้องไปจัดการที่ตัวอวิชชา
ตัวเผลอ ตัวเพลินต่างๆ
ที่เราเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส
ตัดกำลังเพลินให้น้อยลงมา
Direk Saksith
หาเส้นทางเดินในสมาธิของตนเอง ที่เราคุ้นชิน
รู้ไปกับลมหายใจ ลมหายใจก็ไม่เที่ยง มีสั้นมียาว สั้นก็ให้รู้ ยาวก็ให้รู้ เป็นวิธีเรียกสติมากํากับให้มีสมาธิ สังเกตุกายใจว่าเพ่งตึงไหม ให้คลายออก ใจอยู่กับลมไม่เผลอลืมลม จะเข้าสู่สมาธิ เข้าไปในฌานได้โดยง่าย แยกกายแยกใจ ไม่มีความเจ็บปวด ความรู้สึกทางกายหายไปเรื่อยๆแต่ก็ยังพอมีให้รู้สึกได้บ้าง เข้าไปถึงความว่าง ระลึกรู้กับความว่างนั้น ผมชอบเลยเข้าไปแช่อยู่กับความว่างลึกๆก่อน มันทําให้ใจยิ่งสงบ ไม่มีความคิดมารบกวน แล้วค่อยถอนออกมารู้สึกตัว ปัญญารู้จะผุดขึ้นเอง
ขอให้จิตเป็นปัจจุบันเถอะ สิ่งที่ผ่านมาแล้วอย่าไปคํานึง สิ่งท่ียังมาไม่ถึงก็อย่าไปคํานึง ทําจิตให้เป็นปัจจุบัน ดูหัวใจตัวเอง ส่ิงใดท่ีคิดไปแล้วมันไม่ดีก็ต้องหักห้ามมัน พอหักห้ามจิตบ่อยเข้า มันก็ห้ามได้เท่านั้นเอง เราก็จับหลักได้
หลวงปู่ลี กุสลธโร
ให้แค่รู้ แล้วอย่าเข้าไปในความคิด ถ้าเข้าไปในความคิด จะทําให้ความคิดใหญ่โตขึ้น ไอ้ความคิดที่คิดถึงหรืออารมณ์นั้นหล่ะ อะไรทําให้ความคิดใหญ่โตได้จนมีอํานาจเหนือเรา ก็คือความคิดนั้นเอง ความคิดถูกหล่อเลี้ยงด้วยความคิด
เผลอเข้าไปในความคิด ไม่ละความคิด โดยเอาสติมาไว้กับกายใจตนเอง เสร็จ(แพ้)ทุกราย ให้ละความคิด แล้วเอากําลังของสติ+ กําลังของสมาธิ(สมถะ)มาช่วย แต่สมถะนะช่วยได้ชั่วคราว แต่สติที่เป็นทางไปสู่ปัญญาน่ะ จะช่วยให้พ้นได้ถาวรเลยนะ
เอาสติช่วย (สติก็คือสติปัฏฐาน4) นะ โดยการเอาใจไว้ที่กายของเราแทน เช่นการรู้สึกตัวกับลมหายใจ จะทําให้สติมีกําลังมากขึ้นไปเรื่อยๆนะ หรือการรู้สึกตัวผ่านกายก็เหมือนกันครับ
สติเบื้องต้น เราเรียกว่า ศีล
สติเบื้องกลาง เราเรียกว่า สมาธิ
สติเบื้องสูง เราเรียกว่า ปัญญา
สติเบื้องบน เราเรียกว่า ญาณ
สติเบื้องลึกลงไป เรียกว่า ญาณทัสสนะ
สติเบื้องลึกสุด เรียกว่า ญาณทัสสนวิมุตติ
แต่ในนามของสติจะเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ
บางคนก็บอกว่าหลวงพ่อสอนแต่เรื่องสติ
คุณธรรมพุทธศาสนามีตั้งเยอะแยะ
ทำไมหลวงพ่อไม่นำมาสอนบ้าง
ผู้เขียนเคยถามหลวงพ่อเทียนเหมือนกันว่า
“ทำไมเราใช้คำว่า สติ
คำนี้คำเดียวละครับหลวงพ่อ
ธรรมคำสอนมีตั้งแปดหมื่นสี่พันเรื่อง”
หลวงพ่อบอกว่า
“พูดเฉพาะสติคำเดียวนี่
ก็ยังปฏิบัติไม่ถูกกันเลยท่านเอ้ย...
