มีสติ ฝึกสติ เจริญสติให้ยิ่ง
พัฒนาสติ จนเป็นมหาสติ...
นั้นแล...#พระสิ้นคิด
"เห็นความคิด"ไม่ใช่"ความคิดเห็น".
ฝึก...สติ...เจริญสติ ไห้มีกำลังเร็ว"เท่าทัน"ความคิด
เรียกว่า...เห็นความคิด...
.................
นาม 4 ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ แต่เมื่อสติมีกำลัง
นาม 4 จะปรากฏชัดแจ้งแก่จิต รู้ - เห็นเป็นรูปละเอียด
"สังขาร"เกิด - ดับ อยู่ใน"วิสังขาร"
ธรรมทั้งสังขาร และ วิสังขาร เป็น"ธรรมชาติ"
แต่ในธรรมชาติไม่เคย"มีเรา" #พระสิ้นคิด.
สติปัฏฐาน 4 คือ การเจริญสติ ระลึกรู้
1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่อง"รูปธรรม"
2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่อง"นามธรรม"ในส่วน"ความรู้สึก...จากสัมผัส"
3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นที่เรื่อง"นามธรรม"ในส่วนของ..."การรับรู้"
4. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การหมั่นคิดใคร่ครวญโดยเน้นทุกเรื่องทั้ง"รูปธรรมและนามธรรม"
Trader Hunter พบธรรม
สติ คือ การระลึกรู้ หรือ รู้ตัว
สมาธิ คือการตั้งมั่น มั่นคง นิ่ง
ปัญญา คือ ความรู้จริง
สามสิ่งนี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกัน
หากมี สติไว รู้ตัวไว ว่าจะทําผิด แต่ ขาดความมั่นคง แม้รู้ว่าผิดแต่ก็ยังเข้าไปทํา อย่างเช่น รู้ว่ากินเหล้าแล้วบาป มีสติรู้แต่ก็ยังกิน เพราะใจไม่มั่นคงพอ และ แม้มีใจที่มั่นคง แต่ขาดปัญญาที่รู้แจ้งที่ใจ ไม่ใช่ความรู้ในระดับอ่านฟัง ก็ยังสามารถทําผิดต่อไปได้
สติเป็นฐานของการเกิดสมาธิ เพราะสมาธิที่ขาดสติจะไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่กลายเป็นมิจฉาสมาธิ
คนที่ขาดสติ ก็คือคนที่เผลอไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็ไหลไปตามอารมณ์ความคิดนานเลย มารู้ที่หลังๆทําผิดไปแล้ว
คนที่ขาดสมาธิ ก็จะไม่มีความสงบ ฟุ้งซ่าน แม้มีสติรู้ตัว แต่รู้แล้วอยู่นิ่งสงบไม่ได้ เดี๋ยวก็หลุดไปอีก ขาดความสงบตั้งมั่น
สติกับสมาธิ สัมพันธ์กันที่จะทําให้ เรารู้ตัวแล้วสงบตั้งมั่นได้นานขึ้น แต่หากเรายังละไม่ได้ ก็ยังหลุดได้อยู่ดี ต้องเอาปัญญามาละเพื่อตัดขาด เปลี่ยนอวิชชาให้เป็นวิชชา คือความรู้จริง
มโนธาตุ โพธิญาณ
< ความสำคัญของสติ >
สติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นตัวนำให้เห็นแจ้งรู้จริงตามสภาพความเป็นจริง
สติเป็นธรรมสำคัญยิ่งในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ซึ่งเป็นธรรมอันฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ คือ สติปัฎฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 และ อริยมรรคมีองค์ 8
พัฒนาสติ: เริ่มต้นที่ "สติปัฏฐาน4" อันประกอบด้วย "สัมมัปปธาน 4 และ อิทธิบาท 4" พัฒนาจนเกิด "สตินทรีย์" (ในอินทรีย์ 5 ซึ่งเปรียบเสมือนลูกแมว) เมื่อเริ่มฝึกให้เกิดความรู้สึกตัวให้เกิดสติเริ่มรู้เห็นความคิด (เสมือนหนู) แต่ยังขาดกำลังจับหนูหรือความคิด จนกระทั่งสติแก่กล้าขึ้น เป็น "สติพละ" (ในพละ 5 ซึ่งเปรียบเสมือนแมวใหญ่) สามารถตะปบฆ่าหนูที่กำลังโผล่ออกจากรู หรือความคิดที่กำลังก่อเกิดขึ้นได้โดยง่าย
เมื่อมีความรู้สึกว่า มีสติมากขึ้นๆ จะมีแต่สติรู้ล้วนๆ เป็น "สติสัมโพชฌงค์" พร้อมด้วยปัญญารอบรู้ ประกอบเป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ (โพชฌงค์ 7) เป็นที่สุด ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ตามความเป็นจริง ไม่บิดเบือนให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง มองเห็นสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แจ่มแจ้ง ไม่ถูกเจือปนไว้ด้วยความคิดปรุงแต่ง จน" สัมมาสติ" บริบูรณ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์มรรค 8.
