ละอัตตาตัวตน คือละอารมณ์ ที่เกิดจากกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ละไม่ได้ ก็เอามาพิจารณาค่อย ๆ ละ
การทรงกระแสพระโสดาบัน
ตัวรู้ทั้งหลาย วิชาทั้งหลาย..ถ้าเราไม่ได้ฝึกหัดอยู่บ่อยๆให้ชำนิชำนาญ ความรู้นั้นมันก็ลืมได้ แต่สิ่งไหนที่โยมฝึกหัดด้วยจิตแล้ว ด้วยการเข้าค้นหาด้วยการปฏิบัติให้รู้แจ้ง สิ้นสงสัยในภูมิรู้นั้น..ก็จะเปลี่ยนเป็นภูมิธรรม เค้าเรียกว่า"ภูมิปัญญา" ผู้ใดที่มีปัญญาก็เหมือนมีอาวุธอยู่ เราจะใช้ตอนไหนก็ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ความรู้เหมือนตำรา หากวันใดวันหนึ่งตำราถูกหนอนกินไปก็ดี ไม่รู้ที่วางที่เก็บของตำราก็ดี ตำรานั้นก็หามีประโยชน์อันใดเลย แต่ปัญญาเล่าเป็นอย่างไร ปัญญานั้นมันเหมือนอาวุธคุณวิเศษเมื่อโยมจะใช้ตอนไหนเมื่อใดก็ได้ นี่มันจึงต่างกัน
ดังนั้นการที่เราจะได้กระแสพระโสดาบัน..เมื่อได้แล้วเราจะทำยังไงให้ทรงในกระแสโสดาบันนั้น ให้มันทรงตัว คำว่าทรงตัวเป็นอย่างไร ไม่ทรุดไม่ต่ำ ไม่เสื่อมไม่หาย นั่นก็หมายถึงการทรงสมาธิอยู่บ่อยๆ เจริญองค์ภาวนาอยู่บ่อยๆ มีความตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ศีลก็ดีทรงรักษาอยู่บ่อยๆ
ศีลนี้แม้เรานั้นจะขาดไปบ้างก็ดี จะชำรุดไปบ้างก็ดี จะละเมิดไปบ้างก็ดี แต่เราก็ยังมีศีล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนคนมีเสื้อผ้ากับคนไม่ได้ใส่..ต่างกันมั้ยจ๊ะ ศีลก็เช่นเดียวกัน ผู้มีศีลกับไม่มีศีล แต่ศีลที่บริสุทธิ์กับศีลสมบูรณ์กับศีลที่บกพร่องก็ต่างกัน อันว่าศีลบกพร่องเป็นอย่างไร ก็เหมือนบุคคลนั้นยังขาดแคลน เสื้อผ้าอาภรณ์นี้ต้องปะต้องชุนอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าเค้าขาดแคลน เค้าจึงไม่สมบูรณ์
ถ้าคนที่สมบูรณ์แล้วเมื่อขาดแล้วเค้าก็สามารถเปลี่ยนได้ เปลี่ยนชุดใหม่ได้ นี่แลหมายถึงอะไรว่าเปลี่ยนชุดใหม่ได้ หมายถึงศีลนั้นให้เรารักษา ไม่ได้ให้เราไปยึดถือ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อยึดถือเสียแล้วมันก็เป็นโทษเป็นทุกข์นั่นเอง แต่ศีลอันใดที่เราล่วงไปแล้ว เราละเมิดไปแล้วก็ดี ให้เราน้อมจิตเข้ามาระลึกรักษาขึ้นมาใหม่ คือตั้งใจขึ้นมาใหม่
อันใดๆก็ตามที่เรายังมีลมหายใจมีโอกาส เมื่อเราจะทำการสิ่งใดไปในทางที่ชอบประกอบด้วยธรรมที่สุจริตธรรม หรือการเจริญภาวนาจิตก็ต้องอาศัยองค์แห่งศีล คือความบริสุทธิ์ความเป็นปรกติของมนุษย์เป็นพื้นฐาน ถ้ามนุษย์ขาดจากศีลแล้วมนุษย์ผู้นั้นก็เรียกว่ามีอมนุษย์อยู่ในตัว
เหมือนเราจะรู้ได้อย่างไรว่าบุคคลนี้มีภูมิเทวดาอยู่ ก็บุคคลใดเล่าที่มีหิริมีโอตัปปะ มีความละอายมีความเกรงกลัวต่อบาปกรรมไม่ว่าจะเป็นที่ลับหรือที่แจ้งนี่แล หากผู้คนผู้นั้นสามารถกระทำอย่างนั้นได้อยู่เป็นประจำ ก็นั่นแลเค้าเรียกว่าเป็นภูมิเทวดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อผู้ใดมีจิตที่เจริญพรหมจรรย์หรือพรหมวิหาร ๔ จิตผู้นั้นก็เป็นพรหม เห็นมั้ยจ๊ะ แล้วจิตผู้ใดเล่าประพฤติปฏิบัติเจริญวิปัสสนาญาณ เห็นโทษภัยในวัฏฏะ ละกองอกุศลเสียได้อย่างนี้แล เค้าเรียกว่าเป็นภูมิของพระอรหันต์อย่างนี้
นั้นขณะใดที่เราประพฤติอยู่ในการฟังธรรมก็ดี ในการให้ธรรมอยู่ก็ดี ในการตรึกตรองอยู่ในธรรมก็ดี ในการเจริญมนต์อยู่ก็ดี หรือการเจริญวิปัสสนาญาณอยู่ก็ดีเหล่านี้ ภาวะใดของจิตหนึ่งที่เรากระทำแล้ว เราจะเจอสภาวะของภูมิธรรมของจิตของเรา เพราะบางครั้งจิตเราก็มีโทสะจริต มีโมหะจริต มีราคะจริต นี่เหล่านี้แลจึงเรียกว่ามันวนเวียนอยู่อย่างนี้
นั้นเมื่อเรารู้ว่าอารมณ์เหล่าใดที่มันเข้ามาผัสสะมากระทบ เค้าไม่ได้ให้เราหนีไปไหน เค้าให้เราเรียนรู้ ให้มีสติกับอารมณ์ที่มากระทบมาผัสสะ ดังนั้นให้ฝึกรู้ ให้ฝึกละ เมื่อละได้แล้วการที่เราจะรักษาทำให้มันได้อยู่ตลอดเวลาเนี่ยะมันยาก นั้นการละได้แล้วนี้มันจะกลับมาอีกได้มั้ยจ๊ะ ถ้ามันละมันยังไม่ได้หมดเชื้อของมัน แต่ถ้าเรารู้โทษรู้คุณมัน เราก็จะวางเฉยกับอารมณ์นั้นได้ คือวางอุเบกขาฌาน
ดังนั้นผู้ที่จะมีจิตเป็นกระแสพระโสดาบันทรงได้อยู่ตลอดเวลา คือบุคคลนั้นต้องทรงฌาน อย่างน้อยปฐมฌาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะปฐมฌานนี้จะมีวิตกวิจาร มีปิติสุขเป็นที่ตั้งที่ฐานของอารมณ์ เรียกวิตกวิจารนี้แลเค้าเรียกว่ายังมีสติอยู่ ยังระลึกได้อยู่ ยังมีหิริโอตัปปะ ยังมีความเกรงกลัวต่อบาป ยังมีจิตที่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย
แต่ศีลเล่าที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้มันตั้งมั่น ก็ต้องได้บอกว่าให้เรานั้นหมั่นเพียรรักษาศีลอยู่บ่อยๆ ในตอนไหนได้บ้างที่เราจะทำ ก็ตอนที่เราจะเจริญมนต์ก็ดี เมื่อเราอาราธนาศีลแล้วในขณะที่เราเจริญมนต์อยู่ ในขณะนั้นจิตเราจะไม่มีเวรภัยกับใคร กายเราไม่ไปทำทุจริต วาจาเราก็ไม่ไปทำวาจาที่ทุจริต ใจเราก็จะไม่ทุจริต เพราะขณะนั้นวาจาเรานั้นสุจริต เพราะเรากล่าวแต่คำมงคล กายมันก็เป็นมงคล ใจเราก็เป็นมงคล ก็เรียกว่ากาย วาจา ใจนั้นตั้งมั่นเข้าอยู่ในศีล
เมื่อเราทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ แล้วจะเป็นอย่างไร อ้าว..แล้วเมื่อเราออกจากการประพฤติปฏิบัติในการทำความเพียรเล่า ทำไมเล่าอกุศลมูลมันจึงเข้ามาครอบงำอีก ก็สิ่งเหล่านี้แลมันมีเชื้อของมันอยู่ แต่ถ้าเราไม่ฝึกเจริญทำความดีเลย โยมว่าเชื้อที่เป็นอกุศลนี้มันจะมีอำนาจมากมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มากค่ะ) เมื่อมันมีอำนาจมากแล้ว การที่โยมจะออกจากการเป็นทาสของมันนี้ทำได้ยากหรือไม่ (ลูกศิษย์ : ยากค่ะ)
นั่นเค้าถึงบอกว่าให้เราแบ่งเวลาให้เทพพรหมและกับตัวเราเอง และก็ครูบาอาจารย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมเอาแต่เพลินเอาแต่สนุก โยมก็ต้องไปในสิ่งที่ชอบของโยม สุดท้ายมันก็คือทุกข์มหันต์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะสุขที่แท้จริงในโลกนี้ไม่มีเลย มันเป็นเพียงสุขชั่วคราวสุขจอมปลอม เพราะมันฉาบโรยปิดบังด้วยมายาให้โยมนั้นหลงว่านั่นคือสุข
ถ้า สุขที่แท้จริงโยมตามหาแล้วเมื่อเจอแล้ว..โยมจะต้องพอได้ หยุดได้ ถ้ามันสุขจริง แต่ถ้าโยมยังดิ้นรนหามันอยู่ แสดงว่ามันยังไม่ใช่ของจริง อะไรที่เป็นของจริงมันต้องหยุดนิ่ง ไม่หวั่นไหว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ามันยังหวั่นไหวอยู่แสดงว่ามันไม่จริง มันยังเป็นเท็จอยู่ ดังนั้นขอให้โยมจงพิจารณาไตร่ตรอง...
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าถึงเรื่องการสวดมนต์ ไหว้พระให้พระเณรฟังว่า
" การสวดมนต์ไหว้พระนั้น ถึงแม้ว่าเราจะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงก็ตาม พวกเทพเจ้าเหล่าเทวดาเขามีหูทิพย์ตาทิพย์ เขาก็จะได้ยินเสียงที่เราสวดมนต์ไหว้พระด้วยพระสูตรต่างๆ"
เมื่อเขาได้ยิน เขาก็จะเกิดความปีติยินดีในการสวดมนต์ไหว้พระกับเรา เขาก็จะพากันมาร่วมอนุโมทนาบุญกับเราด้วย ถ้าจิตเราสงบลงไปบ้างสักเล็กน้อย เราก็จะได้ยินเสียงที่เขามาอนุโมทนากับเรา เสียงที่เขาเปล่งสาธุการนั้นมันดังปานฟ้าสิถล่มทลายลงมาทับดิน "
หลวงปู่ ได้เล่าเรื่องที่ท่านเที่ยววิเวกในเมืองพม่า ดังนี้
" ครั้งหนึ่ง เราพักจำพรรษาที่บ้านยางแดง ประเทศพม่า วัด ที่เราอยู่นั้นมันมีศาลาอยู่เพียงหลังเดียว และศาลานี้ก็มีเสาอยู่ตรงกลางต้นเดียว เราให้เขากั้นห้องเป็นสองห้อง ห้องหนึ่งเราเอาไว้พัก อีกห้องหนึ่งเราก็เอาไว้นอน ตรงกลางศาลา จะมีแท่นบูชาพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอยู่หนึ่งองค์ สูงประมาณศอกหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้แกะสลักจากไม้สัก
ในแต่ละวันเราก็อาศัยสวดมนต์ไหว้พระอยู่หน้าพระประธานองค์นี้แหละ
คืนนั้น เรากำลังไหว้พระสวดมนต์อยู่ดีๆ พอสวดบทธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร ถึงท่อนที่ว่า จาตุมมหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ จาตุมมหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ฯ.ช่วง ท่อนที่กำลังไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆอยู่นั้น ปรากฏมีเสียงดังสะท้านไปทั่ว
เป็นเสียงที่ดังกระหึ่มลงมาจากท้องฟ้า เสียงดังกระหึ่มนั้นทำให้ศาลาที่เรานั่งสวดมนต์ไหว้พระอยู่นั้นเกิดการสั่น ไหวขึ้นมา เสียงศาลามันลั่นเอี๊ยดอ๊าดๆ โยกไหวไปมาเหมือนกับว่าแผ่นดินมันไหว
เราก็เลยหยุดสวดมนต์เอาไว้ก่อน มานั่งฟังเสียงดูว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่
เรามานั่งรำลึกในใจของเราว่า " โฮ้ๆ ! เกิดอีหยังขึ้นหนอที่นี่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานนี้ มันสิเฮ็ดให้ศาลามันพังลงมาซะบ่น้อ ! "
เราจึงดับไฟเทียนที่หน้าพระประธาน นั่งฟังเสียงดังกระหึ่มนี้อย่างเดียว
พอเรามานั่งฟัง เสียงดังๆนั้นมันก็เงียบหายไป " บ่มีอีหยังอีก... "เมื่อเสียงดังนั้นหายไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็สวดมนต์ต่ออีก ท่านเล่าดังนี้
" ...เราก็เลยสวดมนต์ต่อ พอสวดถึงท่อนไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆนั้น เสียงดังกระหึ่มมันก็กลับมาอีกรอบ
เราบ่นออกเสียงว่า ฮ่วย ! มันเป็นอีหยังอีกน้อบาดนี่ !
