"ไม่ยึดถือ ไม่ให้ค่า สิ่งใดๆ
แม้ในความรู้สึกนึกคิด
จิตเดิมแท้ปรากกฏเอง"
ธรรมะสวัสดี..วันมาฆบูชา..
๑๙ ก.พ. ๖๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
วันอันควรรำลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์
..ละชั่วทั้งปวง
..ทำดีให้ถึงพร้อม
..ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ทั้ง ๓ อย่างนั้นออกจากใจไปสู่กายวาจา
..จึงสรุปลงที่ใจจุดเดียว..เมื่อถึงใจอันบริสุทธิ์แล้ว
ชั่วดีผ่องใสก็ไม่มีให้ละไม่มีให้ทำ..
..ขอนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระอรหันต์เจ้าทุกๆพระองค์..
ครู หรือ คุรุ หมายถึง..ผู้ให้แสงสว่าง..
แก่ผู้ที่มืดด้วยอวิชชา..สามารถเปิดตาสู่วิชชา
หรือประสิทธิประสาทสรรพวิชาต่างๆ
ให้ศิษย์นำไปดำรงชีวิต
ผู้เป็นครูสมควรดำรงตนอยู่ในคุณธรรม
๕ ประการ
๑. มีความเมตตากรุณา
เป็นผู้มีความรักเมตตา เกื้อกูลต่อศิษย์
ยินดีมอบความรู้อบรม สั่งสอนชี้แนะ
ด้วยความเสมอเท่าเทียมกันต่อศิษย์ทุกคน
๒. มีความเสียสละ
เป็นผู้เสียสละ วิชาความรู้ สติปัญญา แรงกาย
แรงใจ สละเวลาเพื่อให้ศิษย์ได้วิชาความรู้
ที่เหมาะสม เหมาะควร ตามหลักวิชา
ในแต่ละขั้นละระดับ และอดทนแก้ไขปัญหา
ข้อบกพร่องของศิษย์ที่ยังอ่อนด้อย
ให้มีการพัฒนาก้าวหน้า เจริญขึ้นสู่ความสำเร็จ
๓.ดำรงตนอยู่ในศีลธรรม
เป็นผู้ยึดมั่นดำรงตนอยู่ในศีลธรรม จรรยา
จารีตประเพณี อันดีงาม
เพื่อเป็นแบบอย่างแนวทางที่ดีต่อศิษย์
๔. ผู้นำทางจิตวิญญาณ
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ นำพาศิษย์ไป
ในแนวทางที่ถูกต้อง ให้มีสัมมาทิฏฐิ มีความคิด
ความเห็นที่ถูกตรง ตามหลักธรรมพระพุทธองค์
๕. อภัยทาน
ไม่ถือโทษ โกรธเคือง เป็นผู้ที่พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ
ต่อความประพฤติปฏิบัติที่ไม่ถูกไม่ควรของศิษย์
ความเป็นครูนั้นเป็นของหนัก..
หากผู้เป็นครูสามารถดำรงตนอยู่ในคุณธรรม
ก็นับว่าเป็นผู้ที่มีคุณค่าต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อโลก
...เอกธาตุ(อาจารย์ปู่)...
..ปกติของธรรมชาติ..
(ที่อยู่ภายใต้กฏของเวลา)
คือความไม่คงทน..ความไม่แน่นอน..
ความเปลี่ยนแปลง..ความเสื่อมไปเสมอ
นี้เป็นสัจธรรมความจริง..
..หากยอมรับความสัจจริงนี้ได้
ก็จะไม่รู้สึกว่า..สูญเสีย..วิกฤติ..วิบัติ
..สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
สังขตธรรมย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย..
เรื่องโลก..
สร้างเสริม แก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง
ไปตามเหตุปัจจัยของโลก..
ด้วยสังขารธรรมหมุนวน
เรื่องธรรม..
ไม่สร้าง ไม่แก้ไข ไม่เปลี่ยนแปลง
ไร้เหตุปัจจัย
เหนือการคงอยู่การหมดไป..ในวิสังขาร..
เรื่องโลก เรื่องธรรม..
ย่อมเนื่องกันไป..อันใจอิสระแท้แล้ว..
..พูดไปก็ไร้ค่า ไร้สาระ ไร้ราคา..
มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม
เกิดขึ้นดับไปตามเหตุปัจจัย
ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารตัวตน
..ใจเพียงสัมผัสรับรู้อยู่อย่างนั้น..
"เมื่อเราต้องการสิ่งดี..