*พึงเจริญสติสัมปชัญญะให้มากๆจนมีกำลัง จิตจะตั้งมั่น และรู้ทันความคิด... ทุกข์ก็จะหายไปเยอะเลยครับ....
สติและปัญญาต้องพัฒนาคู่กันไปเพราะ สติเป็น"เครื่องกั้น"กระแสกิเลส แต่"ละ"ด้วย"ปัญญา"
สาธุและเจริญในธรรมทุกท่าน.
"ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญยิ่งนัก"
San Nirvana
แต่ก่อนเราเคลื่อนไหวตามสัญชาติญาน.
ทีนี้.จะใส่"สติ"ไปแทน.เคลื่อนแบบรู้ตัว.
สร้าง"ตัวรู้"...ให้เป็น"ตัวสติ".
จะเห็นความคิดไหลเข้ามา.เกิด- ดับไป.
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
อริยมรรค ละทุกขสมุทัย ทำนิโรธให้แจ้ง
อาการ
คำว่า “…ตั้งสติตามรู้ตามเห็น…” กับคำว่า “…รู้เท่ารู้ทัน…” และคำว่า “…รู้แจ้งแทงตลอด…” มันมีลักษณะและความหมายผิดกัน นี่พูดถึงเรื่องของจิต. จิตเป็นสภาวธรรม ไม่มีตัวตน แต่แสดงออกมาเป็นอาการ ให้ผู้มีปัญญาญาณรู้ได้ว่า นี่จิต นี่อาการของจิต.
ตามรู้
สติเป็นอาการของจิตที่ตามรู้ตามเห็น คือ ตามรู้ตามเห็นอาการกิริยาของจิต แต่มิใช่เห็นตัวจิต. จิตแท้คือผู้รู้. ผู้ตามรู้ตามเห็นอาการของจิต ไม่มีวันจะทันจิตได้เลย เหมือนบุคคลผู้ตามรอยโคที่หายไป ไม่เห็นตัวมันจึงตามรอยของมันไป. แต่โคเป็นวัตถุ ไม่เหมือนจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เอาจิตไปตามอาการของจิต มันก็ผิดวิสัย เมื่อไรจะเห็นตัวจิตสักที.
เท่าทัน
คำว่า “รู้เท่าทัน” ก็บ่งชัดอยู่แล้วว่า ผู้รู้คือจิต. รู้เท่าก็คือรู้เท่าที่จิตรู้นั้น ไม่เหลือไม่เกิน. เมื่อรู้เท่าอย่างนี้แล้ว อาการของจิตไม่มี. เมื่ออาการของจิตไม่มี รอยของจิตก็ไม่มี แล้วใครจะเป็นผู้ไปตามรอยของจิตอีกเล่า. รวมความแล้ว สติระลึกอยู่ตรงไหน ใจผู้รู้ก็อยู่ตรงนั้น สติกับผู้รู้เท่ากันอยู่ ณ ที่เดียวกัน ทำงานร่วมกันขณะเดียวกัน.
แทงตลอด
คำว่า “รู้แจ้งแทงตลอด” ก็หมายเอาความรู้ที่รู้ชัดรู้แจ้งของผู้รู้ ที่รู้ไม่เหลือไม่เกิน. แทงตลอดคือตลอดเบื้องต้นตั้งแต่เริ่มคิดเริ่มรู้ จนตรวจตรอง รู้ชัดถ่องแท้ลงเป็นสภาวธรรม จิตไม่ส่งส่ายแส่หาอะไรอีกต่อไป เพราะความแจ้งแทงตลอดในเหตุผลนั้นๆ หมดสิ้นแล้ว.
พบของจริง
ถ้านักปฏิบัติเข้าใจตามข้อความที่แสดงมานี้แล้ว หวังว่าคงไม่หลงเอาผู้รู้ (คือจิต) ไปตามรอยของจิต. เมื่อเราทำจิตคือผู้รู้ ให้นิ่งแนวอยู่กับสติแล้ว รอย (คืออาการของจิต) ก็ไม่มี. เมื่อจิตผู้รู้กับสติผู้ระลึกได้เข้ามาทำงานรวมอยู่ ณ ที่แห่งเดียวกันแล้ว การไปการมา การหลงแส่ส่ายแสวงหา ก็จะหมดสิ้นไป จะพบของจริงที่จิตสงบนิ่งอยู่ ณ ที่แห่งเดียว. เหมือนกับชาวนาผู้หาผ้าโพกศีรษะบนหัวของตนเอง เที่ยววนเวียนหารอบป่ารอบทุ่งจนเหน็ดเหนื่อยกลับมาบ้านนั่งพักผ่อนเพื่อเอาแรง ยกมือขึ้นตบศีรษะ ผ้าโพกตกลงมาทันที เขาเลยหมดกังวลในการหาต่อไป.
