จิตนี้เขาไม่ได้เกิด ไม่ได้ดับ
ภาวนาสงบดี ก็หมายถึงว่าสัญญา สังขารเขาสงบดี ภาวนาไม่สงบ ก็หมายความว่า สัญญา สังขาร เขาฟูขึ้นมา
เขาจะสงบตัวลงหรือฟูขึ้นมา จิตของเราก็รู้ ว่าสงบ รู้ว่าฟู
มันเกิดขึ้นให้เราเห็น มันฟุ้งขึ้นมา ตั้งแต่เราเกิด มันเกิดขึ้นตลอดใหม ?
มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มันจึงไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ของจริงเราปรากฎขึ้นให้เรา รู้เราเห็นตลอดเวลา
การปฎิบัติก็คือ การให้รู้ของจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ประชุมลงสู่"นิโรธ"ภายในจิตใจ ในใจ ของเรา เขาเกิดมาเพื่อประชุมลงสู่นิโรธ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นอะไร
คำว่า สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นคำพูด คำสมมุติ แทนลักษณะ แทนอาการ สมมุติกริยาที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา
ดูลงไปที่จิต เพ่งเข้าไป หาจิต เพราะกิเลสมันเกิดจากตรงนี้ทั้งนั้น
ทำไมจิตหลง ?
ก็คือ จิตไม่รู้ ไม่เห็นตัวจิต คำว่า กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็เป็นกิเลสที่เกิดจากจิตตรงนี้
หากว่าเห็นจิตชัดแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะไม่มี เป็นนิโรธไป
เพราะธรรมชาติจริงๆแล้วนั้น ไม่มีความโลภ โกรธ หลง กิเลสมันแสดงบทบาทแสดงอาการ ว่าเราโลภ เราก็ว่า เราโลภ เราโกรธ เราหลง
เราแท้เป็นจิตไม่ได้เป็นอันนั้น อันนั้นเป็นกิเลสต่างหาก ที่เกิดจากการปรุงแต่งของขันธ์5
ถ้าหลงว่า"จิตเป็นกิเลส"แล้ว จะไปละกิเลสได้อย่างไร เพราะเราไม่เห็นจิตของเราชัด
พระธรรมเจ้าจึงตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต เป็นเพียงมายาของจิต..
หลวงปู่แบน ธนากโร 🙏🏻ค่ะ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 275 **การบูชาพระธาตุ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามธรรมกับพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเรื่อง *พระธาตุ* น่ะเจ้าค่ะ
ทุกวันนี้ มีพระธาตุมากมายที่เสด็จมา.. แล้วก็มีมากมายที่ถูกสร้างขึ้นมา
มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มันเกิดขึ้นมากมายบนโลกนี้..
บางกลุ่ม บางคน.. ก็เลยไปยึดติด ยึดถือกับพระธาตุเหล่านั้น
ที่ว่าเป็นพระธาตุ ของพระพุทธเจ้าบ้าง
ของพระอรหันต์บ้าง ของพระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง น่ะเจ้าค่ะ
บางคน ก็ไปวิ่งตามหา ยึดถือ.. อะไรแบบนี้ น่ะเจ้าค่ะ
แล้วก็มีนักบวชบางกลุ่ม ก็มีการสร้างพระธาตุขึ้นมา หรือว่าเอามาจากไหนก็ไม่รู้..
แต่หนูก็เชื่อนะเจ้าคะว่า.. พระธาตุของศาสนาพุทธ ที่ก่อเกิดขึ้นจากผู้บำเพ็ญ
ก็เสด็จมาจริงๆ แล้วก็มีจริงๆ แต่ทุกวันนี้ ดูมันจะเกิดมากมายเลยทีเดียว
รวมถึง ถ้าเกิดว่าเป็นของปลอม หรือว่าของจริงก็ตาม..
หนูก็คิดว่า คนเรานั้น.. ก็ไม่ควรไปลุ่มหลง
หรือว่าเอาตัวเองไปจมปลักอยู่กับเครื่องรางของขลัง - สิ่งที่เป็นสิ่งภายนอกเหล่านั้น น่ะเจ้าค่ะ
หนูก็เลยจะเฝ้าทูลถามองค์พระพุทธเจ้าว่า..
เราควรจะมีวิธีถอดถอนความลุ่มหลงของเรา ให้ออกจากวัตถุมงคล สิ่งต่างๆ.. ที่มันจริงก็ดี /ไม่จริงก็ดี เหล่านั้น ได้ยังไงละเจ้าคะ ?
... เราจะได้ไปถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง จะได้ไม่ต้องไปติดอยู่แค่สิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ทำความเข้าใจ นำไปเผยแผ่..
เพื่อทุกคนที่ตั้งใจจะไปสู่พระนิพพาน จะได้ข้ามความลุ่มหลงในสิ่งภายนอกเหล่านั้นได้ น่ะเจ้าค่ะ
เพราะเท่าที่หนูดู หนูเห็น ในยุคปัจจุบันนี้.. มันมีสิ่งที่มันสามารถสร้างขึ้นมาได้
แล้วยุคสมัยนั้นพัฒนาไปมากแล้ว มันสามารถเอาสิ่งต่างๆ ที่เป็นพลาสติคก็ดี หรือเนื้ออะไรต่ออะไร มาสร้างขึ้นมาให้เป็นพระธาตุ แล้วก็มาขายตามท้องตลาด ก็มีมากมาย
ดูไปดูมาแล้ว ก็เลยคิดว่า..
ถ้าบุคคลผู้ที่ไม่รู้ เขาเกิดไปหลง ไปวิ่งวุ่นจมอยู่ แต่เรื่องพระธาตุเหล่านั้น..
เจอของจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่ก็หลง ก็ติดอยู่ตรงนั้น.. เขาเหล่านั้น จะเสียเวลา น่ะเจ้าค่ะ
แล้วบางที บางที่ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้ -เป็นศรัทธา จนเกิดความลุ่มหลงให้กับชาวพุทธ
แล้วจะอยู่ยังไง ทำยังไง..ให้เป็นชาวพุทธที่มีปัญญา อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด เจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ.. พระยาธรรม
ลูกเอ๋ย.. จงตั้งใจฟังธรรมให้ดีเถิดลูก แล้วค่อยนำไปเผยแผ่
พระยาธรรมเอ๋ย.. ในโลกใบนี้นั้น มันอยู่ใต้กฎแห่งกรรม
ทำกรรมดี - ก็ได้ดี
ทำกรรมชั่ว ก็ได้ชั่ว
เมื่อเราทำความดีไป ทำไปเรื่อยๆ.. จนถึงจุดที่ มีพลังจิตที่อยู่เหนือธรรมชาติ
-- ก็จะสามารถที่จะอธิษฐานให้ก่อเกิดเป็น *เม็ดพระธาตุ* ขึ้นมาได้จริงๆ ก็มี..
