พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 3 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 330 **พระอรหันต์ละการยกตน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงการละสังโยชน์ ข้อที่ 8* ขององค์พระอรหันต์
องค์พระอรหันต์นั้น.. ท่านละสังโยชน์ข้อที่ 8* คืออะไรหรือเจ้าคะ และท่านสามารถละได้แบบไหน ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
นั่งให้สงบ ทำใจให้สงบ แล้วลองพิจารณาธรรม ตามนี้ดูเถิด.. พระยาธรรม
องค์พระอรหันต์นั้น.. ท่านเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตน จนเข้าถึงความรู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ดี - ท่านก็ย่อมรู้ เข้าใจเหตุที่เกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่ดีนั้น ว่า..
เป็นเพราะอะไร ? เหตุมันเกิดมาจากไหน ?
ท่านก็จะมองเห็นว่า เป็นปรกติของมันอย่างนั้น
เมื่อปลูกอะไรลงไป.. สิ่งนั้นก็ต้องงอกขึ้นมาเป็นธรรมดา ตามเหตุและปัจจัยของสิ่งที่แต่ละคนได้กระทำลงไป
แต่ละเรื่องราวที่มันจะเกิดขึ้น และทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้น.. มันก็ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนของเรา ของเขา ยึดเอาอะไรไว้ไม่ได้
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
.. ไม่มีอะไรทั้งนั้น
เมื่อมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ท่านก็ย่อมรู้ และมองเห็น เหตุที่มันทำให้เกิดขึ้น
แล้วก็มองเห็นมันเกิดขึ้น เป็นธรรมดา ตามเหตุของมันอย่างนั้น
ปลูกอะไร ทำอะไร.. ก็ได้สิ่งนั้นคืนมา
- และก็มองเห็นความเป็นธรรมดา ในสิ่งไม่ดีนั้นว่า.. มันก็ไม่เที่ยงแท้ +
ไม่ใช่ตัวของเรา /ไม่ใช่ตัวของเขา
ไม่มีในตัวเรา /ไม่มีในตัวเขา
- มันเป็นเพียงสิ่งที่สมมุติขึ้นมา เท่านั้น
องค์พระอรหันต์.. รู้แจ้งตามเหตุที่เกิดทั้งหลาย
เกิดเรื่องที่ดีขึ้นมาก- ดีขึ้นปานกลาง- หรือดีน้อย
เกิดเหตุที่ร้ายมาก- ร้ายปานกลาง- หรือน้อย
มีสิ่งใดเกิดขึ้นแบบไหน.. ท่านก็ย่อมรู้แจ้ง เห็นเป็นธรรมดา
เช่น การที่ท่านนั้น มองเห็นว่าบางคน มีสภาวธรรม มีความดีที่มาก ในมุมมองของบุคคลที่ยังเวียนว่ายตายเกิด หรือมองแบบทางโลก
มองว่าดีมาก.. ดีมากกว่าใครๆ
ท่านก็แค่สักว่าเห็นว่า.. มีความดีอยู่ - ตามเหตุที่ทำดีนั้น
แต่ท่านไม่ได้เอาจิตเอาใจ เอาตัวตนของตน ไปเปรียบเทียบว่า..
เขาดีกว่าเรา
เราดีไม่เท่าเขา
หรือว่า เราดีเสมอเขา..
ถ้าเกิดว่า เห็นใครที่ไม่ค่อยจะดี มีแต่คำนินทา กล่าวว่าร้าย มีแต่ข่าวไม่ดีเล่าลือกันไปตามทิศทางต่างๆ
ท่านก็จะสักแต่เห็นว่า..
มันก็ไม่ดี - ตามเหตุแห่งกรรมวิบาก กิเลสตัณหา / ตามจิตที่ยังไม่รู้ตื่น
.. ก็เป็นธรรมดาเช่นนั้น
ท่านก็จะไม่น้อมเอามาเปรียบเทียบ กับตัวของท่านว่า..
ท่านดีกว่าเขา
เขาดีไม่เท่าท่าน
ท่านวิเศษกว่า.. ดีกว่า..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. องค์พระอรหันต์นั้น ท่านเป็นผู้ที่
/ สามารถฝึกฝนตนเอง จนเข้าถึงแล้วซึ่งความรู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลาย อย่างแท้จริง +
/ ดับกิเลส ความหลงในตัวในตน ความยึดถือมั่นในเรา ในตัวตนของเรา
/ ดีก็ไม่ยึด - ชั่วก็ไม่ยึด ไม่ถืออะไรทั้งนั้น
เป็นจิตที่สว่าง ยกระดับสูงแล้ว..