แล้วถ้าพูดไปเยอะแยะมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าทั้งนั้นแหละ
แต่ใบไม้ในกำมือนี้
เอาให้ได้เสียก่อนก็แล้วกัน”
ผู้เขียนก็เห็นด้วย เพราะเราใช้คำน้อยๆ
จะได้ไม่ลุ่มล่ามฟั่นเฝือ
Direk Saksith
" อย่าส่งจิตออกนอก " ลองหายใจเข้าออกเบาๆช้าๆยาวๆ เอาใจไว้กับกายกับลมหายใจเราเบาๆสบายๆ จิตที่ตั้งมั่น ย่อมไม่ส่งออกนอกไปให้ค่ากับสิ่งใด เมื่อไม่ให้ค่า มองรูป รูปย่อมหมดค่ากับใจ ความนิ่งสงบจะเกิดได้ง่ายๆครับ อย่าเอาใจไว้ที่รูป ให้เอาใจไว้ที่ตัวเรา จะมองเห็นรูปเป็นเพียงภาพที่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหวใดๆ หมดค่ากับใจเรา
ส่วนการเพ่งไปที่รูปนั้นเป็นการใช้สมถะเข้าไปกดเพ่งเอาไว้ จะทําให้ภาพนิ่งได้เพียงชั่วคร่าวครับ พอกําลังเราอ่อนลง มันจะกลับมามีผลกับใจเราอีก ภาพก็จะขยับอีก นี้หล่ะครับ วิปัสสนานั้นละได้ขาดเพราะเข้าไปเห็นความจริง แต่สมถะนั้นละได้ชั่วคราวเพราะเราไปกดข่มเอาไว้
การรู้ธรรม เห็นธรรม
ส่วนมากเรามักจะเข้าใจกันว่า การรู้ธรรมเห็นธรรมคือต้องเห็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นโครงกระดูกแล้วรู้ว่า เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราไปหมายเอาหมวดใหญ่ที่ท่านเขียนเอาไว้ในคัมภีร์การตีความหมายอย่างนั้นก็ไม่ผิด เป็นการถูกต้องกับการรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติที่จิตมันจะรู้เองด้วยพลังของสติสัมปชัญญะ
แต่เราจะไปรู้ในกฎเกณฑ์ที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับเท่านั้นไม่ได้ การรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง เป็นกระท่อนกระแท่น ไม่ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นเรื่องยืดยาว การรู้ธรรมเห็นธรรมขอกำหนดหมายอย่างนี้
๑) คือการรู้ว่าจิตของเราคืออะไร เห็นว่าจิตของเราคืออะไร เป็นเบื้องต้น
๒) เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์ก็รู้ว่าจิตสัมผัสรู้อารมณ์
๓) เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์แล้วมีอะไรเกิดขึ้น จิตของเรายินดีไหม จิตของเรายินร้ายไหม จิตของเราพอใจไหม หรือเกลียดในอารมณ์นั้น ในเมื่อรู้ว่ายินดีหรือยินร้ายเกลียดหรือชอบ ก็ดูต่อไปว่าความเกลียดและความชอบบังเกิดขึ้นภายในจิตเป็นอย่างไร ทำให้จิตร้อนหรือเย็น ทำให้จิตสุขหรือทุกข์
ถ้าหากว่าจิตรู้สึกสุขก็ผ่านไป แต่ถ้าจิตของเรารู้สึกทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นความร้อนภายในจิต เรารู้ความร้อนของจิตในเมื่อเรารู้ความร้อนของจิตแล้ว ความร้อนเป็นทุกข์ เราจะต้องถามหาเหตุว่าทุกข์นั้นเกิดมาจากอะไร