บางคนที่เขานั้นฝึกฝนทำสมาธิ ฝึกทำเรื่อยๆ.. จนเข้าฌาน จนมีกำลังของฌานสมาธิ
แล้วก็เอาพลังของสมาธินั้น - ไปใช้ในทิศทางที่ผิด เช่น
/ เอาไปแสดงฤทธิ์เดช.. เพื่อที่จะทำให้ผู้คนลุ่มหลง
/ เอาไปแสดงในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำผิดศีลผิดธรรม ก็มีมากมาย
เรียกว่า “ฌานโลกีย์”
...ที่สามารถทำให้ก่อเกิดสิ่งที่ดูแล้ว.. มหัศจรรย์ยิ่งนัก
พระยาธรรมเอ๋ย.. มันก็เป็นปรกติของมันอย่างนี้แหละลูก
ในโลกใบนี้.. บางคนก็ฝึกฝนทำความดี โดยถูกต้อง
เมื่อทำความดีโดยถูกต้องแล้ว.. ก็เลยมีเหตุมหัศจรรย์ มีสิ่งที่เกิดขึ้น
...ให้ดวงจิตทั้งหลาย ได้รู้ ได้เห็น โดยธรรมชาติทำให้มันขับเคลื่อน.. เป็นไป.. ก่อเกิด...
โดยที่ดวงจิตดวงนั้น ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น.. ก็เป็นได้
บางคน ทำไปแล้ว ฝึกฝนตนไปแล้ว.. แต่ฝึกฝนใน “ทิศทางแห่งความลุ่มหลง”
เมื่อตนเอาความลุ่มหลงนำ ตนก็ไปทำในสิ่งที่ผิด ที่ไม่ดี
ที่ชักชวนให้คนลุ่มหลง
.. มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น
โลกใบนี้ ก็มี 2 อย่าง ให้เลือก..
- เลือก.. ที่จะหลง
- หรือเลือก.. ที่จะเลิกลุ่มหลง
ถ้าเลือกที่จะลุ่มหลง.. ต่อให้เรานั้น จะไม่มีอะไรสักสิ่งเลย - ก็ยังหลงอยู่
ลุ่มหลงในความไม่มีนั่นละ !
ยากจน- ร่ำรวย
ไม่มีตำแหน่ง หรือมีตำแหน่ง -
-- ก็หลงได้ทั้งนั้นละลูก..
ถ้าเราเลือกที่จะถอดถอนความลุ่มหลง.. ต่อให้เราจะไม่มีอะไรเลย หรือว่ามากมาย
ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ด้วยตำแหน่ง ลาภยศ - เราก็ไม่หลง นั่นแหละลูก..
ฉะนั้น.. การที่เราเลือกที่จะหลงแล้ว..
-- ต่อให้มันมีอะไรทดสอบเรา.. เราก็จะสอบไม่ผ่าน +
ถ้าเราเลือกที่จะไม่ลุ่มหลงแล้ว ต่อให้มีอะไรมาทดสอบเรา..
/ เราก็จะสอบ ผ่าน +
/ เราก็จะ ไม่ลุ่มหลง +
พระยาธรรมเอย.. สิ่งที่ดี สิ่งที่สวยงาม ละเอียดประณีต
สิ่งที่มหัศจรรย์เกินคน ที่จะพบเห็นได้ง่าย
... สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น มันมีซ่อนอยู่มากมาย..
- มันมีทั้งของ ที่มันเกิดขึ้นจาก - สิ่งที่ดี
- มีทั้งของ ที่มันเกิดขึ้นจาก - สิ่งที่ไม่ดี
... เยอะแยะมากมายเลย..
ถ้าเกิดว่า เรายังเลือกที่จะหลงอยู่ กับสิ่งภายนอกนั้น.. เราก็ต้องหลงอยู่ดี
ไม่หลงในพระธาตุที่มีอยู่ เห็นอยู่..
... ก็ต้องไปหลงในสิ่งที่สวยงาม ละเอียดประณีตอื่นๆอยู่ดี.. นั่นละลูก
แต่ถ้าหากเราประพฤติ ปฏิบัติ -โดยปราศจากความลุ่มหลง
หรือประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อถอดถอนความลุ่มหลง...
... ต่อให้จะเป็นเม็ดพระธาตุของจริง - เราก็ไม่ลุ่มหลงหรอกลูก !
เราก็จะ..
สักแต่ว่าเห็น ว่ารู้
สักแต่ว่า.. เคารพบูชา ในคุณความดีของผู้ที่สามารถทำความดี
- จนสำเร็จมรรคผล
- จนปรากฏเป็นสิ่งมหัศจรรย์
เราก็แค่เคารพบูชา เพื่อที่จะน้อมอนุโมทนาบุญกับเขา
ยินดีกับสิ่งที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น..
-- แต่เราไม่ได้หลงว่าจะต้องมายึด ไปตามหามาเก็บไว้ ++
บุคคลผู้นั้น.. สามารถทำให้เม็ดพระธาตุกระจายเต็มพื้นได้ แปลว่า ต้องเป็นพระอรหันต์อย่างนั้น
** เราจะไม่สนใจสิ่งภายนอกเลย !
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. องค์พระพุทธเจ้านั้น.. สอนให้ลูกนั้น
- ดูตนเอง
- ประพฤติ ปฏิบัติ ที่ตัวของตน
ดูที่ตนว่า.. ดับกิเลสตัณหาได้หรือยัง ?
การจะพ้นทุกข์ได้หรือไม่ - อยู่ที่การประพฤติ ปฏิบัติ ของลูก **
สิ่งที่ดีๆ ที่จะน้อมนำจิตใจของลูก บนโลกนี้
ที่นอกเหนือจาก *เม็ดพระธาตุ*แล้ว มีมากมาย.. ลูกเอ๋ย
/ มีพระธรรมคำสอนสั่ง
/ มีแนวทางที่องค์พระพุทธเจ้าสอนสั่งไว้ -ให้เดินตาม
/ มีสิ่งที่มันสมมุติเป็นปัจจัยภายนอก - เพื่อที่จะทานออกไป
/ สละละกิเลสตัณหาของตน
/ มีจิตใจของตน.. ที่จะมอบถวายแด่คุณความดี สร้างความดี
--มันมีมากมาย ลูก.. ที่จะให้ลูกนั้นอาศัยเป็นที่พึ่ง เพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์ --
แต่ว่าลูกจะอาศัย - เพื่อพาให้ลูกพ้นทุกข์ได้หรือไม่นั้น..
