อยู่กับความวุ่น แต่ใจให้ว่าง
ว่างจากการเข้าไปยึดถือ
อยู่กับว่าง ใจไม่ติดว่าง
ไม่ติด ยินดี ยินร้ายในความว่าง
มีเพียงความตื่นรู้ พร้อมรู้ อยู่ที่ปัจจุบัน
จะปล่อยวางหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของเรา
มันอยู่ที่จิตเกิดปัญญาจากการเห็นตามจริง
ว่าไม่มีสิ่งใดที่ควรยึดถืออย่างแท้จริง
จิตที่ไม่สำคัญมั่นหมาย
ในตัวมันเองว่าเป็นตัวตน
ความทุกข์ทั้งหยาบ ละเอียด
ก็ตั้งอยู่ไม่ได้
ความทุกข์จะตั้งอยู่ได้
เพียงเพราะมีความเป็นเรา
มาคอยรองรับไว้เอง
ความทุกข์นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ
แต่ไม่มีใครเป็นผู้ทุกข์
นี้ควรเป็นจุดหมายของนักภาวนาทุกคน
11/12/2561
ใจของเรามันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้น
มันยังมีเสือกำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย
ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้ ถ้าหากมันไม่ได้อะไร
ตามที่มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด
เราจะต้องอบรมใจ ด้วยการปฏิบัติภาวนา
ด้วยสมาธินี่แหละที่เราเรียกว่า "การฝึกใจ"
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ตั้งใจรักษาจิตไว้เมื่ออยู่ในภาวะ
ที่อารมณ์มีความรุนแรงมาก
อย่าปล่อยให้ถูกอารมณ์ครอบงำใจ
หยุดรวมกำลังบ้าง บริกรรมพุทโธเร็วๆ ก็ได้
สูดลมลึกๆ แล้วกลั้นไว้ค่อยผ่อนออกก็ได้
ให้รู้จักกาลรู้จักภาวะของตนว่าควรอย่างไร
เมื่อใจมีกำลังพอแล้วก็ดำเนินในสิ่งที่ควรกระทำต่อไป....
สติ คือ การระลึกรู้
รู้ก็ใช่จะรู้อะไรมากหรอก
รู้ตามลักษณะอาการของใจ
_____________________
หลวงปู่ชา สุภัทโท
การภาวนาให้จิตสงบ
มีวิธีการมากมายตามแต่ที่จะเหมาะสมกับตน
บางคนเพ่งนอก บางคนเพ่งใน บางคนคิดพิจารณา
ก็มีผลอย่างเดียวกันคือให้จิตใจสงบ
ส่วนการภาวนาเพื่อรู้เห็นตามเป็นจริง
เพื่อถอดถอนความเห็นผิด และความยึดมั่น
ต้องมีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
เห็นร่างกายเป็นรูปหรือธาตุ
เห็นความรู้สึกนึกคิดต่างๆเป็นเพียงนาม
ที่เกิด ดับเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เห็นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
ถ้าไปเห็นอย่างอื่นโดยสำคัญหรือบัญญัติ
ว่าเราว่าของเราไม่ชื่อว่าเห็นตามจริง
"""""""""""""""""""""""""""""
การภาวนาจะแต่ปฏิบัติสบายๆ
พอลำบากบ้างขัดกับความอยากบ้างก็ไม่เอา
คนที่เขาปฏิบัติสบายก็เพราะลำบากมาก่อนแล้ว
เข้าใจถึงใจแล้วหรอกจึงไม่ต้องลำบากมาก
ส่วนบางพวกเข้าใจก็ไม่เข้าใจ อะไรก็ยังไม่รู้
แต่จะเอาปฏิบัติแบบสบายๆ มันก็เลยสบายกิเลสไป
กิเลสเอาไปกินเสียหมด ไปไม่ถึงไหน
ต้องรู้จักฝึกฝนจิตใจให้รู้จักความลำบากบ้าง
เป็นกำลังให้จิตใจได้เรียนรู้
เรียนรู้ที่จะยอมรับ เรียนรู้ที่จะรู้เป็นกลาง
เมื่อประสบพบความทุกข์
สบายก็ภาวนา ลำบากก็ภาวนา
ให้ได้ทั้งสองทางนะ
มิใช่ว่าต้องไร้ความคิด
แต่ไร้ซึ่งความให้ค่าในความคิด
มิใช่ว่าต้องไร้การกระทำ
แต่ไร้ซึ่งการกระทำทางใจ
มิใช่ว่าไร้การเคลื่อนไหว
แต่ไร้ซึ่งการจมอยู่กับการเคลื่อนไหว
ลอยตัวอยู่เหนือการเคลื่อนไหวทั้งมวล
ไม่หยุดอยู่ เป็นเพียงรู้ในความไหว
เป็นว่าสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหว....