สิ่งไม่ดี..ก็ย่อมปรากฏด้วยกัน
หากยังคาดหวัง
หนีไม่พ้น สมหวัง ผิดหวัง
จิตอิสระ ชีวิตอิสระ
(ตอนที่ 4)
"ภวาสวะ"
คืออะไร สำคัญอย่างไร
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่า
เมื่อเปลือกจิต(เจตสิก) หรือจิตปรุงแต่ง หรือกิเลส ทำงาน
ก็จะสะสมผลผลิตของงานนั้น
ไว้ในมโนธาตุ และที่ที่เก็บสะสม
นั้นเรียกว่า "ภวาสวะ"
ภว คือ ภพ หรือที่อยู่
สวะ คือ สิ่งไม่ดี สิ่งที่เป็นโทษ
"ภวาสวะ" คือที่อยู่ของสิ่งที่ไม่ดี
หรือแปลง่ายๆก็คือ "รังของกิเลส" นั่นเอง
ที่มีกิเลสตัวแม่คือ อวิชชา อาศัย
ผลิตลูกๆกิเลสทั้งหลายเช่น ความรัก
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
"ภวาสวะ" เปรียบเสมือน "ดีเอ็นเอ"
ซึ่งเป็นที่เก็บพันธุ์กรรมของชีวิต
และสืบต่อพันธุ์กรรมนั้นไปยังชีวิตใหม่
แสดงผลเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น ผิวดำ ผมหยิก ร่างเตี้ย
ซึ่งเป็นสภาวะในเชิงรูปธรรม
ส่วน "ภวาสวะ" เป็นสภาวะในเชิง
นามธรรม แสดงผลทางพันธุ์กรรม
ของกิเลส เมื่อจิตนั้นไปเกิดเป็น
ชีวิตใหม่ ในลักษณะนาม เป็น
นิสัย ความประพฤติ หรือจริต
ต่างๆ ซึ่งมี 6 จริต
1. ราคะจริต ผู้มีนิสัยหนักไปทาง
รักสวย รักงาม รักสะอาด มัดติดใจ หลงใหลง่าย
2. โทสจริต ผู้มีนิสัยหนักไปทาง
ใจร้อน ขี้หงุดหงิด โกรธง่าย
3. โมหจริต ผู้มีนิสัยหนักไปทาง
เหงาซึม งมงาย ตระหนี่ คับแคบ
4. สัทธาจริต ผู้มีนิสัยหนักไปทาง
น้อมใจเชื่อง่าย
5. วิตกจริต ผู้มีนิสัยหนักไปทาง
คิดจับจด ฟุ้งซ่าน ย้ำคิดย้ำทำ
6. พุทธจริต ผู้มีนิสัยหนักไปทาง
คิดพิจารณา แยกแยะ
พันธุ์กรรมของกิเลสที่นอนเนื่อง
อยู่ใน"ภวาสวะ"ที่มีตัวแม่คือ
อวิชชา นี้แหละ เป็นตัว
กระตุ้นให้เกิดกระบวนการ
ความทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาท)
และเป็นพลังงานให้เบญจขันธ์
ทำงานหมุนวนต่อเนื่องไม่
ขาดสาย
และ ภวาสวะ จะเป็นตัวควบคุม
ให้จิตนั้นต้องไปเกิดอยู่ร่ำไป
เมื่อใดที่ชีวิตในภพชาตินั้นดับลง
ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่สามารถ
เข้าไปทำลายล้างรังของ
กิเลสนี้ให้สิ้นซากได้ ก็ไม่สามารถทำให้
"จิตอิสระและชีวิตอิสระได้"
--------
ติดตามตอนต่อไป
"เอกธาตุ"
..ชีวิตเป็นสิ่งว่างเปล่า
มิมีอะไรพึงยึดพึงเกาะได้
..สิ่งที่เห็นตรงหน้า
ผ่านมาแล้วผ่านไป
..เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้
สิ่งใดๆ..เป็นไปอย่างนั้นอย่างนั้น
..ชีวิตเป็นสิ่งว่างเปล่า..
..การตื่นรู้..
มิใช่การว่าง นิ่ง เฉย ซึม บื้อ
มิสนใจ ใคร่ครวญในหน้าที่
..แต่เป็นการทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง
ด้วยการรู้เห็นสัจธรรมความจริง
ไม่เศร้าหมองในความผันแปรของสรรพสิ่ง
ทั้งที่เป็นสังขารและมิใช่สังขาร
ไม่มีตัณหาในความผันแปรนั้น
ไม่มีอุปาทานการยึดถือ
ไม่มีอัตตาในสภาวะการปรุงแต่ง
ทั้งการปรุงแต่งทางกายและทางจิต
แต่การปรุงแต่งมีอยู่โดยปรกติ
ความผันแปรเกิดขึ้นโดยปรกติ
เพียงแต่รู้เห็นและใคร่ครวญ
ทำหน้าที่ไปตามเหตุปัจจัย
ด้วยใจตื่นรู้แล้วในสัจจธรรม
เธอเที่ยวตามหาค้นคว้า
ภูมิรู้ภูมิธรรมจากท่านผู้รู้มากมาย
"แต่เธอไม่ประจักษ์ธรรมภายใน"
นับว่าเสียเวลา เสียดายปัญญา
ความสามารถในชาติหนึ่ง
..ฝึกอยู่กับโลก
อย่างไม่ติดข้องในอะไรทั้งปวง..
เพราะเมื่อชีวิต
เดินทางถึงวาระสุดท้าย
จะเป็นเรื่องยากของจิต
ที่จะยอมรับสภาวะ...
"หากจิตยังยึดถือความเป็นตัวตนในโลก"
..แม้กล่าวว่า..
(คือที่เขียนในโพสต์นี้)
ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้หลง..ก็เช่นนั้น
หลงในคำภีร์..ก็เป็นเช่นนั้น
หลงในคำสอน..ก็เป็นเช่นนั้น
หลงในครูอาจารย์..ก็เป็นเช่นนั้น
หลงในรูปแบบ..ก็เป็นเช่นนั้น
หลงในภาษาสมมุติ..ก็เป็นเช่นนั้น
หลงในความคิดปรุงแต่ง..ก็เป็นเช่นนั้น
หลงในความเข้าใจ..ก็เป็นเช่นนั้น
..ไม่มีทั้งผู้หลงและสิ่งที่ถูกหลง..
เธอผู้ใฝ่รู้ในธรรม
เพื่อการพ้นทุกข์
พึงเจริญสติรู้เห็นดังนี้..
