เมื่อเห็นว่า ว่าง มันจะไม่ว่าง
ว่าง เมื่อไหร่ก็จะหมดความเห็น
ไม่มีแม้คำว่า ว่าง หรือ ไม่ว่าง
ว่าง เอาไม่ได้
พอไม่เอา มันจึง ว่าง
เอาสิ่งที่เอาไม่ได้คือ ว่าง
เห็นแล้วคิด แสดงว่าไม่เข้าใจ
เห็นแล้ว ไม่คิด แสดงว่าเข้าใจ
ใครๆก็บอกว่า "ไม่มีความหมาย "
กับ
หมดความหมายในใจจึงไม่ต้องมีผู้บอกว่า
" ไม่มีความหมาย "
ตื่นจากความคิด
กับ คิดว่าตื่น
การตื่น หรือ ตื่นรู้
หรือ ตื่นโพล่ง ตื่นสว่าง ตื่นโล่ง
จึงเป็นผล จึงเกิดเป็นการตื่นหลายรูปแบบ
ถ้ายังหลง ก็จะมีผู้ตื่น และไม่ตื่น
ตื่นจากมายา จะไม่ใช่ที่ตื่น หรือ ไม่ตื่น
จึงหมดสิ่งที่หลงกับอาการทั้งปวง
ทั้งหมดล้วนมาจากหลุดพ้นทางใจ หรือ
ความอิสระจากปรากฏการณ์ ทั้งปวง
ก็ไม่ใช่ นึกคิดเอา หรือ ทำเอา หรือ มโนเอา
หรือ ฟังมาแล้วนึกเคิดเอาเอง มีเรากำหนด
ตนเองทำ ล้วนสร้างมายาหลอกตัวเอง
วิปัสนึก
วิปัสหนา
วิปัสนู
วิปลาส
วิปริต
ความคิดปรุงใด ๆ ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ที่กำลังกระหายต่อความหลุดพ้น
ย่อมซ้อนสร้างมายาภาวะพุทธะ
แห่งความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาปิดกั้นตามความยึด
และตามความอยากมากน้อย แล้วแต่บุคคลนั้น !
เมื่อแสงแห่งปัญญา ส่องสว่างในใจ
ความมืดมนก็จักมลายหายไปเอง
หมดความหลง หมดให้ค่าสิ่งใดๆแล้ว
" ที่ใดไร้การยึด
ที่นั่นก็ไร้ ทัศนะข้อจำกัด "
การไม่ยึดมั่นถือมั่น
จะเป็น สัมมาทิฏฐิ เอง
ศีล คือ ความปกติ
ก่อนที่จะมีความคิด หรือ ก่อนที่จะมีสิ่งจรมา
หรือ ก่อนจะมีอคันจุกะมาเยือน
หรือ ก่อนจะเป็นสิ่งปรุงแต่ง
หรือก่อนที่จะมีภาษา
หรือ ก่อนจะมีบุญหรือบาป
คือ ปกติ ที่ไม่โดนสิ่งใดครอบงำ ให้ไปรักหรือเกลียด
ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้วไม่ต้องไปขอใคร
การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
จึงเป็นศีลที่ไม่ต้องรักษา แต่อยู่ในตัวอยู่แล้ว
แค่คิดไม่ดี มันก็ทำร้ายตัวเองแล้ว
อันนี้เป็น อธิศีล อันยิ่งกว่า ศีล
แต่ถ้าได้แต่ไปขอ ศีล แต่ไม่รู้อะไรเลย
ถึงจะไม่รักษาศีล หรือ รักษาจนงมงาย
อันนี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาส
“ลูบคลำศีลและพรต”
คนบางคนมีศีลแล้วกับ ทุกข์ มากกว่าเดิม
เพราะ เอาศีล มาเป็นศาสตราวุธทิ่มแทงผู้อื่น
เบียดเบียนทั้งใจตนเองและไปทำร้ายผู้อื่น
เพราะใจตนเองไม่ปกติไปเองซะแล้ว
ไม่ได้ว่าใครนะ แต่สะกิดนิดหน่อย เพื่อมีประโยชน์
ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทุกสภาวะ
ไม่มีตัวตน อันแท้จริง
ไม่มีที่อยู่ ไม่คงทน
ในที่ใดที่แน่นอน
ในกาย ในวาจา หรือ ในจิต
เป็นดั่ง...สายลม
ที่ผ่านมาผ่านไป
ใน อากาศธาตุ ของมันเอง
ไม่ต้องเจตนาดับตัวตน
ไม่ต้องเจตนาดับความคิด
ไม่ต้องเจตนาดับอารมณ์
เพราะไม่เคยมีตัวตนให้ดับ
แค่คลายอุปาทานว่ามีตัวตน
ไม่มีความเป็นเจ้าของอุปทานว่าเป็นตัวเป็นตน
ก็แค่เป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านไปเอง
"ปรากฏการณ์ทั้งปวงเป็นมายาภาพ
มายาภาพเหล่านี้ไม่มีภพที่ไม่แน่นอน
ไม่มีรูปที่ถาวร เป็นสภาพที่ไม่เที่ยงแท้ (อนิจจัง)
ไม่กี่วินาที มันย่อมดับสลายหายไปเอง หายไปเอง
อย่ายึดมั่นกับปรากฏการณ์ทั้งหลาย
แล้วท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะ
"สิ่งซึ่งเป็นอิสระภาพจาก รูปและความคิด
หลุดพ้นจากความเห็นทั้งปวง คือ พุทธะภาวะ"
โลก อวดมี
ธรรม ไม่มีอะไรจะอวด
โลกจะกวักมือ เรียกให้ผู้คนมาดูว่า
"โลกมีอะไร"
ธรรมจะกวักมือ เรียกให้คนมาดูว่า
"ธรรมจริงๆไม่มีอะไร"
ฉันไม่อยากรวยทรัพย์สินหรืออะไร
ฉันจึงไม่มีอะไร
ฉันไม่เคยต้องทุกข์ในเบื้องต้นจากการหาทรัพย์และสะสมทรัพย์
ฉันจึงไม่ทุกข์ในเบื้องกลางจากการปกป้องดูแลรักษาทรัพย์สมบัติ
ดังนั้นจึงไม่มีทุกข์ในบั้นปลายในการสูญเสียมันไป
เลิกเสพสัญญา ถ้วยชาที่ว่างเปล่า
ชีวิตโปล่งโล่งเบาสบาย มีสรรพสิ่งผ่านมาผ่านไป
ช่องว่างตรงกลาง
ระหว่างมีกับไม่มี
ระหว่างมืดกับสว่าง
ระหว่างดำกับขาว
ระหว่างนอกกับใน
ระหว่างว่างกับไม่ว่าง
ระหว่างโลกกับธรรม
ท่ามกลางไม่เอียงข้างใดข้างหนึ่ง
ไม่สุดโต่งด้านในด้านหนึ่ง
ไม่ตรึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป
ช่องว่างตรงกลางไร้สภาวะแรงโน้มถ่วง
ทั้งไม่ต่อต้านทั้งไม่ผลักไส
ท่ามกลางอย่างกลมกลืนแต่ไม่ถูกกลืนกิน
ฟ้าก็คือฟ้า
เมฆก็คือเมฆ
ฝนก็คือฝน
ธรรมชาติเป็นอยู่อย่างนั้น
จิตที่ขุ่นมัว
มองท้องฟ้า ก็มัวหมอง
จิตที่เศร้าสร้อย
มองท้องฟ้า ก็ตาละห้อย
จิตที่สดใส
มองท้องฟ้า ก็สดชื่นแจ่มใส
แท้จริงแล้วธรรมชาติเป็นอยู่อย่างปกติ
แต่ใจเราต่างหากที่เอียงไปตามกรรม
และสังสารวัฎตน
เกิดที่ใจดับที่ใจ
เมื่อวางใจตัดใจเสียแล้ว
อะไรละที่เกิด อะไรละที่ดับ
สภาวะหมดใจ
หมดการให้ค่าความสำคัญ
ตายขณะยังลมหายใจ
ตายขณะสติสัมปชัญญะยังทำงานเป็นปกติ
ตายไปจากความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง
ตายก่อนที่จะตาย และ
ไม่มีอะไรเกิดจริงตายจริง
สิ่งที่ดำเนินอยู่
เปลี่ยนแปลงเลื่อนไหลไป ธาตุสู่ธาตุ
เพียงสภาวะทางธาตุที่ดำเนิน
ปรับเปลี่ยนสภาวะเท่านั้นเอง
Сr. พระปกรณ์นันทน์ ฐิตธมโม
ไม่ว่าอดีตชาติจะเป็นอะไรๆ จะกี่ร้อยชาติพันชาติ
หรือ ชาติปัจจุบันไม่ว่าจะ
หน้าตาดี รำ่รวย เป็นมหาเศรษฐี
หรือมีความรู้มากมายหลากสาขา ปริญญาเป็น10 ใบ
รู้ธรรมมะพูดเขียนแปลพระไตรฎิฎกได้ทุกคำ
จะมีฤทธิ์เข้าออกชาญญาณ ตาทิพย์ หูทิพย์ ได้
รู้เรื่องจักวาล พลังงาน จักกระ เล่นธาตุแปรธาตุได้
มีสมบัติมากมายมหาศาลแค่ไหน
จะมีบุญ วาสนา ความดี บารมี หน้าที่การงาน
หรือจะเอานิพานหรือสิ่งหลุดพ้นด้วยการคิดเอา
แต่ตอนตายเอาสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลยซักอย่าง
แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นโทษ
โลกนี้และโลกหน้า ไม่มีได้อะไรกันจริง
มีแต่ความหลง ที่สืบต่อจากอดีต สู่ปัจจุบัน สู่อนาคต
It is our mind, and that alone, that chains us or sets us free.