ในเมื่อจิตรู้ว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากอำนาจของโลภะ เกิดมาจากอำนาจของโทสะ เกิดมาจากอำนาจของโมหะ จิตมันก็จะยอมรับว่าไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอันว่าจิตรู้ธรรมเห็นธรรม คือเห็นทุกข์ในจิต เห็นสุขในจิต
เทศนาธรรม ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องของเน่าของเสียแท้ๆ มันก็ไม่เห็นโทษและสัมผัสกลิ่นก็เลยเฉยหรือนั่งสูดนั่งดม จนขมคอก็ไม่เดินหนี มันก็คล้ายกับอารมณ์เลวๆร้ายๆที่วนเวียนอยู่ในใจเรา เมื่อมีอะไรมากระทบมันก็จับติด และแสดงบทไปตามเหตุการณ์นั่นๆทันที เพราะไม่มีตัวกลั่นกรองไตร่ตรอง ของเข้าของออกนั่นเอง ใจมันจึงเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่อง ต่างๆให้รกใจ
คนที่ฝึกใจมีสติควบคุมใจ ใช่ว่าจะปล่อยอะไรเข้าอะไรออกมาเพ่นผ่านหรอกนะ นี่มันต่างกันคนฝึกกับคนไม่ฝึกมันต่างกันตรงนี้แหละ..!
..............................
ความยึดถือในสังขารทั้งหลาย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะสังขารเป็นของไม่เที่ยงดังกล่าวมาแล้ว ดังนั้นทำความปล่อยวางเสียได้ ไม่ยึดถือในสังขารทั้งหลายจึงเป็นความสุข เรียกว่า "ความสุขในทางธรรม" ถือเป็นความสุขที่สงบเย็น มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปร...
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
"จิตเราเป็นแค่ธาตุรู้ มีแค่ธาตุรู้ สัมผัสรู้ นี่คือ จิตเราจริงๆ
สิ่งที่มันไปปรุงแต่งนานานั้น มันไม่ใช่จิต มันเกี่ยวกับสังขาร สังขารเขาเรียกว่า เป็นมหาโจร โจรห้าร้อย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นแหละ
เขาเรียกมหาโจร ทำให้เราต้องเป็นทาสของมัน
เป็นทาสของสังขาร ..."
โอวาทธรรม
หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
การปฏิบัติธรรม เมื่อเริ่มจะปฏิบัติด้วยความพยายาม ความพยายามนั้นก็ขวางการปฏิบัติเสียแล้ว แต่จะทํายังไงละที่ให้เป็นการปฏิบัติโดยไม่ได้พยายาม ก็การใช้ชีวิตประจําวันเรานี้หล่ะครับ เรายืนเดินนั่งนอน
เราแค่รู้สึกตัวสัมผัสไปกับธรรมที่ปรากฏแก่ตัวเอง รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ สติเราก็จะมากขึ้น ไม่เผลอไปกับโลกไหลไปกับความคิด "ความคิดของเรานั้นล้วนเป็นกิเลสของเราเองล้วนคิดตามใจเราทั้งนั้น"
พอเรารู้สึกตัวมีสติความคิดมันไม่มี เราจะเห็นความจริงของโลกมากขึ้นเพราะไม่ถูกหลอกด้วยความคิดอีกต่อไป ที่ว่าปัญญาน่ะคือตรงนี้คือเห็นความจริงของโลกของตัวเราเอง โดยเห็นจากจุดที่เราสัมผัสกับโลก เห็นตรงนี้จะเห็น อนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา และค่อยๆปล่อยคลายความยึดจับกับโลกที่มี เป็นอิสระด้วยการเห็นความจริง เห็นนี้ไม่ใช่คิดเห็นเอา แต่เป็นรู้เห็นเอาจนคลายจากทุกๆสิ่ง