คนเราไม่สามารถที่จะห้ามหรือบังคับจิตใจ
ให้ปล่อยให้ละความพัวพันในโลกได้จริงๆหรอก
เพราะว่าจิตนี้เป็นอนัตตา คือไม่อยู่ในอำนาจจริงๆ
เราทำได้เพียงแค่นำจิตนี้ให้เห็นความจริง
ของสิ่งที่มันไปผูกติด เมื่อเหตุพร้อมแล้ว
ผลนั้น เป็นหน้าที่ของจิตที่จะตัดสินในการปล่อยวาง
เพราะเห็นโทษเห็นทุกข์ในโลกนี้ ไม่ใช่บังคับจิต
ให้ไม่เอา ไม่รับรู้อะไร
ตาเห็นรูป ให้รู้สึกตัว
หูได้ยินเสียง ให้รู้สึกตัว
จมูกได้กลิ่น ให้รู้สึกตัว
ลิ้นลิ้มรส ให้รู้สึกตัว
กายสัมผัส ให้รู้สึกตัว
ใจคิดนึก ให้รู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวที่เราพยายามฝึกนี้
ก็เพื่อให้จิตไม่ถลำเข้าไปเป็น
ในสิ่งต่างๆ ที่มากระทบ
เมื่อไม่ถลำ จิตย่อมตั้งมั่น
เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมสามารถที่จะเห็นความจริง
ของสิ่งต่างนั้นๆได้ตามที่มันเป็นจริงๆ...
เป็นเพราะอ่อน จึงสามารถที่จะแข็งแกร่ง
แต่ถ้าแข็งมากก็อาจหักได้โดยง่าย
คือปิดกั้นตัวเองจากธรรมอันควร
หมดโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง
จิตที่ควรแก่การรู้ธรรมนั้น
เป็นจิตอ่อนโยน คล่องแคล่ว
ควรแก่การงานคือการรู้
รู้ตามจริงของสภาวธรรม
ดูกรกัจจานะ
ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่
ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี
ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง
ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ...
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
เพราะอวิชชานั่นแหละดับ
ด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ
สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ ...
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
กัจจานโคตตสูตร
เราอย่าปล่อยจืตใจให้จมดิ่งไปกับวันเวลา
และสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยมุ่งเป้าหมายของชีวิต
อยู่ที่การใช้ชีวิตและทำมาหากิน โดยลืมที่จะทำประโยชน์
ให้กับจิตใจบ้าง จึงทำให่เป็นทุกข์กับเรื่องเหล่านั้น
ทั้งที่จริงๆแล้ว เราสามารถใช้ชีวิตของเรา
เป็นหนทางไปสู่การพัฒนาจิตได้ ด้วยการมีสติ รู้สึกตัว
รู้ความเคลื่ิอนไหวเปลี่ยนแปลงของทั้งร่างกายและจืิตใจ
เมื่อเห็นว่ามันเปลี่ยนไปมาตลอดหาแก่นสารที่แท้ไม่ได้
ใจจะคลายออกจากการไปแบกหาม เมื่อแบกหามน้อยลง
ความสุขย่อมเกิดขึ้นเอง ส่วนชีวิตก็ดำเนินต่อไป
อย่างไม่เกาะทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังจะทำหน้าที่
ของชีวิีตได้ดีขึ้นดีขึ้น...
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต อยู่กับ Taung Suchart
19 ชม. ·
ความสุขก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ความทุกข์ก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ก็เพียงเท่านั้นเอง...
พระศาสดาทรงตรัสไว้
ในกาลก่อนปรินิพพานว่า
สังขารทั้งหลาย(ความปรุงแต่ง)
มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวง
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด...
เพราะงั้น หน้าที่ของเราคือมีสติระลึกรู้ว่า
มีสุขเกิดขึ้น ไม่เพลินไปกับสุข
มีทุกข์เกิดขึ้น ไม่ผลักไสทุกข์
เป็นเพียงรู้และยอมรับด้วยใจเป็นกลาง
เมื่อนั้นจึงจะเห็นตรงตามความเป็นจริง
ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
มันไม่เที่ยงแท้เลย มันเสื่อมสิ้นไป
เพราะมันแสดงให่เห็นต่อหน้านั้นนั่นเอง
จิตผู้รู้ ตั้งมั่น เห็นตามจริง
ในทุกสิ่ง ที่เคยหลง ว่าเป็นฉัน
เพิกถอนใจ ที่เห็นผิด ทุกคืนวัน
แท้จริงนั้น ไร้สิ่งใด ที่เป็นตน...
ความเป็นตน มีขึ้น เพราะปรุงแต่ง
พร้อมทั้งแบ่ง เป็นเรา เคล้าความหลง
เมื่อมีเรา มีเขา ไม่ปลดปลง
ใจนั้นคง หลงวน ในห้วงกรรม....
_______________________
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ไม่ต้องรู้มากมายอะไร
เพียงแค่รู้สึกตัว
ออกมาจากโลกแห่งความคิด
รู้สึกได้ว่า กายนี้ถูกรู้สึกอยู่
รู้สึกได้ว่าอารมณ์ทั้งหลาย
ที่เป็นนามธรรมถูกรู้สึกอยู่
รู้สึกๆ ถึงความมีอยู่ แต่ไม่เข้าไปเป็น
รู้เพียงว่า มีบางสิ่งเกิด และดับไป
รู้อยู่ที่รู้ ย่อมรู้ได้ทั้งหมดเอง...