มันคือจิตใจ และสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ล่ามโซ่
เราไว้หรือปลดปล่อยเราให้ อิสระ
เราตีกรอบและคุมขังจิตวิญญานตัวเอง
ให้วนเวียนตามที่จิตเราสร้าง
มิใช่เพียงแค่มุ่งหวังตั้งเอา
ในการสร้างสะสมหรือลบล้างกรรม
ถ้าล้าง...
คือล้าง "อุปาทานในกรรม" นั้นแลจึงบันทึกไว้
ถูกสมมุติใช้ที่ไม่มีวันจบสิ้น
กายตายไป แต่ยังหลงความเป็นจิต
หลงเป็นสิ่งที่คิด
หรือใช้สมมุติเป็น รู้จักมัน ไม่หลงมัน
มันก็หมดภพหมดชาติ
เมื่อใดที่จิตว่าง จึงจะได้เห็นโลกทั้งหลาย
จะโลกนี้ หรือ โลกหน้า จะราบเป็นหน้ากลอง
ไร้ความหมาย ด้วยประการทั้งปวง..."
"ตัวกู"
คือ กายสังขาร และ จิตสังขาร
ยังมีอยู่ ก็จะมีการกระทำ
เริ่มต้นคิด จึงเกิด
ที่นำไปสู่ "การเกิด"
ทุกๆการเกิด นั้นเป็นสังขาร
ตื่น โปล่งโล่ง เบา สบาย สุข ละเอียด แสงสว่าง
สมาธิ สติ ปัญญา บารมี ศรัธรา ความดี ไม่ดี
หยาบ เกียจ โกรธ โลภ รัก สงบ วุ่นวาย พยายาม
สนุกสนาน เศร้า เหงา มวลหนัก และ มวลเบา
จะวิเศษมหัศจรรย์หรือแย่ที่สุดในชีวิตก็สังขาร
สิ่งที่นึกขึ้นรู้สึกได้มีชื่อได้ล้วนเป็นสังขาร
หรือสิ่งที่คิดว่าปัจจุบัน นั้นแหละ สังขาร
( ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่สอนให้หลงไปเป็นสังขาร)
ยิ่งท่านเป็นเจ้าของสิ่งใดสภาวะเท่าใด
ท่านก็จะถูกปิดกั้นไว้มากเท่านั้น...
คิดว่าใช่ หรือไม่ใช่ ท่านหลงยึดสิ่งนั้นแล้ว
คุณไม่จำเป็น ต้องหนีหรือสู้เงาตนเอง
แค่รู้ตามความเป็นจริง
ถ้ายังมีพุทธะและมาร วิสังขารกับสังขาร
โลกิยะ กับ โลกุตละ จบกิจ หรือ ไม่จบ
ก็ได้เป็นเพียงการปรุงแต่งของเธอเอง
ยังมีผู้ให้ความหมายในใจเธอเอง
ตื่นจากความคิด
กับ คิดว่าตื่น
การตื่น หรือ ตื่นรู้
หรือ ตื่นโพล่ง ตื่นสว่าง ตื่นโล่ง
จึงเป็นผล จึงเกิดเป็นการตื่นหลายรูปแบบ
ถ้ายังหลง ก็จะมีผู้ตื่น และไม่ตื่น
ตื่นจากมายา จะไม่ใช่ที่ตื่น หรือ ไม่ตื่น
จึงหมดสิ่งที่หลงกับอาการทั้งปวง
ทั้งหมดล้วนมาจากหลุดพ้นทางใจ หรือ
ความอิสระจากปรากฏการณ์ ทั้งปวง
ก็ไม่ใช่ นึกคิดเอา หรือ ทำเอา หรือ มโนเอา
หรือ ฟังมาแล้วนึกเคิดเอาเอง มีเรากำหนด
ตนเองทำ ล้วนสร้างมายาหลอกตัวเอง
วิปัสนึก
วิปัสหนา
วิปัสนู
วิปลาส
วิปริต
ความคิดปรุงใด ๆ ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ที่กำลังกระหายต่อความหลุดพ้น
ย่อมซ้อนสร้างมายาภาวะพุทธะ
แห่งความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาปิดกั้นตามความยึด
และตามความอยากมากน้อย แล้วแต่บุคคลนั้น !
ก่อนจิตจะรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก่อนที่ความคิดจะปรุงแต่งจะเกิดกับจิต
จิตอยู่ในสภาวะของความว่าง ว่างอยู่ก่อนแล้ว
ซึ่งสมมุติเรียกว่า จิตว่าง ว่า จิตเดิมแท้
ที่มันไม่มีชื่ออะไร ไม่มีความหมาย ไม่ได้เป็นอะไร
ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีแม้นปัจจุบัน ไม่มีชื่อใดๆ
นิพานไม่ใช่การคิด จึงไม่มีสิ่งใดก่อเกิด
อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ ก่อนการเกิด
ก่อนจิตจะรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก่อนที่ความคิดจะปรุงแต่งจะเกิดกับจิต
จิตอยู่ในสภาวะของความว่าง ว่างอยู่ก่อนแล้ว
ซึ่งสมมุติเรียกว่า จิตว่าง ว่า จิตเดิมแท้
ที่มันชื่ออะไร ไม่มีความหมาย ไม่ได้เป็นอะไร
นิพานไม่ใช่การคิด จึงไม่มีสิ่งใดก่อเกิด
อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ ก่อนการเกิด
ตถาคตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
โดยไม่เข้าไปเป็น ไม่เข้าไปแบ่งแยก
ไม่สู้ ไม่ปฎิเสธ ไม่ไหลตาม ไม่พัก และ ไม่เพียร
เมื่อแสงแห่งปัญญา ส่องสว่างในใจ
ความมืดมนก็จักมลายหายไปเอง
หมดความหลง หมดให้ค่าสิ่งใดๆแล้ว
" ที่ใดไร้การยึด
ที่นั่นก็ไร้ ทัศนะข้อจำกัด "
การไม่ยึดมั่นถือมั่น
จะเป็น สัมมาทิฏฐิ เอง
เพราะคิดเยอะไป
เลย มียาก มีง่าย มันเลยยาก
หลงไปเอากับ จริง กับปลอม
ใช่ ไม่ใช่ ฝั่งไหนล้วนมายา
คนเอา"คำ" จิตเดิมแท้
ไปขวาง ธรรมจิตเดิมแท้
คนเอาพระพุทธรูปหรือเหรียญ
ไปขวางพระพุทธเจ้า
เอาพระไตรปิฎก ขวางพระธรรม
เอาพระไตรปิฎก ไปขวางนิพาน
เอาธรรม ธรรมชาติ มาเป็นตัวตน
ธรรมนั้นไม่มีสัตว์
เพราะพ้นจากความเศร้าหมองแห่งสัตว์
ธรรมนั้นไม่มีอาตมัน
เพราะพ้นจากความเศร้าหมองแห่งอาตมัน
ธรรมนั้นไม่มีชีวะ
เพราะพ้นจากชาติมรณะ
ธรรมนั้นไม่มีบุคคล
เพราะขาดจากห้วงแห่งอดีต อนาคต
ธรรมนั้นมีสันติเป็นธรรมดา
เพราะดับปวงลักษณะเสียได้
ธรรมนั้นห่างไกลจากลักษณะ
เพราะปราศจากอารมณ์
ธรรมนั้นไม่มีนามบัญญัติ
เพราะขาดจากวจนโวหาร
ธรรมนั้นไม่มีอะไรจะแสดงได้
เพราะไกลจากความวิตกวิจารณ์
ธรรมนั้นไม่มีสัณฐานนิมิต
เพราะว่างเปล่าดุจอากาศ
ธรรมนั้นปราศจากปปัญจธรรม
เพราะมีสุญตาเป็นสภาพ
ธรรมนั้นไม่มีมมังการ
เพราะพ้นจากความยึดถือว่าเป็นของๆเรา
ธรรมนั้นไม่มีวิกัลปะลาศ
เพราะไกลจากวิญญาณความรู้ทางอายตนะทั้งหลาย
ธรรมนั้นปราศจากการเปรียบเทียบได้
เพราะพ้นจากความเป็นคู่
ธรรมนั้นไม่สงเคราะห์ว่าเป็นเหตุ
เพราะมิได้อยู่ในประชุมของปัจจัย...ฯลฯ...