พอว่าจังซั่นล่ะ ขนคี่ง ( ขนตามตัว ตามแขนขา ) ขนหัว กะพากันลุกยาบๆ เอามือลูบไว้กะบ่อยู่
ฮ่วย ! ฮ่วย ! อีหยังกันน้อบาดนี่ แผ่นดินมันไหวบ้อน๊อ ? "
เรานั่งฟัง เสียงนั้นอยู่อีกนานพอสมควร เสียงนั้นจึงเงียบลงไป เราก็เลยสวดมนต์ต่อไปจนจบครบสูตร ระหว่างที่สวดนั้น ก็ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาอีก
สวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับเข้าไปที่ในห้องพักเพื่อที่จะนั่งภาวนาต่อ
ตอนที่มานั่งภาวนานี้แหละ ถึงได้มารู้ว่า เสียงที่มันดังกระหึ่มปานฟ้าจะถล่มลงมาทับดินนั้น มันคือเสียงอนุโมทนาสาธุการของเทพเจ้าเหล่าเทวดา
พวกเขาได้ยินเสียงเราสวดมนต์ไหว้พระ พอพวกเขาได้ยินแล้ว ก็เกิดความปีติยินดีขึ้นมา จึงพากันเปล่งเสียงอนุโมทนาสาธุการกัน
เสียงอนุโมทนาของพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดามีอานุภาพมาก จนทำให้แผ่นดินเฉพาะตรงที่เราอยู่นั้น เกิดการสั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะเทวดาเขามาแสดงปาฏิหาริย์ให้เรารับรู้
โอวาทธรรม : หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
การเจริญพระกรรมฐานโยมละได้มากเท่าไหร่..เค้าเรียกว่าทำมาก ละอารมณ์อย่างเดียว โยมหมดอารมณ์เมื่อไหร่..โยมก็หมดกรรมเมื่อนั้น ถ้าโยมยังมีอารมณ์ มีความคิด มีความรู้สึกอยู่อย่างนี้ และยังละยังตัดไม่ได้ ไม่เท่าทันมัน..ทุกข์ทั้งนั้น นี่เค้าเรียกอุปาทานแห่งขันธ์ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
พระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์แล้วแห่งจิต เค้าเรียกว่าหมดจากอารมณ์ คือไม่มีอารมณ์ อารมณ์โทสะมีมั้ย..มี แต่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ที่จะไปเป็น ไม่มีอารมณ์ที่จะไปมีโทสะ ไม่มีอารมณ์ในความอยาก ในความใคร่ แต่รู้ในอารมณ์นั้นมั้ย..รู้..แต่ไม่มี เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะมันหมดอารมณ์ไปแล้ว พอโยมหมดอารมณ์โยมอยากทำมั้ยจ๊ะ แต่อารมณ์ตอนนั้นถ้ามันหมดแบบถาวร..เค้าเรียกว่านิพพาน ใช่มั้ยจ๊ะ มันไม่ใช่เบื่อๆแล้วอยากๆ
นั้นก็ต้องตัดละอารมณ์ให้มากๆ ตัดได้มากเค้าเรียกว่าทำมาก ไม่ใช่ว่านั่งสมาธิมากๆได้นาน แต่โยมไม่ได้พิจารณาอะไรเลย ไม่ใช่ว่าคนสวดมนต์เก่ง ได้ทุกบท แต่ไม่รู้ความหมาย แต่อีกคนนั้นสวดแล้วเข้าใจในความหมาย เข้าใจในธรรมนั้น แล้วยกธรรมมาพิจารณา โอ้..นั่นแหล่ะจ้ะ ผู้นั้นได้ประโยชน์ แต่ถ้าโยมสวดมนต์เก่งแต่ไม่รู้ความหมาย ไม่ได้พิจารณาอะไรได้เลยแล้วเมื่อถึงเวลา..ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเหมือนกัน
นั้นธรรมข้อใดข้อหนึ่งเมื่อเราหยิบมาพินิจพิจารณาเพ่งแล้วอยู่อย่างนั้น ไตร่ตรองอยู่สม่ำเสมอแล้วนั่นแหล่ะแล้วเข้าใจ มันก็จะเกิดตัวปัญญา เมื่อตัวปัญญามันเกิดแล้วมันไม่มีวันดับนะ ตัวปัญญานี่เหมือนธรรมนะถ้ามันมีแล้วมันไม่มีวันเสื่อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อถึงเวลามันจะพิจารณาธรรมของมันเอง
ดังนั้นไม่ต้องรีบ สะสมไป สภาวะอันใดเมื่อเรากลัวแล้ว เรากลับมาที่เดิมใหม่..มาตั้งหลักใหม่ มาอยู่ที่กายเราใหม่ เพราะจิตเรานี่มันไม่ค่อยได้ฝึก เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอมันไม่ฝึกแล้วมาเจอสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เรารู้สึกอึดอัดก็ดี มีความสะดุ้งผวากลัวก็ดี..อันนี้คือความไม่คุ้นชิน เข้าใจมั้ยจ๊ะ งั้นต้องทำให้มันชิน
เจออะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นในสภาวะนั้น..ให้รู้..รู้แล้ววาง อย่าไปปรุงแต่งต่อ ถ้าไปปรุงแต่งต่อมันจะเป็นอุปาทานแห่งขันธ์ ความหลงก็ดี นิมิตก็ดี จะเข้ามาทันที เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันจะไม่จริงทีนี้ ที่จริงเราต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา..นี้เรียกจริง จิตเป็นสภาวะแบบใดก็ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ให้กลับมาที่เดิมของจิตใหม่..จิตตอนที่ไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็คือตอนกำหนดลมไปใหม่ เหมือนเราจะไปเที่ยว นั่งยานอวกาศไปเที่ยวนอกโลก มันเป็นสภาวะที่เราไม่เคยไป โยมย่อมมีความตื่นเต้นกลัวเป็นธรรมดา ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไปท่องบ่อยๆเป็นยังไง คุ้นชินมั้ยจ๊ะ ไม่กลัว ดังนั้นแล้วจิตก็เหมือนกัน
จิตนี้ไม่สามารถมีขอบเขตอะไรที่ปิดกั้นได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทะลุได้หมดทุกอย่างจิตนี้ ไปจักรวาลไหนก็ได้หมด อ้าว..พระโมคคัลลานะยังไปจักรวาลอื่นเลย ไปเจอพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งกำลังให้ธรรมเทศนาอยู่ อ้าว..หลงไปอีกจักรวาลหนึ่ง เห็นมั้ยจ๊ะ จิตมันไปได้หมดทะลุหมด ไม่มีขอบเขต แต่อย่างอื่นมันยังปกปิดได้ มีที่หลบกั้นได้ แต่จิตนี่อานุภาพของจิตนี่ไม่มีอะไรกั้นได้เลย คราวนี้ท่านบอกว่าแล้วจะกลับไปที่เดิมได้ยังไง ก็ให้ระลึกถึงพระสัพพัญญูองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านมา แล้วท่านจะเห็นรัศมีแสงแห่งธรรมของท่าน ก็นั่นแลคือจุดหมายที่จะกลับไปได้
ให้ระลึกถึงอำนาจแห่งพระพุทธ ก็คือกลับมาที่กายแล้วก็ภาวนาพุทโธใหม่ จิตจะได้ไม่หลงไปจักรวาลอื่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นจิตนี้มันมีอำนาจมาก ถ้าใครฝึกดีก็จะได้ดี ถ้าหลงจิตเมื่อไหร่ก็เหมือนหลงจักรวาล เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าจะรู้จิตคือต้องรู้ที่กาย รู้สภาวะจิตเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้กลับมาใหม่ กลับมาถามผู้รู้ ผู้รู้คือใคร..พุทโธ แค่นั้นเอง อย่าไปถามใครที่ไม่ใช่พุทโธ เพราะองค์อื่นยังไม่พ้นทุกข์ จำไว้นะจ๊ะ กลับมาถามผู้รู้ ผู้รู้คือใคร..พุทโธ พุทโธใหม่ ฝึกใหม่ เริ่มต้นใหม่ เขียนก.ไก่ใหม่ ฝึกไป เดี๋ยวพอเราเขียนคล่องๆแล้วค่อยเริ่มผสมสระ พอผสมสระนี่คือเริ่มพิจารณา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
การดูกายเรียกการพิจารณาธรรมทั้งนั้น การดูกาย การพิจารณากาย การเพ่งโทษในกาย เรียกการพิจารณา เรียกว่าเป็นวิปัสสนาญาณทั้งนั้น พอวิปัสสนาญาณพิจารณาบ่อยๆ เดี๋ยวญาณมันจะเกิด ญาณคือการรู้ คือการเพ่งและรู้..ญาณมันถึงจะเกิด ญาณคือการหยั่งรู้ หยั่งรู้ทุกข์ หยั่งรู้ความลับ หรืออวิชชาที่มันปกปิดอยู่ สิ่งที่เราไม่รู้ ที่เราหลงนั่นเอง
แล้วถ้าเราหาตนเจอ..นั่นแหล่ะจ้ะผู้นั้นเค้าเรียกว่าได้ญาณจักขุ จักขุญาณได้บังเกิดขึ้น ดวงตาจะได้เกิดเห็นธรรมแล้ว ผู้ใดเห็นตนนั่นแหล่ะจ้ะได้สมบัติแล้ว ในโลกนี้โยมไม่ต้องหาอะไร..หาตนอย่างเดียว แล้วโยมจะได้นิพพานสมบัติ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ได้ทุกอย่าง ถ้าใครหาตนไม่เจอชาตินี้ โยมไม่ต้องไปหวังอะไรเลย มันยังหลงตนอยู่ พอหลงตนอยู่จะมีอัตตาตัวตนอยู่อย่างนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
สวดมนต์ให้"ขลัง"มันเป็นอย่างไร
สวดไปแล้วถ้าโยมไม่เอาจริงเอาจังแล้วมันจะคลั่ง ทุกอย่างมันมีคุณและมีโทษ สวดแล้วมนต์มันเข้า โยมจะเกิดพลังภายใน
พลังภายในแม้โยมไม่เข้าสมาธิ ไม่ภาวนาสมาบัติอะไรก็ตาม มันก็เกิดฌาน เกิดญาณของมันเอง
แต่ถ้าโยมสวดไปสวดไปแล้วโยมหมดแรง..มนต์มันออก เมื่อมนต์มันออกมันจะเกิดโทษ กายสังขารโยมจะมีปัญหา
หนึ่งคือสมอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ปวดหัว อ้าว..ลมมันตี แล้วมนต์ที่โยมสวดไปน่ะ สวดติดๆกันไปน่ะถ้ามันไม่มีช่องไฟ
ไฟมันชนกันทีนี้ ธาตุไฟโยมแปรปรวน เหงื่อออกเป็นพลั่กๆ เหงื่อออกมากเป็นยังไง..เหนื่อยไงล่ะจ๊ะ
บทธรรมจักรสวดให้จบสิจ๊ะ ธรรมจักรน่ะ สวดแค่จบเดียวแต่มีอานิสงส์มาก เพราะถ้าโยมสวดจบเดียวแล้ว แล้วโยมเข้าใจจิตตั้งมั่น
เทวดาเค้าก็เข้าใจ เค้าก็บรรลุธรรมได้ เป็นธรรมทานอย่างสูง เพราะเป็นกัณฑ์แรกที่เรียกว่าเป็นกงล้อแห่งธรรมจักร
ที่ทำให้ภพโลกมนุษย์มันเปลี่ยนจากความมืดหมุนเข้าไปถึงความสว่าง หยั่งโลกมนุษย์และเทวดาให้หลุดพ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
คนที่สวดมนต์มากๆเสียงจะดี โยมคงไม่เข้าใจ..เสียงจะดี บางคนเสียงแหบเสียงแห้ง เสียงแข็งกระด้าง
พอสวดมนต์แล้วเสียงมันจะนิ่มนวลไปในตัว ทำไม..เพราะไปพูดกับใครก็ไพเราะ อ้าว..มันสงบภายใน
คนที่เสียงดียังมีความเร่าร้อนอยู่เค้าเรียกว่าเสียงแข็ง รู้จักมั้ยจ๊ะ เสียงมันไม่ได้อ่อน แต่คนสวดมนต์มากๆบ่อยๆเข้าเสียงเค้าจะนิ่ม มีหางเสียง
พูดไปแล้วไม่ใช้อารมณ์ บางคนพูดแล้วใช้อารมณ์ มันเลยจะมีอารมณ์ ต่างคนต่างมีอารมณ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
การอธิษฐานไม่อยากเกิด