ก็ต้องอยู่ที่ตัวของลูกด้วย ว่าลูกนั้น..
น้อมนำเข้ามาประพฤติ ปฏิบัติหรือเปล่า ?
เห็นองค์พระพุทธรูป ระลึกนึกหรือเปล่า..ว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ท่านประพฤติ ปฏิบัติ เช่นไร ?
- ท่านสอนสั่งอะไร ?
เราควรประพฤติ ปฏิบัติตาม.. และได้ประพฤติ ปฏิบัติตาม หรือเปล่า ?
-- ถ้าประพฤติ ปฏิบัติตาม นั่นละลูก การกราบไหว้บูชาองค์พระ
... ก็จะมีประโยชน์แก่ลูกได้.. เช่นเดียวกัน ++
แต่ถ้าเกิดว่า.. ได้เห็นองค์พระแล้ว ได้ไหว้แล้ว
... แต่ลูกไม่น้อมธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า -ไปประพฤติ ปฏิบัติตาม
+ ลูกก็จะไม่สามารถ พ้นทุกข์เลย..
+ ลูกก็จะพ้นทุกข์ แค่แป๊บเดียวที่ไหว้พระ นั่นละลูก !
*นึกทำดีได้แค่ไหน - ก็ทำดีได้แค่นั้นลูก *
แล้วความดีเล็กน้อยที่ทำนั้น.. อาจก่อให้เกิดความลุ่มหลง ว่า..
.. ฉันได้ไปไหว้พระแล้ว - ชีวิตฉันจะต้องดีขึ้น..
อย่างนี้ ก็เป็นได้..
ลูกเอ๋ย.. เช่นเดียวกันกับการที่ ถ้าหากว่า.. ลูกพบเห็นอะไรก็ตาม.. ที่ลูกคิดว่า เคารพบูชายิ่งนัก
ลูกก็ต้องดูว่า.. สิ่งที่ดี- ที่ซ่อนอยู่ในนั้น.. เหตุใดจึงก่อเกิดสิ่งที่ดีนี้
ดูแล้วน้อมยินดี ในความดี / ในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น..
-- แล้วก็นำเอาสิ่งที่ดีเหล่านั้น ไปประพฤติ ปฏิบัติตาม - จึงก่อเกิดผลแก่ลูก ++
หรือว่า.. จะเห็นเม็ดพระธาตุ ก็เช่นเดียวกัน
-- ควรที่จะระลึกนึกถึงความดี ว่า..
องค์พระพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า - ที่แสดงถึงการประพฤติ ปฏิบัติ.. จนเข้าถึงนิพพานแล้ว
โดยธรรมชาติ กลับคืนสู่ดวงจิตทั้งหลาย..
.. ให้ได้รู้ ได้เห็น ในการประพฤติ ตั้งใจปฏิบัติ บำเพ็ญ
-- ลูกก็จงตั้งใจประพฤติตั้งใจ ปฏิบัติ บำเพ็ญตาม --
อย่างนั้นละลูก..พระธาตุ ก็จะช่วยลูกได้ !
แต่ถ้าเกิดมีแล้ว.. ลุ่มหลงยึดติด เอามาคิดว่า.. เป็นที่พึ่งของตน
ถ้าเกิดคิดอย่างนั้น.. บางที อาจจะช่วยลูกได้
- ช่วยได้ แค่ความคิด
- ช่วยได้แค่แป๊บหนึ่ง ที่ลูกระลึกนึกคิด - แล้วก็มีความสุข เป็นที่พึ่งทางใจ
แต่ลูกทั้งหลาย.. จะไม่สามารถหนีพ้น *กฎแห่งกรรม* ที่ลูกสร้างลูกทำ ได้เลย !
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. สิ่งทั้งหลายบนโลก ไม่ว่าจะเป็น..
ของจริง - ของปลอม
สิ่งที่ดี - หรือไม่ดี
หากมันเป็นของภายนอกแล้ว หมายถึง.. นอกตัวเราแล้ว
จึงไม่ควรที่จะลุ่มหลง จมอยู่กับสิ่งเหล่านั้น..
ควรมองสิ่งไม่ดี ให้เห็นความทุกข์ยากลำบากในนั้น
... แล้วก็เลิกทำไม่ดีเสีย..
ควรมองสิ่งที่ดี แล้วก็น้อมเอามาประพฤติ ปฏิบัติตาม - ฝึกฝนตนให้มันดีตาม
** สิ่งนี้แหละลูก.. ที่จะช่วยให้ลูกได้พ้นทุกข์ได้ อย่างแท้จริง ++
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น สิ่งที่มันยังคงคุมลูกอยู่ ก็คือ การกระทำของตัวลูกเอง
ถึงแม้ว่าจะมีเม็ดพระธาตุอยู่ในตัว เป็นร้อยเม็ด ก็..
- ไม่ช่วยให้ลูกบรรลุธรรม
- ไม่ช่วยให้ลูกถึงนิพพานได้ลูก
... เพราะว่าลูกไม่ได้ชำระกิเลสตัณหา ในตัวของลูกเอง…
ลูกเอ๋ย.. หากแค่อะไรสักสิ่งหนึ่ง - จะช่วยให้ลูกบรรลุนิพพานได้
องค์พระพุทธเจ้า.. ก็คงจะทำให้ดวงจิตทั้งหลายในโลก ในวัฏสงสารนี้ -บรรลุธรรม
เข้าสู่พระนิพพาน จนหมดละสินะ
คงจะไม่ทิ้งให้ดวงจิตทั้งหลาย ต้องทุกข์.. ต้องจมอยู่ในนี้หรอกลูก
องค์พระพุทธเจ้า - ก็ยังเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเท่านั้น !
ฉะนั้น.. ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม.. ที่สมมุติว่าดี
เช่น เม็ดพระธาตุ หรือสิ่งดีอื่นๆ..