Cr. พระปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม.น้อมกราบสาธุๆๆ
"จิตที่ถูกปรุงแต่งนั้น
....ไม่ใช่จิตแท้...."
มันเป็นมายา เท่ากับสิ่งทั้งปวง
ความคิดปรุงแต่ง ก็เป็นอย่างเดียวกัน
...ถ้าจิตปรุงแต่ง หรือความคิดปรุงแต่ง
...กำลังมีอยู่หรือทำหน้าที่อยู่
...จิตแท้หรือจิตหนึ่งนั้น
...จะไม่ปรากฎเลย...
เมื่อใดไม่มีความคิดปรุงแต่ง
จิตหนึ่งก็ปรากฎทันที
เรียกอีกอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่าจิตเข้าถึงความว่าง
...ตัวเองหาย กลายเป็นความว่าง หรือจิตหนึ่งไป...
ความคิดปรุงเเต่งนั้น เจือด้วยอุปาทาน
หรือความยึดถือในของคู่ๆ...
ถ้าไม่หลงในของคู่ อุปาทานก็ไม่เกิด
คือกิเลสตัณหาไม่เกิดนั่นเอง
สภาพจิตเดิมแท้จะปรากฎออกมา
เป็นความว่างจากกิเลสตัณหา
หรืออุปาทานโดยประการทั้งปวง....
( คำสอนฮวงโป )
เมื่อไม่แบ่งแยกจึงไม่เกิดการแต่งต่างแบ่งแยก
เมื่อ 100คนก็100ร้อยความคิด จึงต่างกัน
เห็นเหมือนกันก็รักกัน ก็ศรัทธากัน รู้สึกดีกัน
เห็นไม่เหมือนกัน ก็เกียจ อาฆาต ทิ่มแทง
ทำร้ายทำลายกัน ใส่ร้ายกัน อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
สัตว์โลกก็ตกอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้
ไม่อาจนอกเหนือได้
ไม่หลงโลกก็หลงธรรม
คนติดโลกก็ทะเลาะกันแบบหลงโลก
คนติดธรรมก็ทะเลาะกันแบบติดดีเอาธรรมมะมาทะเลาะกัน ทิ่มแทง เรื่องเยอะตาม
มัวแต่
เอาแพ้ เอาชนะ
เอาโง่ เอาฉลาด
เอาถูก เอาผิด
เอาใช่ เอาไม่ใช่
เอาให้ได้ดั่งใจคิด
เอาไม้บรรทัดออกซิ
ความลับของพุทธศาสนา คือ
การเพิกถอน ความเห็น ความเชื่อ
และ หลักการใดๆ ให้หมดสิ้น
“ สังสารวัฏ คือ จิตที่ส่งออกข้างนอก
และหลงอยู่ใน หลงอยู่ในสิ่งที่คิดขึ้นเอง
นิพพาน คือ ไม่ใช่ความคิด จึงไม่มีแบ่งแยก
ไม่มีนอก ไม่มีใน ไม่ใช่กาย ไม่ใช่จิต
มันออกจากภาษาไร้สมมุติบัญติ
...ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์
เคยสอนธรรมนี้ให้ชายผู้หนึ่ง
ที่มีภูมิธรรมสูงชื่อว่า " พระพาหิยะ "
.....เห็นสักว่าเห็น...
.....ได้ยินสักว่าได้ยิน...
.....รู้ก็สักว่ารู้....
.....รู้แจ้งก็สักว่ารู้แจ้ง......
สักแต่ว่าหมายถึงไม่มีตัวตนไปปรุงต่อ
เมื่อเธอไม่มี โลกนี้ โลกหน้า ระหว่าง 2 โลกก็ไม่มี
แต่ถ้า
โลกนี้ที่วุ่นวายหนอ วุ่นวายหนอ
โลกนี้ไม่เคยวุ่นวายเลย
มีแต่ใจเจ้าแหละที่วุ่นวาย โลกไม่เคยบอกอะไรเลย
มีแต่เจ้าแหละ คิดไปเองคนเดียว
จึงมีคนดี คนชั่ว มีคติ อคติ สงบ วุ่นวาย ตามที่เจ้าคิด
"สรรพสิ่งหาได้เป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่
ความหลงผิดต่างหากที่เป็นตัวการ"
เวลาและภพชาติของทุกคนไม่เท่ากัน
อยู่ที่การยึด
ตาที่มอง หรือ ใจที่มองด้วยอะไร
คติ หรือ อคติ
ทิฐิ มานะ ความอหังการ
"ทิฐิ” แปลว่า “ความเห็น”
“มานะ” คือ ตัวเข้าไปยึด เป็น “ตัวอุปทาน”
คำว่า " หลุดพ้น” คือ อิสระจากทุกสิ่ง
คำว่าหลุดพ้น กับคำว่า ยึดติด มันคนละเรื่องเลย
ความคิด พูด ความรู้สึก หรือ กระทำ
ปราศจาก หรือ ไร้ใจมอง ไร้คติ หรือ อคติ
ไม่เอาความเห็นส่วนตัวไปใส่ไป ไร้มิตร ไร้ศัตรู
ก็จะเป็นการมองแบบ พุทธะ
......................................
พาหิยะ !
เมื่อใดเธอ เห็นรูปแล้ว สักแต่ว่าเห็น
ได้ฟังเสียงแล้ว สักแต่ว่าฟัง
ได้กลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสทางผิวกาย,
สักแต่ว่าดม ลิ้มรส สัมผัส
ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักแต่ว่ารู้แจ้งแล้ว
เมื่อนั้น “เธอ” จักไม่มี.
เมื่อใด “เธอ” ไม่มี เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้,
ไม่ปรากฏในโลกอื่น,
ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง :
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ แล้ว
อุ. ขุ. ๒๕/๕๘/๔๙. -
................................,..
พระพุทธเจ้า ได้ตรัสสสอนพระราหุล
ถึงธาตุ ๕ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ
โดยแยกออกเป็นส่วนๆ ตอนท้าย
ได้ตรัสให้พระราหุลให้ใจเหมือน
ดินน้ำไฟลมอากาศ พอสรุปเป็นใจความได้ดังนี้
“๑. ราหุล ! เธอจงเห็นจิตเหมือนแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเห็นจิตเหมือนแผ่นดินเป็นประจำอยู่เสมอแล้ว เมื่อกระทบอารมณ์ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ดี อารมณ์เหล่านั้นจะไม่สามรรถทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
ราหุล ! เปรียบเสมือนคนทั้งหลาย ทิ้งสิ่งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง บ้วนน้ำลายรดบ้าง เทสิ่งของสกปรกอื่นลงบ้าง ลงที่แผ่นดิน แต่แผ่นดินจะอึดอัดระอา หรือรังเกียจด้วยสิ่งของนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?
ราหุล ! เธอจงเห็นจิตเสมอแผ่นดินฉันนั้นแล
เพราะเมื่อเธอเห็นจิตเหมือนแผ่นดินอยู่ เมื่อมีการ
กระทบกับอารมณ์เกิดขึ้น ความรักหรือความชัง
ก็จะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ฉันนั้น
๒. ราหุล ! เธอจงเห็นจิตเหมือนน้ำเถิด
เมื่อเธอเห็นจิตให้เหมือนน้ำแล้ว
จะไม่เกิดความชอบหรือความชัง ครอบงำจิตได้
ราหุล ! เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย
ล้างของหรือทิ้งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างลงในน้ำ น้ำจะอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยของนั้น ๆ
ก็หาไม่ ฉันใด ?
ราหุล ! เธอจงเห็นจิตเสมอด้วยน้ำฉันนั้นแล เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว ความชอบและความชัง จะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ฉันนั้น.
๓. ราหุล ! เธอจงเห็นจิตเหมือนไฟเถิด เพราะไฟนั้น เมื่อมีผู้ทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิ้งอุจจาระ ปัสสาวะบ้างฯ ไฟจะรู้สึกอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด ?
ราหุล ! เมื่อเธอเห็นจิตเหมือนด้วยไฟอยู่
การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไม่ปรุงแต่งให้จิตแปรปรวนได้ ฉันนั้น.
๔. ราหุล ! เธอจงเห็นจิตเหมือนลมเถิด
เพราะลมนั้นย่อมพัดไปถูกต้องของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง พัดถูกอุจจาระ ปัสสาวะบ้างฯ ลมจะรู้สึกอึดอัดระอาหรือรังเกียจต่อสิ่งเหล่านั้นก็หาไม่ ฉันใด ?