ถ้าจะมุ่งภาวนาเพื่อความหลุดพ้นแล้ว
อย่าไปเยอะ เจริญสติรู้กายใจตามจริง
รู้ว่าทั้งกาย และอารมณ์ทุกชนิดที่รู้ได้
ล้วนแล้วแต่ถูกรู้ทั้งสิ้น คือมีเพียงสิ่งรู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้
เมื่อเพียงรู้ ก็รู้ได้เท่าที่รู้ จึงไม่ไปหมายมั่นในการรู้
มีรู้ ไม่รู้ เป็นธรรมดา ยอมรับมัน
เมื่อใจเป็นกลางกับการรู้
นั่นก็เข้าใกล้ประตูสู่ความหลุดพ้นเข้าไปแล้ว
อย่าเอาเวลาไปมัวถกเถียงหรือ
คิดอะไรอะไรให้มันซับซ้อนกันอยู่เลย
ใครจะรู้มากน้อยอย่างไรก็ช่างเขาเถิด
เอาเวลานั้นมุ่งดำเนินไปตามทางอันควรเถิด
ชีวิตนี้สั้นนักอย่าเสียเวลาไปโดยเปล่าๆเลยนะ
เมื่อใดที่เรารู้เท่าความคิด
มีความรู้สึกตัว จนหลุดออกมาจากโลกความคิด
เมื่อนั้นจะมีจิตที่มีคุณภาพพอที่จะรู้ตามจริง
เป็นความรู้ที่รู้สึกจริงๆ ไม่ถูกเจือปนด้วยเจตนา
ความคิดปรุงแต่ง และให้ค่าใดๆ จึงตามเห็นจริง
ของสภาวธรรมตามที่มันเป็นจริงๆ
ซึ่งเป็นการเห็น ที่จะถอดถอนความสำคัญผิด
ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวตนที่ถาวร
คำว่าเมื่อจิตตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็ปรากฏ
จะเปรียบเทียบก็เหมือนว่าแต่ก่อนนี้เราดำน้ำอยู่ตลอด
แต่ไม่เห็นน้ำ ไม่รู้จักน้ำ พอจิตตั้งมั่นก็เหมือนกับ
โผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมา หรือถึงกับอยู่บนฝั่ง
มองเห็นน้ำเป็นน้ำ เห็นสิ่งที่อยูในน้ำ
หมายความว่า ธรรมนั้นมันมีอยู่แล้วแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา
แต่จิตเราเองไม่มีคุณภาพพอจะไปรู้ ธรรมนี้ก็คือ
รูปธรรมและนามธรรมนั่นเอง มันย่อมแสดงตัว
แสดงความจริงออกมาให้เห็นเองคือความเป็นไตรลักษณ์.......
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอย่างไร
เมื่อ ภิกษุสำรวมจักขุนทรีย์อยู่ จิตก็ไม่แส่ไปในรูปทั้งหลาย
ที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ เมื่อ ภิกษุนั้นมีจิตไม่แส่ไปแล้ว
ปราโมทย์ก็เกิด เมื่อภิกษุเกิดปราโมทย์แล้ว ปีติก็เกิด
เมื่อภิกษุมีใจเกิดปีติ กายก็สงบ ภิกษุผู้มีกายสงบ ก็อยู่สบาย
จิตของภิกษุผู้มี ความสุขก็ตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว
ธรรมทั้งหลายก็ปรากฏ เพราะธรรมทั้งหลาย ปรากฏ
ภิกษุนั้นก็ถึงความนับว่า เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทแท้จริงฯลฯ
_______________________
พุทธพจน์
การมีสัจจะต่อสิ่งที่ตั้งใจไว้
และความอดทนต่อทุกๆสภาวะอารมณ์
เป็นเครื่องมือในการก้าวผ่านอุปสรรค
ที่ผ่านเข้ามาไม่ว่าจะเป็นแบบ สุข หรือ ทุกข์
ที่จะเข้ามาทดสอบกำลังของใจ
เมื่อสามารถผ่านไปได้ สิ่งที่ได้นั้นจึงเป็นบารมี
เป็นบารมีในการก้าวสู่ความเป็นพุทธะ
ในการสละความสำคัญมั่นหมายในตัวตน
ขอให้มีสัจจะและอดทนไว้เถิดนะ....
สิ่งที่ดึงสัตว์โลกไว้ให้จมอยู่กับกองทุกข์นี้
ก็คือ ความเพลิดเพลินในความสุขทางอายตนะต่างๆ
ไปจนถึงความเพลินในความสุขทางใจ
เมื่อมีความเพลินก็มีความผูกพันยึดถือ
พยายามทำให้มีความสุขเกิดขึ้นตลอด
เป็นการพยายามกลบความจริงที่ว่า
สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ไม่อาจคงทนอยู่ได้นาน
เมื่อยังยึดถือในทุกข์ย่อมต้องทุกข์อยู่เป็นธรรมดา...
ผู้มาตามรู้เท่าความคิด พูด ทำ ของตน อยู่ทุกขณะ
ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้ขันธโลกภายนอก ภายใน
อารมณ์ทั้งหลายที่ข้องอยู่แล้ว ย่อมหายไปตั้งอยู่ไม่ได้
__________________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
การภาวนาตั้งแต่จนสุดปลาย
เราก็จะพบเจออยู่ 2 อย่าง
คือ รู้ กับไม่รู้
รู้อะไร? รู้ รูป รู้ นาม เท่านี้
กับ ไม่รู้ รูป ไม่รู้ นาม
โดยความเป็นทุกข์
สำคัญคือ รู้หรือไม่รู้แล้ว
จิตเป็นกลางไหม....