ตื่นนอนตอนเช้าในทุกๆวัน
ไม่ว่าเป็นวันทำงานหรือวันหยุด
เฝ้าดูการขยับเขยืัอนเคลื่อนของร่างกาย
เฝ้าดูการขยับเขยื้อนของความคิด
ลืมตาตื่นแล้วร่างกายขยับลุกขึ้นนั่ง
ขยับลุกขึ้นยืน เดิน ไปเปิดประตู
ไปเข้าห้องน้ำ ถ่ายเบาถ่ายหนัก
แปรงฟันล้างหน้า ถอดเสื้อผ้า อาบน้ำ
เช็ดตัว ใส่เสื้อผ้า กินข้าว เดินไปเดินมา
ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน..
..ให้เห็นว่า..
อริยบทหนึ่งหายไปเกิดอริยบทใหม่ขึ้นมา
เกิดดับๆ เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา..
"นี้เห็นความไม่เที่ยง"
..ให้เห็นว่า..
อริยบทหนึ่ง ตั้งทนอยู่ไม่ได้นาน..
ต้องสลับไปเป็นอริยบทหนึ่ง เสมอๆ
"นี้เห็นความเป็นทุกข์ของกาย"
..ให้เห็นว่า..
การเคลื่อนไปของร่างกาย
ในทุกๆท่วงท่า อริยบท ทั้งหมด
ไม่มีเราเข้าไปควบคุมสั่งการ
มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ
"นี้เห็นอนัตตา"
เราลองตั้งใจสั่งร่างกาย
ให้ทำตามในบางอย่างดู
เช่นมันปวดอุจจาระ
บอกว่าอย่าเพิ่งออกมา
เราจะกินข้าวก่อน ร่างกาย
มันฟังเราหรือเปล่า มันไม่สนหรอก
นี้เห็นไหม ร่างกายเป็นของเรา
หรือเปล่า..
ทีนี้สังเกตุดู..
อะไรมันสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว
จากอริยาบทหนึ่ง ไปอริยบทหนึ่ง
พอลืมตาตื่น..
ความรู้สึกเมื่อยมันเกิดแว้ปขึ้น
เพราะนอนมาหลายชั่วโมง
ความคิดก็ปรุงขึ้นให้ขยับลุกนั่ง
แล้วจากนั้น ความคิดก็หลั่งไหล
มาเป็นสายน้ำ..ให้ทำโน้นนี่นั่นทั้งวัน
ตามสัญญาเดิมๆ ซึ่งกระตุ้นความคิด
ตลอดเวลา
..ให้เห็นว่า..
ความคิดผุดขึ้นมาแล้วดับไป
เรื่องใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีก
เป็นหมื่นแสนล้านเรื่องในหนึ่งวัน
"นี้เห็นความไม่เที่ยง"
..ให้เห็นว่า..
ในความคิดมีความชอบ ไม่ชอบ
ชอบแล้วใจฟู ยิ้ม ร่าเริง เบิกบาน
ไม่ชอบแล้วใจแฟบ อึดอัดคัดข้อง
"นี้เห็นความเป็นทุกข์ของใจ"
..ให้เห็นว่า..
ความคิดที่ผุดขึ้นเป็นสายน้ำนั้น
ไม่มีเราเข้าไปควบคุมสั่งการ
มันเกิดขึ้นมาเอง แล้วดับไปเอง
ด้วยเหตุแห่งการกระทำ
ด้วยสัญญาเก่าๆ ที่กระตุ้นให้คิด
"นี้เห็นความเป็นอนัตตา"
พึงเจริญสติให้เห็นอย่างนี้อย่างนี้
ตั้งแต่ลืมตาตื่นตอนเช้า
จนกระทั่งเข้านอนยามค่ำคืน
..จะรู้แจ้งว่า..ร่างกาย จิตใจ นี้
เป็นเพียงธาตุรู้ ธาตุสี่ ก่อเกิด
ไหลเวียน เชื่อมโยง พึ่งพาอาศัยกัน
ด้วยความไม่แน่นอน แปรเปลี่ยน
ดับสลาย..ก่อเกิด..หมุนวน..
เป็นธรรมชาติไหลสู่ธรรมชาติ
ไม่มีภาชนะรองรับ
ไม่ใช่เรา ไม่เป็นของเรา ไม่มีเรา..
" มิต้องไปวัด ไปป่าไปเขา
ไปธุดงธ์ที่ไหนหรอก..
..ทำอยู่ที่บ้าน ก็พ้นทุกข์ได้"
.พระอริยะเจ้า ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้น
ไม่ว่า พระสงฆ์ หรือบรรพชิต
ต้องระวัง ต้อนรับการทดสอบบารมี
จาก"มาร" ซึ่งไม่ประสงค์จะให้
พระอรหันต์สาวก เผยแผ่ธรรม
เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ เข้าสู่นิพพาน
"มาร" จะเข้าขัดขวางทุกวิถีทาง
มาอย่างเนียบเนียน ลุ่มลึก..
แม้พระพุทธองค์ ก็เคยโดนพญามาร
ตัดรอนอายุมาแล้วเหลือเพียง 80 ปี
พระองค์ต้องปรินิพพานตามคำขอ
ของพญามาร..
..การเดินทางจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น
เมื่อถึงวาระหมดอายุขัย
ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ
..ไม่มีใครเดินทางไปกับเราด้วย..