จนท่านนั้น สามารถละสังโยชน์ ข้อที่ 8*ได้
ซึ่งสังโยชน์ ข้อที่ 8* ก็เช่นที่กล่าวไปนั้นละ พระยาธรรม..
มีปัญญารู้แจ้ง จนไม่เปรียบเทียบเรา / เปรียบเทียบเขา
ไม่มีความเห็นว่า..
- เราดีกว่าเขา
- เราเสมอกันกับเขา
- เราดีไม่เท่าเขา
อย่างนี้.. อารมณ์เปรียบเทียบซึ่งกันและกัน - ย่อมไม่มี
จิตนั้นไม่มีอารมณ์ที่จะเทียบดี เทียบชั่วอะไรอีกต่อไป
จะสักแต่ว่า เห็นตามเหตุชั่วนั้น ว่า..มันเป็นอย่างนั้น
เห็นตามเหตุดี ว่ามันดี.. เพราะมันเป็นอย่างนั้น
รู้แจ้งตามความเป็นจริงเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
/ ละการเปรียบเทียบเขา - เปรียบเทียบเรา
/ ละการเอาตน ยึดตัว ยึดตน ยกตนให้สูงเหนือผู้อื่น
/ ละการที่จะยกเอาผู้อื่นสูงเหนือตน.. มากดข่มตน
-- การแบ่งแยกอย่างนี้.. ย่อมไม่มี !
*จิตขององค์พระอรหันต์.. ย่อมสว่างไสว *
รู้ว่า..
สิ่งที่ดี.. ก็ตาม
สิ่งที่ไม่ดี.. ก็ตาม
.. มันก็เป็นเพียงแค่ เรื่องสมมุติขึ้นมา ++
จิตที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็ยึดเอา ถือเอา มาเป็นตัวเป็นตนของตน
แล้วก็อาศัยสิ่งที่ตนยึดเอาถือเอานั้น.. ไปทำกรรมชั่วบ้าง ทำกรรมดีบ้าง
.. ทำอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น
-- นั่นเป็นเรื่องของปุถุชน จิตที่เป็นผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ --
องค์พระอรหันต์นั้น ย่อมมองเห็นเป็นธรรมดา เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
/ จึงไม่วุ่นวาย
/ จึงไม่ยกตนข่มท่าน
/ จึงไม่ยกท่านข่มตน
/ จึงทำความดีแต่เฉพาะตามหน้าที่ ที่ตนนั้นควรจะทำ
.. ทำไปตามเหตุ อย่างไม่สุข ไม่ทุกข์
.. ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบกิจ คือ กายนี้ดับไป…
แค่นั้นละ พระยาธรรม.. องค์พระอรหันต์ สามารถละความรู้สึกเหล่านี้ได้ ลูก
องค์พระอรหันต์.. จึงมีจิตตั้งมั่นในแสงสว่าง ที่ปราศจากแล้วซึ่งกิเลสตัณหา
คือ ความหลงในตนว่า ตนดีแล้ว
คือ การรู้สึกว่า ตนยังไม่ดี
มั่นใจอย่างเต็มที่ -ในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ และทำอยู่ ..
มั่นใจ อย่างเที่ยงแท้
มั่นใจโดยปราศจากความหลงในความมั่นใจนั้น
มั่นใจ แบบจิตที่ถึงแล้ว ซึ่งพระนิพพาน คือ
- ไม่กลับมาเกิดอีก
- ไม่ถูกกิเลสตัณหา ครอบงำอีก
- ไม่เกี่ยวข้อง ด้วยเรื่องของวัฏสงสารอีกต่อไป...
แบบนี้ละ พระยาธรรม.. คือ องค์พระอรหันต์ ผู้ที่สามารถประพฤติดี ปฏิบัติดี
ฝึกฝนตนจนเข้าถึง การละสังโยชน์ ข้อที่ 8* คือ ละการเปรียบเทียบเขา เปรียบเทียบเรา
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรมเอย
ฉะนั้น.. ลูกก็จงระลึกกันไว้อยู่เสมอนะลูก ว่าการที่เรานั้นยกระดับตนสูงเหนือผู้อื่น
คิดว่าเราดีกว่าเขา
.. นั่นมันก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง *
- เป็นกิเลสในรูปแบบ ที่จะยกตนให้มีทิฐิ มีอัตตาตัวตน หลงในตัวในตนของตน นะลูก
- เป็นสิ่งที่ ไม่ควรทำ
- เป็นสิ่งที่ ควรละเสีย
พยายามฝึกฝน ละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ไป
จะได้ไม่อาศัยอารมณ์เหล่านี้ ในการสร้างกรรม โดยการ..