เป็นกลางเพราะ
รู้เท่าความยินดียินร้ายไหม
ยินดีก็จะพยายามรักษาไว้
ยินร้ายก็พยายามผลักดันออก
ซึ่งอยู่ในข่ายของตัณหา
เราต้องพิจารณานะ
วินัยเพื่อประโยชน์แก่ความสำรวม
ความสำรวมเพื่อประโยชน์แก่ความไม่เดือดร้อน
ความไม่เดือดร้อนเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมทย์
ความปราโมทย์เพื่อประโยชน์แก่ความปีติ
ความปีติเพื่อประโยชน์แก่ปัสสัทธิ
ปัสสัทธิเพื่อประโยชน์แก่ความสุข
ความสุขเพื่อประโยชน์แก่สมาธิ
สมาธิเพื่อประโยชน์แก่ความรู้เห็นตามเป็นจริง
ความรู้เห็นตามเป็นจริงเพื่อประโยชน์แก่ความเบื่อหน่าย
ความเบื่อหน่ายเพื่อประโยชน์แก่ความสำรอก
ความสำรอกเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติ
วิมุตติเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติญาณทัสสนะ
วิมุตติญาณทัสสนะเพื่อประโยชน์
แก่ความดับสนิทหาปัจจัยมิได้.
____________________________
ปริวาร
มิใช่ว่าต้องไร้ความคิด
แต่ไร้ซึ่งการให้ค่าในความคิด
มิใช่ว่าต้องไร้การกระทำ
แต่ไร้ซึ่งการกระทำทางใจ
มิใช่ว่าไร้การเคลื่อนไหว
แต่ไร้ซึ่งการจมอยู่กับการเคลื่อนไหว
ลอยตัวอยู่เหนือการเคลื่อนไหวทั้งมวล
ไม่จำต้องหยุดนิ่งอยู่ เป็นเพียงรู้ในความไหว
เมื่อนั้นจึงสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหว....
.
ความมืดเมื่อแสดงตัวแล้ว ถูกเห็นแล้ว
ในความเป็นสิ่งดำมืดย่อมต้องแพ้แสง
แสงที่รวมกันมากย่อมขจัดความมืดให้สิ้นไป
แต่ถ้าแสงน้อย ย่อมต้องถูกความมืดกลืนกิน
ตกอยู่ในความมืดไปอีกนาน กำลังของแสงจึงสำคัญนัก
แสงมาจากใจบริสุทธิ์ตั้งมั่น..มีแต่ความปราถนาดีแผ่ออกมา....
ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น
มีทั้งที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ
ถูกใจก็ทำให้ใจเผลอเพลินไปกับเรื่องนั้นๆ
ไม่ถูกใจก็ทำให้เกิดการผลักดันไม่ยอมรับ
รวมความก็คือความชอบ ไม่ชอบทั้งหลาย
ที่เกิดเพราะความคิดนั้น
ให้คอยรู้เท่าทัน เมื่อนั้นใจเป็นกลาง
ปราศจากฉันทาคติ และอคติ
แล้วจึงพิจารณาด้วยเหตุผล
ด้วยสติปัญญาให้รอบคอบ
ใจที่เป็นกลางจึงมองทุกๆสิ่งได้อย่างรอบด้าน ......
สิ่งสำคัญที่จะต้องมีในการรู้ธรรม
คือการมีจิตตั้งมั่น จะเห็นว่า แม้มีผู้ปฏิบัติมากมาย
แต่ผู้เห็นแจ้งจริงมีน้อยกว่าน้อย เพียงเพราะขาดจิตที่ตั้งมั่น
เป็นเพราะส่วนมากไปติดข้องอยู่กับความสงบ
และความเพลินในอารมณ์ต่างๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมเห็นตามจริง"
กระบวนการมีเพียงเท่านี้ สิ่งที่เป็นเหตุ
แห่งการให้จิตตั้งมั่น คือ สติและสัมปชัญญะ ที่ถูกต้อง
อธิบายง่ายๆเลยคือ รู้สึกระลึกได้ถึงกาย ใจ
แต่ไม่ไหลเข้าไปเป็น
"เมื่อเห็นตามจริง ย่อมเบื่อหน่าย
คลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น"
นี่เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ต้องเป็นไป
ให้สร้างเหตุไว้นะคือการมีสติรู้สึกตัว
ในทุกๆช่วงของชีวิต ให้ทุกช่วงของชีวิต
คือขณะแห่งการภาวนา สู่ความรู้แจ้ง....
คนที่บอกว่าเบื่อโลก ต้องสังเกตุใจให้ดีว่า
เบื่อเพราะโทสะ คือ โลกนี้มันไม่ได้อย่างใจ
หรือเบื่อด้วยปัญญา เบื่อจากส่วนลึกของใจ
ว่าไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็น
ถ้าเบื่อเพราะไม่ได้อย่างใจ เมื่อออกมาอยู่ในที่สงบ
ก็จะไม่ได้อย่างใจอีก เพราะใจถูกตัณหาชักจูงไปตลอด
ถูกกิเลสมันลากไป โดยเห็นว่าสิ่งที่ตัวคิด
เหตุผลของตัวเองนั้นถูกต้องแล้ว
เชื่อความคิดไปซะหมด....
