ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 16 มีนาคม 2563
ตอนที่ 70 **ถูกกระแสโลกปกคลุม**
+ +
ในเช้าของวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563 ณ บ้านไทยเจริญ แดนเกิดพระยาธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามธรรมกับพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม และขอถึงพระพุทธองค์ เป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ช่วงนี้ลูกหย่อนสภาวจิต คลุกคลีกับเรื่องภายนอก คือเรื่องของโลกสมมุติ เพื่อประกอบ ดำเนินหน้าที่ต่างๆให้สมบูรณ์ เช่น หน้าที่ของลูก หน้าที่ของกายที่มีสมมุติว่าเป็นแม่ หน้าที่ของกายที่สมมุติว่าเป็นลูกหลาน แล้วก็ยังคงมีสภาวะของโลกนั้น เข้ามากระทบหลายสิ่งหลายอย่างให้ดำเนินไป และยังคงมีหน้าที่ที่ลูกต้องเดินทางไปในที่ไกลๆ เช่น การเดินทางไปสู่ประเทศอินเดีย ยังมีภพภูมิ กระแสบ้านเมือง หน้าที่ทั้งกายทิพย์และกายหยาบ - ที่ต้องดำเนินไป หลายสิ่งหลายอย่าง..
จนตอนนี้ลูกรู้สึกว่า.. กระแสทุกอย่างทับถม และรู้สึกว่ามันหนัก มันร้อน และไม่สามารถที่จะดันกระแสเหล่านี้ ออกจากตนไปได้ – ซึ่งลูกก็คิดว่า คงมีผู้คนมากมายที่เขาถูกกระแสเหล่านี้คลุม และเขาก็ไม่รู้ตัว หาทางออกไม่เจอ
จึงจะขอถึงพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมเรื่องนี้ คลายกระแสต่างๆ ออกไปจากตัวของลูก เพื่อเป็นหนทางให้กับทุกคนได้ดำเนินตามด้วย พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. เมื่อจิตรู้ เข้าใจในเหตุในผล ในสิ่งที่เป็นอยู่ ดำเนินอยู่.. ย่อมถือว่า เป็นสิ่งที่ดี และยังถือว่า เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ลูก
คนเราถ้าป่วย รู้ตัวว่าป่วย.. ก็ย่อมถือว่า เป็นบุคคลผู้มีโอกาสหายป่วย
คนเรานั้น เมื่อไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง อยู่ไปเพราะถูกคลุมด้วยความไม่รู้ทั้งหมดนั้น.. ก็ย่อมเป็นทุกข์
พระยาธรรมเอย.. ใจของเรา ตั้งมั่นอยู่ในความดีหรือเปล่า ?
ลองทบทวนถามหาใจของเราดูว่า ทุกวันนี้ ใจของเราตั้งมั่นอยู่ในความดี ความถูกต้อง อย่างสว่างไสว
หรือว่าใจของเราเอนเอียงไปในทางที่ไม่ดี หมกมุ่นไปกับสิ่งที่ไม่ดี !
ถามใจ พิจารณาที่ใจ ตรึกตรองดูให้ดี
ถ้าใจของเราจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับสิ่งใด.. เรานั้นก็แค่ดึงใจของเรา ให้กลับมาอยู่ในความเป็นกลาง
อยู่ในความนิ่งเฉย ตั้งมั่นจิตของเรา ให้ว่าง ให้โล่ง ให้โปร่ง ให้เบาสบาย
อย่ายึดแม้สิ่งใด.. มาเป็นตน เป็นของตน
แล้วหัดฝึกฝนจิตของตน ให้ตั้งมั่นอยู่ในความนิ่งเฉย
ฝึกไปๆ แล้วใจก็จะลืม - ลืมหมกมุ่น ดึงโลกสมมุติเข้ามาทับถมตน.. ใจก็จะเบา ใจก็จะสบาย ++
เรานี้ ก็จะปลอดภัยจากคลื่นอันหนักหน่วงทั้งหลาย..