ราหุล ! เมื่อเธอเห็นจิตเหมือนด้วยลมอยู่
การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไมปรุงแต่งให้จิตของเธอแปรปรวนได้ฉันนั้น.
๕. ราหุล ! เธอจงเห็นจิตเหมือนอากาศเถิด เพราะอากาศนั้นไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ฉันใด ?
ราหุล ! เมื่อเธอทำเห็นเหมือนด้วยอากาศอยู่ตลอดเวลาแล้ว เมื่อกระทบกับอารมณ์ย่อมจะไม่เกิดความชอบและความชังขึ้นได้ ฉันนั้น”
(มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๒๖)
เมื่อการมอง หรือ การคิด
ทุกการเคลื่อนไหวเป็นสักแต่ว่า
มันจึงไร้มวลหนักมวลเบาเอง
เป็นสักแต่ว่าธาตุ
จึงพ้นไปจากแรงดึงดูดจากสังสารวัฎ
เมื่อไหร่มองโลกนี้ด้วยความว่าง
มัจจุราชก็ตามไม่ทัน
วีธึจะสักแต่ว่า มันไร้วิธี ไม่ใช้การคิดเอา
จึงไม่มียาก ไม่มีง่าย ไม่โง่ ไม่ฉลาด
ไม่เกี่ยวกับปัญญา ไม่เกี่ยวกับเวลา ไม่ช้าหรือเร็ว
ไม่ใช่การสอน แต่เป็นจิตสู่จิต พ้นจากการจำ
ถ้ามีวาระเจอกันด้วยเวลาที่พร้อมก็เจอกันนะโยม
จิตและจักรวาล มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
ไว้อย่างพิสดารว่า จิต วิญญาณ
เกิดจากรูปนามของจักรวาล และ นิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม ไว้ดังนี้
“สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน
รวมแล้วมี รูป กับ นาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม
ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิด
ตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม
ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา---ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้
ต้องมีนาม--ความว่าง--คั่นระหว่างรูป
รูปจึงเคลื่อนไหวได้”
“เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้
สรรพสิ่งของวัตถุ--สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิต---จึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ
สืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง
“จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนาม ของจักรวาล
มันเป็นมายาหลอกลวง แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิต-ที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิต วิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่
‘นามว่างที่ปราศจากรูปนี้
เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม”
“เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว ‘จิตเห็นจิต อย่าง แจ่มแจ้ง’
จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง
มันอยู่เหนือคำพูดและพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง
รวมกันเข้ากับ
ความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม
เข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า ‘นิพพาน’ ”
( หลวงปู่ดูลย์ อตุโล )
เธอวางใจและปล่อยลงในธรรมชาติแห่งจิต
นั้นอย่าง ไร้รูปแบบ ไร้กำหนด ไร้ควบคุม
ไร้ตัดสิน ไร้ยึดถือ ไร้ครอบครอง
เมื่อจิตไม่ถูกจำกัดด้วยข้อจำกัด
ณ เวลานั้น คือ ใจที่เปิดกว้าง ไร้ขอบเขต
สู่กระแสความยิ่งใหญ่สู่ทุกมิติ อย่างที่สุดไม่มีประมาณ
มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว
เมื่อไหร่ หมดความหลงที่จะเข้าถึงสิ่งใด
ไม่หลงว่าตัวเองเป็นอะไรๆ ไม่หลงคิดเอาเอง
เมื่อนั้นจะเห็นความจริง
ที่บรรลุโดย ไม่มีผู้บรรลุ
เข้าถึง โดยไร้ผู้เข้าถึง
บรรลุ โดยไร้การกระทำ
ไม่มีผู้เป็นเจ้าของธรรม
ไม่มีสมมุติบัญญัติจะเรียกได้
ไม่กระทำ มันจึงเป็นธรรมเอง
วางโดยไม่มีผู้วาง ว่างโดยไม่มีผู้ว่าง
จึงไม่มีผู้ติดผู้หลุด
มีแต่ธาตุที่หมุนเวียนไปเอง
ไร้ตัวตน โดยที่ไม่นึก หรือ คิดเอาเอง
( พระปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม )
"ฉันไม่ชื่นชม
ผู้ที่สามารถ เสกใบไม้ให้เป็นสัตว์ได้
ทำนายทายทัก รักษาผู้คนได้
แต่หากใครสามารถ
ละจากอารมณ์อกุศลได้เพียงครั้งเดียว
แม้เพียงอารมณ์เดียวได้ ก็ยังน่าสรรเสริญกว่า
แต่การละอกุศล
ก็ยังไม่เท่าการ เข้าถึงการไร้การกระทำ
อนัตตา แปลว่า
ทุกสิ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา
จึงไม่มีทั้งการเข้าถึง หรือ กระทำ เป็นเช่นนั้น
มนุษย์และสรรพสัตว์ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนร่างกายและจิตใจ
มันก็ทำงานเองอยู่แล้ว เมื่อไหร่ว่าทุกสิ่งบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อนั้นจึงพบความจริง ตัวตนก็ย่อมหายไปเอง คลายจากสิ่งยึดติดเอง
อัตตาเป็นทรัพย์ของปุถุชน
อนัตตาเป็นอริยทรัพย์ของบัณฑิต
เมื่อท่านได้ทำความเข้าใจรู้จักความเป็นธรรมชาติ ความเป็นอนัตตาคือธรรมชาติแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นปัญญาที่ดีที่ทำให้ท่านเข้าถึงความเป็นธรรมชาตินั้นๆ โดย ไม่ต้องทำอะไรลงไปอีกเลย
เมื่อจิตเข้าถึงนิพพานอันคือธรรมชาติที่แท้จริงแห่งจิต ท่านก็จะไม่เห็นนิพพานในลักษณะเป็นภาวะนิพพานที่มันเกิดขึ้น
แต่ถ้า ท่านเห็นนิพพานด้วยความเป็นจิตแห่งภาวะที่เกิดขึ้น ท่านก็กำลังหลงตัวเอง
เมื่อไหร่แม้แต่นิพานก็ไม่ต้องการแล้ว
นิพานเป็นเพียงชื่อเรียกสมมุติบัญญัติขึ้น
นามสูตร
ว่าด้วยเทวตาปัญหา 3 ข้อ เทวดาทูลถามว่า ?
อะไรหนอครอบงำสิ่งทั้งปวง
สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าสิ่งอะไร ย่อมไม่มี
สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่ง
คืออะไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ชื่อ ย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง
สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่า ชื่อ ไม่มีชื่อ
สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือ ชื่อ.
หลงสมมุติบัญติ
ถ้าใครบอกว่าหลุดพ้นแล้ว
นิพานแล้ว จบแล้ว อรหันต์แล้ว
ยังยินดีพอใจนิยมชมชอบในชื่อแล้ว
ผู้นั้นยังเป็นผู้หลงในชื่อ ในนาม ในความพอใจอยู่
ผู้บรรลุแล้วพ้นไปจากสมมุติแล้ว
จึงไม่ได้ดีใจหรือพอใจ อะไรในความมี หรือ ไม่มี
ท่านจึงเห็นว่า
คำว่านิพานหรือคำว่าอรหันต์ เป็นเพียงสิ่งไร้สาระ
จะมีตัวตน หรือ ไร้ตัวตน ยิ่งไร้สาระ
ระวังนะ เขียนมาให้อ่านเล่นๆ สะกิดๆ
คนมีธรรมมะดับ เย็น เบาโปล่งโล่ง สบาย
อิสระจากอารมณ์ ไม่โดนความคิดหลอก
หมดความหมาย กระแสเย็น มวลเบา ละเอียด
ไม่สำคัญตนว่าเป็นอะไร ไม่ยึดแม้นธรรม
คำว่า อรหันต์ และ คำว่าหลุดพ้น
ก็ไม่ต้องการ พ้นจากสมมุติบัญญัติแล้ว
มีร้อยคน พันคน ก็เหมือนไม่มี
คนหลงยึดธรรม เอาธรรมไปเป็นศาตร์ตราอาวุธ
ทิ่มแทงผู้อื่น เผาตัวเองและผู้อื่น มีแต่เปรียบเทียบ
แต่ละขณะจิต มีแต่ความรุ่มร้อนโดนอารมณ์หลอก
มีแต่ความยึดมั่นมีตัวตนเป็น ผู้มีธรรม ติดดี
จะหลงไปเป็นอรหันต์ เป็นผู้หลุดพ้น
เพี้ยนมักเอาอดีต หรือ สร้างเรื่องราว มาให้คนหลง
ต้องการให้คนยอมรับ อยู่คนเดี่ยวไม่ได้
ต่างกันสิ้นเชิง
เราอาจจะพลาดอะไรไปบ้าง สะกิดบ้างอะไรบ้าง
เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้มีปัญญาที่สว่างไสว
แต่ผู้ใดปัญญามืดบอดจะมองว่าอาจารย์คงไปด่า
ก็ขออภัยนะ ไม่ได้ว่าใครเลย
แค่วินาทีเดียว ก็อย่าหลงไปเป็นอะไรๆเลย
ไม่พิมพ์เยอะเดี่ยวเจ็บนิ้ว ไม่พูดมากเดี่ยวเจ็บคอ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตามไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า อนิจจัง
สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ครั้นแล้วจึง
บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม
ธาตุนั้น คือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา
ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ
เมื่อใดท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น
ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามหน้าที่ของมัน
ท่านก็จะพ้นจากความเกิด และ ความตาย
ท่านจะเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง (จิตเปลี่ยน)
ท่านจะเป็นนายของจิต คือมีกำลังใจ
ซึ่งไม่มีอะไรจะมาขัดขวางได้
ท่านจะพบกับความสงบสุขทุกหนทุกแห่ง..