12/12/61
จิตที่ไม่สำคัญมั่นหมาย
ในตัวมันเองว่าเป็นตัวตน
ความทุกข์ทั้งหยาบ ละเอียด
ก็ตั้งอยู่ไม่ได้
ความทุกข์จะตั้งอยู่ได้
เพียงเพราะมีความเป็นเรา
มาคอยรองรับไว้เอง
ความทุกข์นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ
แต่ไม่มีใครเป็นผู้ทุกข์
นี้ควรเป็นจุดหมายของนักภาวนาทุกคน
12/12/61
เราจะเห็นความจริงไม่ได้เลย
ถ้ายังอยู่ภายใต้การครอบงำของความคิด
ต่อเมื่อเราสามารถที่จะรู้เท่าทันความคิดที่เกิดขึ้น
โดยไม่เข้าไปเป็น อยู่ต่างหากจากความคิด
หรือเมื่อรู้แล้วความคิดดับไปๆ
จนจิตตั้งมั่นขึ้นมาได้ ปราศจากความคิด
เราจะเห็นความจริงของทั้งกายใจ
แสดงตัวอยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี่เอง
ความจริงที่ว่าคือ ทั้งกายทั้งใจนี้
เป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
ไม่ควรค่าแก่การยึดถือ ว่าเป็นเราเลย....
12/12/2561
ในการภาวนาอย่ามัวกังวลว่ากิเลสจะดับหรือไม่
แต่ให้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นธรรมหรือกิเลส
ดีหรือชั่ว หยาบหรือละเอียด ชอบหรือไม่ชอบ
ด้วยใจเป็นกลางที่เกิดจากการรู้เท่าทัน
ไม่ไหเข้าไปเป็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งต่างๆ นั้น จะแสดงธรรมชาติของมันออกมาเอง
คือ ความไม่แน่นอน....
อย่ามัวไปมองหาความสงบที่ภายนอกเลย
ลองเพียงแค่ย้อนเข้ามาดูภายในจิตนี้
ระลึกถึง รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิต
อันเป็นธรรมชาติรู้ ที่ไม่คิด
เราก็จะสัมผัสกับความสงบได้
แม้ท่ามกลางความวุ่นวาย จากโลกภายนอก
และอารมณ์ภายใน....
แม้กายจะอ่อนล้า แต่ใจสามารถตื่นรู้ตั้งมั่นได้
เห็นความอ่อนล้าทางกายเป็นสิ่งทีถูกรู้อยู่
สมองเองก็ต้องพักผ่อนเพราะใช้งานมาก
มีมึนๆเบลอๆ แต่ก็...เป็นเพียงอาการทางกายเท่านั้น
ใจก็ยังรู้อยู่ ตลอดทั้งวันมีความขึ้นลงของความรู้สึกต่างๆ
ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ใจเพียงแค่รู้ตามที่มันเป็นเท่านั้น
ไม่แทรกแซง ไม่กดข่ม สติปัญญายิ่งเจริญงอกงาม
การทำงานและการใช้ชีวิตคือการปฏิบัติธรรมได้
เหตุเพราะมีความรู้สึกตัว และมีความใส่ใจนะ...
สำนึกรู้ผิดชอบ ชั่วดีนั้น
มักจะสัมผัสได้เมื่อจิตใจสงบ
เพราะมีโอกาสได้ทบทวนตัวเอง
ว่าชีวิตที่ผ่านมาเราได้ดำเนินจิต
ไปในวิถีที่ถูกต้องไหม
คิดร้ายกับใครไหม คิดยกตนเหนือผู้อื่นไหม
คิดเข้าข้างความอยากของตนเองไหม...
เมื่อสำนึกได้แล้ว
ก็ให้เว้นจากการประพฤติผิดทางกาย
รู้เท่าทันอกุศลที่เกิดภายในใจ
ไม่กระทำตนให้ข้องอยู่ในความประมาทกับชีวิต
สติก็คอยระลึก
สัมปชัญญะก็คอยรู้สึกตัว
เจริญให้มากทำให้มาก
มีเวลาว่างเป็นช่วงๆ ซัก30นาทีก็เจริญสมาธิ
หมั่นศึกษาในคำสอนของพระศาสดา และครูบาอาจารย์
มีศีลรักษากายวาจาไว้ อดทนไม่ย่อท้อ
ความสำเร็จ ความเจริญในธรรมย่อมพอกพูนขึ้น
มรรคผล ก็ไม่ไกลไปอีกหลายชาติแล้วล่ะนะ....
บางช่วงเวลาในการภาวนา
เราจะต้องพบเจอกับสิ่งเหล่านี้
คือ มีความว่าง มีวุ่น
มีเจริญ มีเสื่อม
มีชอบ มีชัง
มีสงบ มีฟุ้งซ่าน
มีหดหู่ มีสว่างผ่องใส
มีเห็นสภาวะ มีไม่เห็น
ให้ รู้ ด้วยใจเป็นกลาง
ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
แบบไม่แทรกแซง..
ที่มันไม่เคยสงบ
เพราะใจมันถูกลากดึงอยู่
ด้วยความอยาก กับไม่อยากนี่แหละ
อยากก็เที่ยวขวนขวานหานู่นนี่เข้ามา
ไม่อยากก็พยายามผลักดันออก
ใจก็ดิ้นตลอดเวลาหาความสงบไม่ได้
ใจที่รู้เท่าอารมณ์ทั้งหลาย
จนความอยากไม่อยากดับลง
เราจะเข้าใจเลยว่าใจนี้แหละ
สงบอยู่ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว..
