มีผู้ร่วมเดินทาง ในขบวนของพระยาธรรมิกราช สงสัยในการก่อเกิดดวงจิต ใครสร้างขึ้นมา
แล้วใครสร้างบรมบิดา ใครสร้างธรรมชาติ พระยาธรรมจึงได้เข้าเฝ้าทูลถามปัญหา
ต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระองค์ท่านเลยให้พระยาธรรม เข้าเฝ้าพระบรมบิดา
ทูลถามปัญหา สภาวธรรมที่ยังไม่เข้าใจเหล่านั้น
ขอเชิญญาติธรรมติดตามรับฟัง เพื่อความกระจ่างแจ้งในธรรม
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลไม่เคยเห็นน้ำทะเล ย่อมไม่เข้าใจ ว่าน้ำทะเลนั้น มีสภาวธรรมเป็นเช่นไร
แม้บุคคลที่เคยเห็นทะเลแล้ว ก็ยังไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ทุกสภาวธรรม ทุกที่ของทะเลนั้น
-- เพราะทะเลช่างกว้างไกล ในทุกที่ ทุกแห่งหน.. มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่มากมาย --
แต่ลูกเอ๋ย.. ในความเป็นจริงแล้ว ทะเลที่ไม่เหมือนกัน -- ก็มีความเหมือนกันอยู่ในทะเล
ความเหมือนกัน และไม่เหมือนกัน.. ก็ยังมีอีก คือ มีความที่ซ่อนอยู่ในความเหมือน กับไม่เหมือนนั้น
ลูกเอ๋ย.. เมื่อเรายังไม่เคยเข้าใจ ไปไม่ถึงในจุดที่มี และเป็นอยู่
ไม่เข้าใจ ถึงในสิ่งที่ซ้อน และซ่อนอยู่
ลึก ก็คือตื้น // ตื้น ก็คือลึก
... เมื่อยังไม่เข้าใจถึงสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เราก็จะยังสงสัย มากมายหลากหลายอย่าง โดยที่ไม่มีคำตอบ !!
ลูกเอ๋ย.. และแม้จะมีคำตอบแล้ว.. เราก็จะยังไม่แน่ใจ
เหมือนถ้าฟังใครเขาเล่าว่า ทะเลนั้น เป็นเช่นนั้น / มีคลื่นเป็นเช่นนี้ .. ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นเช่นไร ?
บางทีก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นแบบไหน / เข้าใจแล้ว ก็ไม่เห็นภาพ
คำตอบที่ว่าทะเลนั้นเป็นเช่นไร จึงไม่มีแก่เราอย่างแท้จริง
... จนวันหนึ่ง ที่ลูกนั้นได้ไปเจอทะเลด้วยตัวของลูกเอง.. ลูกจึงจะเข้าใจ
พระยาธรรมเอ๋ย.. ข้อสมมุตินี้เป็นเช่นไร การที่เราถามหา ในสิ่งที่เรายังไม่ไปถึง แล้วเรานั้นอาจจะเข้าใจบ้าง / ไม่เข้าใจบ้าง
ก็เป็นเช่นนั้นแหละลูก จงถามมาเถิด ลูกนั้น ต้องการจะรู้สิ่งใด
+ +
พระยาธรรม ::พระพุทธองค์เจ้าขา ลูกอยากจะรู้ว่า โลก และจักรวาล วัฏสงสารนี้ ก่อเกิดมาจากองค์บรมบิดา / ก่อเกิดมาจากที่พระองค์ท่าน
ได้อธิษฐาน - ให้ก้อนเมฆ ดิน น้ำ ลม ไฟ.. สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น - มาเป็นโลกแต่ละโลก
แต่พระพุทธองค์เจ้าขา แล้วองค์บรมบิดาหล่ะเจ้าคะ พระองค์ท่านก่อเกิดมาจากธาตุของดิน น้ำ ลม ไฟ รวมตัวมาเป็นพระองค์ท่าน
แล้วนอกเหนือจากพระองค์ท่าน หรือก่อนที่จะพระองค์ท่านจะก่อเกิดมาเป็นท่านนั้น
มีสิ่งใด หละเจ้าค่ะ ที่ให้ก่อเกิดธาตุของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธรรมชาติเหล่านั้น ที่ให้ก่อเกิดพระองค์ท่านหน่ะเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างงั้น ลูกจงไปเข้าเฝ้าองค์บรมบิดา ผู้สร้างโลกเถิด ว่าก่อนที่ท่านนั้น จะกำเนิดก่อเกิด มีใครเป็นผู้ให้กำเนิด
สิ่งที่ทำให้เกิดท่าน มีใครเป็นผู้ให้กำเนิด ลมฟ้าอากาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหล่านั้น...?