จะคิดหนี คิด สู้ คิดปฎิบัติ คิดกำจัด คิดปล่อยวาง
คิดว่าว่าง หรือ ไม่ว่าง คิดว่าโพล่ง หรือ ไม่โพล่ง
คิดว่าจบแล้ว หรือ ไม่จบ คิดว่าเราติดอะไรเลยไม่พ้น
ใครเล่าเป็นผู้คิด
กายตายไป สิ่งที่คิด ก็เหมือนเมล็ดพันธ์
ใครเป็นผู้ตอกยำ้ไว้ รดน้ำไว้
จึงมีผู้หลงมีทาง และ ผู้เดินทาง ไปไม่รู้จบ
ไม่ใช่หน้าที่เราจะเปลี่ยนแปลง
เรามิได้ปฏิบัติวิปัสสนา
ด้วยเจตนาเพื่อดับตัวตน
เพราะไม่เคยมีตัวตนให้ดับ
แต่ต้องดับอุปาทานที่ไปหลงว่ามีตัวตน
ความคิดไม่ผิด ไม่ได้ฝึกห้ามไม่คิด
แต่ผิดที่เห็นความคิดว่าเป็นเรา
กายนี้ไม่ผิด เซลล์นี้ไม่ผิด การป่วย การตาย ไม่ผิดอะไร
แต่ผิดที่เห็นว่านี้คือ เรา เป็นของๆเรา
ถึงกายตายไปแล้ว จะกี่ยุค
ความหลงก็จะตู่ ไปเรื่อย
คิดเองเรื่อยไปมาเป็นร้อยล้านชาติ
หลงกูถูก หลงกูดี หลงกูไม่หลุดพ้น หลงกูหลุดพ้น
หลงคิดหนี หลงคิดจะสู้ หลงตื่น ไม่ตื่น
หลงคิดจะปฎิบัติ หลงว่าไม่ปฎิบัติ
หลงเป็นเราไปเป็นเจ้าของ จะกี่หลงมันก็ตัวเดียวกัน
มันก็เป็นอย่างงี้มาเป็นล้านๆชาติ
เวลาและภพชาติของทุกคนไม่เท่ากัน อยู่ที่การยึด
หลงไปเป็นเจ้าของ
" ที่ใดไร้การยึด
ที่นั่นก็ไร้ ทัศนะข้อจำกัด "
การไม่ยึดมั่นถือมั่น
จะเป็น สัมมาทิฏฐิ เอง
"...เมื่อเธอรู้ ธรรมชาติของจิต
สิ่งที่ไม่จริง จะสลายตัวไป ตามธรรมชาติ
และไม่ต้อง อุตสาหะพยายามอีกต่อไป..."
เพราะจะรู้ว่า ไม่มีเราเกิด หรือ ตายจริง
การรู้จักเส้นทางเป็นเรื่องหนึ่ง
คอยหนีหรือ จะสู้
การเดินไปในเส้นทางนั้น ๆ ก็ฝั่งหนึ่ง
การเกิดมายากับการกำจัดมายา
มันก็เป็นมายาทั้งคู่
การศึกษาแสวงหาใดๆ
มันก็เป็นแค่ตัวอักษรและวาจาและความจำ
ความเชื่อในหยาบ ก็เพียงเชื่อในการปรุงแต่งของสังขาร
ความเชื่อในทิพย์ ก็เพียงเพิ่มมานะให้ตัวตน
ความเชื่อในอจินไตย ก็เพียงความหลงในทิพย์ละเอียด
...ยุติทุกความเชื่อ ไม่ใช่ที่เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ
...ยุติทุกความเห็น ไม่ใช่ที่เห็น หรือ ไม่เห็น
...ยุติในทุกข์โทษ "ความเชื่อ" คลายสิ่งทั้งปวงในอุปทาน
พุทธิภาวะ เกิดขึ้นได้จากการไม่ยึดติด
กับหลงตัวตนของตนและสิ่งทั้งปวง
ปรากฎการณ์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกใบนี้
เป็นแค่"จิตรู้เป็นแค่ขณะๆหรือหลงรู้"เท่านั้น
หาใช่ชีวิตไม่.
มันเป็นแค่ การเกิดดับสืบต่อ ของการรับรู้
จิต จึงเป็น แค่ อุปกรณ์ในการรับรู้โลก
และเป็นส่วนหนึ่งของสังขตธรรม
ที่ดำรงอยู่แค่ขณะๆและดับไป ตามเหตุปัจจัย
ไม่มีอะไร ที่เป็นชีวิตเลย
นอกจาก สังขารการปรุงแต่ง
ไม่กลัวตาย
เพราะไม่มีอะไรตายจริง
มีกระแสแห่งธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัยเท่านั้น
ไม่มีอะไรต้องสูญเสีย หรือ
มีแต่ความหลงสลายคลายไปเองตลอด
ใจที่ไร้กังวล
มันคือความอิสระ
ไม่โดนความคิดครอบงำ
เมื่อเรามองด้วยความเป็นฉัน
เมื่อนั้น เรายังฝันอยู่
เมื่อใดมองว่าเราและเธอ
เป็นเพียงเช่นนั้นเอง
เมื่อนั้นจะตื่นหรือไม่ตื่น
คิดว่าตื่น หรือ ตื่นออกจากความคิด
ก็ยังติดที่ภาษาชื่อสมมุติหรือไม่แค่อาการของจิต
ก็ไม่มีอะไรสำคัญกับอะไรๆเลย
"มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ"
"สมมติบัญญัติที่มีชื่อ "
"สิ่งนั้นก็ไม่ใช่สัจจธรรม แต่เป็นสมมุติ "
คือ ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น
มีเกิดและไม่เกิด มีเปลี่ยนและไม่เปลี่ยน
สิ่งซึ่งไม่เกิดย่อมสามารถเกิดความเกิด
สิ่งซึ่งไม่เปลี่ยนย่อมสามารถเปลี่ยนความเปลี่ยน
สิ่งที่เกิดมิอาจจะไม่เกิด สิ่งที่เปลี่ยนมิอาจจะไม่เปลี่ยน
ฉะนั้น จึงมีการเกิดเป็นนิจ มีการเปลี่ยนเป็นนิจ
สิ่งที่เกิดและเปลี่ยนเป็นนิจ
ย่อมไม่มีกาละแห่งการไม่เกิด
ไม่มีกาละแห่งการไม่เปลี่ยน
หยินหยางก็ดี ฤดูกาลทั้งสี่ก็ดี ก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งที่ไม่เกิดย่อมมีอิสระสถาพร
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนย่อมวนเวียนซ้ำซาก
ในความวนเวียนซ้ำซาก อาณาเขตย่อมไม่มีที่สิ้นสุด
ในความอิสระสถาพร เต๋าย่อมไม่มีจุดจบ
Motion (changed from Movement)
เคลื่อนไหว
移动
When the wind blows, grass tops flow.
ลมพัด....ยอดหญ้าไหว
当风吹,草尖飘动
น
The grass tops move by the flow of the wind. The conditioned state (Sankara) changes and moves by mental impression.
ยอดหญ้าย่อมเคลื่อนไหวไปตามแรงลม ดังสังขารเปลี่ยนแปลงไปตามผัสสะที่กระทบ
草尖一定飘动由吹风力,如许行蕴由心影
The motion of the conditions emerges within the still mind.
ความเคลื่อนไหวของสังขาร ย่อมปรากฏอยู่ภายในใจที่ไม่เคลื่อนไหว
移动的行蕴一定出现在无移动的心
Such motion continues within motionlessness.
ความเคลื่อนไหวย่อมเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางความไม่เคลื่อนไหว
移动一定行动在无移动中
Such motion appears within non-existence.
ความมีย่อมปรากฏอยู่บนความไม่มี
有内存空
The motionlessness or nothingness is the unconditioned state (visankhara).
ความไม่เคลื่อนไหว หรือความไม่มีอะไร คือ ใจที่ไม่สังขาร (วิสังขาร)
移动和空,就是无行
The conditioned and unconditioned states naturally co-exist.