ไม่ว่าจะรักเรามากขนาดไหน
ไม่ว่าจะผูกพันกันมากมายขนาดไหน
..จิตดวงนี้หนึ่งเดียว..
ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตร
ไม่มีใครช่วยเราได้
นอกจากผลของกรรม
กรรม เป็นยาน..
นำจิตไปเกิดในภพภูมิใหม่
ในโลกสาม..อรูปาวจรภูมิ
รูปาวจรภูมิ..กามาวจรภูมิ
ซึ่งยังต้องเกิดตายเวียนว่าย
ในวัฏสงสารอีกยาวนาน
หากจิตยังไม่เข้าสู่นิพพาน
"การประมาทในชีวิต"
คือการปล่อยให้ใจไหลไป
ตามกระแสของสัญชาตญาณ
กำหนัดยินดี พอใจ ในรูป
ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
หลงไหลไปในความคิดปรุงแต่ง
ดำเนินชีวิตไปด้วยการขาดสติรู้
ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ใจ จึงอาศัยอยู่กับสัญชาตญาณ
กิเลส ตัณหา อุปาทาน
รัก โลภ โกรธ หลง มีเรา มีเขา
มีสมหวัง ผิดหวัง พอใจ ไม่พอใจ
พลังของอวิชชาจึงฉุดรั้งใจให้
ตกอยู่ในวงจรของ กิเลส กรรม วิบาก
หมุนวนให้รับผลทุกข์อยู่ตลอดนั้น..
แม้จะเกิดตายกี่ชาติกี่ชาติ
ก็มิอาจหลุดพ้นวัฏฏสงสารได้
จงพึงตื่นรู้..
ในสัจจธรรมความจริงทั้งปวงเถิด
..ขอเป็นกำลังใจ
ให้ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์อันบีบคั้น
จากความไม่เที่ยงของสังขารทั้งปวง
..อันความทุกข์ย่อมมีอยู่ในสภาวะ
ของชีวิตที่ผันแปรไปตามกาลเวลา
เมื่อเธอฝืนสัจจธรรมและหลงยึดสังขาร
ทุกข์นั้นจึงเข้าครอบครองใจ
..พระพุทธองค์จึงโปรดสั่งสอน
เวไนยสัตว์ ไม่ให้ประมาทในชีวิต
เพราะชีวิตที่เกิดมานั้นแลคือความทุกข์
..เมื่อยังหลงคิด..
ว่าก้อนชีวิตนี้เป็นตัวตนเราเขา
มีสถานภาพอยู่จริงจัง..
เป็นสิ่งน่ายินดี น่าปราถนา
เป็นของมั่นคงถาวรไม่เสื่อมไม่คลอน
..จึงหลงยึดอยู่ในก้อนชีวิตนี้..
นี่เป็นเรา..นั่นเป็นเขา..
นั่นเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูก
เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติ เป็นเพื่อน
เป็นคนรัก เป็นคนไม่รัก..ฯลฯ
..หลงยึดอยู่ในสมมุติสัญญา..
หลงยึดในรูปที่ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว
..เมื่อหลงเป็นตัวเป็นตนจริงจังแล้ว
ก็มีความอยากความคาดหวัง
ให้เป็นอย่างนั้น..เป็นอย่างนี้
ไม่เป็นอย่างนั้น..ไม่เป็นอย่างนี้
มีความยินดีพอใจ..เมื่อสมอยาก
ไม่ยินดีไม่พอใจ..เมื่อไม่สมอยาก
หลงปรุงสมมุติสัญญาหนักหน่วง
..วนเวียนทับซ้อนสะสมเป็นอารมณ์
เป็นอนุสัย เหนียวแน่น
..หาต้น หาปลาย ที่จะคลายออก
จากวัฏทุกข์มิได้..
..กระทั่งตายไปอีกชาติหนึ่ง..
"ความรัก"
"ความห่วง
"ความหวง"
ในกายตนและบุคคลอื่น..
..เป็นสายใยมัดใจ
ให้ตกอยู่ในความมืด
..เป็นหน่อเชื้อ..
ให้จิตใจไปก่อเกิด
เป็นรูปร่างขึ้นในภพใหม่..
แล้วสร้างกรรม สะสมกิเลส
รับผลเสวยกรรม เกิดกิเลส
สร้างกรรม..วนเวียน..เกิดดับ
เป็นวัฏฏะทุกข์..ไม่จบสิ้น..
นี้..ด้วยเกิดจาก "อวิชชา ความโง่"
..ห่วงญาติพี่น้อง..ห่วงครอบครัว
ห่วงทรัพย์สมบัติ..ห่วงร่างกาย
ห่วงชีวิต..
..เมื่อ..หลงคิดว่ามี..เกิดขึ้นในจิต..
"ความยึดถือมั่น' ก็ตามติดอยู่ในใจ
..จึงมิยอมให้..ใครๆ..สิ่งของอะไรๆ..
แม้ร่างกายลมหายใจ..พรากไปจากเรา
..เกิดความกลัวขึ้นสิงใจ..
กลัวเจ็บไข้..กลัวยากจน..กลัวล้มตาย..
กลัวห่างหายครอบครัว..
นั่น..เพราะอะไร..
..ชีวิตอันเกิดมาแล้ว..
และดำรงอยู่เพียงชั่วคราวในชาตินี้
ก็ทำหน้าที่ดูแลไปตามอัตตภาพ
..กายสังขารดำเนินไปเนื่องด้วยจิตสังขาร
หมุนวนเป็นวัฏฏทุกข์
..ชีวิตอันกอร์ปด้วยเบ็ญจขันธ์นี้
มีตัวตนอยู่ด้วย"อุปาทาน"การหลงยึด
ซึ่งอุปาทานคงตัวอยู่ได้ด้วยความ"ไม่รู้แจ้ง"
ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้ง..