#ทุกสิ่งคืออารมณ์จิต
สภาวธรรมอันเป็น"อารมณ์จิต"คือ กาย กับ ใจ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เรา"รู้"ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แม้แต่วิชาความรู้ทางโลกศาสตร์ไหนที่เราเรียนมา สิ่งนั้นก็คืออารมณ์จิต เป็นสภาวะธรรมทั้งนั้น
เมื่อจิตสมาธิมันเป็นเองโดยธรรมชาติของสมาธิ สารพัดที่มันจะปรุงแต่งไป บางทีบางท่านรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ว่าจิตมันฟุ้งซ่าน...แต่แท้ที่จริงมันเกิดปัญญา ใครข้องใจอยู่ที่ไหน จิตใต้สำนึกมันยึดอะไรไว้ มันก็จะไปค้นคว้าอยู่ในสิ่งนั้น
บางท่านก็ว่าต้องให้มันอยู่ในกรอบแห่งธรรมะ ท่านผู้นี้เข้าใจคำว่า ธรรมะอยู่ในวงแคบ เข้าใจว่า ธรรมะ มีแต่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในเมื่อจิตเข้าไปถึงขั้นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วนี่ มันมีแต่ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ทรงอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ทรงอยู่ ดับไป จิตมันไม่ได้ว่าดอก อันนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา......
พอมันจะเกิดความรู้
มันก็มาว่าเอา ต่อเมื่อออกจากสมาธิมาแล้ว
ที่หลวงพ่อบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกวิทูในขณะที่จิตอยู่ในขั้นสมถะ ไม่มีใครเชื่อ
หลวงพ่อเอาหลวงปู่เทสก์เป็นครู
ไปกราบ จะไปถามปัญหาท่าน
ปัญหาที่จะถามยังไม่ได้ถาม
ท่านตอบก่อน พอไปกราบ...
"เออ..เจ้าคุณมาแล้ว ดีแล้ว จะพูดอะไรให้ฟัง ผมพูดแล้วไม่มีใครเชื่อ มีแต่เจ้าคุณองค์เดียวจะเชื่อผม"
พอเสร็จแล้วท่านบอกว่า
สมาธิในฌาน...มันโง่ สมาธิในมรรค...มันฉลาด
สมาธิในฌาน...มันไปรู้นิ่งอยู่ในสิ่งๆ เดียว
สมาธิในอริยมรรค พอจิตสงบแล้วมันมีวิตก วิจาร
วิตก ก็คือความคิดที่มันปรุงแต่งขึ้น
วิจาร ก็คือสติที่รู้พร้อมอยู่ในขณะจิตนั้น
เพราะฉะนั้น ในเมื่อจิตมันเกิดปรุงแต่ง บางทีมันรู้อยู่ข้างใน บางทีไปรู้อยู่ข้างนอก ผลที่มันมองเห็นได้ชัดก็คือ
สติที่คอยจ้อง"รู้" อยู่นั่นแหละ
ท่านบอกว่า...
.....................
"มิติที่คิดไม่หยุด คือ จิตเหนือสำนึก...
ตัวที่เฝ้าดู คือ สติสัมปชัญญะ...
ตัวผู้รู้ ตัวนิ่งเฉยอยู่ คือ จิตใต้สำนึก ตัวคอยเก็บผลงาน"
ท่านแยกแยะออกไปอย่างนี้
.......................
ทีนี้ เมื่อมันปรุงไป ร่างกายหายไป เหลือแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสว กิเลสทั้งหลายจะมาวนรอบจิต พอถึงความสว่างของจิต มันจะตกไปๆๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ
ในที่สุดมันจะไปถึงจุดที่เรียกว่า
"ฐีติภูตัง" แบบหลวงปู่มั่นท่านอธิบายให้ฟัง
เพราะฉะนั้น ช่วงใดจิตต้องการสงบ นิ่ง สว่าง ให้มันสว่างไป ถ้าช่วงใดมันสงบแล้วเกิดความคิดผุดขึ้นๆๆ ปล่อยให้มันคิดไป
#เราเอาสติอย่างเดียว
แต่อย่าลืมว่า
"สิ่งที่จะพาให้เราพ้นทุกข์ สำเร็จอริยมรรคอริยผลจริงๆ นี่ คือ ศีล ๕ ข้อ ถ้าผู้รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์สะอาดได้ ภาวนาไม่เป็นก็ไม่ตกนรก"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ภพชาติไม่มีวันจบ เพราะมัวแต่คว้าเงา
เห็นกิริยาของใจ แค่รู้ทันมัน มีสติรู้สึกตัว มันวางไปเรียบร้อยแล้ว สติจึงมีความสําคัญมาก แพ้ชนะ วัดกันที่ความไวตรงนี้ ตรงที่รู้ทันเห็นทัน ไม่ใช่เผลอเพลิน หมั่นเจริญสติรู้สึกตัว