ดูซิว่าอาการของจิตตอนนี้เป็นเช่นไร ถ้าจิตนั้นมันเริ่มตื่นบ้างแล้ว..ค่อยกำหนดลมเข้าไปในปอดในสรรพร่างกายใหม่ ทำความรู้สึกให้ทั่วตัว เมื่อเรารู้สึกตัวดีแล้วให้สำรวมจิตไปไว้ที่อุณาโลมกลางหน้าผาก ถ้าจิตนั้นยังไม่คุ้นเคยก็ลองภาวนาจิตด้วย"พุทธัง สรณัง คัจฉามิ"ไว้ที่กลางหน้าผาก..แล้วเพ่งทรงอารมณ์จิตไว้อย่างนั้น ประคองจิตให้ตั้งมั่น ประคองจิตให้มันตั้งมั่นแล้วทรงไว้เท่าที่เราจะทรงได้..นี่เค้าเรียกว่า"การทรงฌาน"
เมื่อฌานจิตเราเพ่งถึง อำนาจแห่งฌานมันจะแปรเปลี่ยนสภาวะเป็นญาณ คือการหยั่งรู้แห่งจิต ตา..ดวงตาแห่งธรรมก็ค่อยบังเกิด เมื่อจิตมันตื่นรู้แล้วนั่นแล ภาวะจิตตื่นรู้ในขณะนั้น จิตนั้นไม่ตกอยู่ใต้อารมณ์ของนิวรณ์แล้ว..จิตผู้นั้นย่อมเป็นอิสระอยู่เหนือโลกสมมุติบัญญัติ แล้วจงเอาสติและปัญญานั้นแลมาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงของรูปที่เราไปยึดไปติดนั้นเป็นเพราะอะไร ก็เป็นเพราะความหลงความไม่เท่าทัน ความไม่เห็นโทษเห็นภัยแห่งวัฏฏะ แห่งทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
จงกลับมาย้อนดูเพ่งดูในกายตน..นั่นแลที่เกิดแห่งทุกข์ทั้งหลาย ที่เรานั้นไม่สามารถออกจากวงโคจรคำสาปนี้ไปได้ เมื่อเราประคองจิตไว้ที่กลางหน้าผาก จิตพอมีกำลังดีแล้วก็กำหนดจิตระลึกถึงบุญกุศล นึกถึงทาน นึกถึงศีล นึกถึงการภาวนาที่เราได้เคยสะสมกระทำมาแล้ว ให้มาหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งจนจิตเราตั้งมั่น แล้วกำหนดจิตแผ่เมตตาออกไปโดยไม่มีประมาณ ไม่เลือกหน้าวรรณะ ผู้ที่มีทุกข์มีภัย ผู้ที่มีคุณ บิดามารดา ปู่ย่าตายาย วงศาคณาญาติ สามีภรรยา ลูกหลานญาติมิตร ผู้ที่เคยร่วมงานชิดใกล้กับเรา ผู้ที่มีอุปการคุณ ผู้ที่มีคุณทั้งหลายทั้งปวง ผู้ที่เคยมีกรรมอาฆาตพยาบาท คู่อิจฉาริษยา ให้ระลึกให้อุทิศให้แผ่ไป ให้อโหสิกรรม ให้อภัย ให้จนกว่าจิตเรานั้นจะวางจนว่างจนไม่มีจะให้แล้ว จนจิตนั้นสงบ
ให้เอาความสงบนั้นแลตั้งจิตอธิษฐานในความปรารถนาจากทุกข์ภัยทั้งหลายทั้งปวง ว่ากายนี้มีแต่ทุกข์ หาสุขไม่ได้ มันมีสุขน้อยมีทุกข์มาก เรานั้นไม่ปรารถนาที่จะต้องการเกิด แม้เทพเทวดาก็ดี..แม้หมดบุญหมดกรรมก็ต้องมาเกิด หาว่าจะหมดทุกข์การเวียนว่ายตายเกิดไม่ แต่การไม่เกิดต่างหากที่จะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ให้เพ่งโทษในกายพิจารณาให้เห็นสิ่งที่เราเคยอบรมบ่มจิตพร่ำเรียนมาด้วยการเจริญพระกรรมฐานฌานวิถีนี้
เห็นว่ากายทั้งหลายทั้งปวงเป็นของมีทุกข์ เห็นว่ากายนี้แลเป็นเหตุที่ทำให้เรานั้นยังมีความตายมีความพลัดพราก เมื่อเราเห็นแบบนี้ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ทำให้เกิดเบื่อในความอยากในขณะนี้..เอาแค่ขณะนี้ ให้เห็นว่ากายนี้มันเกิดแล้วมันมีทุกข์มากน้อยเพียงใด ดู..พิจารณาให้เห็น ให้เกิดความสังเวชหดหู่ใจเศร้าหมองใจ ว่าอีกไม่นานกายเรานี้ก็จะต้องตาย พลัดพราก ทับถมโลกาแผ่นดินนี้เป็นกองภูเขาเลากา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เราเกิด หากเป็นอย่างนี้ต่อไปย่อมไม่มีที่สุดแห่งทุกข์ นั้นที่สุดแห่งทุกข์แล้วเราต้องมีความปรารถนาไม่อยากที่จะเกิด
เมื่อไม่อยากเกิดให้อธิษฐานไปว่า กายทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นของที่มีสุขน้อยมีทุกข์มาก เราจะทำพรหมจรรย์ให้ถึงที่สุดแห่งภาวะนิพพาน คือทำจิตให้เบาทำกายให้เบา..ทำอย่างไร ทำให้จิตนั้นเบาจากไฟแห่งราคะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะด้วยการตัดละอารมณ์ ดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ค่อยๆละ ค่อยๆปลง ค่อยๆเพ่งโทษ จนกว่ามันจะบรรเทาไป
นั่นคือมีสติกำหนดรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่เรานั้นมีความพอใจไม่พอใจ ดูที่จิต ดูความคิดก็ดูที่ใจ ความคิดนั้นแลทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เกิดภพ ทำให้เกิดชาติ ทำให้เกิดความชรา ความพลัดพราก ความคิดนี้แลทำให้จิตนั้นเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เกิดอุปาทานแห่งจิต เมื่อดับความคิดเสียได้ เมื่อวางความคิดเสียได้ เมื่อนั้นแลจิตมันก็สงบเป็นปรกติ เข้าถึงศีลเข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่ถ้าความคิดมันดับโดยที่ไม่มีความคิดเลย..อันนั้นแล้วเราไม่สามารถกำหนดรู้อะไรได้
แต่ทว่าเราดับความคิดวางความคิดได้ แต่ยังมีตัวรู้อยู่คือตัวระลึกได้อยู่..นั่นเรียกว่าตัวสติ แต่ในขณะจิตที่มันว่างจากความคิด..แต่ไม่มีตัวสติระลึกรู้ อย่างนั้นยังใช้ไม่ได้ สิ่งการใดเมื่อการฝึกจิตแล้ว เจริญภาวนาอบรมปัญญาขาดซึ่งสติแล้ว ความเพียรก็ดี ขันติก็ดี สัจจะบารมีก็ดี ในความเชื่อความศรัทธาในศีลก็ดี จักบังเกิดตั้งอยู่ไม่ได้..ถ้าขาดจากตัวสติ ดังนั้นสติจึงเป็นของสำคัญ..
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
บุญเมื่อโยมทำอะไร บุญมันต้องตอบแทน ถ้าบุญไม่ตอบแทนแสดงว่าบุญนั้นไม่มีจริง หรือเรียกว่าทำบุญไม่ถูกที่ ทำดีไม่ถูกคน แต่เมื่อโยมทำบุญทำดีสิ่งใดแล้ว เมื่อเราไม่ยึดไม่ติดแล้วเค้าเรียกเป็นทาน ทานนั้นแม้โยมจะทำร้อยครั้ง พันครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้งก็ดี ก็ยังสู้การเจริญภาวนาจิตครั้งเดียวไม่ได้
สวดมนต์เป็นร้อยเป็นวันเป็นพันบทก็ยังสู้การเจริญภาวนาให้เกิดปัญญาแม้ชั่วขณะจิตเดียวก็ยังไม่ได้อีก เห็นมั้ยจ๊ะ ดังนั้นคนจะหลุดพ้นจากบ่วงจากทุกข์ได้..ต้องมีปัญญา ปัญญาไม่ได้เกิดได้ง่ายๆ ปัญญานั้นพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ไม่ได้ ปัญญาจะเกิดได้ต้องฝึก หมั่นพิจารณา หมั่นทำความสะอาดจิต มันเศร้าหมองมันขัดข้องยังไง..ดูซิ เค้าเรียกการเพ่งโทษในตนในกายนี้
เมื่อยังมีกูมีเรา..มันก็จะมีทุกข์ เมื่อหมดตัวกู..มันก็หมดทุกข์ ดูซิว่าไอ้ตัวกูเป็นยังไง รู้จักตัวกูมั้ย ไหนลองบอกซิจ๊ะว่าตัวกูเป็นยังไง ไอ้นี่เมียกู นี่ลูกกู ทรัพย์กู ของกู นี่กูหมด อ้าว..งั้นก็รับไปคนเดียว..ทุกข์หมด ใช่มั้ยจ๊ะ อันนี้ไม่ใช่ของกู เมียก็ไม่ใช่ของกู แล้วเมียใคร บางครั้งก็ต้องรู้ด้วยว่าควรยึด..ควรแบบไหน ควรวางตอนไหน
หลวงปู่บอกว่าไม่ใช่ของกู..แล้วของใคร หมายถึงว่าให้ละอัตตาตัวตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ายังมีกูอยู่ ด่าไอ้นั่นไอ้นี่รู้สึกไม่พอใจ..นี่ล่ะตัวกู แสดงว่าไอ้สิ่งที่เค้าด่ามานี่ของมึง แต่เมื่อเราไม่รับแล้วนั่นแล เราวางได้นั่นแล ไอ้คนที่ว่าก็กลับไปหาไอ้คนนั้น เพราะเป็นของๆมัน แต่พอด่ามาดันรับ แถมมีลูกคู่อีก ก็เลยเกิดเวรเกิดพยาบาทขึ้นมา นี่เหตุมันเป็นเช่นนี้ เพราะเรามีตัวกู มันก็เลยมีทุกข์ ใช่มั้ยจ๊ะ เลยมีเหตุ นั้นขอให้พิจารณาอยู่บ่อยๆ
การรักษาการเจริญพระกรรมฐานนี่เป็นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บไปในตัว รักษาจิตที่เสื่อม รักษาศีล รักษาธรรม และจะเป็นผู้เจริญ เป็นผู้เจริญอย่างไร ก็จิตมันเติบโต จิตมันมันมีปัญญา เค้าเรียกเป็นผู้เจริญเป็นผู้ที่มีความศิวิไลซ์ เป็นผู้ที่ไม่ตกยุค ไม่กลับไปอยู่ของเก่าๆ ไม่กลับไปอยู่ในอดีต ไม่ไปจับอยู่ในโคลนตม เห็นมั้ยจ๊ะ นี่เค้าจึงบอกว่าเป็นดอกบัวที่กำลังจะพ้นน้ำ หรือว่าปริ่มน้ำแล้ว รอแสงอาทิตย์หรือว่ารอแสงธรรมที่มาสดับหรือมาให้ แล้วก็เกิดปัญญาได้โดยง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่เมื่อดอกบัวที่มันยังไม่ปริ่มน้ำ กำลังจะปริ่มน้ำมันก็ต้องมาฟังธรรมบ่อยๆ รับยาบ่อยๆ พอรับยาบ่อยๆเดี๋ยวมันจะค่อยๆดีขึ้นๆ แต่ถ้าโยมไม่คิดจะเปิดโอกาสและไม่มีความเชื่อไม่มีความศรัทธา มันก็ดื้อยา เมื่อดื้อยาก็รักษาไม่ได้..นี่แหล่ะตัวกู ของกู ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะโยมไปจมในทุกข์อยู่อย่างนั้น นั้นถ้าโยมต้องการจะพ้นทุกข์พ้นภัย เมื่อถึงเวลาแล้วก็ควรรู้ เมื่อยังมีกรรมในทางโลกอยู่ เราก็ต้องไปชดใช้ ไปเลี้ยงดูครอบครัว เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน นี่เรียกว่าวิบากกรรมทั้งนั้น แต่เมื่อถึงแล้ว เรานั้นไม่อยากมีกรรมแล้ว อยากจะตัดกรรมแล้ว ก็ขอให้ตัดที่ใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
คู่มันมีคู่สร้างคู่สมคู่เสพ คู่สร้างคือมาสร้างฐานะด้วยกันก็ดี คู่เสพคู่สมคือมาสมสู่ให้มีพยานรักเกิดขึ้นมา ดังนั้นเหล่านี้เรียกว่าคู่เสพคู่สมคู่สร้าง แต่เมื่อถึงเวลาแล้ว เราก็เรียนรู้ทุกข์มาพอแล้ว ให้มาเป็นคู่บารมีกัน คู่บารมีมันคืออะไร คือเดินไปทางเดียวกัน เมื่อเราเห็นว่าทางเส้นนี้มันเป็นทางที่สามารถจะพ้นทุกข์พ้นภัยได้ ก็ให้กำลังใจกัน มีเวลาก็มาประพฤติปฏิบัติ เห็นไปทางเดียวกัน นี่เรียกว่าคู่บารมี เค้าเรียกว่าศีลเสมอกัน เมื่อมันเสมอกันมันก็ไปทางเดียวกันได้ มันไม่ขัดกัน