สังขาร และวิสังขารมีอยู่แล้วในธรรมชาติ
行与无行存在自然中
Those who can see motion within motionlessness,
ผู้ใดเห็นความเคลื่อนไหว อยู่ในความไม่เคลื่อนไหว
谁看到移动在无移动中
observe the non-existence within existence.
เห็นความไม่มีในความมี
看到空内存有
Those who are at peace among wilderness internally and externally,
สงบได้ท่ามกลางความวุ่นวาย ทั้งภายนอก และภายใน
内身和外身,都和平在纷扰中
must be known as the most noble one.
ผู้นั้นได้ชื่อว่า ยอดคน หรือ “อริยบุคคล”
这儿就是高洁尊严人
ยึดในความอิสระ ก็จะไม่อิสระ
ยึดว่าว่าง ก็จะไม่ว่าง
ยึดว่ากูฉลาด ยิ่งโง่ถูกสังสารวัฎใช้งาน
จิตที่อิสระ จะไม่มีเป้าหมาย
มีเป้าหมาย ก็จะไม่อิสระ
ยิ่งหาวิธีการ เงื่อนไข รูปแบบ ได้แค่ ตัณหา
เหมือนสร้างพันธนาการหรือขีดจำกัด
โดยไม่รู้ตัว ไม่เห็นตามความเป็นจริง
มีแต่โดนความคิดหรอกว่า อิสระ
แต่โดนสิ่งที่เราสร้างจำกัดอยู่
การปฏิเสธอัตตา คือ การยิ่งเพิ่มอัตตา
ยิ่งปฎิเสธสมมุติ คือ ยิ่งมีตัวพยามหนีพยามสู้
นั้นยิ่งหลง สมมุติว่ามีจริง แต่ไม่รู้ความเป็นจริง
จะหนีความวุ่นวาย ไปหาความสงบ
ใครเล่าเป็นผู้สร้างความวุ่นวายและความสงบ
จิตที่เป็นอิสระ
รู้เรื่อง แต่ไม่เอาเรื่อง
"ความรู้จริง" "เห็นจริง"
จะรู้จริงหรือรู้ไม่จริง
จะเห็นจริงหรือเห็นไม่จริง
รู้จริงก็หลง ( หลงเป็นจริง)
รู้ไม่จริงก็หลง ( หลงว่าตัวเองไม่รู้)
รู้ทันก็มายา รู้ไม่ทันก็มายา
สิ่งที่รู้ ยึดว่ากูรู้
ความอหังการก็ตามมา เป็นแค่อวิชา
ผู้รู้ มิใช่ธาตุรู้
ธาตุรู้บริสุทธิ์
มิใช่เราบริสุทธิ์
รู้ ที่ไม่มีเจ้าของ เป็นวิชา รู้ที่หลุดพ้นในตัวมันเอง
รู้ ที่หลงไปเป็นเจ้าของเป็นอวิชา หลงยึดหลงติด
ใครรู้เยอะๆ สิ่งที่รู้นั้นเป็นสังขารหมด
อิสระ จากความคิด
มิใช่เพียง คิดได้แค่ อิสระ
ใจที่ไร้กังวล
มันคือความอิสระ
ที่ไม่โดนความคิดครอบงำ
หลบหนีหรือจะสู้ก็มาจากสิ่งที่ตนสร้างเองหลงเอง
มันก็ต้องผ่านหมดไปเอง
"มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ"
"สมมติบัญญัติที่มีชื่อ "
"สิ่งนั้นก็ไม่ใช่สัจจธรรม แต่เป็นสมมุติ "
รู้เท่าทัน คือไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น ไม่เข้าไปอยู่
จิตเดิมมันก็ไม่บอกเป็นจิต
หลงความเป็นจิต หลงยึดกาย ลูกเราแฟนเรา
เป็นลูกศิษย์ เป็น อาจารย์ บ้านเรา ประเทศเรา
นั้นนู้นนี้ของเรา ไปเป็นเจ้าของ
มีแต่ความหลง
ไปเกาะไปจับไปยึดไปตู่ว่าเป็นเรา มานับชาติไม่ถ้วน
และความหลงนี้สืบต่อไปเรื่อยๆ ตามแรงอดีต สู่ปัจจุบัน พลักดันสู่อนาคต เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น
( เคยถามเซลล์ เคยถามเลือดในกาย ถามอากาศ
ว่าใครเป็นเจ้าของ มันไม่เคยตอบอะไรเลย )
หลงเป็นเจ้าของเสร็จจึงเกิดความกลัว
ความพลัดพลาก การเสื่อมสลาย ยอมไม่ได้
จึงหาที่พึ่ง หาที่ยึดเหนี่ยว หาของขลัง
หาคนทำนายทายทัก หาที่พึ่ง หาที่ยึดเหนี่ยว
หาอาจารย์ ติดหลงเอาอดีตเมื่อร้อยชาติพันชาติ
เคยเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสิ่งต่างๆมาหลอกให้ยึดต่อ
เกิดมาทุกชาติๆ มันก็อ่อนแอทางใจ
จิตวิญญาณจะอ่อนแอ โดนกระแสอะไรๆง่าย
โดนปั่นกระแสง่าย โดนสะกดจิต โดนผูกจิต
ก็หลงรัก หลงศรัทธา ยึดอะไรก็สุดโต่งไป
เสียเวลาไปชาติหนึ่งไม่ พอสู่ภพชาติต่อไป
เราถูกสิ่งเหล่านี้พลักดันมาจากอดีต สู่ปัจจุบัน
และ ก็จะมีมากเรื่อยๆสู่อนาคต ต่อไปนับไม่ถ้วน
เมื่อไหร่ใจที่หมดภาระ ใจที่ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว
ใจจะอิสระจากความกลัว และ ความไม่ได้ดั่งใจ
จึงพ้นจากกระแสหรือแรงดึงดูดของสังสารวัฎได้เอง
พุทฺธัง สรณัง คัจฺฉามิ
พุทธะ จึงปรากฎเอง จะหมดสงสัยในทุกสิ่ง
เรากราบพระพุทธเจ้า รู้จักท่านจากตัวเองรึยัง
มิใช่คำกล่าว ที่บอกต่อๆ เล่าต่อๆ กันมา
"วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม"
"ในการจะเข้าถึงพุทธธรรมนั้น
แม้แต่ความเชื่อในครูของตน หรือแม้แต่การถือ
เอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
เป็นที่พึ่งก็ต้องเปลื้องออก!"
" บันลือสีหนาท " ณ พุทธสมาคม กรุงเทพฯ
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940)
เพราะ นิพพานเป็นความไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง
พุทธธรรมจึงจะปรากฏเฉพาะแก่จิตที่เป็นอิสระ
ไม่มีอะไรผูกมัดหรือย้อมติดเท่านั้น
การยึดมั่นในองค์ศาสดาหรือครูบาอาจารย์ของตน แม้อาจเป็นประโยชน์ใน จิตระดับขั้นศีลธรรมก็จริง แต่มันจะกลับเป็นอุปสรรคในขั้นหลุดพ้น
ทำให้จิตไม่อาจเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงได้
เพราะ สิ่งที่เป็นอิสระ จึงจะพบสิ่งที่เป็นอิสระด้วยกันได้ ถ้าคนเราไม่มีความคิดที่เป็นอิสระในขั้นความเชื่อแล้ว ความคิดอันเป็นอิสระขั้นสูงสุดจักเกิดขึ้นไม่ได้เลย เนื่องจาก "พุทธธรรม" ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือพื้นที่และกาลเวลา สามารถสัมผัสได้ด้วยญาณจักษุเท่านั้น
และพุทธธรรมยังเป็นสิ่งที่มีอิสระในตัวมันเองด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าถึงสิ่งนี้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องเป็น
ผู้มีใจอิสระ ก่อนเท่านั้น คือ เป็นอิสระโดยจิตใจ
เป็นอิสระต่อความลุ่มหลงมัวเมาต่อเหยื่อล่อของโลก และเป็นอิสระต่อความเชื่อที่ยึดมั่นติดมั่นจำกัดวงปัญญาให้คับแคบ ถ้าคนเราปราศจากเสียซึ่งความเป็นอิสระดังกล่าวแล้ว ย่อมไม่อาจเข้าถึงพุทธธรรมได้เลย
การยึดถือที่พึ่งอย่างไตรสรณะ เป็นจิตในระดับขั้นศีลธรรม หรือขั้นที่ยังต้องทำความดีความงามวนเวียนอยู่ในโลกเพื่อไปสู่โลกที่สูงขึ้นไป เช่น โลกสวรรค์ การยึดถือที่พึ่งจึงไม่อาจมีในขั้นที่เป็นความหลุดพ้น เพราะความหลุดพ้นของผู้ที่หลุดพ้นแล้วไม่ว่าก่อนหรือหลัง ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ย่อมเสมอกัน และเป็นอันเดียวกันหมด จึงไม่มีใครเป็นที่พึ่งแก่ใครได้ ในขั้นนี้เป็นขั้นที่แต่ละคนเป็นอิสระโดยตัวเองอย่างเด็ดขาดแล้ว จึงไม่มีใครเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันอีกต่อไป จะมีก็แต่กัลยาณมิตรของกันและกันเท่านั้น
อินทปัญโญจึงบอกว่า การยึดถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจึงมีความหมายเพียงในขั้นต้นๆ สำหรับ คนผู้ยังต่ำเกินไป ยังไม่สามารถเข้าใจในการยึดตัวเองเป็นที่พึ่ง และยังไม่มีปัญญาขนาดเลิกการถือที่พึ่ง โดยประการทั้งปวงในที่สุด สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้แก่สาวกทั้งปวงนั้น คือ
"การหลุดพ้นออกไปเสียจากความผูกพันกับสิ่งใดๆ ทั้งหมด รวมทั้งพระองค์เองด้วย และรวมทั้งตัวของตัวเองด้วย"
....รำลึก 100 ปีชาตกาล พุทธทาส....