สติอยู่ที่ไหน ความรู้อยู่ที่นั่น..ความรู้อยู่ที่ไหน สติอยู่ที่นั่น
สติ กับ ความรู้มันอยู่ด้วยกัน
“สติ” กำกับ “ใจ” ก็ได้แต่รู้ หรือ ก็สักแต่ว่ารู้
ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ก็ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ
จะสิ้นกิเลส พ้นทุกข์ “นิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
"สติ"นี่ ทำให้มันมีกำลังดีแล้วจิตมันจึงจะล่วง
เพราะสติคุ้มครองจิต ตัวสติก็คือจิตนั่นแหละ แต่ว่าลุ่มลึกกว่า สตินั่นอบรมจิต ครั้นอบรมจนขั้นจิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว มันจึงหายความหลง พบความสว่าง
ความหลงนั้นก็คือไม่มีสติ ครั้งมีสติคุ้มครองหัดไปจนแน่วแน่แล้ว ให้มันแม่นยำ ให้มันสำเหนียกแล้ว มันจะรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
สติแก่กล้าจิตย่อมทนไม่ได้ เมื่อทนไม่ได้ก็สงบลง ครั้งสงบลงแล้วมันก็"รู้" เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญญา มันก็ส่ายไปมาเพราะมันไปหลายทาง จิตไปหลายทางเพราะเป็นอาการของมัน
เมื่อผู้วางภาระ คือว่าง ไม่ยึดถือว่าขันธ์ห้านี้ เป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่ยึดถือแล้วปลง เป็นผู้วางภาระ ก็มีความสุข จะยืน เดิน นั่ง ก็มีความสุข ไม่ยึดถือเพราะรู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว"
...หลวงปู่ขาว อนาลโย
ไม่มีสติแล้วหาความสงบไม่ได้
"สติ" เป็นสำคัญนะการภาวนา เรื่องสติสำคัญมากทีเดียว ใครตั้งสติได้ดีเท่าไรแล้วก็ กิเลสไม่เกิด มันจะหนาแน่นเหมือนภูเขาก็เกิดไม่ได้ สติครอบไว้หมด ถ้าเผลอสติเมื่อไร กิเลสเกิด เกิดจากสังขารนั่นแหละ
สังขารคือความคิดปรุง สังขารก็มาจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ต่อสายยาวเหยียดไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลงได้เผลอสติแล้ว ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าสติมีอยู่แล้ว มันจะมีเท่าไรมันก็ไม่เกิด...
กิเลส มันขึ้นอยู่กับสติควบคุมตัวเอง ให้ระวังด้วยสติเสมอไป การประกอบความเพียรอย่าลดละนะ ให้แข็งแกร่งอยู่ตลอดเวลา
ความเพียรเป็นสำคัญมากทีเดียว ให้ดูหัวใจตัวเอง ใจนั่นละมันลุกลี้ลุกลน หลุกหลิกๆ อยู่ตลอด มีสติเท่านั้นเป็นเครื่องควบคุม ถ้าไม่มีสติแล้วก็เหมือนซุงทั้งท่อน ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ก็อยู่กับหมู่เพื่อนไปอย่างนั้นละ ทุกวันนี้อยู่ไป อยากอยู่คนเดียวนะ นิสัยเป็นอย่างนี้มาดั้งเดิม อยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ ให้ใครมายุ่งไม่ได้ เราอยู่คนเดียวเรา กลางคืนก็นั่งภาวนาอยู่คนเดียวสบายๆ ไม่ยุ่งกับใคร มีแต่ญาติโยมละส่วนมากมายุ่งตลอด
พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนาสำคัญมากนะ สตินี่ละควบคุมความเพียรของเรา อย่าให้เผลอ ถ้าไม่เผลอสติแล้วก็ตั้งจิตได้นะ จิตไม่สงบก็สงบได้ ถ้ามีสตินะ ถ้าไม่มีสติแล้วหาความสงบไม่ได้ สติเป็นสำคัญครอบอยู่ตลอดเวลา จิตใจสงบได้นะ สติจึงต้องระวังอยู่ตลอด ไม่ให้เผลอ
ท่านบอก สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีข้อยกเว้นเลย ต้องมีสติอยู่ตลอด เอาละที่นี่ เอ้า พากันกราบเสียนะ พอ
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