คู่บารมีนี่ก็ยังเรียกว่าเป็นพระโสดาบัน กระแสพระโสดาบันก็เรียกว่ายังมีคู่มีครอง ยังมีเสพมีสมเป็นธรรมดา ต่อไปเค้าเรียกว่าคู่พรหม คู่แห่งพรหมคือการมีพรหมจรรย์ เมื่อจิตเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว เค้าจะไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เหล่านี้จะเบาบาง จนเห็นความเบื่อหน่ายในวัฏฏะ ก็จะอยู่คู่กันไป และต่างคนต่างสร้างบารมีซึ่งกันและกัน
แต่ถ้าโยมยังจมปลักอยู่ในคู่ในครอง อยู่อย่างนั้น หาคู่แล้วหาคู่อีกอยู่อย่างนั้น จะเอาให้ดีให้ดี แต่ตัวเองก็ยังไม่ดีก็ไม่ต้องไปหาแล้ว เค้าให้เรียนรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นการคนที่มีคู่ที่มีศีลเสมอกันก็ดี ไปในทางเดียวกันก็ดี หมั่นสร้างบารมีก็ดี นั้นเค้าเรียกว่าได้อธิษฐานกันมา เรียกว่าด้วยแรงอธิษฐาน คราวนี้เมื่อเราอธิษฐาน เราประพฤติปฏิบัติในเส้นทางแห่งมรรค เพื่อจะให้หลุดพ้น อย่างนี้เรียกว่าไม่มีการพลัดพรากเลย เพราะมันปฏิบัติไปทางเดียวกัน ทางเดียวกันมันจะไปพลัดพรากได้ยังไง ใช่มั้ยจ๊ะ มันเป็นเส้นทางเดียวกัน มันก็ไปจุดจบที่เดียวกัน
นี้คู่แห่งบุรุษมี ๘ คู่ โยมก็พิจารณาเอา ถ้าเรายังเดินทางอยู่ ก็เรียกว่าทางแห่งมรรค เมื่อเราเห็นผลแล้วเราจะเข้าถึงอริยมรรค อริยมรรคผลนี้ ดังนั้นกระแสพระโสดาบันนี้แลก็ยังมีคู่มีครองเรือนได้ แต่พวกนี้เค้าจะมีความศรัทธาความเชื่อในพระพุทธ ในพระธรรม พระสงฆ์ เรียกว่าละอายจากบาป หรือไม่กล้าทำกรรมชั่วหนัก ไม่กล้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
แม้โยมนั่งสมาธิไปในความเคลิบเคลิ้มจิตเคลิบเคลิ้มใจ มีความง่วงเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ฉันบอกให้โยมนั้นพยุงจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผาก ทรงจิตไว้ มันจะทรงค้ำกันอยู่อย่างนั้น แม้มันจะมีความง่วงอ่อนล้าเพียงใด ถ้าจิตยังทรงอยู่อย่างนั้น เพ่งอยู่อย่างนั้น ไม่นานจิตมันจะตื่นขึ้นมาของมันเอง
ถ้าโยมเอาไปเพ่งอยู่แต่ไม่รู้จุดของจิตที่จะวางจิตได้ เมื่อตัวไม่รู้มันเกิดขึ้นมันคืออวิชชา มันเป็นมายาของจิต สติโยมต้องไม่ตั้งมั่นแล้ว ก็เรียกว่าตัวรู้ตัวสตินั้น..เราไม่ทันมัน แต่ถ้าโยมยกจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผากเมื่อไหร่ โดยธรรมชาติของจิตนี้มันคือที่ตั้งของตัวรู้ แม้โยมจะมีความง่วงความอ่อนล้า..แต่มันก็ยังทรงอยู่อย่างนั้น
เหมือนไฟที่มันมีกำลังอ่อน แต่ยังพอมีความสว่างมั้ยจ๊ะ..มันยังไม่ได้ดับ แต่ที่นั่งไปแล้วไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ใด..มันก็มืด หลงลืมสติ เมื่อหลงลืมสติแล้วพวกนี้..นิวรณ์มันก็ได้ช่อง นั้นฌานนี่สำคัญนัก นั้นถ้าโยมรู้เมื่อภาวนาพอสงบพอสมควร ให้สำรวมจิตยกจิตขึ้นมาไว้กลางหน้าผาก
บางคนบอกว่าหลวงปู่ยกไม่ได้ ไม่มีกำลังยก ไม่รู้จะเอาอะไรยกมันขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าสำรวมจิตมันเป็นยังไง ก็ไอ้ความรู้สึกของโยมนั่นแหล่ะจ้ะ..คือสำรวมจิต ถ้าอย่างนั้นแล้วถ้ามันมีความง่วง โยมก็เอาความง่วงเป็นอารมณ์ ทรงอยู่ในความสงบความง่วงอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร แต่ให้มีองค์ภาวนากำกับไว้ เดี๋ยวจิตมันจะตื่นของมันเอง
แต่ถ้าโยมมีความง่วงแล้ว มีความอ่อนล้าแล้ว แล้วใจโยมไม่สู้ แล้วไม่รู้ว่าขณะนี้โยมทำอะไร นี่แหล่ะจ้ะยังไงโยมก็ต้องตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ให้ประคองกายสังขารจิตนี้ไปเปลี่ยนอิริยาบถ ไปเดิน ไปยืน ไปทรงกายสังขาร มีคนบอกว่าการฝึกสมาธิไม่เห็นยากเลย การฝึกสมาธิเค้าก็เอาแค่จิตฝึก ไม่เห็นต้องมาทรมานกายสังขารเลย พอง่วงก็ไปนอน แล้วก็พิจารณาภาวนาไป..ไม่มีทางหรอกจ้ะ
แม้โยมจะไปทำอย่างนั้น..ไม่มีใครจะพิจารณาอะไรได้ พอเมื่อโยมไปทำอย่างนั้นแล้ว มันมีความเคลิบเคลิ้มจิตแล้ว ทีนี้ก็ไปเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ แต่การที่เราเอากายสังขารมาฝึกจิตมาทรมานในกิเลสตัณหา..เพื่ออะไร เพื่อละอาการของสุข และเพื่อการฝึกขันติแห่งธรรม
เพราะไอ้ขันธมารเป็นตัวขัดขวางอยู่ เมื่อโยมไม่ขัดเกลามัน โยมก็ต้องตามกิเลสอยู่ร่ำไป พอเวลาเราจะหลับนอน..เราก็ไม่นอน เวลาเราจะบริโภค..เราก็บริโภคพอสมควรนั้น นี่เค้าเรียกว่าการตัดใจตัดกรรม เมื่อตัดอยู่บ่อยๆ..กรรมมันลดมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ลดเจ้าค่ะ) การบริโภคมากนี่ก็เป็นกรรม เพราะมันเป็นโทษ แต่เมื่อเราจะหิว แต่ในความหิวนั้นต้องดูด้วยว่าเป็นความอยากหรือไม่
ถ้าเป็นความอยากเมื่อไหร่..ตัวกิเลสเกิดขึ้นแล้ว ตัวกรรมเกิดขึ้นแล้ว นั่นเค้าเรียกว่ามีภัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะแท้ที่จริงแล้วการบริโภคอาหารนี้เพียงเพื่อยังอัตภาพนี้ให้มีแรงอยู่ ความหิวกับความอยากเหมือนกันมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่เหมือน) หิวนี้มีความรู้สึก ส่วนความอยากนี้คืออะไร..คือความต้องการ ใช่มั้ยจ๊ะ
มันก็เหมือนการที่โยมฝึกมาปฏิบัตินั้นแล อยากจะปฏิบัติ อยากจะนั่งสมาธิ อยากจะสวดมนต์ อยากจะหลุดพ้น เป็นกิเลสมั้ยจ๊ะ แบบนี้ไม่ใช่เรียกกิเลส มันไม่ใช่เป็นโทษมันจึงไม่เป็นกิเลส กิเลสมันต้องเป็นโทษมันถึงเรียกตัวกิเลส ทำไปแล้วเป็นโทษ เหมือนที่โยมกินมากแล้วเป็นโทษอย่างนี้เรียกกิเลส ทำอะไรแล้วเป็นโทษนั่นเรียกตัวกิเลส ตัวมาร หรือเรียกว่าตัวกรรม หรือตัวอกุศล
แต่ในความอยากใดเมื่อทำไปแล้วเป็นประโยชน์เป็นกุศล เป็นไปในทางการสร้างบารมี..ไม่เรียกว่าตัวกิเลส แต่เรียกเป็นการสะสมบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนมานะทิฏฐิแล้วเอาไปลดละทิฏฐิของตน เช่นอยากจะเอาชนะตัวเอง..เป็นมานะทิฏฐิมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นค่ะ) แต่ไอ้ตัวอยากเอาชนะนี้เป็นตัวฆ่ามานะทิฏฐิอีกทีหนึ่ง เห็นมั้ยจ๊ะ แล้วอย่างนี้เรียกกิเลสมั้ยจ๊ะ
มานะทิฏฐิคือการถือตน แต่การอยากละฆ่ามานะทิฏฐินี่เรียกว่าการทำลายมานะทิฏฐิ อันนี้เรียกว่าเป็นการสร้างบารมี เหมือนที่โยมจะไปชนะใคร แต่หันกลับมา..ถ้าเราชนะใจตัวเองได้ ไม่พยาบาทตอบได้นี่แล..เป็นการทำลายมานะทิฏฐิตัวเอง เป็นการเอาชนะใจตน..ก็ชื่อว่าชนะผู้อื่น แต่เป็นการที่จะเอาชนะผู้อื่นกับไอ้การสร้างเวรเพิ่ม ดังนั้นขอให้โยมพิจารณาให้มาก
ถ้าเราปฏิบัติมากๆแล้ว คำว่าเมตตาจิตเป็นอย่างไร ผู้ที่มีเมตตาจิตเค้าเรียกมีธรรมคุณธรรมสูง มีเรื่องที่จะโกรธแต่ไม่โกรธ ดังนั้นอะไรก็ตาม มีอย่างหนึ่งว่าอะไรก็ตามที่มันเกิดเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่มากระทบจิตให้เราเกิดมีอาฆาตพยาบาท มีความพอใจไม่พอใจ สิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วนั้นเราเคยกระทำมาทั้งนั้น ถ้าเรายิ่งไปกระทำตอบไปพยาบาทตอบแล้ว แสดงว่าเรานั้นยังไม่จบเวรนั้น กรรมจะยุติลงไม่ได้
แล้วอย่าบอกว่าเราไม่เคยทำอะไรแล้ว ทำไมเค้าจึงมาทำเรา..ไม่จริง ถ้าเรายังมีอารมณ์แบบนั้นอยู่แห่งไฟโทสะ โมหะ ความอิจฉาริษยา ความถือดีเหล่านี้ ล้วนแล้ววิบากกรรมนั้นวนเวียนมาเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ดับที่ใจของตัวเราเอง เมื่อเราดับที่ใจเราได้ ใจเราก็สบาย ไอ้คำว่าสบาย..มันคือสุข
แต่คนที่มันดับไม่ได้มีความเร่าร้อน..มันสบายมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่สบาย) มันจะหาวิธีอยู่ตลอดเวลาที่จะเอาชนะหรือกลั่นแกล้งคนอื่น นั่นเค้าเรียกว่ากำลังเผาไหม้ตัวเอง สร้างโทษให้ตัวเอง นั้นการเอาชนะผู้อื่นที่แท้จริงด้วยการเจริญเมตตาจิต ก็คือการเอาชนะตัวเองให้ได้ เมื่อโยมเมตตาตัวเองได้แล้ว เมื่อโยมแผ่เมตตาให้ใคร กุศลที่เมตตาที่แผ่ออกไปนั้นมันจะเข้าถึงบุคคลที่เป็นเวรพยาบาทกับเรา
นั้นการปล่อยวาง..มันต้องวางอะไร มันต้องวางอารมณ์ให้ได้ก่อน ถ้าเราวางอารมณ์ไม่ได้ ดับอารมณ์ไม่ได้ เมื่อเรามีโอกาสอารมณ์เหล่านั้นมันก็เกิดขึ้นอีก ดังนั้นการเอาชนะข่มใจตัวเองได้อยู่บ่อยๆนั่นแล เรียกว่าการฆ่ามานะทิฏฐิของตัวเอง นั่นคืออัตตาตัวตน ดังนั้นก็ขอให้โยมจงไปพิจารณาดู..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
การที่ว่าเรานั้นมาดูจิตกันกับเห็นจิตมันต่างกันอย่างไร ก็เป็นปุจฉาวิสัชนาอย่างหนึ่ง การดูจิตนั่นคืออะไร (ลูกศิษย์ : ดูอารมณ์เจ้าค่ะ) แล้วถ้าการเห็นจิตเล่ามันเป็นอย่างไร อาการคล้ายหรือแตกต่างกับการดูจิต (ลูกศิษย์ : แตกต่างกัน) อ้าว..ดูกับเห็นไม่เหมือนกันเหรอจ๊ะ
ถ้าเราจะพูดในทางธรรม "การดูจิต"จะเริ่มเป็นสมถะหรือเรียกว่าการภาวนา ก็เรียกว่าความสงบ เช่นดูลมหายใจ นี่เรียกว่าดูจิตเป็นสมถะหรือเรียกว่าฌาน คือการเพ่งแห่งจิต การเพ่งเรียกว่าดูหรือเปล่าจ๊ะ..