ตัวอย่างเช่น การเดินจงกรม จะตั้งใจปฏิบัติ แต่ได้แค่เดิน หรือ จะแค่เดินแบบรู้สึกตัว แล้วได้การปฏิบัติไปในตัว มันก็แค่การเดินที่เราเดินอยู่ทุกวันนั้นหล่ะ ทําเหมือนไม่ได้ทําแต่ทํา
การทำงานของจิต
ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงสำรวจรูป(กาย) และนาม(จิต) พระองค์ได้พบว่า จิตประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ วิญญาณ สัญญา เวทนา และสังขาร
(ปกติคำว่า จิต, มโน, วิญญาณ คือคำที่ใช้แทนกันได้ แต่ในที่จะสมมุติให้คำว่า "จิต" นี้คือ นามขันธ์)
》ส่วนที่ ๑ เรียกว่า "วิญญาณ" คือ การรับรู้ของจิต โดยไม่แยกแยะหรือประเมิน ส่วนนี้ของจิตมีหน้าที่เพียงรับรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ แต่จะไม่จำแนกหรือตัดสิน
》ส่วนที่ ๒ เรียกว่า "สัญญา" คือ การจำได้หมายรู้ จิตส่วนนี้แยกแยะสิ่งที่วิญญาณรับรู้ โดยจัดประเภทและประเมินด้วยว่าเป็นบวกหรือลบ ดีหรือไม่ดี ทันทีที่จิตส่วนนี้จำได้และประเมินค่า ส่วนที่ ๓ ของจิตจะทำงาน
》ส่วนที่ ๓ เรียกว่า "เวทนา" คือ การรับรู้ความรู้สึก ที่ร่างกาย โดยแท้จริงนั้นทันทีที่วิญญาณรับรู้ ก็จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นที่ร่างกาย เป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นแล้ว แต่เมื่อไรที่ยังไม่ถูกประเมิน ความรู้สึกนั้นจะยังเป็นกลางอยู่ จนเมื่อได้รับการประเมินค่า เช่น ถ้าประเมินว่าดีก็รู้สึกพอใจ ถ้าไม่ดีก็ไม่พอใจ
》ส่วนที่ ๔ เรียกว่า "สังขาร" คือ การปรุงแต่ง ตอบโต้ต่อความรู้สึก ถ้าความรู้สึกเป็นที่น่าพอใจ จิตส่วนนี้จะปรุงแต่งว่าชอบ อยากให้ความรู้สึกนั้นยาวนานขึ้น พอใจมากขึ้น แต่หากเป็นความรู้สึกไม่น่าพอใจก็จะปรุงแต่งว่าไม่ชอบ อยากขจัดมันออกไป จิตคอยปรุงแต่งว่าชอบหรือชังอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น ในยามปกติเมื่อหูได้ยินเสียง ขณะนั้นวิญญาณกำลังทำงานว่าได้ ยินเสียงและเมื่อเราจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นคำพูด ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม นั่นคือการทำงานของสัญญา จากนั้นเป็นหน้าที่ของ เวทนาหรือการรับรู้ความรู้สึกที่ร่างกาย ถ้าเป็นคำชมก็จะรู้สึกสบาย ถ้าเป็นคำด่าทอ ก็จะไม่รู้สึกสบาย ไม่พึงพอใจ ทันทีที่เวทนาเกิดขึ้น จิตจะเริ่มปรุงแต่งสังขาร ถ้าเป็นความรู้สึกสบาย จิตจะปรุงแต่งว่าชอบและอยากได้ยินคำชมเชยอีก แต่ถ้าเป็นความรู้สึกไม่สบาย ไม่น่าพอใจ ก็จะปรุงแต่งว่าไม่ชอบ และอยากให้หยุดคำด่าทอเสีย