💛 สุญญตาแท้ คือ "ใจ" 💛
สุญญตาแท้ ๆ ก็คือใจของเราเองนั่นแหละ สุญญตาแท้ ๆ ก็คือใจของเรานั่นแหละ
แต่เรากลับจะเอาใจของเราเนี่ยไปหาอะไร จะเอาใจของเราไปเอาอะไร เรากลับเอาใจเราไปหาพระนิพพาน กลับเอาใจของเราจะไปเอานิพพาน แต่แท้ ๆ มันก็คือใจของเรานี่เอง
เราเอาใจของเราไปรังเกียจสิ่งที่เราไม่ถูกใจไม่พอใจ เพราะเราจะไปเอาอย่างอื่นซึ่งเราคิดว่ามันมีความสุขยิ่งกว่า สิ่งนี้มันไม่ใช่ความสุข เรารังเกียจสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ที่มันคับแค้นใจ ที่มันอึดอัดคับข้อง เราจะเอาความสบาย เราจะไปเอาความสงบ ไปเอาความว่าง ไปเอาความเบา ไปเอาความโปร่งโล่งเบาสบาย
แต่ "ใจ" ไม่เป็นอย่างงั้นเลย ใจไม่มีทั้งความโปร่งโล่งเบาสบาย ไม่มีทั้งความสุข ไม่มีทั้งความทุกข์ ไม่มีทั้งความแน่นอึดอัด ไม่มีทั้งความทึบ ไม่มีทั้งโปร่งโล่งเบาสบาย
ใจเป็น"สภาพรู้"อย่างเดียว มีสภาพรู้อย่างเดียว
"ตัวตน" ของใจ... ไม่มี
เป็นสูญไง เป็น "สูญ" เพราะว่าตัวตนของมันไม่มี ไม่ใช่มีเลขศูนย์ คือสูญคือตัวตนของมันไม่มี มันไม่ใช่ทั้งสุขและไม่ใช่ทั้งทุกข์
ใจมันมีสภาพที่มันไปเอาอะไรไม่ได้ และมันจะไปรังเกียจอะไรก็ไม่ได้ จะไปผลักไสอะไรก็ไม่ได้ จะไปเอาอะไรก็ไม่ได้ ใจไม่มีสภาพที่ไปดิ้นรนผลักไสทุกข์ ไปเกลียดทุกข์ ใจไม่มีสภาพที่จะไปรักสุขได้
เพราะมันเป็นความไม่มีตัวตนเลย ไม่ใช่เลขศูนย์ แต่เปรียบเทียบว่ามันเปรียบเหมือนศูนย์
จะไปเอาอะไรมันก็เป็น บวก ๆ ๆ ขึ้นไปไม่ใช่ศูนย์
ไปรังเกียจอะไรดิ้นรนผลักไสอะไร มันก็เป็น ลบ ๆ ๆ มากขึ้นไป ไม่ใช่ศูนย์
ท่านจึงเรียก "สูญ" นั้นว่า "สุญญตา" เพราะไม่มีตัวตนไม่มีอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลย ไม่คิดจะไปเอาอะไรเลย และไม่ดิ้นรนผลักไสอะไรเลย
เพราะ "ใจ" ของตัวเองนั่นแหละ
ผู้ใดพบใจ... ผู้นั้นพบธรรม
ผู้ใดถึงใจ... ผู้นั้นถึง "พระนิพพาน"
ใจของตัวเองนั่นแหละ แต่เราพลาดถนัดที่จะเอาใจไปหา "นิพพานนอกใจ"
จึงเขียนไว้ที่หน้าปก (หนังสือ "จบที่ใจ")
หลายคนดิ้นรนแสวงหาหนทางไม่มีที่สิ้นสุด แต่บางคนน้อยคนนัก ที่สิ้นสุดเพราะหยุดแสวงหา คือ จบที่ใจของตัวเอง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
คนเราเคยชินที่จะอยู่กับความคิดเพราะอยู่มาตลอด เลยทําให้อยู่กับสัมมาสติยาก(ไม่ใช่สติแบบความคิด)
แต่พอเราหมั่นเจริญสติ-รู้ตัวบ่อยๆ จะทําให้เรามีสัมมาสติ จะทําให้เราอยู่กับสติมากขึ้นง่ายขึ้นและนานขึ้น พอถึงตรงนี้เราจะอยู่กับความคิดยากขึ้นเราจะไม่ไหลไปกับความคิด
แล้วเวลาคิด จะต้องพยายามคิดด้วย เหมือนคิดเป็นครั้งๆรอบๆไป คิดเสร็จมันก็จะไหลมาอยู่กับสัมมาสติอยู่กับความว่างอยู่กับการรู้สึกตัว เป็นอย่างนี้ได้เมื่อไหร่จะเป็นสัมมาสติแบบอัตโนมัติครับ
Trader Hunter พบธรรม
ฝึกเหนือความคิด จะมีญาณรู้ ..
ฝึกเหนือความคิด.. เพื่อเข้าสู่ญาณรู้มากขึ้น
ญาณรู้เป็นระบบทิพย์
ถ้าพูดภาษาโลก..ทำอะไรเหมือนมีเทวดาช่วย หรือเกิดรู้ล่วงหน้าที่แม่นยำ
คนทั่วไปกลัวว่า ถ้าไม่อยู่กับความคิดแล้ว จะสมองพิการ แต่แท้จริงแล้ว การตัดความคิด เพื่อเชื่อมญาณทิพย์นี้เอง..
เกิดสิ่งที่เรียกว่า รู้เอง,รู้ได้เอง ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้..
ฝึกเหนือตัวตน จะได้ญาณรู้(ระบบทิพย์)
เหนือ พูด คิด ทำ...ทำแบบ...ไร้ผู้ทำ ,คิด,พูด..