- ก็จงอย่ายึดติด ลุ่มหลง -
แค่เห็น น้อมในความดี. แล้วก็นำมาประพฤติ ปฏิบัติตาม
นั่นแหละลูก.. จะช่วยลูกได้ อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อบุคคลมีปัญญา รู้เช่นนี้ ประพฤติ ปฏิบัติเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็น เม็ดพระธาตุของจริง - ก็ไม่ลุ่มหลง ลูก
แม้ว่าจะเป็น เม็ดพระธาตุของปลอม - ก็ไม่ลุ่มหลง ลูก
เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. มันเป็นเพียง ”ของภายนอก”
-- มันไม่ใช่ สิ่งที่เป็น ”ของภายใน” ++
เราต้องประพฤติ ปฏิบัตินำพาจิตของเรา
/ ให้..คิดดี พูดดี ทำดี
/ ให้..ประพฤติดี เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน
.. ดับเชื้อกิเลสตัณหาในตัวของเรา ได้ต่างหากลูก
เมื่อเรายืนหยัด เช่นนี้..
.. ต่อให้จะมีสิ่งสวยงาม ละเอียดประณีต
.. ต่อให้จะมีเหตุมหัศจรรย์ หรืออะไรก็ตาม.. ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของเราเลย
-- เราก็ไม่ลุ่มหลง กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้นหรอกลูก
** เพราะเราจะกลับมาดูตัวที่ตัวของเรา ตอนนี้…
.. ฉันสิ้นเชื้อกิเลสตัณหา หรือยัง ?
มีความหลงในตัวในตนของตน อยู่มั้ย ?
มีความหลงในตัวผู้อื่น อยู่หรือเปล่า ?
มีความหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งละเอียดประณีตต่างๆ หรือเปล่า ?
มีความรัก ความโลภ และความโกรธ /
มีความอยาก หรือความไม่อยาก อยู่ในตัวของฉันหรือเปล่า ?
.. ฉันมีความทุกข์มาก หรือทุกข์น้อย ?
.. ฉันละตัวละตน ได้แล้วหรือยัง ?
อย่างนี้ต่างหาก พระยาธรรม.. กลับมาดูที่ตัวของตน
-- แล้วนำพาตน ให้ดับกิเลสตัณหาให้ได้ !
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. จะสามารถอยู่เหนือความลุ่มหลงในสิ่งต่างๆได้ลูก
บุคคลผู้มีปัญญาธรรม.. เขาย่อมหาความดี ที่ดีอย่างแท้จริงในตน
บุคคลผู้มีปัญญาธรรม.. เขาย่อมทำตน ให้ถึงซึ่งความไม่มีตัวตน ดับกิเลสตัณหาได้.. ลูกเอ๋ย
พระยาธรรมเอย.. สิ่งสวยงาม ละเอียดประณีต / สิ่งที่มันเป็นเหตุ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลาย ในโลก
ในวัฏสงสารนั้น
-- ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริง หรือไม่จริง.. เราจงอย่าเอามาเกี่ยวกับตัวของเรา ลูก !
จริง.. เราก็น้อมยินดีด้วย
ไม่จริง.. เราก็จะได้ไม่โดนหลอก !
เพราะเราน้อมยินดี คิดดี ทำดี ในสิ่งที่ดี
แต่เราไม่ได้เอาสิ่งเหล่านั้น มามีอำนาจต่อจิตของเรา
เพราะเรายังคงกลับมาดูเราอยู่เสมอ..ว่าเราสุข เราทุกข์
สิ่งภายนอก - ก็เป็นแค่สิ่งภายนอก
เราต้องเอา“เรา” เป็นที่ตั้ง
เพราะโลกใบนี้ คุมด้วย *กฎแห่งกรรม*.. ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ไม่มีใครที่จะช่วยให้เราได้ดี - ถ้าเราไม่น้อมทำดี
ไม่มีใครทำให้เราได้ชั่ว - ถ้าเราไม่น้อมทำชั่ว
สิ่งทั้งหลาย.. ที่ผ่านเข้ามานี้ - เพื่อน้อมนำจิตใจให้เราคิดดี ทำดี
ไม่ใช่ไปหลง -ในสิ่งที่เห็นว่าดีนั้นแล้ว.. แล้วตนก็ไม่ทำ !
สิ่งทั้งหลาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี - ความชั่วทั้งหลาย..
มันก็แค่ผ่านเข้ามาทดสอบเราดู.. ว่าเราจะเผลอไปทำชั่วกับมัน หรือเปล่า
ถ้าเราไม่ทำ - มันก็เอาความชั่วอะไรมาใส่เรา ไม่ได้.. เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น สิ่งที่ดี เช่น เม็ดพระธาตุ
ของจริง ก็มีอยู่.. แต่ของปลอมก็มีมาก
อย่าไปหลงกับมันเลยลูก !
ของจริง หรือว่าของปลอม - ก็ไม่ช่วยให้ลูกบรรลุนิพพานหรอกลูก ++
ความจริง ก็คือ ลูกต้องน้อมเอาความดี - เข้าสู่ตัว
ประพฤติ ปฏิบัติ ดับกิเลสตัณหาในตัวของลูกนั่นละ.. ดีที่สุดแล้ว
แล้วลูกก็จะพ้นทุกข์ได้ อย่างแท้จริงด้วย ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้ว เขาพิจารณาเช่นนี้ละลูก..
พระธาตุต่างๆที่มันเกิดขึ้น จากของจริงก็ดี / ของปลอมก็ดี
จึงไม่ทำให้เขาลุ่มหลง.. ลูกเอ๋ย
เมื่อบุคคลที่ลุ่มหลง ไม่ว่าจะหลงดี หรือหลงชั่ว
.. ก็ล้วนแล้วแต่ “หลง” ทั้งนั้นละลูก..
ฉะนั้น.. จงอย่าหลงดี / หลงชั่ว
ดูตัวว่า ชำระกิเลสตัณหา หมดหรือยัง ?
นั่นละลูก..
** จะพบกับพระนิพพาน **
-- จะไม่โดนพญามารหลอกให้ไปหลงในสิ่งที่ดี ไปจมอยู่ตรงนั้น --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
... ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
จะจริงหรือไม่จริง เราก็แค่ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน
เราก็แค่น้อมศรัทธา ในความดีขององค์พระพุทธเจ้า ว่า..
สิ่งมหัศจรรย์ ย่อมเกิดขึ้นจริง..
** แต่สิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้น - ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราพ้นทุกข์
สิ่งที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ ก็คือ.. การปฏิบัติของเราเอง **
... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกขอกราบลาก่อน..นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่.. เจ้าค่ะ
สาธุ
เราไม่เคยเห็นพยามาร
130..ข้าคือ ขุนนาง.เจตสิก?..