การทำงานของจิตทางทวารรับรู้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็เป็นลำดับเดียวกันเช่นนี้ คือ
》วิญญาณรับรู้ -> สัญญาจำได้หมายรู้และประเมินค่า -> เวทนารับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ->สังขารปรุงแต่งตอบโต้ (เกิดตัณหา)
จิตทั้ง ๔ ส่วนนี้ ทำหน้าที่รวดเร็วยิ่งกว่า การเกิดดับของอนุภาคที่ประกอบกันขึ้นเป็นสสารเสียอีก ทุกครั้งที่ประสาทสัมผัสรับรู้ ถึงสิ่งที่มากระทบ กระบวนการทั้ง ๔ ของจิตก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และจะทำงานซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างรวดเร็ว นี่คือปรมัตถสัจจะหรือความจริงอันสูงสุดเกี่ยวกับรูปและนาม(กายและจิต) ของทุกคน
ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องจากประสบการณ์ของตนเอง เพื่อจะได้พบหนทางสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
โดยเราจะต้องฝึกให้มีสติที่เข้มแข็ง (สัมมาสติ) และจิตตั้งมั่น (สัมมาสมาธิ) รู้เท่าทันจิต(เวทนา) และละสังขาร คือไม่ปรุงแต่ง (ให้เกิดตัณหา) สักแต่รู้ ๆ เท่านั้น แล้วเราก็จะมีทุกข์น้อยลงๆ
"จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้"
การทำงานของจิตทั้ง ๔ นี้ ทำงานอยู่ตลอดเวลา เราต้องทำความเข้าใจและรู้เท่าทัน ก็จะมีความทุกข์น้อยและนำพาเราสู่หนทางพ้นทุกข์
จาก...หนังสือ "ศิลปะในการดำเนินชีวิต" วิปัสสนากรรมฐาน สอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า หน้า ๓๖-๓๗
อยู่กับตัว(ใจ) รู้สบายๆ รู้สึกตัว ว่างสบาย มีสิ่งใดมากระทบ แค่รู้ อย่าไปคิดปรุงตามว่าเป็นอะไร เพราะสิ่งที่ตามมานั้นเป็นความคิด เป็นการไปปรุงแต่งใจ ไม่ใช่รู้ที่เป็นรู้สึกตัว รู้จิตรู้ใจแล้ว
.
เวลาใจขยับให้แค่รู้ว่าใจขยับ แต่ไม่ต้องไปรู้ว่าเรื่องอะไร จะโลภะ โทสะ โมหะ ชั่งมัน เพราะรู้นี้จบที่ใจ ไม่ไหลไปคิดต่อ หากไหลไปคิดต่อว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วเมื่อไหร่จะวางใจเป็นสักแต่ว่ารู้ได้ละ
.
การปฏิบัติคือการทําให้ใจเราชินที่จะปล่อยออกคลายออก ไม่ใช่เข้าไปถือในอารมณ์ความคิดต่างๆ
.
ให้ผู้รู้เด่น อย่าให้สิ่งที่ไปรู้เด่น( รู้อยู่กับใจ ไม่ใช่ไปยึดรู้ตามสิ่งที่ไปรู้ ) แต่ให้อาศัยสิ่งที่ไปรู้นั้น โดยการหมั่นรู้สึก เพื่อให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา
.
ตื่นจากการถูกปกคลุมด้วยความคิดอวิชชา เมื่อผู้รู้เด่นเข้มแข็งขึ้นมา การจะไปเห็นใจ เห็นรูปนามเพื่อเจริญปัญญา เพราะหลุดจากความคิดที่ปกคลุมอยู่แล้ว จึงจะเกิดขึ้น ญาณปัญญาจึงบังเกิดกับเรา แม้ลืมตาก็เกิดได้ ไม่ต้องนั่งสมาธิหลับตา
.