จิตสังขาร..อันปรุงแต่งสมมุติมายาภาพ
ก็ยังหลอกล่อให้ใจนี้ตกอยู่ในวังวน
กิเลส กรรม วิบาก..มิจบสิ้น..
..วันอันสมมุติว่าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์
เป็นวันหยุดงานของหลายๆคน
ที่ทำงานประจำ
..แต่จิตสังขาร ของคนทุกๆคน..
ไม่เคยหยุดงาน..
คอยคิดคอยปรุงเรื่องราวต่างๆ
ร้อยพันหมื่นล้านประการ
ให้เจ้าของหลงไปเป็นตัวละครในคิด
..แสดงบทชีวิต..รื่นเริง..โศกเศร้า..
สุข..ทุกข์..คละเคล้าอารมณ์..
..หลงยึดธรรมอันไม่เที่ยง..
หลงในโลกสมมุติ ว่านี่เรานี่เขา
เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้..
สูงต่ำ ดำขาว..ดี ชั่ว ต่างๆนาๆ..
..ทุกๆสิ่งมีอยู่..เป็นอยู่..
"ด้วยจิตเธอคิดให้ค่า"
มิได้มีที่ตาเห็น..มิได้มีที่หูได้ยิน..
มิได้มีที่จมูกได้กลิ่น..
มิได้มีที่ลิ้นรับรส..มิได้มีที่กายสัมผัส..
..ด้วยไม่แจ้งในวงรอบของจิตสังขาร
เธอจึงไม่มีวันได้หยุดงานเลย..
..แม้จะเกิดๆตายๆไปกี่กัปกี่กัลล์..
..อัตตา หิ อัตตโน นาโถ..
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน..
แม้เธอจะมีพ่อแม่ ลูก สามี ภรรยา
พี่น้อง ญาติมิตร คนใกล้ชิด บริวาร
..แต่ใจเธอเมื่อสัมผัสรับรู้เวทนา..
สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เริงร่า เจ็บปวด
เธอก็สัมผัสรับรู้อารมณ์เหล่านั้น..
ภายในใจของเธอผู้เดียว แม้จะแวดล้อม
ด้วยผู้ห่วงใยหวังดี ยินดี มากมายแค่ไหน
ใครก็เข้าไปช่วยรับเวทนาของเธอไม่ได้..
ใครก็เข้าไปช่วยให้เธอพ้นทุกข์ไม่ได้..
..ใจนี้..มีเพียงหนึ่งเดียวดาย..
เกิดมาก็มาใจเดียว ตายไปก็ไปใจเดียว
..ฉะนั้น..จงพึงให้ใจนี้..คงสติอยู่เสมอ..
"สติคือใจที่เหนืออารมณ์ เหนือเวทนา"
..ใจที่เหนือเวทนา..
เป็นใจที่พึ่งตัวของตัวเอง
เป็นที่อาศัยของตัวเอง..
พ้นทุกข์ไปได้ด้วยตัวเอง
..บริสุทธิ์เที่ยงแท้หนึ่งเดียว..
..เช่นนี้..พระพุทธองค์จึงตรัสว่า..
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน..
..การเจริญสติ..การปฏิบัติธรรม..
คือการรู้ทันอารมณ์ ความคิด..แบบสดๆ..
ขณะจิตสัมผัสรับรู้ทางอายนะทั้งหก..
ในทุกสถานการณ์..อย่างฉับพลัน..ผ่านเลย
มิใช่ไปพยายามทำอะไรในที่ไหนๆ
ที่ตั้งใจไปทำกัน..
..การหมดตัวตนนั้น
มิใช่การสลายหายตัวไปของร่างกาย
มิใช่การดับสูญไปของจิตใจ
ร่างกายอันธาตุปรุงแต่งธาตุนั้น
ปรากฏอยู่โดยธรรมชาติ
ความรู้สึกนึกคิด อันปรุงแต่งจิตนั้น
ปรากฏอยู่โดยธรรมชาติ
แต่..การปรากฏอยู่โดยธรรมชาติ
ของร่างกายจิตใจนั้น
จิตมีความเห็นก็ไม่ใช่
ไม่มีความเห็นก็ไม่ใช่
จิตมีอคติก็ไม่ใช่
ไม่มีอคติก็ไม่ใช่
จิตให้ความหมายก็ไม่ใช่
ไม่ให้ความหมายก็ไม่ใช่
แม้จิตนั้น
เป็นจิตก็ไม่ใช่
ไม่เป็นจิตก็ไม่ใช่
ไม่สรุป ไม่ยึดถือ ไม่ให้ค่าใดๆ
ธรรมชาติไหลคืนสู่ธรรมชาติ
ปราศจากภาชนะรองรับ
..สิ่งต่างๆ อันอนันต์ ผ่านเข้ามา
ทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย
รู้ลงที่ใจอันว่างเปล่า..ก็เพียงนั้น
ไม่มีภาชนะรองรับ..จึงไม่มีสิ่งที่เข้ามา
รูปมี..เพราะมีตา
เสียงมี..เพราะมีหู
กลิ่นมี..เพราะมีจมูก
รสมี..เพราะมีลิ้น
เย็นร้อนอ่อนแข็งมี..เพราะมีกาย
ตา หู จมูก ลิ้น กาย มี..เพราะมีเรา
ไม่มีเรา..
จึงไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย
จึงไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ก่อนเห็น..
ไม่มีผู้เห็น และสิ่งที่ถูกเห็น
ก่อนได้ยิน..
ไม่มีผู้ได้ยิน และสิ่งที่ถูกได้ยิน
ก่อนได้กลิ่น..
ไม่มีผู้ได้กลิ่น และสิ่งที่ถูกได้กลิ่น
ก่อนได้รส..
ไม่มีผู้ได้รส และสิ่งที่ถูกได้รส
ก่อนได้สัมผัส..
ไม่มีผู้ที่ถูกสัมผัส และสิ่งที่ถูกสัมผัส
ก่อนคิด..
ไม่มีผู้คิด และสิ่งที่คิด
"กายใจลับหาย..เหนือโลกเหนือธรรม"
"หมดปัญญา..ไร้ค่า..ไร้ตน..ไร้ใจ..
..โบยบินไปอย่างอิสระภาพ"
ธรรมในความคิด
เยอะแยะมากมาย
มีความหมายเหมือนในตำราทุกอย่าง
แต่ธรรมในสภาวะ
ไม่มีความหมายใดๆ
ไม่มีอะไรๆตั้งอยู่ได้เลย
"จงอย่าเชื่อถือธรรมในความคิด"
ตราบใด
ที่ยังมีตัว รองรับอารมณ์
ก็ยังไม่อิสระ
ขณะใดมีปัจจุบัน
ขณะนั้นมีเรา
ไม่มีอะไรทรงตัว
อยู่ได้ในปัจจุบัน
แม้ปัจจุบันเอง
เบื่อไหม!!
รสแห่งความพอใจไม่พอใจ
..ปุถุชนเกิดมาทั้งชีวิต..
มีเพียงแค่เสพอารมณ์..
พอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ..
ตลอดวันคืน เวียนวนอยู่อย่างนั้น
..นอกนั้น จะจน จะรวย..
จะทำงานดีไม่ดี..จะมียศถาหน้าตา
จะมีบ้านหลังใหญ่ บ้านเล็ก มีรถไม่มีรถ
จะได้ จะไม่ได้ จะดีจะชั่ว จะสำเร็จ
จะล้มเหลว จะเจ็บป่วย จะเกิดตาย
..จะเป็นใครอย่างไร..
..ล้วนไม่มีสาระอะไร..
ที่มีอยู่ทั้งหมดเพราะความไม่รู้
จึงหลงเสพเวทนาอยู่อย่างนั้น
..ขณะยืนอยู่บนฝั่ง
เห็นกระแสคลื่นก่อตัวจากทะเล
พัดเข้าสู่ฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า
แล้วดับหายไปในทะเล
ระลอกแล้วระลอกเล่า
โดยไม่มีใครมาบงการ
บางขณะระลอกเล็กๆ
บางขณะระลอกใหญ่รุนแรง
หากเรากระโจนลงไปเล่นคลื่น
ก็จะเปียกปอนและอาจโดนคลื่นซัด
ให้ชวนเซ เสียหลักล้มลง ไหลไปกับ
กระแสคลื่นพลัดหลงไปในทะเลลึก
เป็นอันตรายต่อชีวิต..
เช่นเดียวกัน..
กับกระแสความคิด
ผุดขึ้นมาจากความว่าง
แล้วดับลงไปในความว่าง
เรื่องแล้วเรื่องเล่า
บางครั้งเบาบาง
บางครั้งหนักหน่วงรุนแรง
โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ
แต่หากเรากระโจนไปในความคิด
ก็จะพลัดหลง ลืมตัวลืมตน
ปล่อยให้ความคิดปั่นหัว
เป็นเรื่องเป็นราว เป็นเรา เป็นเขา
เป็นตัวละครแสดงบทโศกเศร้า ยินดี
ปรีดา เหนื่อยยาก เครียดเหงา..สารพัด
อยู่ในห้วงลึกของอารมณ์
ยากจะถอนจะคลาย เป็นอันตราย
ต่อจิตใจใหญ่หลวงยิ่ง..
แต่หากเราเพียงยืนดูกระแสคลื่นอยู่บนฝั่ง
แม้คลื่นจะหนักหน่วงรุนแรงเพียงใด
มันก็ก่อเกิดดับหายไปในทะเล
เป็นธรรมชาติอย่างนั้นตราบที่ยังมีมะเล
กระแสคลื่นไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้
เฉกเช่นความคิดไม่สามารถ
สร้างพิษสงใดๆให้จิตใจได้เลย
..ขณะขันธ์ห้าทำงาน
ไม่ว่ารูปหรือนาม
หากไม่มีผู้เสวย..อัตตาก็ไม่เกิด
ขันธ์ห้าทำงานไปอย่างธรรมชาติ
ในสภาวะของความไม่เที่ยง
ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีตัวตน..
..หากเห็นอย่างนี้
จิตเป็นอกาลิโก
อวิชชาก็ดับลงขณะนั้น
..เหตุเดิม กรรมเก่า ที่กระทำไว้
เยอะแยะมากมายมหาศาล
ที่จะกระตุ้นให้จิตคิดปรุงแต่ง
หลงรูป กระทบภายใน ภายนอก
ยึดถือให้ค่า ยินดียินร้าย
หลงเสพอารมณ์ทุกๆขณะ
เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติ..
ข้ามภพข้ามชาติ
ยังไม่พออีกหรือ..