แต่ถ้าการ"เห็นจิต"จึงเรียกว่าวิปัสสนาจึงเรียกว่าญาณ ฉันจึงบอกว่าฌานนั้นเป็นเบื้องบาทแห่งญาณหรือวิปัสสนา นั้นการดูจิตก็คือดูลมหายใจ คือดูตัวที่สติกำหนดลงไป เมื่อดูแล้วสติตั้งมั่นสมาธิบังเกิด ปัญญาบังเกิด..วิปัสสนามันจึงบังเกิด ตามลำดับขั้นตอนของมัน ถ้าอย่างนั้นโยมก็พิจารณา..ก็เอาอารมณ์ของจิตนั่นแลพิจารณา เห็นการเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปของอารมณ์ทั้งหลาย อย่างนี้เรียกว่าเราได้เห็นอะไร เห็นการเกิดขึ้น..เห็นอะไร
เห็นการเกิดขึ้นก็คือเห็นทุกข์ ตั้งอยู่ก็คือทุกข์ ดับไปก็คือทุกข์ จึงเรียกว่าเวทนา ใช่หรือเปล่าจ๊ะ โยมจะนั่งให้มากมายเพียงใดกี่ชั่วโมงก็ตาม โยมจะเห็นสิ่งเหล่านี้ ไม่แปรเปลี่ยนไปจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าโยมมีสติอยู่ในกาย เป็นผู้เจริญวิปัสสนาแล้ว โยมจะเห็นอย่างนี้ เห็นการเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปของอารมณ์
จนอารมณ์ทั้งหลายดับไปนั้นแล..นิโรธก็บังเกิด ก็เรียกว่าตัวดับทุกข์..ควรทำให้แจ้ง แจ้งอย่างไร คือเราต้องไปพิจารณาตัวที่เกิด ตัวที่ตั้งอยู่ ตัวที่ดับไป สภาวะทั้งหลายที่เรารู้นี้ เรียกว่าสภาวะความไม่เที่ยง สภาวะความที่ไม่เที่ยงนี้เค้าเรียกว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้น
กายสังขารนี้แลเป็นที่หล่อหลอมแห่งทุกข์ทั้งหลาย เมื่อเราไปยึดกายมากเท่าไหร่ทุกข์ก็มีมากเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเรารู้แล้วว่าทุกข์เกิดขึ้นที่ใด เป็นเพราะใจเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นอยู่ใช่หรือเปล่า ยึดมากเท่าไหร่เวทนาก็จะมีน้ำหนักมากเท่านั้นที่มันจะกดทับเรา ใช่มั้ยจ๊ะ
เมื่อเรายอมปล่อยคือการปล่อยวาง ก็คือการละอารมณ์มากเท่าไหร่ จิตก็หลุดพ้นไปตามลำดับขั้นตอนของมัน หลุดพ้นจากอะไร หลุดพ้นจากความยึดมั่น มันพ้นจากไหน มันยึดที่ใด มันวางได้ที่ใด..ก็คือกายเรานี้ ตัวตนเรานี้ อัตภาพเรานี้ เมื่อเราละเราวางรูปในกายนี้มากเท่าไหร่ เวทนามันก็จะมีความเบาบางมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นหัวใจของกรรมฐานเค้าจึงบอกว่าให้เพียรละ นั้นการที่โยมจะดับ..ให้เกิดความสงบได้มากเท่าไหร่ อยู่เจริญในสมถะได้มากเท่าไหร่ ต้องพิจารณากายให้มากเท่านั้น ไม่ว่าจะครูบาอาจารย์ท่านใดก็ตาม เพราะบางคนบอกว่าวันนี้รู้สึกไม่มีความง่วง แต่จิตไม่สงบเลย บางคนจิตมีความง่วง มีราคะเข้ามา มีกามคุณ มีนิวรณ์ ๕ เข้ามา แต่จิตอยากประพฤติปฏิบัติเจริญสมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
บางคนจิตนั้นไม่มีความง่วง แต่จิตไม่มีความสงบเลย คือจิตไม่ตั้งมั่นหรือเรียกจิตฟุ้งซ่าน สิ่งเหล่านี้ต้องทำอย่างไร นั้นไม่ว่าโยมจะฟุ้งซ่าน หรือมีความง่วงก็ตาม ให้เรานั้นยกกายขึ้นมาพิจารณาเพ่งอยู่ในกายอยู่ในวิหารแห่งธรรม เพ่งกายให้เจออะไรบ้าง ให้เจอธรรมสังเวช ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่เป็นกุศล
ธรรมที่เป็นกุศลคืออะไร ธรรมที่เราประพฤติปฏิบัติได้แล้วที่เป็นกุศล เป็นคุณงามความดีที่เราเคยทำ ให้ระลึกมาเป็นกำลังใจ ธรรมที่เป็นอกุศลให้เราเพ่งโทษในกาย ธรรมสังเวชคือเมื่อกำหนดและพิจารณาแล้วทำให้เรารู้สึกปลง สละ เกิดความสลด ความเบื่อหน่ายนั้นแล มันจะทำให้เรานั้นจิตนั้นหลุดพ้นจากอารมณ์ที่ร้อยรัดให้เรานั้นมันเคลิบเคลิ้ม ตกเป็นทาสของกิเลสแห่งตัณหา
บางคนคิดระลึกไม่ได้ เพราะว่าอำนาจแห่งจิตนั้นสมาธินั้นยังไม่ตั้งมั่น เมื่อสมาธิยังไม่ตั้งมั่น..ปัญญามันก็เกิดได้ยาก เค้าจึงบอกว่าเมื่อโยมทั้งหลาย เมื่ออบรมบ่มจิต เจริญทาน ศีล ภาวนา ทำปัญญาให้มันเกิดขึ้นบริบูรณ์แล้ว สิ่งการปวงใดจิตมันจะหลุดพ้นปล่อยวางของมันเองโดยที่ไม่ต้องไปสั่งมัน อุปมาเหมือนเราบริโภคอาหารไปแล้ว ก็ไม่ได้บอกว่าจะไปสั่งมันว่าอิ่มแล้ว แต่จิตมันจะรู้เองว่าอิ่มแล้วพอแล้ว..ลักษณะเดียวกัน
นั้นอันว่าจิตที่เรานั้นฝึกมากๆเข้าแล้ว อบรมบ่มจิตในศีล สมาธิ ปัญญามากๆ มันก็จะบริบูรณ์ของมันเอง ปัญญามันจะเกิดของมันเอง จิตมันจะหลุดพ้นและปล่อยวางของมันเอง นั้นโยมเมื่อเราประพฤติปฏิบัติอยู่ จะไปถามว่าเราจะหลุดพ้นเมื่อไหร่ กิเลสตัณหาที่ร้อยรัดเรานี้มันจะหมดไปเมื่อไหร่ สิ่งเหล่านั้นที่เราไประลึกไปวิตกกังวลมัน..รังแต่จะทำให้จิตเราฟุ้งซ่านไปเปล่าๆ
แต่ถามว่าสิ่งที่เรามีความพอใจในความอยาก เรารู้เท่าทันในเหตุเพ่งโทษมันมากเท่าไหร่..กิเลสตัณหามันก็จะเบาบางมากเท่านั้น นั้นเมื่อเราประพฤติปฏิบัติในศีล สมาธิ ภาวนาไว้ให้มากๆนี้แล..มันจะบริบูรณ์ของมันเอง เหมือนการที่เรามาประพฤติปฏิบัติแล้วศีลสำคัญหรือไม่..สำคัญ สมาธิคือใจตั้งมั่นสำคัญหรือไม่..(ลูกศิษย์ : สำคัญ) ปัญญาที่อบรมบ่มจิตแล้ว ที่มันตื่นแล้วด้วยสมาธิด้วยศีลสำคัญหรือไม่..(ลูกศิษย์ : สำคัญค่ะ)
ดังนั้นจึงบอกว่าการดูจิตนี้จึงเรียกว่าเป็นสมถะอย่างหนึ่ง เป็นสมถกรรมฐาน แล้วก็เรียกว่ามีอีกอย่างก็คือกรรมฐานวิปัสสนา นั้นกรรมฐานวิปัสสนาเป็นอย่างไร เช่นโยมยกกายดูกายขึ้นมาเอามาเป็นอสุภะกรรมฐาน แล้วพิจารณาลงไปอย่างนี้ เรียกว่าอะไร วิปัสสนากรรมฐานหรือไม่
เพราะการดูจิตสมถกรรมฐานเป็นอย่างไร คือเอาอารมณ์ทั้งหลายเอามาเป็นความสงบของอารมณ์ คือจิตที่ตั้งมั่นเพ่งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง..นั่นเรียกการดูจิตให้มันสงบหรือการประคับประคองจิตอย่างนี้
นั้นการดูจิตกับเห็นจิตมันต่างกัน แต่การที่โยมจะไปเห็นจิตนี้ โยมต้องดูก่อนมั้ยจ๊ะ ต้องมองก่อนหรือเปล่าจ๊ะ มันเรียกว่าต้องมีผัสสะเสียก่อน หากไม่มีผัสสะมากระทบโยมจะรู้ได้อย่างไรว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันมีเวทนามีความรู้สึกอย่างไร หากกายนี้ไร้ความรู้สึกแล้วโยมจะประพฤติปฏิบัติธรรมได้หรือเปล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ได้ค่ะ)
ดังนั้นเค้าบอกว่าถ้าเราไม่ต้องอาศัยกาย..ดูแต่จิตได้มั้ยจ๊ะ ได้รึเปล่าจ๊ะ จิตโยมยังไม่รู้เลยโยมจะไปดูจิตได้อย่างไร จิตมันหลงได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้ค่ะ) จิตมันยังไม่เป็นผู้รู้ผู้แจ้ง ใช่หรือเปล่าจ๊ะ นั้นเราต้องฝึกจิตจากกายนี้แล จากการพิจารณา ถ้าโยมไม่มีกายโยมจะฝึกจิตได้มั้ยจ๊ะ ขนาดมีกายสังขารยังทุกข์ขนาดนี้ ยังปฏิบัติแล้วยังลำบากขนาดนี้ แล้วถ้าไม่มีกายให้โยมฝึกเล่า โยมจะเอาอะไรพิจารณาถ้าโยมไม่เคยฝึก
อะไรที่เคยฝึกไปแล้วแม้นไม่มีกาย ก็เอาจิตนั้นแลที่ยังคงอยู่ ที่มันยังละวางอารมณ์ไม่ได้นั่นแล ก็ดูอารมณ์ทั้งหลายนั้นเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป จนมันเกิดความสงบ จิตมันตั้งมั่นรวมตัวพิจารณาดับอารมณ์นั้นลงไปแล้ว มันถึงจะเข้าสภาวะความว่างแห่งจิต เข้าสภาวะความว่างเป็นนิพพาน คือหลุดพ้น..