...เจตสิก คือ ธรรมที่ประกอบกับจิต จิตนี้ เป็น "จิตประภัสสร" ใสซื่อบริสุทธิ์ ส่วนเจตสิก.เหมือนพื่อนสนิทติดตัว ที่หลายแบบ หลายคน หลายกลุ่ม.มีทั้งเพื่อนดี และ เพื่อนไม่ดี
..จิต-เจตสิก.เหมือนเหรียญสองด้านหัว-ก้อย เหมือนน้ำใส(จิต)ใส่สีต่าง(เจตสิก) ไม่อาจแยกกัน เจตสิก จึงเกิด –ดับ พร้อมกับ จิต , มีอารมณ์เดียวกับจิต, อาศัยวัตถุเดียวกับจิต
**.. จิต คือ พระราชา มีองค์เดียวเท่านั้น.เป็นใหญ่สุด ส่วน เจตสิก คือ ขุนนางรอบๆกาย จะมี๕๒ คน( เจตสิก ๕๒) .
" เวลาประชุม..เหล่าขุนนาง..จะเสนอข้อมูลให้พระราชา ..แล้วพระราชาก็ทำตามนั้น.. ถ้ารับข้อมูลดี พระราชาก็ทำดี(กุศล).. ถ้ารับข้อมูลไม่ดี ..พระราชาก็ทำไม่ดี(อกุศล)
///..ขุนนางทั้ง๕๒ คน มีบทบาท ต่างกัน ๔ กลุ่ม คือ
+..กลุ่มที่หนึ่ง ... เป็นขุนนางหลักขาดไม่ได้เลยมี ๗ คน ได้แก่ (เอกกัคคตา, ชีวิตินทรีย์, มนสิการ, เวทนา, สัญญา, เจตนา, ผัสสะ)
+..กลุ่มที่สอง...เป็นขุนนางซึ่งมีความเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทางกุศล และ อกุศล มีอยู่ ๖ คน(วิตก, วิจารณ์, อธิโมกข์, ฉันทะ, วิริยะ, ปีติ)
+..กลุ่มที่สาม..เป็นขุนนางฝ่ายจิตใจไม่ดี(อกุศล) มี ๑๔ คน (โลภะ ๓,โทสะ ,๔โมหะ ๔,ติกะ ๓)
+..กลุ่มที่สี่..เป็นขุนนางฝ่ายจิตใจงาม (กุศล) มีอยู่ ๒๕ คน ( สาธารณะ ๑๙,วิรัตติ๓,อัปปมัญญา ๒,ปัญญา ๑)
***ขุนนางเหล่านี้ คือ เจตสิก..คือ จิตสังขาร..ทำหน้าที่ร่วมกับจิต เจตสิกขุนางเหล่านี้ ผลัดกันทำหน้าที่ เดี๋ยวคนนี้เสนอแบบนี้ ..คนนั้นเสนอแบบนั้น... เกิด-ดับๆ..เรียก.”วิถีจิต” โดยมีพระราชาองค์เดียวเหมือนเดิม..ที่ซื่อ บริสุทธิ์ไม่เปลี่ยน.
.
**....ถ้าพระราชาองค์นั้นไม่ฝึกสติปัญญา(อริยมรรค) ก็จะโดนขุนนาง(เจตสิก) เกลี้ยกล่อมให้ทำตาม ไม่รู้ผิดถูก..รับหมด..ขุนนางจะพาท่องเที่ยว เวียนเกิด-ตาย.ไปในไตรภพ มิรู้จบ ..
**.ถ้าพระราชา ได้ฝึกวิชา..อริยมรรคมีองค์๘.. พระราชาองค์นี้..ที่มีจิตเดิมประภัสสรนี้.ซื่อ.บริสุทธิ์ อยู่แล้ว ยังจะฉลาดมีปัญญา จนอวิชชาไม่สามารถหลอกได้อีก..ขุนนางหลอกไม่ได้อีก พระราชาองค์นั้น...จะมีชื่อใหม่ว่า ”พระราชา..จิตนิพพาน..”
""""""""""""""""""
127...บรรลุธรรม .“ปลอม”..
พระบรมศาสดา ได้ทรงวางแนวทางเพื่อการหลุดพ้นไว้ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ หมายถึง การศึกษาพระธรรมได้ยิน ฟัง อ่าน. นำไปปฏิบัติ จนเข้าถึงการบรรลุธรรม
///.. เราจำเป็นต้องมีแผนที่แห่งธรรม ก้าวเดินไป พร้อม ตรวจสอบว่า..”เราเดินตรงทางหรือไม่.”
.โดยมีอริยมรรค องค์ ๘ หรือย่อลงมาเป็น ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา (ทาน ศีล ภาวนา) เป็นมรรค เป็นวิถีทางเดินสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ มากำกับ
/..มีสังโยชน์เครื่องร้อยรัด มาเป็นตัววัดผล ผลนั้นคือ.มรรค ผล นิพพาน
** การบรรลุธรรม แบ่งไว้เป็น ๔ ขั้น ขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และ อรหันต์ ตามการชำระกำจัดสังโยชน์ เครื่องพันธนาการจิต
++-*..บางท่าน.เมื่อภาวนา จนจิตรวมลงเข้าสู่ความสงบเป็นหนึ่ง จิตก็จะมีความสุข มีความปีติ มีความสบาย นั่นเป็นเพียงกิเลสตัณหา หรือสังโยชน์ทั้งหลายนั้นสงบตัวลงไปเท่านั้นเอง แต่ยังไม่ได้ทำลาย ยังไม่ได้ขุดรากถอนโคนอนุสัยกิเลส....ออกมา
**..จำต้องบำเพ็ญ วิปัสสนาภาวนา จนจิต มีปัญญา..มีความเห็นที่ถูกต้อง ว่า สิ่งทั้งหลาย ทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วน เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อปัญญาแก่กล้า.. ก็จะปล่อยวาง จิตก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์
***..และเมื่อหลุดพ้นแล้ว..จะมีญาน.ที่รับรู้สภาวธรรมนี้..มายืนยันตนเองว่า. “ญาณได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา…” เป็นความรู้ที่ความเด็ดขาดในตัวเอง เป็นความรู้ที่สมบูรณ์ในตัวเอง สามารถยืนยันได้อย่างไม่สงสัย….ไม่ลังเลในความรู้นั้น…และไม่ถามคนอื่น…เพื่อ.ให้ยืนยันสภาวะนั้นให้ตน
** //. บางท่าน..จิตสงบเพราะ สมาธิลึก ละเอียด เข้าถึงความว่าง โดยที่สติตามไม่ทัน.. เลยจับความว่าง.. ไม่สนใจอะไร ”..อะไรเข้ามา.. มึน งง ไม่สนใจ.และบอกตนเองว่า..”ฉันไม่ทุกข์ “ ..ฉันไม่สะเทือน .ฉันไม่เอาอะไร ฉันหลุดพ้นแล้ว..