..จึงยังสร้างเหตุ สร้างกรรม
หลงเหตุ หลงกรรม หลงรูป หลงกระทบ
มีตัวมีตน มีภพ มีชาติในทุกขณะจิต
เป็นวงจรทุกข์มิจบสิ้น..
มีผู้ถามเรื่องการเจริญพรหมวิหาร ๔
ปู่ขอตอบไว้ในที่นี้
ตามแนวของหลวงพ่อฤาษีลิงดำน่ะครับ
การเจริญพรหมวิหาร ๔
๑. แผ่เมตตา ความรักปราถนาดีไปในทิศทั้ง ๔
โดยคิดไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า
เราจะเป็นมิตรแก่คนและสัตว์ทั้งปวง
จะยอมเคารพในสิทธิของกันและกัน
จะรักสิทธิของผู้อื่นเสมอสิทธิของตนเอง
จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ด้วยกาย วาจา
หรือแม้แต่จะคิดด้วยใจก็ตาม
จะรักษาและเคารพรักในบุคคลและสัตว์
เสมอด้วยความรักตนเอง
๒. กรุณา สงสารหวังสงเคราะห์
สัตว์และมนุษย์ทั้งปวงทั้่วในทิศทั้ง ๔
หากมีโอกาสในการช่วยเหลือสงเคราะห์
ก็กระทำในทันทีตามความเหมาะควร
๓. มุทิตา ไม่อิจฉาริษยาคนและสัตว์ทั้งปวง
ทั่วทิศทั้ง ๔ จะพลอยรู้สึกยินดีและส่งเสริม
เมื่อผู้อื่นได้ดี มีโชค เหมือนตนได้ดีมีโชคเอง
หากใครได้เสื่อมวิบัติตกต่ำ ก็ไม่ว่ากล่าวซ้ำเติม
หากเราช่วยเหลือเจือจุณเขาแล้ว แต่เขายังไม่ได้ดี
ก็ให้วางใจว่าเป็นด้วยกรรมที่เขากระทำไว้
จึงเป็นเช่นนั้น จะไม่ขัดเคืองทุกข์ร้อนไปกะเขาด้วย
๔. อุเบกขา วางใจให้สงบเป็นกลาง
โดยการฝึกให้รู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงว่า
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีสาระแก่นสาร
ไม่ควรยึดถือเอามาเป็นเราเขา
ไม่ก้าวล่วงในความดี ความชั่ว ของผู้อื่น
ทำหน้าที่ของเราให้ดีด้วยความสุจริต สัตย์ตรง
อุเบกขา คือวางเฉยด้วยใจที่เห็นสัจจธรรม
ให้เจริญพรหมวิหารสี่เยี่ยงนี้สม่ำเสมอ
จนมีกำลัง ของความเมตตา กรุณา มุทิตา
อุเบกขา เต็มเปี่ยมอยู่ในจิตในใจ
จะมีความร่มเย็น เป็นที่รักของ เทพเทวา
มนุษย์ และสัตว์โลกทั้งหลาย
..การหลงในรูป..
มิใช่แค่หลงรูปสวย เสียงไพเราะ
กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล
ในกามคุณทั้งห้า..
แม้แต่รูปที่เป็นกุศล เช่น
รูปนิมิต รูปเสียงครูบาอาจารย์
สถานที่ รูปแบบฏิบัติธรรม
สิ่งแวดล้อมหรือกัลยาณธรรม
หากจิตให้ค่า ยินดี พอใจ
ในสิ่งเหล่านั้น..
ก็นับว่าหลงในรูป
ยังเป็นผู้หลง..
มิใช่ผู้ตื่นรู้ในสัจจธรรม
..ตายเป็นร้อย..บาดเจ็บเป็นพัน..
แค่สามวันเทศกาลสงกรานต์..
จากวันฉ่ำเย็น..
รดน้ำขอพรพ่อแม่ญาติมิตรผู้ใหญ่
พ่อแม่ผู้ใหญ่ รักเมตตาเอ็นดูลูกหลาน
เป็นความสัมพันธ์อันดีงามในสังคม ครอบครัว
มากลายเป็นวันวินาศสันตโร
วิบัติ สูญเสีย ชีวิต ทรัพย์สิน มากมายในทุกๆปี
เพราะเหตุ ความบ้าคลั่ง..
ของตัณหามนุษย์ อันหาที่สิ้นสุดมิได้..
นำเอาความสนุกสนาน เฮฮา
สุรา ยาเมา มาเป็นสรณะ..
เฉลิมฉลอง..สนุกสนานสำราญ..เกินลิมิต
ดื่มกินสุรายาเมา..ขาดสติสัมปชัญญะ
ขับยานพาหนะออกมาพร้อมสุราเต็มพุง
พุ่งชนกันเละเทะเต็มท้องถนน..!!!
!!! ตาย..บาดเจ็บ..สูญเสีย..!!
ผลเกิดจากเหตุ..
สร้างกรรมใด..ก็รับผลกรรมนั้น
กฏหมาย กฏข้อบังคับ..
การรณรงค์ใดๆ..ก็ช่วยไม่ได้..
หากใจคน..ยังบ้าอยากในสิ่งที่ไม่สมควร
ยังไม่รักษาใจให้อยู่ในศีลธรรม..
นำแต่เปลือกศาสนามายึดถืออย่างมืดบอด
ฤาจะรอดเวรกรรมนำส่งลงอบาย
..สังเวชๆหนอ..