บางคนเค้าถึงบอกว่าเทวดาทั้งหลายทั้งปวงที่เค้าได้ฌานได้ญาณบารมี ด้วยเค้าได้สดับรับฟังธรรมจากพระคุณเจ้าก็ดี จากพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี แม้นไม่มีกายเป็นกายทิพย์ แต่เค้าก็สามารถบรรลุธรรมมากมายมหาศาลก็เพราะเหตุนี้ เพราะเค้าเคยฝึกมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
อันว่าการงานทางโลกนี้ก็เป็นของธรรมดา ถ้าเรารู้หน้าที่มันจะไม่ขัดกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะว่าทั้งงานทางโลกก็ดีทางธรรมก็ดี ถ้าโยมเข้าใจแล้ว..งานทางโลกนั้นแลเป็นตัวตัดวิบากกรรม งานทางธรรมเป็นตัวทำให้พ้นกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะงานทางโลกนั้น..หากเราไม่เจริญงานทางโลกแล้วจะเข้าถึงธรรมเลยทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อมีกายเราก็ต้องหล่อเลี้ยงกายสังขาร การที่เราเจริญการงานทางโลกนี้แลเพราะเราต้องใช้กรรมส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเรามาเจริญทางธรรม..นี่เรียกเป็นการสร้างบารมี
เมื่อบารมีในทางธรรมเรามีมากแล้ว..มันจะพ้นกรรมทางโลกเอง แต่ถ้ายังไม่ถึง..นั่นแลเป็นการได้ชดใช้และตอบแทนแผ่นดินก็ดี ตอบแทนบิดามารดาผู้มีคุณก็ดี ตอบแทนในกรรมทั้งหลายที่เราได้กระทำมา ถ้าโยมรู้หน้าที่แล้วจะเห็นว่ามันไม่ใช่ภาระ..แต่มันเป็นหน้าที่
นั้นเมื่อโยมเข้าใจหน้าที่เสียแล้วมันก็จะไม่ขัดกัน จะรู้เวลา อย่าบอกว่าโอ้..ฉันมีงานทางโลกแล้ว ไม่มีเวลาหรอกจ้ะในทางธรรม ทุกอย่างมันมีเวลาหรือไม่มันอยู่ที่ตัวเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเวลาของมนุษย์มีเท่ากัน แต่วาระกรรมต่างหากที่ไม่เท่ากัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นถึงบอกว่าอันว่าการงานทางโลกมันก็มีกันทุกคน หรือบอกว่ามนุษย์มีกรรมกันทุกคนนั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันถึงบอกว่าเมื่อถึงวาระเวลาของมัน..โยมจะได้มีโอกาสมาเจริญการงานทางธรรมมากยิ่งขึ้น แสดงว่ากรรมทางโลกของโยมนั้นเริ่มเบาบางแล้ว
หากโยมไม่มีวาระเวลาในทางธรรมเลย แต่มีแต่เวลาทางโลกอย่างเดียว..นั่นคือเป็นข้ออ้างเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะไปบอกโยมได้..
ฉันจึงบอกว่าเมื่อโยมมีโอกาสมาเจริญงานทางธรรม..มันก็ไม่ใช่ประโยชน์ของใคร มันก็เป็นประโยชน์ของโยมเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จึงบอกว่างานทางโลกก็อย่าได้เสีย งานทางธรรมก็อย่าได้ขาด เมื่อสองอย่างนี้มันไปด้วยกันได้แล้วมันก็จะเกื้อกูลกันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นมันจึงเป็นตัวหล่อเลี้ยงกันได้
ถ้าโยมมีแต่งานทางโลกแต่ขาดงานทางธรรมแล้ว เมื่อโยมขาดธรรมเสียแล้ว..โยมก็จะรักษางานทางโลกไว้ไม่ได้ เพราะว่าโลกธรรมที่โยมต้องไปเผชิญกับสิ่งที่โยมต้องมาถูกกระทบอยู่ตลอดเวลา ถ้าโยมไม่มีธรรมที่จะรักษาในกาย วาจา ใจเสียแล้ว..โยมก็อยู่ทางโลกลำบาก ย่อมมีอุปสรรคมากขึ้นนั่นเอง
แต่เมื่อโยมมีการงานทางธรรมมันก็จะไปเกื้อกูลเกื้อหนุนชีวิตทางโลก..ให้โยมนั้นผ่านอุปสรรคและมีกำลังใจ..นั่นแลเรียกว่าบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นอย่าไปบอกว่าโอ้..ฉันทำงานการทางโลกมากมาไม่ไหวแล้ว ถ้าโยมวางแล้วนั่นแหล่ะจ้ะ..มันก็เบา เมื่อโยมวางแล้วไม่แบกไว้โยมก็สามารถที่จะทำงานทางธรรมได้ เพราะทางธรรมนี้โยมไม่ต้องไปแบกหามอะไรเลย เพียงแค่โยมละอย่างเดียวในอารมณ์ของทางโลกออกไป..ก็เป็นทางธรรมแล้ว
แต่ถ้าโยมไปเก็บอารมณ์ในทางโลกมามันก็เป็นทางโลกเหมือนเดิม แสดงว่าโยมไม่เคยหยุดงานเลยในทางโลก แท้ที่จริงแล้วการงานทั้งหลายนั้นที่โยมตั้งอยู่ว่ามันเป็นงานที่หนักหนาหรือเหนื่อยล้า..เพราะโยมไม่ได้วาง นั่นเรียกว่ายึดแล้วในสิ่งนั้น
เมื่อยึดในสิ่งใดในอารมณ์ใดแล้วจิตย่อมเป็นทุกข์ในสิ่งนั้น ขอให้โยมเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ทางโลกคืออะไร ถ้าโยมวางและเข้าใจ..ทางธรรมและทางโลกนั้นแลคือทางเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่แค่โยมแค่แบ่งเวลาให้ถูก และเข้าใจว่าโลกคืออะไร ธรรมคืออะไร นั้นจึงบอกว่ามีโลกธรรมและโลกแห่งธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ
โลกธรรมมันคืออะไร โลกธรรมก็มีสรรเสริญ นินทา เยินยอ มีความอยากได้ใคร่ดี อำนาจวาสนาบารมี นี่คือความอยากได้นั่นเอง เรียกว่าหาที่สุดไม่ได้ในทางโลก เข้าใจมั้ยจ๊ะ หาที่ตั้งไม่ได้ในความพอดี แต่ทางธรรมมันหาที่ตั้งหาที่สิ้นสุดได้เมื่อเรานั้นวางแล้ว รู้จักพอแล้ว มันก็จะพอดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ ถ้าเกิดว่าเราอยากจะพิจารณายังไงถึงจะทราบว่า คนๆนี้ได้ปฏิบัติไปแล้วได้เข้าถึงธรรมขั้นต้นแล้วน่ะค่ะ
หลวงปู่ : โยมจะถามใคร หรือถามตัวเอง โยมจะไปถามกับใคร หรือถามเพื่อให้เกิดกับตัวเอง สิ่งที่โยมถามโยมไม่เข้าใจในคำถามโยมเหรอจ๊ะ ไหนลองถามใหม่ อ้าว..ลองถามใหม่สิจ๊ะ
ลูกศิษย์ : ธรรมขั้นต้นนี่ค่ะ..เค้าบอกว่าเข้าถึงธรรมขั้นต้นเนี่ยะ แล้วจะทราบได้ยังไงว่านี่คือการเข้าถึงธรรมขั้นต้นแล้ว
หลวงปู่ : เออ..ตอบไม่ยากเลย บุคคลถ้าจะเข้าถึงธรรมขั้นต้น เด็กป.๑ ก็เข้าถึงได้ เด็กไม่มีป.ก็เข้าถึงได้ ก็คือต้องเข้าถึงความสงบให้ได้ก่อน นั่นแหล่ะจ้ะธรรมขั้นต้น ถ้าสงบไม่ได้โยมไม่ต้องไปขั้นไหนต่อไปแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ คนน่ะพูดจายังหามีความปกติในจิตไม่ ยังไม่สงบกายวาจาอยู่ ผู้นั้นก็เรียกว่ายังไม่เข้าถึงธรรม ถึงแม้มีธรรมก็รักษาธรรมนั้นไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
คนรู้ธรรมมีมากมาย แต่คนที่จะเข้าถึงธรรมมีน้อย นั้นธรรมขั้นต้นก็คือว่าโยมต้องเข้าถึงความสงบให้ได้ก่อน ไอ้ความสงบนั้นแหล่ะจ้ะ..มันมีอยู่ในนั้นหมดเลย วิชชา..จรณะ..ญาณสัมปันโน ความสงบนั้นคือบ่อเกิดแห่งอริยทรัพย์ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นปัญญา ไม่ว่าจะเป็นวิปัสสนา
อย่างนี้ต้องเข้าถึงความสงบให้มาก แล้วการเข้าถึงความสงบ มันไม่ใช่แค่มีขึ้นมาลอยๆว่า อยู่ๆจะให้สงบ ใช่มั้ยจ๊ะ ต้องทำยังไงจ๊ะจะให้สงบน่ะ บางคนก็ต้องหาอุบาย มีองค์ภาวนาก็ดี พุทโธก็ดี ยุบหนอพองหนอก็ดี สัมมาอะระหังก็ดี พุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี ล้วนแต่หาอุบายเกลี้ยกล่อมจิตให้เข้าถึงธรรม เห็นมั้ยจ๊ะ
แล้วโยมบอกว่าธรรมขั้นต้นคืออะไร โยมต้องเข้าถึงตรงนี้ให้ได้ก่อน แต่คำว่าขั้นต้นของโยม..กว่าจะเข้าไปถึงผ่านอะไรก่อน ใช่มั้ยจ๊ะ มันต้องมีวาสนาบารมีคือสะสมกระทำมา ถ้าคนไม่เคยสะสมกระทำมา..แม้ขั้นต้นโยมก็เข้าไม่ได้ ใครบ้าบอที่ไหนจะมีบารมีไม่มีบารมีมานั่งสมาธิเลย..มันเป็นไปไม่ได้ จำไว้นะจ๊ะ
คนที่นั่งพุทธบัลลังก์อย่างนี้ได้ก็ต้องมีเชื้อพุทธะมาก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไม่เคยสะสมมา ใครจะมานั่งได้แบบนี้ เดี๋ยวก็บ้า ทำไมถึงบอกว่าบ้า อ้าว..จิตมันไม่สงบมันจะไปนั่งได้ยังไงจ๊ะ ธาตุไฟเตโชมันก็ชนกันแตกซ่านหมดอย่างนี้ ถ้าโยมไม่เคยฝึกมาเป็นอสงไขยก็ดี เป็นภพเป็นชาติก็ดี มันจะหาความสงบไม่ได้แม้เพียงขณะจิตเดียวเลย
นี้โยมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่โยมทำมันมีบุญกุศล มีอานิสงส์มหาศาลแค่ไหน โยมเลยไม่เข้าถึงในบารมีของตนเอง เพราะโยมนั้นเข้าไม่ถึงตัวเอง เค้าเรียกว่าโยมไม่ได้ให้กำลังใจตัวเอง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเองว่าโยมเกิดมามีดีอะไรบ้าง แต่โยมไปมองส่วนดีของคนอื่นเค้า แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองนั้นด้อยลงไป แล้วเมื่อด้อยแล้วก็ทำให้อยากมี..ทะยานอยากให้เหมือนคนอื่นเค้า นี่เรียกมีความโลภกลับมาอีก เรียกว่าเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเองโดยแท้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นการจะเข้าถึงธรรมขั้นต้น..คือโยมเข้าถึงความสงบให้ได้ก่อน แล้วไอ้ความสงบที่ว่าโยมต้องทำยังไง ก็ต้องเรียกว่า..โยมต้องไปเข้าถึงศีลก่อน รักษาศีลให้มันได้ก่อน..นี่เรียกธรรมขั้นต้น อ้าว..โยมมีหน้าที่ในขณะนี้เป็นฆราวาสก็เอาศีล ๕ ให้มันได้ก่อน ถ้าเป็นนักบวชก็ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ อะไรก็ว่าไป นี่คือธรรมขั้นต้น
ธรรมขั้นต้นของฆารวาสก็ต้องคือศีล ๕ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมรักษากาย วาจา ใจได้แล้วนั่นแหล่ะจ้ะ โยมจะเข้าถึงความสงบมั้ยจ๊ะ ขั้นต้นมั้ยจ๊ะ โสดาบันเกิดขึ้นแล้ว มันไม่ได้ยากเย็นอะไรหรอกจ้ะ มันยากเย็นเพราะโยมไม่เข้าใจ แล้วโยมทำไม่ได้ และก็ไม่อยากทำ เพราะโยมไม่มีหลัก ใช่มั้ยจ๊ะ