จากขอม ล้านช้าง เชียงแสน จากสุโขทัย
อยุธยา ธนบุรี กรุงเทพ
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482
จาก สยาม เปลี่ยน เป็น ไทย
อดีต ทั้งสยาม หรือ คนไทย เราเป็นอะไรจริง
อดีตเคยเราเคยเป็นนักเรียน
ปัจจุบันเราเป็นเจ้าของกิจการ เป็นพนักงาน
เป็นแม่ค้า เขาเรียกแอร์โฮสเตส พอลงจากเครื่อง
เป็น พี่ เป็น น้อง คุณตา คุณยาย เป็นพระ เป็นโยม
เป็นเจ้าสำนัก เป็นนักปฎิบัติ เป็นลูกค้า แม่ค้า
กลับบ้านไปก็เป็นนั้นนู้นนี้ เปลี่ยนไปทั้งวัน
เราเป็นจริงไหม มันก็แค่ชื่อที่ใส่ให้
จนทุกๆขณะก็เปลี่ยนตลอดเดี่ยวดีใจ เสียใจ
ร้องให้ หัวเราะ มีแต่สิ่งเปลี่ยนแปลง มีเราไหม
ถ้ามนุษย์ไม่ตั้งชื่อให้ เดิมแท้คืออะไร
หลงจริงหลงจัง ขณะจิตหนึ่ง
มันไม่เคยบอกว่ามันเป็นอะไร ๆ ชื่ออะไร
มีแต่ความหลงว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นนั้นนู้นนี้
มีความหลงว่ามีชีวิตมีตัวตนเป็นขณะๆ
แล้วก็หายไปๆ เดี่ยวก็มาใหม่ สลับสับเปลี่ยน
จากอดีต สู่โลกนี้ และโลกหน้า
ถูกสมมุติใช้ที่ไม่มีวันจบสิ้น
กายตายไป แต่ยังหลงความเป็นจิต
หลงเป็นสิ่งที่คิด
หรือใช้สมมุติเป็น รู้จักมัน ไม่หลงมัน
มันก็หมดภพหมดชาติ
สักแต่ว่า
พาหิยะ .. เธอจงศึกษาอย่างนี้ว่า
เมื่อ เห็น จงเพียง สักแต่ว่า เห็น
เมื่อ ได้ยิน จงเพียง สักแต่ว่า ได้ยิน
เมื่อ รู้ จงเพียง สักแต่ว่า รู้
เมื่อ คิด จงเพียง สักแต่ว่า คิด
พาหิยะ .. เธอพึงเห็นอย่างนี้ ..!!
..
ขุ.อุ. ๒๕.๑๐.๑๐๑
" ตัวกู "
คือ กายสังขาร และ จิตสังขาร
ยังมีอยู่ ก็จะมีการกระทำ
เริ่มต้นคิด จึงเกิด
ที่นำไปสู่ "การเกิด"
ทุกๆการเกิด นั้นเป็นสังขาร
ตื่น โปล่งโล่ง เบา สบาย สุข ละเอียด แสงสว่าง
สมาธิ สติ ปัญญา บารมี ศรัธรา ความดี ไม่ดี
หยาบ เกียจ โกรธ โลภ รัก สงบ วุ่นวาย พยายาม
สนุกสนาน เศร้า เหงา มวลหนัก และ มวลเบา
จะวิเศษมหัศจรรย์หรือแย่ที่สุดในชีวิต ก็สังขาร
สิ่งที่นึกขึ้นรู้สึกได้มีชื่อได้ล้วนเป็นสังขาร
หรือสิ่งที่คิดว่าปัจจุบัน นั้นแหละ สังขาร
( ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่สอนให้หลงไปเป็นสังขาร)
ยิ่งท่านเป็นเจ้าของสิ่งใดสภาวะเท่าใด
ท่านก็จะถูกปิดกั้นไว้มากเท่านั้น...
คิดว่าใช่ หรือไม่ใช่ ท่านหลงยึดสิ่งนั้นแล้ว
คุณไม่จำเป็น ต้องหนีหรือสู้เงาตนเอง
แค่รู้ตามความเป็นจริง
ถ้ายังมีพุทธะและมาร วิสังขารกับสังขาร
โลกิยะ กับ โลกุตละ จบกิจ หรือ ไม่จบ
ก็ได้เป็นเพียงการปรุงแต่งของเธอเอง
ยังมีผู้ให้ความหมายในใจเธอเอง
ตื่นจากความคิด
กับ คิดว่าตื่น
การตื่น หรือ ตื่นรู้
หรือ ตื่นโพล่ง ตื่นสว่าง ตื่นโล่ง
จึงเป็นผล จึงเกิดเป็นการตื่นหลายรูปแบบ
ถ้ายังหลง ก็จะมีผู้ตื่น และไม่ตื่น
ตื่นจากมายา จะไม่ใช่ที่ตื่น หรือ ไม่ตื่น
จึงหมดสิ่งที่หลงกับอาการทั้งปวง
ทั้งหมดล้วนมาจากหลุดพ้นทางใจ หรือ
ความอิสระจากปรากฏการณ์ ทั้งปวง
ก็ไม่ใช่ นึกคิดเอา หรือ ทำเอา หรือ มโนเอา
หรือ ฟังมาแล้วนึกเคิดเอาเอง มีเรากำหนด
ตนเองทำ ล้วนสร้างมายาหลอกตัวเอง
วิปัสนึก
วิปัสหนา
วิปัสนู
วิปลาส
วิปริต
ความคิดปรุงใด ๆ ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ที่กำลังกระหายต่อความหลุดพ้น
ย่อมซ้อนสร้างมายาภาวะพุทธะ
แห่งความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาปิดกั้นตามความยึด
และตามความอยากมากน้อย แล้วแต่บุคคลนั้น !
ก่อนจิตจะรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก่อนที่ความคิดจะปรุงแต่งจะเกิดกับจิต
จิตอยู่ในสภาวะของความว่าง ว่างอยู่ก่อนแล้ว
ซึ่งสมมุติเรียกว่า จิตว่าง ว่า จิตเดิมแท้
ที่มันไม่มีชื่ออะไร ไม่มีความหมาย ไม่ได้เป็นอะไร
ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีแม้นปัจจุบัน ไม่มีชื่อใดๆ
นิพานไม่ใช่การคิด จึงไม่มีสิ่งใดก่อเกิด
อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ ก่อนการเกิด
ก่อนจิตจะรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก่อนที่ความคิดจะปรุงแต่งจะเกิดกับจิต
จิตอยู่ในสภาวะของความว่าง ว่างอยู่ก่อนแล้ว
ซึ่งสมมุติเรียกว่า จิตว่าง ว่า จิตเดิมแท้
ที่มันชื่ออะไร ไม่มีความหมาย ไม่ได้เป็นอะไร
นิพานไม่ใช่การคิด จึงไม่มีสิ่งใดก่อเกิด
อันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ ก่อนการเกิด
ตถาคตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
โดยไม่เข้าไปเป็น ไม่เข้าไปแบ่งแยก
ไม่สู้ ไม่ปฎิเสธ ไม่ไหลตาม ไม่พัก และ ไม่เพียร
เมื่อแสงแห่งปัญญา ส่องสว่างในใจ
ความมืดมนก็จักมลายหายไปเอง
หมดความหลง หมดให้ค่าสิ่งใดๆแล้ว
" ที่ใดไร้การยึด
ที่นั่นก็ไร้ ทัศนะข้อจำกัด "
การไม่ยึดมั่นถือมั่น
จะเป็น สัมมาทิฏฐิ เอง
Cr. พระปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม น้อมกราบสาธุๆๆ
.