..และหลงหนักไปอีก เมื่อจิตถอนออกจากความว่างเทียมๆ.. เกิดกามราคะรุนแรง โกรธรุนแรง จึงไปนอนกับแฟน ไปทะเลาะกับผู้ร่วมงานมา..ก็จะบอกว่า” ราคะมี โกรธมี แต่ฉันไม่เอา กิเลสมี แต่ไม่เอา ทั้งที่.** ตนเองมีกิเลสเต็มหัวใจ.. ตกใต้อำนาจกิเลส และทำตามกิเลส ตามอารมภ์สุดขีด
//**..บางท่าน ถึงกับบอกเพื่อนๆว่า..” ฉันหลุดพ้นแล้ว” ฉันไม่ติดอะไร..ฉันไม่มีกาม ฉันไม่ได้นอนกับแฟน แต่พอ.เห็น ดู ภาพวับๆแวมๆ..เลือดสูบฉีดหน้าแดง ใจเต้น.
....หรือ พอไม่ได้คุยโทรศัพท์..ไม่ได้เล่นเฟส.3 วัน..ใจกระวนกระวาย หงุดหงิด หรือ..คนกดไลท์ให้น้อย..รู้สึกน้อยใจ..กดไลท์มาก..ใจพองโต..นั่น.แค่กิเลสอย่างหยาบ..ยังละไม่ได้ แล้วความหลุดพ้น..ธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง..จะเข้าถึงได้อย่างใร.. ยาวไกลนัก...
"""""""""""""""""""""""""
126.. นรก..สวรรค์.. ไม่มี.?
คำพูดนี้.หาได้คัดค้านคำสอนของพระพุทธองค์ไม่. ..แต่เป็นคำกล่าวของพระอรหันต์ ที่รู้จักพระนิพพานแล้ว.จึงกล่าวได้ว่า..นรก สวรรค์ พรหม..และทุกชั้นภูมิ..มันไม่มี..ไม่มีสำหรับท่าน..ไม่มีสำหรับจิตพระอรหันต์..
**....นรก สรรค์.มีเฉพาะผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏเท่านั้น..นรก-สวรรค์ มีจริง สำหรับในโลกสมมุติเท่านั้น..ในโลกที่มีกรรม .แต่ นรก – สวรรค์..ไม่มีจริง..ในธรรมโดยปรมัต..
.
&.. ขณะหลวงปู่บุดดา นั่งสนทนากับหลวงปู่สงฆ์.ทันใดนั้น..หลวงปู่บุดดาเข้าถึง..สภาวะหลุดพ้นฉับพลัน....หลวงปู่.นัยน์ตาเบิกโพลง. ตาค้าง ตกตลึง..ที่จิตหลุดพ้นฉับพลัน..ท่านรู้สึก..สว่าง..แจ้ง..ขึ้นมาเอง..รู้สึกไม่มีตัวมีตน...เห็นทุกสิ่งเป็น....ปรมัตถธรรม. สิ่งสมมุติเป็นธรรมหมด..
หลวงปู่บุดดา จึงกล่าวกับ หลวงปู่สงฆ์. ว่า..
.//...**พระพุทธเจ้า..พระอรหันต์.มันไม่มีตัวตนหรอก..ไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ.**..
**....จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นเพียงสมมุติบัญญัติ..เท่านั้น...ไม่มีเจ้าของ*
. #.....๓ วันต่อมา..หลวงปู่สงฆ์บรรลุธรรมบ้าง...จึงบอกหลวงปู่บุดดาว่า..
.**….ไม่มีใครไปนรก..ไม่มีใครไปสวรรค์น้อ.." **
หลวงปู่บุดดาตอบทันทีว่า.
.*. มันจะมี..นรก...สวรรค์.ได้อย่างไร..นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า..**
..** กิเลสหมด. นรกก็หมด สวรรค์ก็หมด..มันไม่มีแต่ไหนแต่ไรแล้ว....ไม่มีใครไปนรกสวรรค์. .* นรก สวรรรค์..สัตว์สร้างเอาเองทั้งนั้น..
#...หลวงปู่บุดดา พูดถึงนิพพานว่า..นิพพานไม่สูญ..มีแต่กิเลสสูญ อวิชา ตัญหา อุปทาน กรรม วิบากมันสูญ....แต่วิราคะธรรม มันไม่ได้หมดไปด้วย..เมื่อหลุดพ้นแล้ว..เข้าสมาธิยังมีนิมิต.. มโนภาพ.ได้..มันมีธรรม. มนุษย์ธรรม... เทวธรรม พรหมธรรม
.
///.. หลวงปู่บุดดากล่าวต่อ
.”ตอนจิตหลุดพ้น...จิตมันสงบ. กิเลสมันหลุดไปเอง. ชีวิตยังอยู่...แต่มันหยุดงาน..สงบนิ่งอย่างเดียว..ทั้งจิตและสังขาร..ไม่มีความชั่วร้าย.......ส่วนที่แผ่นดินไหว..เพราะความอัศจรรย์แห่งธรรม
..ทำให้เทพยดา อารักษ์ พรหมมหาพรหม..ต่างแซ่ซ้องด้วยอิทธิฤทธิ ทำให้เกิดแสงสว่าง.และแผ่นดินไหว. ดังสนั่นหวั่นไหว..เพราะพวกเขามากันเยอะ....
""""""""""""""""""""""""
พอใจเราเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว แยกร่างกายกับใจออกจากกัน แยกกายละเอียดออกไปอีก ไปเป็นธาตุ ดินน้ำไฟลม แยกจิตใจละเอียดออกไปก็เห็นเป็นขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป
ทำไมต้องแยก ไม่แยกได้มั้ย ไม่แยกไม่ได้ การที่เราหัดแยกธาตุแยกขันธ์เนี่ย เป็นวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ เป็นวิธีเรียนรู้ความจริง เพื่อจะมาดูว่าจริงๆแล้วตัวเราไม่มี เป็นวิธีการที่ท่่านพบน่ะ ถ้าเดินตามวิธีที่ท่านบอกแล้วจะรู้ว่าตัวเราไม่มี
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ค่าจ้าง หรือ สิ่งหลอกลวง ของกิเลส
“ วิบากของกรรม(ผลของกรรม)นี้เอง เป็นสิ่งที่มีอำนาจร้ายแรง หรือมีเสน่ห์อย่างร้ายแรง ที่ทำให้คนเราต้องตกอยู่ใน “กระแสแห่งวัฏฏะ” หรือ “กระแสแห่งกรรม”
มันต้องมีอะไรมาพรางตา คือมาหลอกให้หลง มันจึงจะทนรับผลของกรรม
เหมือนที่คนเราประกอบกรรมใดๆลงไปนี้ ได้รับความพอใจ สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ต่างๆนาๆ แล้วก็เข้าใจว่า..นั่นเป็นของวิเศษ เป็นจุดสูงสุดที่เราพึงปรารถนา
แต่โดยที่แท้แล้ว นั่นคือ “ค่าจ้าง หรือ สิ่งหลอกลวงของกิเลส”
จงดูเถิด !