เธอจงไปถามกับองค์บรมบิดาท่านเถิด…
+ +
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์เจ้าค่ะ ลูกขอพลังจากพระองค์ เพื่อไปเฝ้าองค์บรมบิดา เพื่อไปทูลถามถึงเรื่องนี้นะเจ้าคะ
- - - -
พระยาธรรม :: ข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบนอบน้อมเข้าเฝ้าองค์บรมบิดา พระผู้สร้างโลก และสร้างจักรวาล
วันนี้ ข้าพระพุทธเจ้า มาเข้าเฝ้าเพื่ออยากจะถามพระองค์ท่านว่า...
การที่พระองค์ก่อเกิดมา ก็ต้องมีเหตุที่ก่อเกิด ที่ไป ที่มา ของพระองค์
ฉะนั้น.. สิ่งที่ให้พระองค์ก่อเกิดเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธรรมชาติ.. ลูกก็เข้าใจอยู่
แล้วใครล่ะเจ้าคะ ที่ให้กำเนิดธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และธรรมชาติเหล่านั้น ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงตั้งใจฟังให้ดีเถิด
การที่บุคคลผู้หนึ่ง / สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก่อเกิดขึ้นนั้น -- ก็เพราะว่ามีเหตุที่มาของมัน
และการที่เราก่อเกิดขึ้น - ก็เพราะว่า มีธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีธาตุของธรรมชาติ จากอากาศ ที่กว้างใหญ่ยิ่งนัก หาที่สิ้นสุดไม่ได้ของอากาศเหล่านั้น
และอากาศเหล่านั้น ก็ยังเป็น "ดินแดนแห่งทิพย์" ดินแดนที่ไม่มี และมี - อยู่ในสิ่งเดียวกัน
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งที่มี และไม่มี -อยู่ในที่เดียวกันนั้น ก็หมายถึง "สิ่งที่ไม่มี กับมี" ก็เหมือนกัน
คือ ความว่างเปล่า คือ ความเป็นจริงแล้ว สรรพสิ่งนั้นไม่มี
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดินแดนทิพย์นั้น มีกับไม่มี เสมอเหมือนกัน
ลม น้ำ ไฟ หรือดิน ก็มาจากความเป็นทิพย์ ที่มี กับไม่มี ก็เหมือนกัน
อยู่ในอาณาจักรที่มี กับไม่มี ก็เหมือนกัน
อยู่ในนั้น.. เป็นอยู่เช่นนั้นตลอดมา
อยู่มาวันหนึ่ง การก่อเกิด หรือการไม่ก่อเกิดนั้น เกิดความเป็นความเป็นทิพย์ เกิดความเป็นธรรมชาติของโลกทิพย์นั้นๆ ของดินแดนทิพย์นั้นๆ โดยธรรมชาติ
และคำว่า *ธรรมชาติ* ก็คือ มันเป็นไปของมันเอง – โดยไม่มีใครห้ามไม่ให้เป็นไปเช่นนั้น เช่นนี้
หรือ โดยไม่มีใครให้เป็นไป ตามใจของตน หรือมีใครทำให้เกิดมา // หรือทำให้ไม่เกิดมา
พระยาธรรมเอ๋ย.. ธรรมชาติ ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเอง โดยปราศจากผู้สร้าง โดยปราศจากผู้ควบคุม นั่นจึงว่า *ธรรมชาติ*
หากมิเช่นนั้นแล้ว-- ก็จะไม่ได้เรียกว่า*ธรรมชาติ* เลย
รวมถึงการก่อเกิดในองค์บรมบิดา ก็ยังก่อเกิดในรูปแบบของการมี และไม่มี เสมอเหมือนกัน
เหมือนต้นไม้ที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน..โดยธรรมชาติ
แต่ต้นไม้ต้นนั้น หามีความรู้สึกไม่ว่า..