หลักไม่มีจะเดินอย่างไรเล่าจ๊ะ จริงมั้ยจ๊ะ เพราะโยมยังไม่แข็งแรง พอจะตั้งกุศลให้เกิดขึ้น..ล้มอีกแล้ว โยมก็ต้องหาไม้เท้า หาไม้พลองเพื่อเป็นอาวุธ พอโยมจับไม้พลองมีอาวุธโยมจะรู้สึกอบอุ่นมั้ยจ๊ะ โยมก็ต้องหาหลัก เช่นองค์ภาวนาก็ดี เห็นมั้ยจ๊ะ องค์พุทโธก็ดี ภาวนาเข้าไป ระลึกถึงพระพุทธก็ดี ระลึกถึงพระสงฆ์ก็ดี น้อมนำจิตเพื่อเป็นกำลังจิตกำลังใจในปฏิปทาจริยาวัตรของท่าน ในธรรมที่ท่านสอนยกขึ้นมาเป็นอารมณ์ นี่เรียกว่าเป็นหลักทั้งนั้น เป็นอุบายแห่งธรรม
ถ้าโยมจะเข้าถึงธรรมโยมไม่มีอุบาย โยมจะได้สิ่งที่โยมปรารถนามั้ยจ๊ะ ในทางโลกโยมก็ต้องมีอุบายแข่งขัน ทางธรรมโยมก็ต้องแข่งกับมัน เพราะกุศลและอกุศลนั้นมันเบียดกันอยู่ตลอดเวลา นั้นสิ่งที่โยมถามมานี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ การเข้าถึงธรรมขั้นต้นเป็นอย่างไร ก็อย่างที่ฉันว่าพรรณามานี้แหล่ะจ้ะ..ธรรมขั้นต้น โยมเกิดมาโยมอยากเป็นอะไร นี่ขณะที่โยมจะเป็นอะไรก็ตาม แต่โยมยังเป็นฆราวาสอยู่ นี่เรียกว่าธรรมขั้นต้น..ศีล ๕ คือเหตุแห่งการเป็นมนุษย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
วันไหนถ้าจิตเราดี จำไว้นะจ๊ะ..ถ้าจิตเราสงบแต่ปัญญาไม่เกิด ให้ภาวนาเข้าไปอีก เพราะถ้าในความสงบนั้นโยมไปเพ่งดูอยู่ เดี๋ยวมันจะเกิดความเคลิบเคลิ้ม เพลินอยู่ในสุขอยู่ในสมาธิ เค้าเรียกว่าติดในสมาธิ ติดอยู่ในฌาน เมื่อติดอยู่ในฌานแล้วมันไปไหนไม่ได้ มันจะทำให้โยมนั้นเสียเวลาเสียกำลังใจ มีแต่ความเพียรแต่ไม่มีสติ..ความเพียรนั้นก็ไร้ความหมาย มันจะเป็นการท้อถอย เบื่อหน่าย
เบื่อหน่ายในที่นี้ไม่ได้เบื่อหน่ายในทุกข์ แต่มันเบื่อหน่ายในการทำความดีเพราะมันไม่เจริญเติบโตไม่เห็นอะไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วต้องมีสติ เมื่อมันสงบ..ภาวนาเข้าไปอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพื่อรักษาความสงบนั้นให้มันตั้งมั่น เพื่อให้เข้าถึงสมาธิ ให้จิตและลมหายใจนั้นเป็นหนึ่ง
เมื่อเป็นหนึ่ง ลมหายใจนั้นก็คือกาย จิตและกายเป็นหนึ่งเมื่อไหร่นั้นแล..ร้อนก็ดี หนาวก็ดี เย็นก็ดีทำอะไรไม่ได้ มันจะดับในเวทนานั้น แล้วพิจารณาด้วยเห็นตามความเป็นจริง เมื่อถอนออกมาจากสมาธิจากญาณแล้ว ธรรมที่เราเห็นในภายในยังอยู่ในภายนอกโดยที่ไม่ต้องหลับตา คือมันอยู่ในกระแสจิต ได้พิจารณาธรรมได้ตลอดเวลา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั่นเรียกว่าผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมได้บังเกิด จักษุญาณก็บังเกิดโดยที่ไม่ต้องหลับตา เห็นอะไรก็เห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น ไม่ต้องไปนิมิตไปสมมุติเอาอย่างนั้น แต่ถ้าเรายังไม่เห็นให้เราสมมุตินิมิตเข้าไปก่อน ซ้อนเข้าไปในกาย ซ้อนนิมิตในความตายในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ซักวันนึงเราหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ต้องตาย ระลึกถึงศพเรา อย่างนี้เค้าเรียกว่านิมิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ในตอนที่เรามีกำลังยังไม่แก่ ก็ให้ซ้อนเข้าไปเห็นว่ามีความแก่อยู่ซ่อนอยู่ ตอนนี้เรายังดีอยู่ก็มีความเจ็บซ่อนอยู่ มันเป็นการปลุกให้จิตเรานั้นเกิดความไม่ประมาท นั่นคือตัวสติ ตัวสติจำไว้คือตัวระลึกได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่สมาธิคือใจที่ตั้งมั่นในสิ่งที่ทำอยู่ คือจิตที่จดจ่อ จะว่าเป็นการเจริญฌานก็ได้
อันว่าตัวปัญญาไม่ได้เป็นผู้รอบรู้ในสิ่งที่คนเค้าไม่รู้ แต่ตัวปัญญาคือการรอบรู้เท่าทันในอารมณ์และกองสังขารแห่งทุกข์แห่งภัยในวัฏฏะ แม้เพียงเห็นแค่ขณะจิตเดียวก็มีอานิสงส์มหาศาล ที่จะเป็นพื้นฐานบรรทัดฐานต่อไปให้โยมนั้นเข้าถึงการพ้นทุกข์ได้ คือความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏแห่งการเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ขึ้นชื่อว่าด้วยปัญญาแล้ว มันจะรู้มันจะเข้าใจ ฉันถึงบอกว่าผู้ใดมีธรรมแล้วเกิดขึ้นแล้ว ได้ลงมือปฏิบัติจริงแล้ว ธรรมนั้นจะไม่มีวันเสื่อมเลย เหมือนที่ฉันบอกถ้าใครได้กรรมฐาน ไม่ว่าโยมจะอยู่สภาวะการณ์ใด จะสุขหรือทุกข์ก็ดี ผู้นั้นจะได้เจริญปัญญาเจริญสติได้อยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อย คือธรรมนั้นจะไม่มีวันเสื่อม เพราะว่าได้ธรรมแล้ว หรือเรียกว่าได้กระแสพระนิพพานชั้นต้นแล้ว จะมีแต่ว่าการพัฒนาธรรมหรือจิตนั้นให้สูงๆยิ่งขึ้นไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นอันว่าปัญญาญาณมันคืออะไร ปัญญาญาณคือการอบรมบ่มจิตให้รอบรู้อยู่ในกองสังขาร รอบรู้ในกองทุกข์ หรือภัยในวัฏฏะแห่งการเกิด ว่าเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงมันเกิดอยู่ที่ใด แล้วญาณนั้นก็คือการหยั่งรู้แห่งชาติ การกำเนิด การตาย การจบสิ้นในการเกิดการตาย ว่าเราตายแล้วจะไปไหน
ถ้าความตายที่เราตายไปแล้ว..เรายังไม่หมดในความพอใจที่เรานั้นอยากเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ นั้นความต้องการเกิดมันก็มีอยู่ร่ำไป พระพุทธองค์ท่านค้นหาที่ว่าทางที่จะไม่เกิดไม่ตายมีอยู่หรือไม่ นี่เค้าเรียกว่าการถอนคำสาป ก็มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อมีชีวิตมีสังขารย่อมต้องตายทั้งหมด เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดทั้งหมดเช่นเดียวกัน
เมื่อการเกิดการตายวนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นวัฏสงสาร ไม่สามารถออกจากวงจรนี้หรือคำสาปนี้ไปได้ จนว่ามีพระสัพพัญญูที่อุบัติเกิดขึ้นมา ได้สงสัยในธรรมข้อนี้หรือเหตุข้อนี้ ว่าเมื่อมีการเกิดแล้ว มีการตายแล้ว นั้นการไม่เกิดไม่ตายมีหรือไม่ ต้องทำอย่างไร เห็นมั้ยจ๊ะ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ต้องทำอย่างไร ท่านก็แสวงหาคือทางออกแห่งทุกข์ทั้งปวง
ดังนั้นความกลัวตายจักไม่มี..ถ้าเราเข้าถึงในบุญในพระรัตนตรัย ในหมู่บุญในหมู่กุศลแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าข้ามความตาย พ้นจากความตาย เมื่อโยมพ้นจากความตายโยมก็จะพ้นจากการเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะนั้นถ้าโยมไม่อยากตายก็อย่าไปเกิด ตอนนี้เมื่อเกิดมาแล้วก็ฝึกตายให้มันบ่อยๆ ละอารมณ์ที่มันยังไม่ตายที่มันยังไม่ดับ ทำให้มันดับเสีย ทำได้มากได้น้อยทำไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
คำว่าจิตว่างคือจิตที่มีความสุข บางคนคิดอยู่แต่มีความสุข แล้วบอกว่าจิตว่างได้อย่างไร..จิตมันว่าง คนที่จิตไม่ว่างจะหาความสุขไม่ได้เลยแม้ชั่วขณะจิตเดียว เช่นคนระลึกถึงบุญอยู่..ก็มีความสุข นั่นเค้าเรียกว่าจิตเค้าว่าง..ว่างจากอัตตาตัวตน ว่างจากการยึดมั่นถือมั่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่คราใดเมื่อโยมทำบุญไปแล้วจิตโยมเป็นทุกข์ ว่าโยมทำบุญไปแล้ว บุญที่โยมทำนั้นไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้อย่างที่เราตั้งใจที่เราจะทำไป แม้โยมทำบุญแบบนั้นจิตโยมก็ไม่เป็นสุขได้ เหตุเพราะยังไปยึดในบุญกุศล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ให้ทานไปแล้วก็ยังหวังผลว่าให้เค้าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ตามที่เราปรารถนา นั้นทานนั้นยังไม่เป็นธรรมทานโดยแท้จริง ยังเป็นมลทินอยู่ เพราะโยมนั้นยังไปยึดอยู่ บุญนั้นสำเร็จยังไม่ได้ เมื่อยังไม่สำเร็จแสดงว่าการงานที่โยมทำยังคั่งค้างอยู่ ยังไม่สมบูรณ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นบุญจะสมบูรณ์และให้ผลได้ต่อเมื่อโยมนั้นไม่หวังผล บุญถึงจะให้ผลเต็มร้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นการที่โยมจะทำอะไรก็ตาม โยมก็ต้องตั้งจิตตั้งมั่นให้มันดี อย่ายึดว่านี่ของกู ว่านี่ของฉัน แต่จงระลึกว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นเป็นการตอบแทนแผ่นดิน จรรโลงศาสนา ตอบแทนบิดามารดาบรรพบุรุษที่เค้าให้แผ่นดินเราอยู่ ที่เค้าให้เราเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมทำได้แบบนี้ เรียกว่าเป็นคนแบบนี้แล้ว จะไปไหนก็ตาม จะมีเภทภัยอะไรก็ตาม เค้าเรียกว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