ตัวสังขารสัตว์และคนอันเป็นที่รักที่พอใจ หรือเพศตรงกันข้ามระหว่างหญิงและชาย เราต้องการรสชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่พอใจ เราจึงลงทุนทำให้ได้สิ่งนั้นมา
แต่ด้วยความสำคัญผิด ว่านั่น..เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ไม่รู้สึกว่านั่น..เป็นค่าจ้างของกิเลส ที่มันจ้างให้เราทนทุกข์ทรมาน
เพราะฉะนั้น เราจึงติดคุกติดตะรางของกิเลส ซึ่งได้แก่การที่มีลูกมีผล แล้วก็ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงผล เพื่อสืบสันดานของกิเลสต่อไป
ท่านทั้งหลายที่มีลูกก็จะต้องทนเลี้ยงลูก ที่มีภรรยาอยู่ยังไม่มีลูกก็ต้องเลี้ยงภรรยา ใช้ชีวิตเวลาทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจะเลี้ยงภรรยาและลูก ด้วยความเข้าใจว่าเป็นสิ่งประเสริฐสุดที่จำต้องทำ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นค่าจ้างของกิเลส”
พุทธทาสภิกขุ
เคยเห็นแต่ความคิดนั่นแหละ คือ มาร
ลป.คำบ่อ ฐิตปัญโญ 🙏🏻ค่ะ
#สติ คือ ผู้ตื่นรู้ อย่าเข้าไปในความคิด อย่าหยุดความคิด อย่าคิดถึงความคิด แต่ให้รู้ให้เห็นเท่านั้นเอง 🙏🏻ค่ะ
เราทุกคนมีกำแพงที่ปิดกั้นจิตใจ
ไม่ให้รู้เห็นความเป็นจริง ที่มันเป็นอยู่ มีอยู่
กำแพงนั้นคือกำแพงแห่งการหลง
ไปกับความคิดปรุงแต่ง
การที่จะทลายกำแพงนั้น
ไม่ใช่ด้วยการกดข่มบังคับจิตไม่ให้คิด
แต่เป็นรู้ทันที่จะไม่ไหลไปตามความคิด
ความคิดนั้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ที่ต้องเกิดดับเปลี่ยนแปลง
เมื่อไม่มีการเหนี่ยวรั้งไว้โดย' เรา '
เมื่อนั้นมันก็สลายไปเอง
เมื่อความคิดปรุงแต่งต่างๆ สลายไป
จิตก็ไม่ถูกปิดกั้น จึงทำหน้าที่ คือ"รู้"
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันได้ตรงตามที่เป็น
การที่เรายังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ มิใช่อะไรอื่นนอกเสียจากความหลงผิด. คิดว่าตัวตนเป็นศูนย์กลางของสิ่งต่างๆ หากความคิดนี้ไม่ถูกกำจัดให้หมดไป การบรรลุธรรมก็ไม่อาจเป็นไปได้ ความทุกข์ต่างๆของสังสารวัฏฏ ล้วนเกิดจากอกุศลกรรม
และวิบากกรรมนั้น ก็เกิดจากกิเลสเช่น โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งล้วนมิได้เกิดจากอะไรอื่น นอกเสียจากความหลงผิดเรื่องตัวตน
ดังนั้น ความหลงผิดเรื่องตัวตนนี้เองที่เป็นโซ่เหล็กที่รัดรึงตัวเรา เข้าไว้กับความทุกข์ในสังสารวัฏ
..................
" แค่เรารู้ตัวบ่อยๆ ความไม่รู้ตัวจะหายไปเอง "
รู้ตัวหรือรู้สึกตัว มีสติแล้ว สติ ทําให้เกิด สมาธิ แม้เป็นสมาธิชั่วขณะ แต่ชั่วขณะ ถ้ามาต่อกันเรื่อยๆ มันก็ได้สมาธิที่ยาวนานขึ้น และแม้เพียงชั่วขณะ แต่เห็นบ่อยรู้บ่อย ก็สามารถเจริญวิปัสสนาได้แล้ว เกิดวิชชาไปล้างอวิชชา สามารถเข้าไปเห็นความจริงแห่งธรรม " เกิดแค่แว็บเดียว ขณะจิตเดียว "
...................
ความรู้สึกตัวนั้นให้เกิดบ่อยๆ
ไม่ต้องหวังให้เกิดนานๆ หรือนานๆเกิดที
เมื่อใดที่รู้สึกตัว ตื่นหรือหลุดออกจากโลกของอารมณ์
และความคิด
รู้สึกตัวว่าหลงไป เมื่อนั้นขณะนั้นแหละ จะมีจิตที่ตั้งมั่น
ฝึกรู้สึกบ่อยๆ จิตที่ตั้งมั่นเกิดได้บ่อยๆ จิตนั้นแหละจะมีกำลังพอ ที่จะรู้เท่า ความชอบใจ ไม่ชอบใจ โดยไม่ไหลไป"เป็น"ได้
เราจึงสามารถที่จะเห็นสภาวธรรม ตามเป็นจริงได้ ต้องฝึกฝนเอา ฝึกในชีวิตประจำวันเรานี้แหละนะ
Trader Hunter พบธรรม
ปัญหาต่างๆที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิตนั้น
เพื่อให้เราแก้ไข ไม่ใช่มีไว้ให้เราทุกข์
เมื่อยังจมอยู่กับความทุกข์
ก็จะมองไม่เห็นทางที่จะแก้ไขได้เลย
รู้สึกตัวนะ เมื่อจิตใจถอนตัว
ออกมาจากอาการที่จมอยู่
แม้เพียงเล็กน้อย ก็ถือได้ว่าเป็นก้าวแรก
ที่จะแก้ไขปัญหาได้จริง
เมื่อรู้สึกตัวได้เต็มที่แล้ว แม้ปัญหานั้น
จะแก้ไม่ได้ แต่ใจก็จะไม่ทุกข์นะ มีสติไว้ อย่าจมนะ
สังโยชน์เป็นไฉน?