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า
ให้พิจารณาเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม
เห็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดที่ชัดในขณะปัจจุบัน
จิตอันเป็นไปในภายในย่อมคงที่ เป็นธรรมเอก ผุดขึ้นตั้งมั่น
เหมือนๆกับที่พระองค์ตรัสไว้ว่า เจริญจิตมีวิตก วิจาร ปิติ สุข
เอกัคตา อันเป็นการเจริญฌาน จนเมื่อวิตก วิจารดับไป
จิตอันเป็นไปภายในย่อมคงที่แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น
ก็มาลงที่เดียวกัน คือความตั้งมั่นแห่งจิตเพื่อใช้ในการเรียนรู้
ความจริง ของกายใจหรือรูปนาม จะเห็นว่าไม่ว่าจะมาทางไหนๆ
ไม่ว่าจะเจริญฌาน หรือเจริญสติ ก็ต้องมาถึงจุดตรงนี้
คือมีจิตตั้งมั่น อันเป็นสิ่งสำคัญในทางแห่งความรู้แจ้ง
วิถีทางภาวนานี้ เป็นวิถีใจของคนที่ไม่ต้องการ
ไม่หวังในสิ่งใดๆ เพียงรับรู้ยอมรับสิ่งที่เป็นในปัจจุบัน
ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่ไปหน้าไม่ไปหลัง
ความสำเร็จ ความรู้แจ้งจะปรากฏขึ้นมาเอง
แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำอะไร
แต่ทำโดยที่ไม่กระทำ...ทางใจ
เมื่อถอนความทะยานอยากได้เสียแล้ว
ย่อมหมดเรื่องจะเป็น จะมี
จะรักษาความเป็นในสิ่งใดๆ....
เราเองถูกจองจำอยู่กับกองทุกข์
ก็เพราะความอยากของเราเอง
อย่ามัวแต่ส่งใจไปข้างนอก
ไปหลงอยู่กับเรื่องราวภายนอก
และความคิดฝัน เพ้อเจ้อ
ให้กลับมาเรียนรู้ สิ่งที่อยู่ตรงนี้มาตลอด
เป็นสิ่งที่เมื่อเรียนรู้แล้ว
จะนำทางไปสู่ความไม่มีทุกข์ ...ทางใจ
สิ่งนั้นคือกายใจนั้นเอง
การภาวนาแบบไร้กระบวนท่า
คือภาวนาที่จิต มิใช่ที่กาย
จะยืนเดิน นั่ง นอนอย่างไร ก็ภาวนาได้ตลอด
จะอยู่อิริยาบถใด เคลื่อนไหวช้า เร็วหรือสงบนิ่ง
ก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงทั้งกายและใจ ให้รู้เสมอ
การรู้เห็นความเปลี่ยนแปลง โดยปราศจากความยินดียินร้าย เพราะรู้เท่าทัน มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู นี่แหละคือ การภาวนา
สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้สติสัมปชัญญะเจริญงอกงาม
นอกจากความหมั่นเพียรแล้ว ก็คือ
การมี โยนิโสมนสิการ(การทำไว้ในใจโดยแยบคาย)
เหมือนกับว่าเมื่ออาการต่างๆเกิดขึ้นหรือกระทบเข้ามา
จะรู้อย่างไร จะจัดการอย่างไร จะสร้างมุมมองอย่างไรให้ใจรู้
ทีนี้จะมีโยนิโสฯได้ ก็ต้องมีศรัทธา คือความมุ่งมั่นในการรู้ใจ
มีความใส่ใจจริงใจกับธรรม จะมีศรัทธาได้ ก็ต้องเปิดใจ
ยอมรับฟังพระสัทธรรมหรือข้อธรรมไม่กั้นใจ
ไว้ด้วยทิฏฐิความเห็นของตน น้อมนำมา
ให้เกิดประโยชน์กับใจ.....