อ้าว..ก็โยมทำไปเพื่ออะไร โยมทำไม่หวังผล นี่เค้าเรียกเป็นธรรมทานอันยิ่งใหญ่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เทพเทวดาเค้ารู้เค้าก็แซ่ซ้อง อนุโมทนาสะเทือนสะท้านแผ่นดินทั่วทั้งจักรวาลพิภพ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอย่าคิดว่าโยมจะสร้างวัดวาอารามแล้วโยมยังยึดนั้นว่ามีบุญมหาศาล..ไม่จริง เพราะโยมเอาอะไรไปไม่ได้เลย เป็นเพียงแค่อาศัยเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่สิ่งที่โยมจะเอาไปได้จริงคือบุญกุศลกับอกุศล กรรมดีและกรรมชั่ว..นี่คือของจริงที่โยมจะเอาไปได้ ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าคนมีปัญญาเค้าจะรีบแสวงหาทรัพย์นั้น ที่ฉันกล่าวไปว่าเป็นของจริง..เป็นอย่างไร ทาน ศีล ภาวนานี้เมื่อโยมทำแล้วมันจะเป็นของจริงได้อย่างไร ก็ต่อเมื่อโยมเข้าถึงความสงบ เข้าถึงในพระรัตนตรัย ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือเชื่อในบุญกุศล เชื่อในพระธรรม เชื่อในคำสอน โยมถึงจะกล้าลงมือประพฤติปฏิบัติ
บางคนกว่าจะเข้าถึงในพระธรรม ต้องยอมเสียทรัพย์แม้กระทั่งจนไม่มีจะให้เสียแล้ว มันต้องแลกกันมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมกลัวที่จะหมด..โยมไม่มีทางที่จะเป็นผู้มั่งมีได้เลย คือไม่มีทางที่จะมีความสุขได้เลย คนไม่มีอะไรต่างหากที่เป็นผู้มีความสุข เพราะไม่ต้องระวังกังวลอะไร แต่คนที่ไม่เคยมีจะรู้ไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ
เฉกเช่นเดียวกับการปฏิบัติ ถ้าโยมไม่ลงมือทำนั้นโยมจะไม่รู้เลย เพราะเมื่อโยมไม่ได้สัมผัสประสบขึ้นมาเอง ความลำบากความทุกข์ก็จริงถ้าโยมไม่เคยกระทำมา คนไม่เคยมีมันอยากมีมั้ยจ๊ะ มันก็อยากมีเป็นธรรมดา ทีนี้คนมันมีมันก็อยากจนอีกทีนี้ เห็นมั้ยจ๊ะ
พอมีมากก็กลัว..กลัวคนจะเอาของตัวเองไป โยมลองมีมากๆสิจ๊ะโยมจะกลัว นี้เป็นเรื่องจริงของมนุษย์ แต่คนที่ไม่มีก็อยากมีเป็นของธรรมดา แต่ถ้าโยมมีแล้วโยมเป็นผู้ให้ อยากให้คนอื่นเค้ามีนั่นแล ของที่โยมมีจะไม่มีวันหมดเลย เค้าเรียกว่าผู้บริบูรณ์ เรียกว่าผู้ไม่พร่องผู้ไม่ขาด
ศีลก็เหมือนกัน เมื่อเราเข้าถึงความสงบ ก็ควรเจริญเมตตาจิตให้กับสรรพสัตว์ที่เค้ายังเข้าไม่ถึงในธรรม ที่เค้ายังมืดบอดอยู่ คือการให้อภัยบุคคลทั้งหลายทั้งปวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเค้ามีศีลมีธรรมแล้วเค้าจะไม่เป็นผู้มีอกุศล ใช่มั้ยจ๊ะ ก่อนที่เราจะเข้าถึงความดี เราก็เคยไม่ดีมาก่อน ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วก็ควรจะให้อภัย เมตตาต่อกัน
นั้นเมื่อโยมจะทำอะไรขอให้ทำด้วยใจ..อย่าได้หวังผล ให้ทำเป็นธรรมทาน เมื่อโยมไม่หวังผลมันก็เป็นสังฆทาน บุญมันจะยิ่งใหญ่มหาศาล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ต่อเมื่อเรานั้นเกิดปัญญาในตัวรู้มาพิจารณาได้เมื่อไหร่ เราเห็นโทษเห็นภัยมัน เห็นโทษเห็นคุณมันเมื่อไหร่ นั่นแลเราสามารถจะถอดถอนออกจากอุปาทานแห่งอำนาจอวิชชาตัวนั้น เมื่อเรารู้มากๆเข้าแล้ว มันก็จะเป็นปัญญาขึ้นมา เมื่อมันมีปัญญาขึ้นมาแล้วนั่นแล เราจะเอาไปพิจารณาให้เป็นธรรม คือละอกุศลมูล คือไปกำหนดรู้ที่เหตุ ว่าผลที่เกิดขึ้นที่มันตามติดมาภพชาตินี้ ในขณะนี้ตอนนี้มันเป็นเพราะอะไร...
นั้นการที่เรากำหนดรู้ฝึกสติไว้มากๆแล้ว มันจะเป็นกำลังให้จิตเรานั้นเกิดปัญญาในกาลต่อไป ไม่คราใดก็คราหนึ่ง ดังนั้นที่โยมสะสมไม่ว่าเจริญสมาธิเกิดความสงบ เจริญภาวนา เจริญมนต์ก็ดีเหล่านี้ เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี เพื่อสะสมกำลังจิต เมื่อกำลังจิตเรามีมากเหมือนเรามีทรัพย์มาก เราปรารถนาสิ่งใด..กำลังเราพอ ได้ทรัพย์นั้นมั้ยจ๊ะอย่างนี้
ก็เหมือนกำลังจิต ถ้ากำลังจิตเรายังไม่ดีพอ การจะไปพิจารณาธรรมอะไรแล้วมันจะทำให้ละเอียดรอบคอบมันเป็นไปได้ยาก เมื่อจิตเรายังไม่มีกำลังพอมันก็เรียกว่าจิตยังหยาบๆอยู่ โยมจะไปพิจาณาอะไรให้มันละเอียด ให้มันรู้ซึ้งให้มันแจ้งแทงตลอดนั้นมันก็เป็นไปได้ยาก
นั้นการที่จิตยังหยาบๆอยู่ เมื่อจิตยังหยาบอยู่เราจะไปพิจารณาธรรมก็ยาก เราก็พิจารณากาย เพราะกายเค้าเรียกว่ากายหยาบ สามารถจับต้องได้รู้ได้..ก็คือระลึกรู้อยู่ในกายนี้ อย่างนี้เรียกว่าจิตเรายังหยาบอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตที่ยังหยาบอยู่นี้หมายถึงจิตเรานั้นยังไม่เข้าถึงศีล ยังไม่เข้าถึงความสงบ ยังไม่เข้าถึงจิตที่ตั้งมั่น ยังไม่เข้าถึงจิตที่เป็นเอกัคคตา จิตนี้ยังไม่เป็นหนึ่ง
เมื่อจิตที่ยังไม่เป็นหนึ่งเป็นเพราะอะไร จิตที่เรายังหยาบอยู่นี้ เพราะว่าเรายังมีอวิชชาปกคลุมอยู่ จิตเรายังเศร้าหมองหดหู่อยู่ ก็คือจิตมันถูกครอบงำด้วยอวิชชากิเลสตัณหาอุปาทานก็คือนิวรณ์ทั้ง ๕ ดังนี้ เมื่อจิตยังไม่เป็นตัวของตัวเอง ยังไม่เป็นจิตที่เป็นอิสระ จิตยังไม่ตื่น ถามว่าแม้โยมจะฟังธรรมโยมเข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วโยมจะไปพิจารณาธรรมได้อย่างไรจ๊ะ
เมื่อยังไม่มีสติอยู่..ตัวรู้อยู่มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่อยู่เจ้าค่ะ) อ้าว..แสดงว่าไม่อยู่นั้นจิตโยมก็ไม่อยู่ใช่มั้ยจ๊ะ อ้าว..จิตมันเป็นผู้รู้ แสดงว่าในขณะที่โยมไม่รู้จิตมันอยู่มั้ยจ๊ะ อ้าว..แล้วมันไปไหน (ลูกศิษย์ : ไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) มันไปทางไหน มันไปอย่างไร โยมรู้หรือเปล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ส่งออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ จิตเราส่งออกไปข้างนอก เราควบคุมไม่ได้)
ถ้าโยมใคร่หาคำตอบนี้จิตโยมจะตื่นมากกว่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเรียกว่าความเพลิน กรรมฐานเมื่อเกิดความสงบมากจนเกินไป มันทำให้เราง่วงเราหลับใหลได้ แต่ถ้าโยมอาศัยความสงบนั้นยกจิตขึ้นมาเพื่อเจริญวิปัสสนาละก็..มันจะเกิดปัญญา ปัญญาเมื่อจิตตื่นรู้แล้ว มีการงานของจิตแล้ว เมื่อนั้นวิปัสสนาญาณ ปัญญาเมื่อบังเกิด..มันเกิดแสงสว่าง จิตมันจะตื่นรู้อยู่ตลอดทั้งราตรี ตามแล้วแต่ที่โยมนั้นปรารถนา
เมื่อเราตรึกตรองในธรรมครุ่นคิดในธรรม วิตก วิจาร ปิติอยู่อย่างนั้น อยู่ในกาย อยู่ในเวทนา จิต ธรรม อยู่ในสติปัฏฐานอย่างนี้ โยมจะไม่มีทางหลับใหลได้เลย เพราะว่าบุคคลที่จิตที่ตื่นรู้ต้องตื่นรู้ในภัยในวัฏฏะ ภัยในวัฏฏะมีอะไรจ๊ะ มันอยู่ที่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันมีอะไรบ้าง มันอยู่ในกาย อยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ดังนั้นบอกว่าจิตตื่นรู้ถ้าโยมไม่ได้ตื่นรู้จากภัยในวัฏฏะ ถ้าโยมเห็นจริงอย่างที่ฉันกล่าวโยมจะไม่มีทางหลับเลย ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะถ้าหากโยมมีภัยจริงโยมจะกล้าหลับมั้ยจ๊ะ แสดงว่าโยมยังไม่ได้ถึงวิกฤตถึงขนาดนั้น ยังไม่เห็นแท้แก่นแห่งธรรม
ถ้าโยมเห็นแก่นแห่งธรรมแท้จริงแล้ว แม้จะหลับนั้นโยมก็จะเป็นผู้กำหนดให้นอน ว่าจะต้องนอนแค่นี้พอสมควรแล้ว ไม่เพลิดเพลินมากจนเกินไป การบริโภคอาหารก็เอาพอประทังให้ความหิวระงับ ไม่เพลิดเพลินในการบริโภคมากเกินไป เพื่อไม่เป็นอุปสรรคในการประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์อย่างนี้
ถ้าพิจารณาได้อย่างนี้แล้วไซร้ แสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ดังนั้นฉันจึงบอกว่าการเจริญกรรมฐานแม้จะเป็นเพียงเวลาไม่มาก แต่ถ้าโยมเข้าใจและทำอย่างจริงจังตั้งใจและศรัทธา ผลที่จะได้มันก็ได้มาก นั้นการที่โยมยังมานั่งคอหักคออ่อนด้วยบอกเหตุผลสารพัดก็ตาม มันเป็นข้ออ้างของกิเลสของมาร แสดงว่าจิตเรายังไม่เข้าถึงในพระรัตนตรัย
อันว่ายังไม่เข้าถึงในพระรัตนตรัย แสดงว่าเรายังมีความลังเลสงสัยในธรรม ในครูบาอาจารย์ และไม่มั่นใจในตัวเอง เรียกว่าขาดกำลังใจ กำลังใจนี้ใครก็ขาดทั้งนั้น โยมไปขอใคร..เค้าจะให้โยมมั้ยจ๊ะ เค้าให้ก็ให้ได้แต่สู้เราให้ตัวเองไม่ได้ เพราะสิ่งที่คนอื่นเค้าให้เค้าให้เราเต็มหมดมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่หมดเจ้าค่ะ) ถ้าเค้าให้เราหมดแล้ว..แล้วเค้าจะเอาอะไร กำลังใจต้องมาจากตัวเอง
เราต้องพิจารณาคืออธิษฐาน เราจะมาเจริญพระกรรมฐานไปเพื่ออะไร เพื่อกำจัดกิเลส เพื่อลดละอุปาทานแห่งขันธ์ เพื่อทำความเพียรให้มันถึง ได้อธิษฐานกันมาบ้างรึเปล่า ดังนั้นขอให้โยมสะสมไป แท้ที่จริงแล้วในการฟังธรรมนั้นโยมฟังธรรมในกรรมฐานเองก็ดี ตามเครื่องมือสื่อสารใดๆก็ดี ช่องทางใดช่องทางหนึ่งก็ดี เมื่อจิตโยมตั้งมั่นเมื่อพิจารณาตามมันก็ได้ปัญญา ได้สมาธิ เกิดฌานเช่นเดียวกัน เกิดวิปัสสนาญาณเช่นเดียวกัน แต่ถ้าโยมไม่ใส่ใจไม่มีความพอใจในสิ่งที่ได้ฟัง จิตโยมก็ขาดจากความเพียร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
จิตตื่นรู้
ขณะใดที่เราไม่รู้นั่นแล แสดงว่าสติเรานั้นเราได้ลืมสติแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเราจะมีความหดหู่เศร้าหมอง จิตเราเสวยอารมณ์ใดก็ตาม..ต้องรู้ รู้แล้วเราไม่สามารถจะไปต่อต้านในสิ่งที่รู้ได้ ก็เพราะว่าไอ้สิ่งที่รู้นี้ที่ต่อต้านไม่ได้มันเป็นอำนาจแห่งแรงกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