บางครั้งคนเราก็อาจเผลอลืมตัวไปได้ ด้วยว่าใจของเรานี้ มันเข้าไปจัดการสมมุติ
จัดการสมมุติ ว่าเป็นเช่นนั้น
จัดการสมมุติเรื่องราว ว่าเป็นเช่นนี้
-- จัดการไปจัดการมา.. เราลืมที่จะดึงจิตของเรากลับมา อยู่ในความนิ่งเฉย อยู่ในความว่าง ความสว่าง ความไม่มี จนจิตของเราไปพร้อมกับใจ ทะลุเข้าสู่กาย สู่โลกสมมุติ – จิตจึงถูกคลุมและปิดบังเอาไว้..
พอนานเข้าๆ ก็เกาะเกี่ยวหนักขึ้นๆ จนจิตหาจิตไม่เจอ จนจิตว่างไม่ได้ - เห็นแต่เรื่องราวสมมุติทั้งหลาย เกาะอยู่ และติดอยู่ในตัวในตน กลายเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา- เป็นเขาขึ้นมา
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอย.. ก็ลองตรวจดูว่าใจของเรา หมกมุ่นไปในทางที่มันสมมุติมีเหล่านั้น จนลืมความว่างโล่งไปหรือเปล่า ?
เมื่อตรวจดูแล้ว.. เห็นสภาวะว่าเป็นเช่นไร -- ก็แค่ดึงกลับมา ปรับปรุงแก้ไข ปรับเปลี่ยนมันไป ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เราดึงเอาความมืดมิด ความเศร้าหมองมัวหมองใส่เรา - สิ่งนั้นก็จะคลุมมาที่เรา
เราดึงเอาแสงสว่างเข้ามาสู่เรา - สิ่งนั้นก็จะเข้ามาสู่เรา
* เราดึงเอาสิ่งใด – สิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้นในเรา เป็นไปในเรา *
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. กระแสที่ลูกนั้นถูกคลุมอยู่ เกิดจากการที่ลูกเข้าไปเกี่ยวข้องกับสมมุติอยู่บ่อยๆ
สมมุติเหล่านั้น จึงกลายเป็นคลื่นที่ปกคลุมลูกไว้ !
ฉะนั้น.. ก็หาเวลากำหนดจิตของตนให้รู้ตื่น ฝึกฝนจิตของตนให้ว่าง ให้เบา ให้สบาย
... แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่คลุมไว้ ก็จะคลายออก..
ให้ทำเช่นนี้นะ ทำเช่นนี้ ลองฝึกฝนดู
ตามรู้จิตของตน – รู้ว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าร้อน ว่าหนัก ว่าถูกคลุม หรือสว่าง
... แล้วดึงจิตกลับมา ให้ว่างให้เบาให้สบาย ให้ไปรับเอาพลังที่ดี ถอดถอนจิตออกจากสมมุติต่างๆ
ให้มันมีสักแต่ว่ามี
ชาร์จพลังไปๆ.. แล้วการดำรงอยู่กับโลก การดำรงอยู่กับสมมุติทั้งหลาย.. ก็จะสักแต่ว่าเป็น !