ตัด รู้ มิใช่สมองฝ่อ
แต่จะเกิดการตื่นของพุทธะเต็มตัว..
"เวลากรรมบังนี่ มันโง่ทุกคนเลยว่ะ"
หลวงปู่ศุข เมตตาเตือนสติ
แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ให้ชีวิตดี...
เวลาที่กรรมไม่ดีมาส่งผลหรือที่เรียกว่า "กรรมบัง"
เป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดแล้วของชีวิต
บางคนเสียผู้เสียคน ทำอะไรผิดพลาดไปหมด
หรือตัดสินใจผิดๆ จนชีวิตพินาศ
หรือแม้แต่ไม่ทำอะไร ก็ดิ่งลงๆๆๆ
หรือแม้แต่ไม่รู้ตัว อาจจะพลิกวูบเดียวจบ!!!
ครูบาอาจารย์ท่านเตือนไว้ตลอด
ไม่ว่ากรรมดี บุญจะส่งผล
หรือกรรมไม่ดีเข้าส่งผลหรือกรรมบัง
ท่านสอนเสมอให้มี "สติ"สำคัญมากๆ
"สติ"ที่ดีจะวางใจเป็นกลาง รู้เท่าทันกรรม ไม่ประมาท
อ้อที่ดีที่ชั่วก็แค่นั้นเอง มาแล้วก็ผ่านไป
"สติ"ที่ดีคือ อยู่กับปัจจุบัน
กรรมเก่าแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เท่ากรรมปัจจุบันในชาตินี้
ไม่ประมาทในกรรม
ละบาป เลิกทำกรรมชั่วให้มากที่สุด
หมั่นเติมบุญกุศลของตนไม่หยุดยั้ง
ฝึกสติ ฝึกใจให้แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
"สติ" มาจากการทำสมาธิ การสวดมนต์ช่วยได้
เป็นการฝึกแบบง่าย จดจ่อให้จิตมีสมาธิในระดับหนึ่ง
ก้าวไปเจริญภาวนาได้
มีสติ ยับยั้ง ละอายและเกรงกลัวต่อบาป เข้าใจในบุญ
แสวงหาปัญญาธรรม เพื่อจะได้เข้าใจโลก
เข้าใจธรรม ไม่โง่ ไม่หลง ไม่ว่าบุญจะส่ง หรือกรรมเก่าจะบัง
ก็ไม่มี"โง่" อีกต่อไป
ขอนอบน้อมกราบสักการะบูชา
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึก
น้อมกราบองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์พระคุณหลวงปู่ศุข
"ดูจิต" ทวนกระแสน้ำเป็นภาระหนักตลอดกาล
ลามือลาเท้าจะต้องถูกกระแสน้ำพัดสู่ที่ต่ำทันที ต้องตะเกียกตะกาย ทุกอริยาบท ยืนเดินนอนนั่ง
ใจไม่สงบก็เพียงแต่ใจไม่สงบ ใจสงบก็เพียงแต่ใจสงบเท่านั้น "ต้องมีสติ" อยู่ในขณะนั้น ยินดียินร้ายไม่ได้ อย่าไปเสวย สักแต่ว่า
ท่านสอนให้รู้ ความไม่สงบ อะไรเป็นเหตุ ความไม่รู้แจ้งในจิตของเรา ท่านหมายถึง อวิชชา คือความรู้ชัดในจิตของเจ้าของ
เมื่อไม่รู้ชัดในจิต อะไรเกิดขึ้นที่จิต มันยึดติดทั้งนั้น อุปาทานยึดทั้งนั้น ยึดสิ่งที่เกิดขึ้น ๆ ๆ ๆ
ถ้าหากเห็นชัดในจิตแล้ว อะไรเกิดขึ้นในจิต ก็สักแต่ว่า
ของเกิดมาดับ ก็มันเห็นชัดๆ สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วเราจะไปยึดสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเราได้อย่างไร ?
หลวงปู่ แบน ธนากโร
" ถ้ามี"สติ"...แล้ว
ก็นำความผิดออกจาก..กาย ออกจาก..ใจ ของตน
อย่า...หลงสมมุติ ทั้งหลาย มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
กิเลส มีอยู่...ในสถานที่ใด กองทุกข์ มีอยู่...ในสถานที่นั้น."
(หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง)
การดับเชื้อไฟ กิเลส
ทั้งราคะ โทสะ โมหะ
และที่แยกย่อยไปอีกมากมาย
ดับให้จริงไม่ใช่เพียงกดข่มไว้
มีแค่เพียง รู้ตามจริง ยอมรับ
ไม่ดึงเข้า หรือผลักออก
เมื่อมันหมดเชื้อ มันก็ดับไปเอง
กับอีกอย่างคือ กดข่มไว้ชั่วคราว
จนเข้าถึงจิตที่สะอาดพอ
แล้วจึงมารู้ที่กาย ที่จิต
อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลส
เมื่อใดปล่อยวางต้นเหตุได้
เพราะเห็นจริง กิเลสก็หมดที่ลง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
......................