บุญแท้ๆนั้นเกิดจากใจ ทางที่ขึ้นสู่ยอดเขามีได้หลายทาง แต่ทุกทางก็พาไปถึงยอดเขาได้หมด แต่ก็ขึ้นอยู่กันอินทรีย์และจริตของแต่ละคน ที่เหมาะจะเดินในทางไหน ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้มาพบพระพุทธศาสนา และยิ่งได้มาพบพระธรรมที่เป็นทางตรงทางลัด บารมีถึงพร้อมทุกคนแล้ว หากบารมีไม่เพียงพอแม้แต่จะเป็นมนุษย์ยังเป็นไปได้ยากเลย
หากเราติดอยู่กับเหตุผลแบบโลกๆ ว่านิพพานเป็นเรื่องยาก ใจเราว่าอย่างนั้น ผลมันก็เกิดจากใจเราที่ไปโปรแกรมกดตัวเองเอาไว้ว่านิพพานเป็นเรื่องยาก ติดในเหตุผลแบบโลกๆต้องสะสมบุญ บุญยังไม่พอ (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ดีที่สุด)
หากใจเราเห็นว่านิพพานเป็นเรื่องง่ายเราทําถึงได้ในชาตินี้ ใจเราเป็นกําลัง ใจเราเป็นใหญ่ ก็จะไปดึงบุญกุศลที่สะสมมากี่แสนกี่ล้านชาตินับไม่ได้ มาผลักตัวเราให้เข้าสู่ทางเดินแห่งมรรคผล และจะพบได้เองจากใจตนไม่ใช่เหตุผลแบบโลกๆ นิพพานเป็นเรื่องที่เราไปถึงได้ หากตั้งใจเพียรปฏิบัติในสติปัฏฐาน4 ย่อมเห็นผล
รู้แล้ว ละวาง ปล่อยทิ้ง และไม่อาลัย และไม่ยึดมั่นธรรมต่าง ๆ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิต ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว บาปบุญเปรียบเหมือนมายา เกิดขึ้นแล้วดับไป ปล่อยทิ้งปล่อยวางจากตน...
"กายในกาย" เป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์ของสมถะ ได้ทางหนึ่ง คือธาตุทั้งสี่ส่วนประชุมกันเข้า แล้วก็รวมกันเรียกว่า "รูปกาย" ธาตุดิน ธาตุนํ้า ลม ไฟ ผสมกันเป็นก้อน นี่ท่านเรียกว่า "กาย" ….
ลมหายใจที่เข้าไปในกาย ถือว่าเป็นธาตุลม ถือว่าเป็นกายอย่างหนึ่ง ดังนั้นการที่เราเจริญอานาปานสติพิจารณารู้ลมหายใจ ก็คือการพิจารณากายที่เป็นธาตุลมนั้นเอง การพิจารณากายนั้น ก็คือสติปัฏฐาน4 นั้นเอง
ว่างนั้นเป็นผล ไม่ใช่เอาว่างมาเป็นเหตุ
สิ่งที่ต้องระวังคือ การน้อมนําใจสร้าง"เหตุ"สภาวะว่างๆขึ้นมา แล้วปล่อยใจเข้าไปแช่อยู่กับความว่าง จนความว่างกลายเป็นภพที่เข้าไปแช่ ดูเหมือนว่าเราจะไม่ทุกข์กับเรื่องอะไร แต่เป็นการสะสมโมหะอยู่
ให้ถอยออกจากความว่างที่เกิดเป็นภพ โดยให้รู้สึกตัวอยู่กับกาย "สติปัฏฐานคือการรู้สึก รู้ตัวอยู่กับกายกับใจ" ไม่ใช่ไปอยู่กับความเฉยว่าง ให้หมั่นเจริญสติรู้สึกตัว
ความว่างนั้นเป็น"ผล"จากการรู้สึกตัวปล่อยวาง
วิญญานคือตัวรู้....