สังโยชน์ ได้แก่กิเลสที่ประกอบ คือผูกสัตว์ให้ติดอยู่กับวัฏฏทุกข์ โดยถูกตาให้ติดกับรูป หูให้ติดกับเสียง เป็นต้น
คำว่า "ให้ติด" มีความหมายว่า ให้ข้อง ให้พะวง ให้ถือเอาเป็นสาระ เป็นเหมือนว่าจะจากกันไปไม่ได้ ระหว่างของ 2 อย่าง มีตากับรูป เป็นต้นนั่นเอง
เหมือนอย่างคำอุปมาที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะท่านพระมหาโกฏฐิกะในสังยุตตนิกาย สฬายนวรรค ว่า ระหว่างโค 2 ตัว คือ โคดำ และโคขาว โคแต่ละตัวถูกผูกด้วยปลายเชือกแต่ละข้างของเชือกเส้นเดียวกัน การที่จะกล่าวว่า โคดำเป็นผู้ผูกโคขาวไว้ หรือโคขาวเป็นผู้ผูกโคดำไว้ ย่อมไม่ควร แต่ควรกล่าวว่า เชือกนั่นแหละผูกโคทั้งสองเข้าด้วยกัน อุปมานี้เป็นฉันใด เมื่อตากระทบรูป คือมีการเห็นรูปทางตา เป็นต้น การที่จะกล่าวว่า ตาเป็นเครื่องผูกรูป หรือรูปเป็นเครื่องผูกตา เป็นต้น ย่อมไม่ควรฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว แม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เมื่อยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังมีตามีหู ตาหูยังไม่บอดไม่หนวก ยังมีการเห็นรูปทางตาได้ยินเสียงทางหูเป็นต้นอยู่ ก็จะเป็นผู้ที่ยังละสังโยชน์ทั้งหลายไม่ได้ แต่เมื่อความจริงท่านเป็นผู้ละได้แล้ว ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น มีตาคู่กับรูป หูคู่กับเสียง เป็นต้น จึงไม่ใช่สังโยชน์ คือ เครื่องผูกซึ่งกันและกัน ก็แต่ว่ากิเลส มีฉันทราคะ เป็นต้น ที่เกิดขึ้นในเวลาตากระทบรูปเป็นต้นต่างหากเล่าที่ควรกล่าวว่าเป็นเครื่องผูกตาและรูป เป็นต้น เข้าด้วยกันนั่นแล
กิเลสที่เกิดขึ้นในเวลามีการเห็นรูปทางตา เป็นต้น เปรียบได้กับเชือก อายตนะทั้งหลายมีตากับรูปเป็นต้น เปรียบได้กับโคดำและโคขาว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หลุดพ้นไปจากวัฏฏทุกข์ไม่ได้
กิเลสประเภทที่ทำหน้าที่เป็นสังโยชน์นี้ท่านกล่าวไว้ มี 10 อย่างคือ
1.สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดว่า กาย(ทั้งนามกายและรูปกาย คือ ขันธ์ 5) ซึ่งมีอยู่ว่าเป็นเรา ว่าของเรา
2.วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย กล่าวคือ สงสัยใน พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นต้น หรือสงสัยในขันธ์ส่วนอดีต เป็นต้น
3.สีลัพพัตตปรามาส คือ ความเห็นผิดที่ลูบคลำ หรือยึดมั่นในศีลและข้อวัตรปฏิบัติต่างๆที่นอกไปจากมรรคปฏิปทา ว่าเป็นทางให้ถึงพระนิพพานได้
4.กามราคะ คือ ความกำหนัดยินดีในกามคุณต่างๆ
5.ปฏิฆะ คือ ความขัดเคืองใจ
6.รูปราคะ คือ ความกำหนัดยินดีในรูปฌาน หรือในรูปภพที่จะพึงเข้าถึงได้ ด้วยรูปฌานนั้นๆ
7.อรูปราคะ คือ ความกำหนัดยินดีในอรูปฌาน หรือในอรูปภพที่จะพึงเข้าถึงได้ ด้วยอรูปฌานนั้นๆ
8.มานะ คือ ความถือตัว กล่าวคือ ความถือตัวว่า เราดีกว่าเขา เป็นต้น
9.อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน กล่าวคือ ความที่จิตซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ไม่สงบตั้งมั่นลงได้
10.อวิชชา คือ ความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้อริยสัจจ์ 4 มีทุกข์ เป็นต้น
(วิสุทธิมรรค ปฏิสัมภิทามรรค มหาฎีกา นิสสยอักษรปัลลวะ อักษรสิงหล อักษรขอม อักษรมอญ อักษรพม่า อักษรธรรมล้านช้าง อักษรธรรมล้านนา และอักษรโรมัน)
คำสอนในตอนหนึ่ง
แม้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
คำสอนต่างๆหรือสิ่งที่เรารู้ทั้งหมดนั้น....
เปรียบเสมือนกับเรือข้ามฟาก เรารู้จักเรือ❇️❇️🌀
รู้ทุกอย่าง รู้วิธีใช้ รู้วิธีประกอบ
แต่เราไม่ได้ใช้เรือ เราเลือกที่จะแบกเรือไว้บนหัว
ก็ไร้ประโยชน์ เรายึดติดศาสดา ยึดติดศาสนา
ยึดการบำเพ็ญเพียร เคร่งครัดในการถือศีล หลงบุญ หลงยึดลัทธิ หลงยึดคำสอน
แต่ทำไมยังทุกข์.... 🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈🌈
เปรียบกับการรู้ส่วนประกอบของเรือ...🌷🌷🌷🌷
เรารู้เพียงการประกอบ รู้ถึงวิธีการใช้แต่ ไม่ได้ใช้เรือ
จงลงเรือ ข้ามฝั่ง แล้ววางเรือไว้... 🌀🌀🌀🌀🌀
ไม่มีสังกัด ไม่มีวัด ทุกคนคือ คุรุของกันและกัน
ตัวเราคือวัด ใจเราคือพระ 🌺🌺🌺💙💙💙🌈
เส้นทางสู่สัจธรรมแท้จริงคือ จิตของเรา ตระหนัก
และรู้แจ้ง ด้วยตนเอง