เมื่อพิจารณาทุกข์เป็นอารมณ์อยู่ สมุทัยความทะเยอทะยาน
ก็บรรเทาลง ตัณหาก็บรรเทาลง มรรคก็เจริญขึ้นในตัว
นิโรธก็ทำให้แจ้งขึ้นไปในตัว ไม่ใช่ว่าปฏิบัติทุกข์
แล้วก็ปฏิบัติสมุทัย แล้วก็ปฏิบัตินิโรธ แล้วก็ปฏิบัติมรรค
อันนั้นมันเรียงแบบน่ะ
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็เหมือนกัน
ฉันทะ พอใจรักใคร่ใน ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม
วิริยะ เพียรประกอบในปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม
จิตตะเอาใจฝักใฝ่ในปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม
วิมังสา หมั่นตริตรองเหตุผลในปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม
ในกรรมฐานที่ตั้งไว้
กรรมฐานในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๒ กรรมฐานเท่านั้น
เพ่งรูปเป็นอารมณ์ ก็มีรูปเป็นกรรมฐาน เพ่งอรูปเป็นอารมณ์
ก็เป็นอรูปกรรมฐาน รูป และ อรูปก็อยู่ใต้อำนาจอนิจจัง
เกิดขึ้นแล้วแปรปรวนแตกสลายไปเสียแล้วนั่น
เห็นทุกข์ขณะจิตเดียวก็เห็นรอบโลก เห็นรอบสังขาร
เห็นอนิจจังขณะจิตเดียวก็เห็นรอบโลก เห็นรอบสังขาร
ทั้งไกล ทั้งใกล้ หรืออะไรต่ออะไรจิปาถะสารพัดก็ตามเถิด
ที่มีวิญญาณ หรือไม่มีวิญญาณก็ตามเถิด เรียกว่าปฏิบัติรวม
รวมเหล่าวิปัสสนา หรือจะขยายออกก็ตาม ก็ไม่สงสัย
ในเรื่องขยาย หรือจะย่นลงมาก็ไม่สงสัยในเรื่องย่น
นานาสังขารก็ย่นลงมาถึงเอกสังขารในปัจจุบัน
นานาทุกข์ก็ย่นลงมาถึงเอกทุกข์ในปัจจุบัน
นานาอนิจจังก็ย่นลงมาถึงเอกอนิจจังในปัจจุบัน
นานาสมมติก็ย่นลงมาเอกสมมติในปัจจุบันนั่น
ผู้จะสิ้นความสงสัยตอนไหนๆ ก็จิตปัจจุบัน ธรรมปัจจุบันทั้งนั้น
ไม่ใช่จิตอดีต ธรรมอดีต ไม่ใช่จิตอนาคต ธรรมอนาคต
เหตุฉะนั้น พระบรมศาสดาจึงเน้นลงว่า ผู้ใดเห็นธรรมในปัจจุบัน
ผู้นั้นได้ชื่อว่า ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในพระพุทธศาสนานี้
_____________________________
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
สภาวะนั้น ก็คือ พุทธะ ,ธรรมชาติ เป็นสภาวะที่เหนือตัวตน
ถ้าเราหมดตัวตน(อัตตา)..โลกจะปลอดภัยจากน้ำมือเรา..คนอื่นก็เหมือนกัน ถ้าเขาหมดอัตตา เราอยู่ใกล้เขาเราจะรู้สึกปลอดภัย และไม่ต้องกังวลหน้าหลัง..
ตัวตนคือสิ่งที่ทำร้าย ไม่ว่าอยู่กับใคร มันจะทำร้ายโลก ทำร้ายคนรอบตัว..แม้ตัวตนจะเกิดจากความอ่อนแอของตัวเอง แต่เมื่อมีแล้ว มันพร้อมทำลายทุกสิ่งรอบตัว
การ ลด ละ เลิก สล ะอัตตา ตัวตน = ทุกคน ทุกชีวิต ที่อยู่ใกล้เรา เขาจะปลอดภัยจากอัตตาตัวของเรา..
Cr. อุปชา
ปล.แก่นคำสอนท่านท่าน ไม่ว่าจะเมื่อไร ท่านเน้นอยู่หลักๆสิ่งเดียว คือการสละตน และสละตัวตน การเหนือตัวตน ฝึกเหนือตัวตน เพื่อเกิดญาณรู้ แล้ววิชชาต่างๆมันจะเข้าไปทะลุได้เอง โดยไม่ต้องฝึกมากมาย
ตัวตน พอเราสละๆๆ จนอัตตาน้อยลงเรื่อยๆ จนไม่มีเหลือ ไม่มีตัวเราแม้สักขณะหนึ่ง
ส่วนนี้เอง สติที่สมบูรณ์จะอยู่แทนที่อัตตา และสติที่สมบูรณ์นี้เอง จะเป็นตัวเชื่อมโพธิญาณ
มันเป็นสมมติ ที่เป็นความจริง.. พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพุทธะ ใต้ต้นไม้ซึ่งถูกเรียกในภายหลังว่าต้นโพธิ์
สติ เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อมันเจริญจนสมบูรณ์ถึงขีดสุด มันจะเชื่อมปัญญาจากต้นกำเนิดได้ นั่นเองคือญาณทัศนะ
เมื่อเรามีสติครบถ้วน และสตินั่นเอง คือตัวเชื่อมต่อกับจิตต้นกำเนิด..