เมื่อเราไปรู้ในส่วนต่างๆ ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตัวนี้เราเรียกว่าวิญญาณ
แต่พอมาเป็นตัวรู้ สักแต่ว่าตัวรู้ จากส่วนไหนของร่างกายก็ตาม อายตนะของตัวรู้ ตัวเดียว ตัวรู้ตัวนี้มันพัฒนาให้เป็น ภูมิธรรมต่างๆได้ เช่นขณะนี้เรานั่ง เรารู้สึกตัวว่าเรา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง อบอ้าว ตรึงเคร่ง และก็เคลื่อนไหวในส่วนไหน รวมทั้งหมดเป็นตัวรู้ล้วนๆ
การที่เรา รับรู้โดยไม่แยกแยะ. ไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ได้ไปสมมุติว่าเป็นนั่นนี้ ตัวรู้จึงเป็นตัวรู้ล้วนๆ มันเป็นตัวรู้ที่สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สบายบ้าง ไม่สบายบ้าง เราเห็นมันเฉยๆ เห็นอาการรู้เฉยๆ ไม่ได้ไม่แยกแยะไม่ไปปรุงแต่ง ไม่ได้ไปสมมุติว่าเป็นนั่นนี้
ตัวรู้ซึ่งเป็นตัวรู้ล้วนๆ ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าอาการรู้นี้เป็นเรา คือเป็นเราร้อน เป็นเราชอบ เป็นเราไม่ชอบ เป็นเราสุข เป็นเราทุกข์ เป็นเราสบาย เป็นเราไม่สบาย มันยังไม่เป็นตัวนั้น แต่มันเป็นตัวรู้เฉยๆ ตรงนี้เองเป็นที่เราสนใจจะศึกษา เราจะจำกัดขอบเขตของการรู้ให้อยู่แค่สักแต่ว่าได้อย่างไร
ดังนั้น เราจะต้องฝึกฝน ถ้าเราไม่มีการฝึกฝน ไม่มีการพัฒนาตัวรู้นี้มันก็จะไม่เติบโต มันยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว มันยังกระจัดกระจายไปสู่อายตนะต่างๆ มันจะไม่มีพลัง เราเรียกว่าวิญญาณและตัวรู้นี้จะไปที่อายตนะต่างๆ
ถ้าเราจะพัฒนาให้เป็นปรมัตถ์ มันจะเหลือตัวญาณหรือตัวรู้ หรือจิต เจตสิกเท่านั้น คือเราจะทำอย่างไรให้เหลือตัวรู้ที่ถูกต้อง ตัวให้เหลือตัวรู้ที่ถูกต้อง ตัวเข้าใจที่ถูกต้อง ตัวเห็นที่ถูกต้อง จึงจะเป็นตัวพุทธะได้
ทุกคนมีตัวรู้หรือตัวพุทธะอยู่แล้ว แต่อยากจะถามว่ารู้ถูกหรือรู้ผิด ส่วนนี้คือสิ่งที่เราต้องฝึกเพื่อที่จะแยกให้เห็นว่าเรารู้ถูกเป็นอย่างไร รู้ผิดเป็นอย่างไร แล้วรู้ถูก มีผลเป็นอย่างไร รู้ผิดมีผลเป็นอย่างไร ที่เรามาให้เหลือตัวรู้ที่ถูกต้อง ตัวเข้าใจที่ถูกต้อง ตัวเห็นที่ถูกต้อง จึงจะเป็นตัวพุทธะได้
ทุกคนมีตัวรู้หรือตัวพุทธะอยู่แล้ว แต่อยากจะถามว่ารู้ถูกหรือรู้ผิด ส่วนนี้คือสิ่งที่เราต้องฝึกเพื่อที่จะแยกให้เห็นว่าเรารู้ถูกเป็นอย่างไร รู้ผิดเป็นอย่างไร แล้วรู้ถูกมีผลเป็นอย่างไร รู้ผิดมีผลเป็นอย่างไร ที่เรามาฝึกเจริญสตินั้น เราต้องพยายามทำความเพียรเพื่อรวมตัวรู้ส่งไปสู่อายตนะต่างๆๆให้เป็นตัวรู้เพียงหนึ่งเดียว.