- ข่มผู้อื่น โดยที่รู้ตัวก็ดี /ไม่รู้ตัวก็ดี
- เพ่งโทษผู้อื่น ด้วยการยกตนสูงเหนือผู้อื่น
พระยาธรรมเอย.. พยายามพากันฝึกฝนให้ดี ลูก
แล้วก็อย่านึก อย่าคิดว่า บุคคลผู้อื่นเขาดี เสมอกันกับเรา
การที่ดีเสมอกัน ก็ยังถือว่า มีการวัดระดับของความดี
เปรียบเทียบกันและกัน ว่า..เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
* ความมีตัวมีตนก็ยังมีอยู่.. ก่อให้เกิดความหลงได้ ลูก *
อย่าไปเปรียบเทียบว่า เราดีไม่เท่าเขา ยกเขาให้สูง จนทำให้เรานั้น รู้สึกว่าตนไม่ดี ต่ำต้อยยิ่งนัก
ไม่สามารถที่จะทำได้อย่างเขาหรอก
ก็อย่าไปคิดเช่นนั้น.. เพราะจะเป็นการทำให้ตนนั้น โดนกดลงไป.. หมดกำลังใจ
เปรียบเทียบแล้วจะทำให้ตนหมดแรง ในการทำความดี
ซึ่งมันก็เป็นกิเลส ทำให้หลงในตัวเรา หลงในตัวเขา
- มันไม่ดีหรอกลูก !
จงปฏิบัติเอาเฉพาะแต่ตน แต่เรื่องของตนเองดีกว่า
เพราะว่าทุกคนเกิดมา..
- มีเหตุของการเกิด ที่แตกต่างกัน
- มีเชื้อกิเลสที่ครอบงำ แตกต่างกันไป
- มีความคิด ความรู้ ความสามารถ ที่แตกต่างกันไป
อย่าเอาเราไปเทียบเขา.. เพราะเขากับเรานั้น มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ที่จะต้องเปรียบเทียบ ++
มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย ว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา
เพราะเส้นทางของเขา กับของเรา ที่วนเวียน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ - มันต่างกัน !
อย่ามัวแต่ไปนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้.. จงสละทิ้งมันเสียเถิดลูก
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอะไรเลย ต่อดวงจิตทั้งหลายที่ประพฤติปฏิบัติ
เราควรจะแข่งกับตัวเราเอง ต่างหาก !
ควรจะดูที่ตัวของเราว่า ตอนนี้ความดีของเราที่ทำไป..
/ ทำได้มากแค่ไหน ?
/ ความดีเหล่านั้น ช่วยชำระกิเลสมากเพียงใด ?
/ ความชั่ว ยังเหลืออีกเยอะไหม ? เป็นตัวค้ำหนุนกิเลสในใจของเรา ให้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
.. หรือความชั่วลดน้อย กิเลสน้อยลง ความดีมากขึ้น
/ จิตสะอาด บริสุทธิ์มากขึ้นแล้วหรือยัง ?
รู้ที่เรา ดูที่เรา
รู้หนทางแห่งตน ทำหนทางแห่งตนให้ดี ก็พอ..
พระยาธรรมเอ๋ย.. จุดมุ่งหมายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติไป สร้างความดีไป ตรัสรู้ เข้าสู่พระนิพพานไป.. เพื่อดีกว่าใครๆ เพื่อสูงเหนือกว่าใครๆ
- ไม่ใช่เช่นนั้นลูก !
ถ้าไปยึดเอา ถือเอาตัวนั้น มาเปรียบเทียบ มายึดถือซึ่งกันและกัน..