พระยาธรรมเอ๋ย.. ค่อยๆแก้ไขไปเช่นนี้นะลูก ค่อยๆปรับจิตของตน กลับคืนสู่สภาวะความโล่งโปร่ง
แล้วกระแสอื่นก็จะคลายหายไป
ลูกเอ๋ย.. ตั้งใจฝึกฝนเรียนรู้ ดูจิต และแก้ไขจิตให้ถูก
วางจิตให้ตั้งมั่นไว้ในความสงบ ความร่มเย็น - ไว้ในความว่าง ความสว่าง
เมื่อจิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับสมมุติต่างๆ.. ก็พยายามให้มีสติรู้ตามว่า “นั่นคือสมมุติ”
เมื่อเริ่มจะถูกกระแสแห่งโลกสมมุติ ดึงให้จมเข้าไป ก็รีบตั้งหลักของตนให้ได้ สิ่งสมมุติทั้งหลายเหล่านั้นก็จะไม่กลมกลืน ดูดเราเข้าสู่สิ่งเหล่านั้นไปได้นะลูก
กระแสที่หนัก กระแสที่กระทบได้ กระแสที่แบกเอาไว้ มันคลายไม่ออก.. เพราะคลื่นมันคลุมหนาแล้ว
จงตั้งใจชาร์จพลัง ตั้งจิตให้สงบ ให้ว่าง.. ทุกอย่างก็จะคลายออกเอง ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
ก่อนหน้านี้ จะค่อยๆพยายามพิจารณา แล้วก็ถอดถอนไป..
แต่ตอนหลังๆมา พอมันเยอะขึ้นๆ รู้สึกว่า มันโดนคลุมไว้ แล้วก็ปั่นไม่ออก เหลือเพียงแต่ตัวรู้เท่านั้น เป็นตัวสุดท้ายแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
ทีนี้ ลูกก็จะพยายามดันมันออกไป รู้ตัวตามแก้ไข มีสติ ดึงพลังกลับมา พระพุทธเจ้าค่ะ
การที่คนเรานั้นถูกคลุม ลูกพอจะเข้าใจแล้วว่า เรานั้นถูกกลืนเข้าไป กลืนเข้าไปด้วยกระแสที่กระทบเข้ามาเรื่อยๆ
... ลูกจะใช้ความรู้อยู่ และฝึกฝน ถอดถอน ดึงกำลังกลับคืนมา พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกมองเห็นแล้วว่า จิตตั้งมั่น แล้วก็เมื่อเข้าไปสู่โลกสมมุติ ถ้ามันตั้งมั่นไม่หนักแน่น จะค่อยๆถูกคลุม
-- เหลือสติ เหลือกำลังอยู่ มันก็ยังพอไหวอยู่ ++
ถ้าเมื่อไร สตินั้นเริ่มไหลไปตามสิ่งสมมุติ คือไม่ค่อยมีสติแล้ว
เมื่อไร ที่โลกสมมุติเริ่มคลุมแล้ว เหลือแต่ตัวรู้ว่า มันเป็นเช่นนั้นแล้ว เช่นนี้แล้ว..
-- แสดงว่า มันถึงจุดที่อันตรายแล้ว เรากำลังจะถูกกลืนกินเข้าไปสู่โลกสมมุติ !
ฉะนั้น เราก็ควรตั้งใจที่จะฝึกฝนตน ให้คลายออกมา
พอที่จะเข้าใจเช่นนี้ พระพุทธเจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ถ้าอย่างนั้น ก็จงเริ่มต้นใหม่ ฝึกฝนสติ ฝึกฝนปัญญา น้อมจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในความนิ่งเฉย อย่าให้ตนนั้นถูกคลื่นเหล่านี้กลืนเข้าไป จนรุ่มร้อน เร่าร้อน ขาดสติ ขาดปัญญา
... ลูกนั้น ก็จะสามารถดึงตัวเองออกมาได้
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาชี้ทางบอกทางลูก พระพุทธเจ้าค่ะ
ขั้นที่ 1 - ให้ดูจิตของตน รู้ตาม และแก้ไข ดึงจิตกลับมา
ขั้นที่ 2 - ให้ตนนั้น ต้องคอยระมัดระวัง อย่าให้ถูกคลื่นของโลก ของสิ่งสมมุติกลืนเข้าไป
ขั้นที่ 3 - ถ้าเกิดว่าเรานั้นมีสติ ไม่ปล่อยให้ถูกกลืนเข้าไป.. เราก็จะสงบอยู่เสมอ
พอจะเข้าใจ รู้วิธีการถอดถอนเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