"ฉันไม่ชื่นชม
ผู้ที่สามารถ เสกใบไม้ให้เป็นสัตว์ได้
ทำนายทายทัก รักษาผู้คนได้
แต่หากใครสามารถ
ละจากอารมณ์อกุศลได้เพียงครั้งเดียว
แม้เพียงอารมณ์เดียวได้ ก็ยังน่าสรรเสริญกว่า
แต่การละอกุศล
ก็ยังไม่เท่าการ เข้าถึงการไร้การกระทำ
อนัตตา แปลว่า
ทุกสิ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา
ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทุกสภาวะไม่มีตัวตน อันแท้จริง
ไม่มีที่อยู่ ไม่คงทน
ในที่ใดที่แน่นอน
ในกาย ในวาจา หรือ ในจิต
เป็นดั่ง...สายลม
ที่ผ่านมาผ่านไป
ใน อากาศธาตุ ของมันเอง
ไม่ต้องเจตนาดับตัวตน
ไม่ต้องเจตนาดับความคิด
ไม่ต้องเจตนาดับอารมณ์
เพราะไม่เคยมีตัวตนให้ดับ
แค่คลายอุปาทานว่ามีตัวตน
ไม่มีความเป็นเจ้าของอุปทานว่าเป็นตัวเป็นตน
ก็แค่เป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านไปเอง
"ปรากฏการณ์ทั้งปวงเป็นมายาภาพ
มายาภาพเหล่านี้ไม่มีภพที่ไม่แน่นอน
ไม่มีรูปที่ถาวร เป็นสภาพที่ไม่เที่ยงแท้ (อนิจจัง)
ไม่กี่วินาที มันย่อมดับสลายหายไปเอง หายไปเอง
อย่ายึดมั่นกับปรากฏการณ์ทั้งหลาย
แล้วท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะ
"สิ่งซึ่งเป็นอิสระภาพจาก รูปและความคิด
หลุดพ้นจากความเห็นทั้งปวง คือ พุทธะภาวะ"
โลก อวดมี
ธรรม ไม่มีอะไรจะอวด
โลกจะกวักมือ เรียกให้ผู้คนมาดูว่า
"โลกมีอะไร"
ธรรมจะกวักมือ เรียกให้คนมาดูว่า
"ธรรมจริงๆไม่มีอะไร"
ฉันไม่อยากรวยทรัพย์สินหรืออะไร
ฉันจึงไม่มีอะไร
ฉันไม่เคยต้องทุกข์ในเบื้องต้นจากการหาทรัพย์และสะสมทรัพย์
ฉันจึงไม่ทุกข์ในเบื้องกลางจากการปกป้องดูแลรักษาทรัพย์สมบัติ
ดังนั้นจึงไม่มีทุกข์ในบั้นปลายในการสูญเสียมันไป
เลิกเสพสัญญา ถ้วยชาที่ว่างเปล่า
ชีวิตโปล่งโล่งเบาสบาย มีสรรพสิ่งผ่านมาผ่านไป
การปรากฏของ" รูป "เป็นเพียง ชื่อเรียก
อวกาศ หรือ ช่องว่าง เช่นกัน
เป็นเพียง "ชื่อ"
ปราศจาก "ธาตุ" ต่างๆ เสียแล้ว
"รูป" จะดำรงค์อยู่ได้อย่างไร
ฉะนั้น แม้เพียง ชื่อเรียก ก็ยังไม่มี
"ธาตุ" ก็จะไม่ก่อและไม่ปรากฎ
ใครเล่าเป็นผู้รับรู้ และ ผู้สร้าง
สิ่งที่ปรากฎมันไม่ใช่ สิ่งที่ใช่มันจะไม่ปรากฎ
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า
เพราะไม่เคยมีตัวตนให้ดับ
'ธรรมะที่ตถาคตแสดงนั้นมิใช่ธรรมะ
แค่คลายอุปาทานว่ามีตัวต
แม้ว่าตถาคตจะตรัส แต่ก็มิมีสิ่งใดที่ถูกแสดง'..."
( วัชรัจเฉทิกาปรัชญาปารมิตาสูตร )
น
ไม่มีความเป็นเจ้าของอุปทานว่าเป็นตัวเป็นตน
ก็แค่เป็นดั่งสายลมที่พัดผ่านไปเอง
"ปรากฏการณ์ทั้งปวงเป็นมายาภาพ
มายาภาพเหล่านี้ไม่มีภพที่ไม่แน่นอน
ไม่มีรูปที่ถาวร เป็นสภาพที่ไม่เที่ยงแท้ (อนิจจัง)
อย่ายึดมั่นกับปรากฏการณ์ทั้งหลาย
แล้วท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะ
"สิ่งซึ่งเป็นอิสระภาพจาก รูปและความคิด
หลุดพ้นจากความเห็นทั้งปวง คือ พุทธะภาวะ"
โลก อวดมี
ธรรม ไม่มีอะไรจะอวด
โลกจะกวักมือ เรียกให้ผู้คนมาดูว่า
"โลกมีอะไร"
ธรรมจะกวักมือ เรียกให้คนมาดูว่า
"ธรรมจริงๆไม่มีอะไร"
ฉันไม่อยากรวยทรัพย์สินหรืออะไร
ฉันจึงไม่มีอะไร
ฉันไม่เคยต้องทุกข์ในเบื้องต้นจากการหาทรัพย์และสะสมทรัพย์
ฉันจึงไม่ทุกข์ในเบื้องกลางจากการปกป้องดูแลรักษาทรัพย์สมบัติ
ดังนั้นจึงไม่มีทุกข์ในบั้นปลายในการสูญเสียมันไป
เลิกเสพสัญญา ถ้วยชาที่ว่างเปล่า
ชีวิตโปล่งโล่งเบาสบาย มีสรรพสิ่งผ่านมาผ่านไป
ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทุกสภาวะ
ไม่มีตัวตน อันแท้จริง
ไม่มีที่อยู่ ไม่คงทน
ในที่ใดที่แน่นอน
ในกาย ในวาจา หรือ ในจิต
เป็นดั่ง...สายลม
ที่ผ่านมาผ่านไป
ใน อากาศธาตุ ของมันเอง
ไม่ต้องเจตนาดับตัวตน
ไม่ต้องเจตนาดับความคิด
ไม่ต้องเจตนาดับอารมณ์
จะมีตัวตน หรือ ไร้ตัวตน ยิ่งไร้สาระ
จึงไม่มีทั้งการเข้าถึง หรือ กระทำ เป็นเช่นนั้น
มนุษย์และสรรพสัตว์ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนร่างกายและจิตใจ
มันก็ทำงานเองอยู่แล้ว เมื่อไหร่ว่าทุกสิ่งบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อนั้นจึงพบความจริง ตัวตนก็ย่อมหายไปเอง คลายจากสิ่งยึดติดเอง
อัตตาเป็นทรัพย์ของปุถุชน
อนัตตาเป็นอริยทรัพย์ของบัณฑิต
เมื่อท่านได้ทำความเข้าใจรู้จักความเป็นธรรมชาติ ความเป็นอนัตตาคือธรรมชาติแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นปัญญาที่ดีที่ทำให้ท่านเข้าถึงความเป็นธรรมชาตินั้นๆ โดย ไม่ต้องทำอะไรลงไปอีกเลย
เมื่อจิตเข้าถึงนิพพานอันคือธรรมชาติที่แท้จริงแห่งจิต ท่านก็จะไม่เห็นนิพพานในลักษณะเป็นภาวะนิพพานที่มันเกิดขึ้น
แต่ถ้า ท่านเห็นนิพพานด้วยความเป็นจิตแห่งภาวะที่เกิดขึ้น ท่านก็กำลังหลงตัวเอง
เมื่อไหร่แม้แต่นิพานก็ไม่ต้องการแล้ว
นิพานเป็นเพียงชื่อเรียกสมมุติบัญญัติขึ้น
นามสูตร
ว่าด้วยเทวตาปัญหา 3 ข้อ เทวดาทูลถามว่า ?
อะไรหนอครอบงำสิ่งทั้งปวง
สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าสิ่งอะไร ย่อมไม่มี
สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่ง
คืออะไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ชื่อ ย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง
สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่า ชื่อ ไม่มีชื่อ
สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือ ชื่อ.
หลงสมมุติบัญติ
ถ้าใครบอกว่าหลุดพ้นแล้ว
นิพานแล้ว จบแล้ว อรหันต์แล้ว
ยังยินดีพอใจนิยมชมชอบในชื่อแล้ว
ผู้นั้นยังเป็นผู้หลงในชื่อ ในนาม ในความพอใจอยู่
ผู้บรรลุแล้วพ้นไปจากสมมุติแล้ว
จึงไม่ได้ดีใจหรือพอใจ อะไรในความมี หรือ ไม่มี
ท่านจึงเห็นว่า
คำว่านิพานหรือคำว่าอรหันต์ เป็นเพียงสิ่งไร้สาระ