ธรรมะสวัสดีวันศุกร์
ที่ 15 มี.ค. 2562
"ความดื้อรั้น"..เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
เป็นอารมณ์จิตที่อัดแน่นไปด้วย
"ตัณหา อุปาทาน"
..ต้องการกระทำสิ่งใดๆ
โดยไม่สนใจความเหมาะความควร
ไม่สนใจว่าจะเกิดภัยอันตรายต่อตน
หรือบุคคลอื่น..
..กระทำเพียงเพื่อ "ให้สมอยาก"
สมตามที่จิตคิดปรุงแต่ง จิตยึดถือ
ในความเป็นตัวเป็นตนในอัตตาแรงกล้า
อย่างขาดสติขาดปัญญา..
..หากเมื่อมีภัยอันตรายมาถึงตัว
หรือคนในครอบครัวคนที่รัก
ก็จะตระหนกตกใจ เสียใจ ร้องให้
ฟูมฟาย ว่าทำไมต้องเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้..
..เมื่อเธอใฝ่ธรรม..
ก็ควรศึกษาเรียนรู้ "จิตคิดปรุงแต่ง"
ที่ครอบงำใจเธอให้ลุ่มหลง ยึดถือ
ในสมมุติทั้งหลาย กระทั่งกายนี้จิตนี้..
ให้แจ้งชัดเสียตั้งแต่บัดนี้..
..มิเช่นนั้น
ก็จะเกิดมาสูญเปล่าไปอีกหนึ่งชาติ
หากพลาดพลั้งอาจจะตกไปเกิดในอบายภูมิ
เสียหายหลายกัปป์หลายกัลป์
..เป็นตัวละครในคิด..
สติขาดแล้ว..
..รู้ว่าคิด..สติกลับมา..
"ในคิดมีรู้ คู่กันอยู่เสมอ"
..เห็นไหม?..
จิตนั้นดิ้นรนไป
หาสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา..
..ด้วยหลงในคิดปรุงนั้นไง!!
จึงคิดว่ามีเก่ามีใหม่..
..ใจมันโง่..
..เธอมีครอบครัวลูกหลานว่านเครือ
ก็คาดหวังว่า..ยามแก่ชรา ยามเจ็บป่วย
จะได้มีคนคอยดูแล เอาใจใส่ให้สบาย..
..ขณะนอนป่วยไข้กายแปรปรวน
เจ็บปวดทรมานกับอาการของโรค
..แม้มีลูกหลานมาห้อมล้อมมากมาย
มีหมอพยาบาลมาคอยดูแลรักษาโรค
ให้ทุเลาลงบ้าง..
..แต่ใจ ที่เสพทุกขเวทนาโดดเดี่ยวอยู่หนึ่งเดียวนั้น..จะให้ลูกหลานมาช่วยเธอเจ็บได้หรือ..
..ใครจะช่วยดับทุกขเวทนาในใจเธอได้
อย่าพยายามคาดหวังใครๆสิ่งใดๆเลย..
..นอกจากใจเธอเอง..
ที่ต้องฝึกฝน ทำความรู้ ความเข้าใจ
..ให้แจ้งในสัจจธรรม ความจริง
ในกายในจิตนี้..จนถึงที่สุด..
..ก่อนที่เวลาในภพชาตินี้จะหมดไป..
ธรรมะสวัสดียามเช้า
จันทร์ที่ 21 ม.ค. 2562
..หากคิดตามปฏิทินโลก..
เวลาช่างเดินไปอย่างรวดเร็ว
วันแห่งศักราชใหม่นี้จะหมดไปหนึ่งเดือนแล้ว..
..เวลาหดหายไปเร็วเท่าใด
อายุสังขารเราก็หดหายไปเร็วเท่านั้น
..อย่ามัวหลงเพลินอยู่กับสมบัติในโลกเลย..
..เธอจงตระหนักเถอะว่าสมบัติใดๆในโลก..
ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินเงินทอง..
ลูก..เมียผัว..พ่อแม่..ญาติมิตรบริวาร..
เธอเป็นเจ้าของแท้จริงไม่ได้..
เธอปลอดจากภัยไปไม่ได้เลย
..ภัยแห่งความเสื่อม..
ภัยแห่งความดับสลายสูญเสีย
ภัยแห่งความพลัดพราก
ภัยแห่งวัฏฏะทุกข์..
..เมื่อใดใจเธอไปคิดยึดถือ..ครอบครอง
เป็นเจ้าของ..
..เมื่อนั้น วงจรแห่งทุกข์..ก็เข้าครอบครองใจเธอทันที..
..สมบัติใดๆในโลก..
มีไว้เพื่อการประคองสังขาร
ให้ดำรงอยู่ชั่วคราว..
..เพื่อการค้นหา "อริยทรัพย์ภายใน"
ซึ่งเป็นทรัพย์อันประเสริฐยิ่ง..
"เป็นทรัพย์ที่ทำให้เธอพ้นจากภัยทั้งปวง"
..เธอเกิดมาแล้ว..
หลงใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณ
..ไม่เคยศึกษาเรียนรู้สัจธรรม
ความจริงของชีวิต..
..เมื่อสัจธรรมปรากฏ..
ให้เสื่อม..แก่..เจ็บป่วย..ตาย..พลัดพราก
..จึงเกิด คร่ำครวญ หวนหา โศกาอาดูร..
ว้าเหว่ วังเวง..หมองหม่น เศร้าตรมใจ
..อะไรจะช่วยเธอได้..
*หากไร้การศรัทธา ศึกษาเรียนรู้ในธรรม*