ศัตรูของมนุษย์ไม่มีอะไร
จะร้ายกาจไปกว่าความเห็นแก่ตัว
ความเบียดเบียนกันความขัดแย้งทุกรูปแบบ
มันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น
ความรักผู้อื่นเท่านั้นแหละ
ที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวได้
______________________
พุทธทาสภิกขุ
ความหลง เรียกว่า โมหะ
เป็นกิเลสเหมือนว่าจะไม่มีพิษอะไรเลย
ดักอยู่ในเบื้องหลัง คอยสั่งการ
ไม่ค่อยโผล่หน้าออกมาข้างนอก
ความจริงแล้วมีพิษมากมายทีเดียว
ยากที่จะบอกให้ทราบได้
ถ้าหากมันได้เกลี้ยกล่อมกัดกินหัวใจใครแล้ว
ไม่ยอมละวางหรือถอยออกจากใครง่ายๆ
ความโกรธ ความโลภ ละได้ง่าย หายเร็ว
แต่มันจะกำเริบอีกเมื่อไรก็ได้ถ้าไม่คอยระวังรักษามัน
แต่เจ้าความหลง ตัวโมหะนี้ ละได้ยากมาก
ถ้าหากปิดหู ปิดตา ปิดใจของใครแล้วแก้ไม่ตก
เหมือนสอนปลาให้ว่ายน้ำบนบก สอนไก่ให้ดำน้ำ
กิเลส คือ โมหะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
มันมีอิทธิพลโดยเราไม่รู้สึกตัวเลย
คือมันสามารถเข้าไปจับยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ ใจ
เมื่อมันจับ "นายใจ" หรือ "พญาจิตราช" ได้แล้ว
สิ่งทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามคำบังคับบัญชาของมัน
เช่น ยกตัวอย่าง รูปัง อนิจจัง รูปทั้งหมดไม่เที่ยง
แต่โมหะมันบอกใหม่ว่า รูปทั้งหมดเที่ยงแท้
พระบอกว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
มันจะบอกคนโง่ว่า สังขารเป็นสุขอย่างยิ่ง
___________________________
หลวงปู่ขาว อนาลโย
ธาตุรู้เป็นผู้อยู่กลางๆ ไม่มีอาการใดๆทั้งหมด
ฉะนั้น ธาตุรู้จึงไม่มีความรู้สึก ดีชั่วอะไร
ธาตุรู้นี้ ต้องมีสัญญา สังขาร อุปาทาน
เข้าไปสัมปยุต จึงจะเกิดอาการต่างๆ ขึ้นมาได้
เช่น สังขารปรุงแต่งดีชั่ว หยาบละเอียดต่างๆ
จึงเกิดขึ้นมา เมื่อสังขารปรุงแต่งแล้ว
ปัญญาเข้าไปตรึกตรองในสิ่งนั้นๆ
จึงถอดเอาความดี ความชั่ว ออกมาตั้งไว้
ให้ปรากฎเห็นชัดว่าอันนี้ดี อันนี้ชั่ว....
___________________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใดๆ ก็ตาม
ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะหยาบ
หรือละเอียดลึกซึ้งอย่างไร
สิ่งเหล่านั้นมีลักษณะร่วมกันคือ
ความไม่เที่ยง คงอยู่ไม่ได้ ไม่อาจบังคับได้จริง
และสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง สิ่งที่ถูกรู้
เมื่อไม่มีเรา ไม่มีตัณหา
คือความอยากให้สิ่งนั้นคงอยู่
กับความอยากให้สิ่งนั้นหายไป
คอยหล่อเลี้ยงอยู่ ทั้งหยาบ ทั้งละเอียดนั้น
มันย่อมดับลงตามธรรมชาติของมันเอง
คนเราทุกวันนี้เที่ยวแสวงหาสิ่งต่างๆในภายนอก
เพื่อมาเสริมความรู้สึกที่ขาดพร่องของตน
เช่นว่าแสวงหาความสุข เพราะรู้สึกว่าไม่มีความสุข
หรือ ยังรู้สึกว่าสุขไม่พอ
อยากพ้นจากทุกข์ก็เพื่อที่จะเป็นสุข
แต่ว่าความรู้สึกเต็มเปี่ยมที่แท้นั้น
ไม่ได้มาจากการนำเข้ามา แต่เป็นการสละออก
สละความรู้สึกเป็นตัวตนเราเขาออกไปจากใจ
สละ ละความอยากที่จะมีความสุขเสีย
จนถึงที่สุดแม้กระทั่งใจก็ต้องสละคืน
เมื่อนั้นความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์และความสุขอันแท้จริง
สุขที่ไม่คอยแบกในสิ่งใดจะปรากฏให้ได้รู้เอง...
ธรรมชาติของจิตต้องคิดนึก
เมื่อไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่คล้อยตาม ไม่หักหาญ
ไม่พยายามไปดับความคิด
เป็นเพียงแค่ผู้เห็น ไม่ใช่เป็นผู้เป็น
เมื่อไม่เพลินในความคิด ไม่ให้ค่าในความคิด
ความคิดนั้นย่อมดับไปตามธรรมชาติเอง
เพราะหมดเหตุสืบต่อ คือความทะยานอยากของจิต
ที่จะรั้งให้บางสิ่งคงอยู่ หรือผลักไสให้บางสิ่งหายไป
ฉะนั้นอย่าไปห้ามความคิด รู้เท่าความยินดี ยินร้าย
ที่เกิดขึ้นเพราะความคิด เมื่อนั้นจิตจะเป็นกลาง
จิตที่เป็นกลางนี้จะรู้ตั้งมั่น
เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมเห็นตามเป็นจริง
ตามเป็นจริงคือสิ่งทั้งหลาย
ทั้งฝ่ายรูปธรรม และนามธรรม
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไป บังคับไม่ได้จริงๆ
#แต่ปฏิบัติแล้วปัญหาและทุกข์ลดลงไหม
การปฏิบัติธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านี่
ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อเอา แต่ปฏิบัติเพื่อเสียสละ
เราปฏิบัติศีลไม่ใช่ว่าจะหอบศีลเอาไว้
ปฏิบัติสมาธิหอบสมาธิเอาไว้
เจริญปัญญาหอบปัญญาเอาไว้
ถ้าหากว่าเราปฏิบัติเพื่อเอา อะไรก็เอา ๆ ๆ
เอามา สะสมไว้ในใจนี่ก็เกิดปัญหาขึ้นมา
ประเดี๋ยวศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร
ประเดี๋ยวก็มิจฉาทิฎฐิคืออะไรสัมมาทิฏฐิคืออะไร
วุ่นวี่วุ่นวายไปหมด ฉะนั้น เรามาดูกันที่กายที่ใจของเรานี่
ให้มีปัญญาแก้ปัญหาชีวิตประจำวัน
ที่กายที่ใจของเราให้ได้ไม่ดีหรือ.....
