ให้รู้สึกไม่ใช่รู้ว่า
"...ให้รู้น้อยๆทีละขณะ รู้ทิ้ง -รู้ทิ้งเบาๆ คลายๆ เวลาความคิดเกิดขึ้น ให้รู้ -ปล่อย รู้-ปล่อย สภาวะใดเกิดขึ้น อย่าไปเค้นว่ามันคืออะไร
ไม่ต้องเอาเหตุเอาผลอะไร นั่งก็เพียงเพื่อจะนั่ง ไม่ต้องคิดว่าเมื่อไหร่จะสงบ เมื่อไรจะหยุดฟุ้งซ่าน เมื่อไรจะหายง่วง
ในการฝึกให้ "รู้สึก"ลงไป ไม่ใช่แค่ "รู้ว่า" เพราะรู้ว่า กับรู้สึก คนละเรื่องกัน
ล้างชามรู้ว่าล้างชาม กระพริบตารู้ว่ากระพริบตา อย่างนี้ไม่ใช่ ต้องรู้สึกลงไปด้วยในขณะกระทบสัมผัส
ถ้าเราวางใจถูก ไม่นานจิตจะรู้จักกับสภาพเปล่าๆล้วนๆที่อยู่ตรงหน้า เรื่องง่ายๆอย่าทำให้มันยาก ที่มันยาก
ก็เพราะเราพยยามเกินไป หรือก็ไม่พยายามเลย..."
วิปัสสนาพามือเคลื่อนไหว/ พระพุทธยานันทภิกขุ (น.๓๔/๓๕).
หัวใจของวิปัสสนานั้น ผมกำลังจะบอกว่า...
"จับความรู้สึกตัวสดๆบนฐานของการเคลื่อนไหวทางกาย และดูความคิด"
สองสามประโยคดูมากความ แต่ถ้าปฎิบัติเป็นขั้นตอนแล้วจะรู้ว่า เมื่อรู้สึกตัวได้ดี จะดูความคิดเอง พอจิตเริ่มปรุงแต่งมันจะรู้ บางทีมันปรุงสามสี่เรื่อง พอรู้ มันหยุด ลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ ดูจิตใจ ดูความคิดก็ไม่มีอะไรให้ดู มันเงียบไปเลย แต่พอเราเผลอๆ มันก็คิดเท่านั้น
ขณะนี้ฟังผมพูด เป็นความคิดทั้งนั้น มันทำงาน อุปมาเหมือนภาพยนตร์ เมื่อเราดูเรื่องที่ฉายบนจอ เราเข้าไปในเนื้อเรื่องเลย เรามีแต่อารมณ์ สุข โศก กลัว รัก ไปตามท้องเรื่องโดยไม่เห็นจอ ทั้งๆที่เรื่องดำเนินไปบนจอ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเข้าไปในความคิด เราจะไม่รู้จักความคิด
แต่สมมติว่า เราไม่ได้ดูเนื้อเรื่อง เราค่อยๆทวนลำแสงสวนทางไปในทาง ที่เครื่องฉายทำงาน ในที่สุดเราจะเห็นเหตุ เรื่องทั้งหมดออกมาจากเครื่องนี้ เมื่อเราคุ้นเข้าๆ เราก็จะเห็นเบื้องหลังของเครื่องฉายเครื่องนั้นด้วย ในที่สุดมนุษย์ก็สามารถเล็ดลอดออกจากวังวนของความเวียนว่ายตายเกิดได้
สรุปว่า..ความทุกข์ทรมานของมนุษย์เรา ไม่ว่าโดยอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เกิดจากสภาพไม่รู้จักตัวเองให้ถึงแก่น ไม่รู้ถึงพลังความสามารถต่างๆซึ่งซ่อนเร้นอยู่ ไม่เปิดเผยความจริงในส่วนลึกจนกระทั่งทะลุปรุโปร่งในตัวเอง..
ท่านเขมานันทะ (อ.โกวิท เอนกชัย)
จากหนังสือ "รุ่งอรุณแห่งความรู้สึกตัว"
อยู่กับตัว(ใจ) รู้สบายๆ รู้สึกตัว ว่างสบาย มีสิ่งใดมากระทบ แค่รู้ อย่าไปคิดปรุงตามว่าเป็นอะไร เพราะสิ่งที่ตามมานั้นเป็นความคิด เป็นการไปปรุงแต่งใจ ไม่ใช่รู้ที่เป็นรู้สึกตัว รู้จิตรู้ใจแล้ว
.
เวลาใจขยับให้แค่รู้ว่าใจขยับ แต่ไม่ต้องไปรู้ว่าเรื่องอะไร จะโลภะ โทสะ โมหะ ชั่งมัน เพราะรู้นี้จบที่ใจ ไม่ไหลไปคิดต่อ หากไหลไปคิดต่อว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วเมื่อไหร่จะวางใจเป็นสักแต่ว่ารู้ได้ละ
.
การปฏิบัติคือการทําให้ใจเราชินที่จะปล่อยออกคลายออก ไม่ใช่เข้าไปถือในอารมณ์ความคิดต่างๆ
.
ให้ผู้รู้เด่น อย่าให้สิ่งที่ไปรู้เด่น( รู้อยู่กับใจ ไม่ใช่ไปยึดรู้ตามสิ่งที่ไปรู้ ) แต่ให้อาศัยสิ่งที่ไปรู้นั้น โดยการหมั่นรู้สึก เพื่อให้ผู้รู้เข้มแข็งขึ้นมา
.
ตื่นจากการถูกปกคลุมด้วยความคิดอวิชชา เมื่อผู้รู้เด่นเข้มแข็งขึ้นมา การจะไปเห็นใจ เห็นรูปนามเพื่อเจริญปัญญา เพราะหลุดจากความคิดที่ปกคลุมอยู่แล้ว จึงจะเกิดขึ้น ญาณปัญญาจึงบังเกิดกับเรา แม้ลืมตาก็เกิดได้ ไม่ต้องนั่งสมาธิหลับตา