ร่างกายทั้งชีวิตทั้งจิตใจ เมื่อดำรงสัมมาสติให้แม่นมั่น ตัวเราไม่ใช่ตัวเองเลยแม้ขณะ เราก็คือธรรมชาติอันหนึ่ง เป็นธรรมอันหนึ่ง เช่นกันกับธรรมทั้งหลายรอบตัว ..
เวลาอยู่ในสมาธิลึก ร่างกายจะหายไป หัวหาย แขนหาย ขาหาย มันดับไป ..ลึกขึ้นๆ ลมหายใจก็ดับลง..นั่นน่ะ สติลุ่มลึก
การทำสมาธิลึก เป็นการตัดสิ่งรบกวนภายนอก(ตัดการรับรู้จากจิตนอก) แล้วเชื่อมจิตต้นกำเนิด สิ่งที่เราได้รู้ในตอนนั้น ว่ากายนี้ไม่มีจริง ผัสสะทางกายที่หลอกว่ามันเป็นของเรา ลมหายใจที่เรารู้สึก หลอกว่าเป็นของเรา แท้จริงไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา
ความคิดที่แว่บเข้ามา ความทรงจำหรือก็ยังไม่ใช่ มันเป็นขันธ์ปรุงแต่งทั้งสิ้น
ความรู้สึกในสมาธิ ว่ากายนี้ไม่มีจริง จิตนี้ไม่มีจริง เวทนาไม่มี มันดับลงตรงนั้น สิ่งนี้ เราจะทำให้เกิดมีในชีวิตประจำวันตลอดเวลา และจะต้องเสถียรได้อย่างไร?
มหาสติ คือคำตอบ ..การรับรู้สิ่งต่างๆ จาก3ตัวรู้ มันก็คือจิต มันเป็นธรรมอันหนึ่ง ..ทุกสิ่งที่รับรู้เข้ามา ก็เป็น.."จิต"
ใช่หรือไม่?
ภาษาสมมติก็ว่ากันไป แต่มหาสติคงไว้ นั่นคือธรรม
สติคือสมาธิ และเกิดปัญญา ถ้ากันตามภาษาโลกก็ต้องพูดแบบนี้.. แต่จริงๆแล้ว มันแทบแยกกันไม่ออกในสภาวะ เพราะมันเชื่อมโยงเป็นเนื่อเดียวกันไม่สามารถแยกได้
จิตสมมติก็คือธรรม ธรรมสมมติก็คือจิต ..จิตที่เห็นว่าแยกกันเดิน แยกกันกิน แยกกันนั่ง จิตธรรมชาติ จิตสิ่งมีชีวิตระดับต่างๆ ไม่ว่าจะระดับสัตว์ ระดับต้นไม้ หรือระดับธาตุ ..ก็เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับปัญญาญาณ
ปัญญาญาณ ที่เชื่อมได้มา เมื่อเอามาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเสถียร ตลอดถ้วนทั่ว ..
ชีวิตที่ใช้มองโลกด้วยปัญญา(ปัญญาที่เชื่อมมา หาใช่ของเราไม่ เพราะถ้ายังมีอัตตาปรุงแต่งได้ มันก็คือความคิด มิใช่ปัญญาธรรม)
ไม่มองโลกอย่างปรุงแต่ง #แต่ใช้ชีวิตด้วยทัศนะในญาณบริสุทธิ์นำทาง..
การใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในสมาธิและนอกสมาธิ การยืนเดินนั่งนอน ไม่มีอัตตา ไม่มีตนเองเจือปนแม้เล็กน้อย ด้วยการแทนที่ของสัมมาสติ #การใช้ชีวิตกระทำจาก"จิตญาณธรรมชาติ"เป็นผู้ดำรง
#แลนั่นคือญาณทัศนะ..
สภาวะธรรมต่างๆ ที่ถูกแยกออกมา มันแยกได้เพียงโดยสภาวะ แต่ในความแยกนั้น มันก็รวมกันอยู่ ..
แท้จริงไม่มีสิ่งใด ทุกสิ่งคือหนึ่งเดียว..
เดิมแท้มีแค่หนึ่งเดียว มีเพียงหนึ่งไม่แตกเป็นสอง
หลวงปู่ดูลย์ ใช้คำว่า..จิตหนึ่งคือพุทธะ
วัชระ อุตพุธ
ผู้มีสติสมบูรณ์ คือ พุทธะ
พุทธะ คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง..
เมื่อเราเข้าถึง"ความไร้ตัวตน"ของตัวเอง..