____________________________
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ให้เราพากันตั้งใจอบรม ตั้งสติไว้ที่ใจ ควบคุมใจ
ให้มีสติสัมปชัญญะ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ
การทำ การพูด การคิด ก็อย่าให้มันผิด มันพลาดไป
ควบคุมให้มันถูก ครั้นมันผิดมันพลาด เราก็มีสติยั้งไว้
ละ ปล่อยวาง ไม่เอามัน ทางผิดน่ะ
พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ทางไปนรก ทางไปสวรรค์
ทางไปพรหมโลก ทางไปพระนิพพาน
พระองค์ก็บอกไว้แล้ว ให้วางกายให้เป็นสุจริต
วาจาให้บริสุทธิ์ ใจให้บริสุทธิ์ นี้ทางไปสวรรค์ ทางมามนุษย์
ทางไปพระนิพพานให้บริสุทธิ์อย่างนี้ ทางไปนรกนั่น
เรียกว่าทุจริตนั้น ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
อันนี้ทางไปนรก เราจะเว้นเสีย ไม่ไปละ รู้จักแล้ว
เราจะไปแต่ทางที่ราบรื่น ทางสบาย
การเดินก็ทางกาย วาจา ใจ เท่านั้นและ .....
__________________________
หลวงปู่ขาว อนาลโย
เมื่อรู้เห็นตามจริง
ย่อมไม่มีอะไรไปชนะอะไร
เป็นเพียงกระบวนการ
ที่หมุนเวียน เกิด ดับ
ตามธรรมชาติเท่านั้น
"ว่าตามจริงแล้ว
สุขทุกข์ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
อารมณ์ใด ๆ ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
แล้วจิตจะเป็นอะไรไปมิได้
นอกจากรู้ รู้แล้ววาง
แม้ผู้รู้ตัวรู้ ก็จะต้องวาง
หมดยึดถือใด ๆ คือหมดเหตุปัจจัย
เหตุในก็หมด เหตุนอกก็หมด
แล้วรู้ก็มารู้ในเหตุทั้งสองเงื่อนนี้เอง"
_________________________
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
ที่ว่ารู้นี้ รู้อะไร รู้อย่างไร
คือรู้ว่า สิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น
และ สิ่งบางสิ่งดับไป
ไม่ว่าจะเป็น รูปหรือนาม
ก็เป็นแค่สิ่งบางสิ่งเท่านั้น
เมื่อไม่ไปบอกให้ค่าว่าเป็นอะไร
มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง
จึงรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นเราอย่างแท้จริง
บังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้จริง
รู้ว่ามีสิ่งที่พ้นจากรูปนาม อยู่ เที่ยง
แต่ก็ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนเลย
เป็นที่ซึ่งดับสนิทแห่งกองทุกข์....
อดทนต่อ สุข
อดทนต่อ ทุกข์
อดทนโดยที่จะไม่เข้าไปเป็นสุข ทุกข์
อดทนต่อการดึงดูด หรือผลักไส
อดทนกันนะ....
โยมรู้จักน้ำที่มันไหลไหม เคยเห็นไหม
น้ำนิ่งโยมเคยเห็นไหมถ้าใจเราสงบแล้ว
มันจะเป็นคล้ายๆกับน้ำมันไหลนิ่ง
โยม เคยเห็น น้ำไหลนิ่งไหม
แน่ะ ก็โยมเคยเห็นแต่น้ำนิ่ง กับน้ำไหล
น้ำไหลนิ่งโยมไม่เคยเห็น ตรงนั้นแหละ
ตรงที่โยมคิดยังไม่ถึงหรอกว่ามัน
เฉยมันก็เกิด ปัญญา ได้
เรียกว่าดูใจของโยมมันจะคล้ายน้ำไหล แต่ว่านิ่ง
ดูเหมือน นิ่ง ดูเหมือนไหลเลยเรียกว่า น้ำไหลนิ่ง
มันจะเป็นอย่างนั้น ปัญญาเกิดได้
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงพ่อชา สุภัทโท
นักภาวนานี่ถูกมารหลอกมามากมายแล้ว
โดยเฉพาะที่มีความตั้งใจมากแต่ขาดปัญญา
มารนี้แหละหลอกล่อนำจิตให้ยึดติดอยู่กับความดี ไม่ดี
นำพาลาภสักการะต่างๆให้ผู้มืดบอดให้ไหลหลง
สำคัญในวาสนาบารมีของตน
หรือแม้แต่นำจิตไปรู้ไปเห็นอะไรก็แล้วแต่
แม้แต่นิพพานเป็นบ้านเป็นเมือง
ก็ยังอยู่ในขอบข่ายของมาร เพราะยังไม่พ้นจากการปรุงแต่ง
มารนี้ขจัดไม่ได้ด้วยความดี เพราะที่เป็นมารได้เพราะเคยทำดี
ถึงที่สุดมารนี้แพ้อย่างเดียว แพ้การรู้ รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง
จากความปรุงแต่งทั้งมวล