หลวงพ่อพระมหาดิเรก. พุทธยานันโท
การกําหนดพุทโธ นั้นเป็นอุบายของท่านผู้สอนที่ต้องการจะให้จิตมีที่ยึดมั่นเอาไว้กับพุทโธด้วยอีกอย่างหนึ่ง เป็นวิธีที่เหมาะสําหรับผู้ที่จิตวอกแวกมาก จะทําให้ จิตมีที่ยึดเพิ่มไปยึดพุทโธไว้แทน ทําให้วอกแวกน้อยลง
การที่จะกําหนดพุทโธหรือไม่ ก็ขอให้ขึ้นกับจริตของแต่ละคนครับ เพราะคําว่าพุทโธช่วยให้จิตตั้งมั่นเพียงอย่างเดียว แต่จุดที่สําคัญกว่า คือได้ตามรู้ลมหายใจหรือตามรู้ความรู้สึกตัว หรือดูกายดูใจประกอบไปด้วยหรือปล่าว ถ้าท่องแต่เพียงพุทโธแล้วไม่ได้ตามดูลมหายใจไปด้วย เท่ากับว่าเรากําลังทิ้งการเจริญสติปัฏฐาน ไป แล้วไปท่องเพ่งเป็นสมถะแต่เพียงพุทโธเท่านั้น
การเจริญในสติปัฏฐาน นั้นมีความสําคัญมาก แต่ทั้งนี้ต้องดูให้ดีนะครับ ท่านผู้สอนอาจต้องการสอนกับบุคคลใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเลยให้ทําอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อันเป็นเฉพาะกับคนๆนั้น ทีนี้คนอื่นไปฟังมาแล้วไปคิดว่า ต้องทําอย่างนี้ตามจึงดี แต่จริงๆแล้วอาจไม่เหมาะกับจริตเราก็ได้ หรือคนอื่นๆก็ได้
สําหรับตัวผมเองเห็นว่าการตามรู้ลมหายใจของเราหรือการตามรู้ความรู้สึกตามรู้กาย มีความสําคัญกว่าและก็ละการท่องพุทโธ หรือคําบริกรรมอื่นใดทั้งหมด แม้แต่ขณะทําสมาธิก็ตาม แต่ผมกล่าวอย่างนี้ไม่ใช่การใช้คําบริกรรมไม่ดีนะครับ เพียงแต่ดีและเหมาะกับผู้ใดมากกว่า
ใจเป็นธาตุรู้มีอยู่ในใจทุกๆคน
การภาวนาไม่ใช่ว่าเรามาภาวนามาปรุงมาแต่งเอาใจใหม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น
ใจมันมีอยู่แล้ว จิตมันมีอยู่แล้ว แต่จิตนี้เป็นจิตที่หลงใหลไปตามจิตสังขาร จิตวิญญาณ
จิตกิเลส จิตตัณหา มันดิ้นรนวุ่นวายไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาตลอดเวลา หาเวลาสงบระงับไม่ได้
ท่านจึงสอนว่า ให้สงบจิตสงบใจลงไป ภาวนาพุทโธ ให้จิตใจมาจดจ่อในพุทโธ สงบระงับลงไป
ไม่ต้องไปตามอารมณ์อะไรของใครทั้งหมด
เรื่องราวอดีตอนาคตมันอยู่ข้างหน้า อนาคตกาลก็อย่าไปเป็นทุกข์เป็นร้อน อดีตที่มันล่วงมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันก็ล่วงมาแล้ว จิตอย่าไปหลงไปยึดเอามา เดี๋ยวนี้เวลานี้ ดวงจิตดวงใจภาวนาอยู่ที่นี้ นั่งอยู่ที่นี้บริกรรมอยู่ที่นี้
จิตอย่าวุ่นวายไปที่อื่น ให้รวมจิตใจเข้ามา ตั้งให้มั่น เอาให้มันจริง
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
เมื่อจิตปล่อยขันธ์ มีแต่รู้เป็นขณะจิต ไม่ยึดถือสัญญาและสังขาร
เป็นเพียงแค่ ขณะจิตที่รู้ขณะปัจจุบัน เพียงแค่แว๊ปเดียว สั้นๆ แบบกระพริบตา "ที่เราไม่ไปดึงสัญญามาปรุงแต่ง ก่อเป็นความคิดเห็น ให้ค่า มีผิดมีถูก
" รู้กับขณะปัจจุบัน(คําว่าหมดสัญญา สังขาร ก็แค่ตรงนี้ ที่ทรงตัวเป็นผู้รู้ แว๊ปเดียวสั้นๆ เป็นการเจริญวิปัสสนา)
พอหลุดจากตรงนี้แล้ว สัญญาและสังขารก็ยังมีตามปกติ วิปัสสนาเจริญเป็นขณะจิต ผู้รู้ไม่ได้ทรงตัวอยู่ตลอดเวลา