- ย่อมเป็นสิ่งที่ ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมอย่างแท้จริง
- ย่อมกลายเป็นอัตตาที่ยิ่งใหญ่ คลุมโลก คลุมจักรวาล ออกจากวัฏสงสารนี้ไม่ได้ ลูก
เราต้องประพฤติปฏิบัติ เพียงเพื่อให้ดับกิเลสตัณหาแห่งตนให้ได้ ++
ฉะนั้น.. จึงไม่มีการเทียบเขา เทียบเรา
การประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ธรรม - จนเป็นองค์พระพุทธเจ้า.. ก็เพียงเพื่อดับกิเลสแห่งตน
ผู้ซึ่งสร้างบารมี สร้างกรรมทำดี ทำชั่ว - มาในรูปแบบที่จะต้องสั่งสมบารมี เพื่อไปเป็นองค์พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง **
และองค์พระพุทธเจ้านั้น ก็สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เพียงเพื่อจะได้บอกทางชี้ทางให้แก่ผู้อื่น
-- แต่ไม่ใช่ยึดเอาถือเอาว่า.. ดีกว่าใครๆ ++
องค์พระอรหันต์ ก็เช่นเดียวกัน.. ประพฤติปฏิบัติธรรม ทำความดี
- จะมากเพียงใด
- จะมากกว่า- น้อยกว่า / ยากกว่า- ง่ายกว่า..
แต่ละองค์ แต่ละดวงจิต.. ก็ไม่ได้ทำเพื่อฉันดีกว่าเธอ เก่งกว่าเธอ เสมอเธอ
จะไม่ได้ทำ เพื่อเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน.. ลูกเอ๋ย
-- แต่ทำเพื่อให้จิตของตนละกิเลสให้ได้.. เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน **
ฉะนั้น.. ไม่ได้ทำ เพื่อยึดเอาถือเอาความดีเหล่านั้น ว่า.. ดีกว่าคนอื่น เสมอคนอื่น หรือดีไม่เท่าคนอื่น
การเปรียบเทียบเขา เปรียบเทียบเรา*
.. สิ่งที่ทำเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องของโลก เรื่องของกิเลส
-- ไม่ใช่เรื่องขององค์พระอรหันต์.. ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น.. บุคคล ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติตน จนเข้าถึงองค์พระอรหันต์
จึงควรละเสีย ซึ่งการกระทำ และความคิดเหล่านี้
จึงควรระลึกรู้ว่า..
* พระอรหันต์ ละสิ่งเหล่านี้จนหมดสิ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ..
การแบ่งแยกเขา แบ่งแยกเรา
เปรียบเทียบเขา เปรียบเทียบเรา
ยึดเอาถือเอา สิ่งที่เรามี เขามี - มาเป็นอัตตาตัวตน
-- ไม่ถึงซึ่งพระนิพพานหรอกลูก ++
องค์พระพุทธเจ้า ไม่ยึดถือสิ่งเหล่านี้
องค์พระอรหันต์ ก็ไม่ยึดถือสิ่งเหล่านี้
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เช่นเดียวกัน..
ทุกคน ทุกดวงจิต ทุกท่าน.. สร้างความดี เพื่อดับกิเลส
- ไม่ใช่สร้างความดี.. เพื่อเปรียบเทียบกับใครคนใดคนหนึ่ง +
“ความมี” จึงไม่มีอีกต่อไป.. ลูก
จงพิจารณาตาม เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
และพากันฝึกฝนจิตแห่งตน ให้ละวางอารมณ์ ความรู้สึกเหล่านี้
พยายามฝึกฝน ให้
* เข้าใจตัวของตน ให้มากที่สุด
* เข้าใจกิเลสตัณหาว่า มันมี /ไม่มี
* เข้าใจการทำความดี
* รู้เหตุแห่งตน และดับเหตุที่เกิดให้ได้
-- นั่นคือจุดมุ่งหมายของดวงจิต ของผู้ที่จะไปสู่พระนิพพาน ลูก --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่า..
*องค์พระอรหันต์* นั้น.. ท่านละสังโยชน์ข้อที่ 8* ได้ คือ การเปรียบเทียบเขา เปรียบเทียบเรา
เขาดีกว่าเรา
เราดีกว่าเขา
เสมอกับเขา เขาเสมอกับเรา
การเปรียบเทียบ แบ่งแยกเช่นนี้ กิเลสตัวละเอียดที่จะทำให้ก่อความหลง เป็นตัวอัตตานี้ - ย่อมไม่มี !
.. เข้าใจอย่างนี้แล้วเจ้าค่ะ
ทุกคน มีเพียงจุดมุ่งหมายเดียว คือ ชำระกิเลสตนให้หมด เพื่อดับการเกิดไปสู่พระนิพพาน
.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่
เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักสังโยชน์ ข้อที่ 8 * ขององค์พระอรหันต์
กิเลสที่ควรละตัวนี้ เจ้าค่ะ..
สาธุ