- เป็นทุกข์ในการมี
- เป็นทุกข์ในการเกิด
- เป็นทุกข์ในการดับ
- เป็นทุกข์ถ้ามี
- หรือเป็นทุกข์ ที่ไม่มี
ฉะนั้น.. ต้นไม้ต้นนั้น มี กับไม่มี จึงมีค่าเสมอเหมือนกัน
องค์บรมบิดา ก็รู้สึกเช่นนั้น และเป็นเช่นนั้น..
ยังอยู่ในโลกของความมี และไม่มี
ยังไม่มีความทุกข์ ไม่มีความสุข ไม่มี มี - และไม่มี สิ่งที่ไม่มี
พระยาธรรมเอ๋ย.. และแล้ว วันหนึ่ง ก็มีเหตุเกิดขึ้นอีก นั่นก็เป็นเพราะว่า ธรรมชาติส่งผลให้เกิดขึ้นมาอีก
และธรรมชาตินั้น ก็คือ สิ่งที่ไม่มีใครให้เกิด / ไม่มีใครให้เป็นไป / ไม่มีใครทำอะไรให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ได้
ก็เลยให้ก่อเกิด / สิ่งที่มีเหตุให้มีการก่อเกิดจักรวาล วัฏสงสาร แห่งนี้ขึ้นมา
โดยเริ่มจากโลกทิพย์ก่อน - โลกแห่งดวงจิตที่ก่อเกิดนั้น ก็เป็น *โลกทิพย์* เป็นสภาวธรรมแห่งความเป็นทิพย์
และยังอยู่ในความมี และไม่มี เสมอเหมือนกัน
ทุกโลก ทุกที่ ก็ยังมีความเป็น / และไม่เป็น.. เสมอเหมือนกัน
จนมาวันหนึ่ง ธรรมชาติ ก็นำพาให้เกิดขึ้นอีกแล้ว เกิดขึ้นดวงจิตต่างๆมากมาย...
... เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ยังอยู่ในสภาวธรรม ของความมี และไม่มี เสมอเหมือนกัน
แต่แล้ววันหนึ่งธรรมชาติ ก็นำพาให้เกิดขึ้นอีกแล้ว เกิดขึ้นความรู้สึกว่า ที่รู้สึกว่า " มี "
เมื่อดวงจิตต่างๆทั้งหลาย เริ่มมีความรู้สึกว่า ตนนั้นมี -- ก็เลย มีที่ตั้งแห่งดวงจิต มีอัตตาและตัวตน มีตัวมีตนของดวงจิตขึ้นมา
-- เมื่อนั้น ก็เลยเริ่ม เริ่มที่จะมี มี * เชื้อของกิเลส ตัณหา * คือ ความหลง - หลงว่านี่คือตัว คือตน คือเรา คือเรา คือของเรา --
เมื่อนั้นแหละ จึงมี * ความรัก ความโลภ ความโกรธ และความลุ่มหลง * ก่อเกิดขึ้นมา
... เมื่อก่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เลยต้องมีการแบ่งแยกถ่ายเท ออกไป เพื่อไปอยู่ในที่ต่างๆ ที่ยังอยู่ในโลกทิพย์ ยังอยู่ในความเป็นทิพย์
เพียงแต่เริ่มมีเชื้อกิเลส และตัณหา ก่อเกิดขึ้นมา-- เลยเกิดสิ่งนั้น สิ่งนี้ขึ้นมา เรื่อยไป...
จนต้องได้เกิดมาเป็นโลกมนุษย์ โลกนั้น โลกนี้ มีกรรมที่ดี และไม่ดี
มีกติกามากมายก่อเกิดขึ้น โดยธรรมชาติของมันเอง โดยที่ไม่มีใคร…
/ สามารถที่จะหยุดยั้งมันได้
/ สามารถที่จะให้มันเกิดหรือดับได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่ไป และที่มาของสรรพสิ่ง ก็เป็นเช่นนี้แหละลูก
+ +
พระยาธรรม :: ข้าแต่องค์บรมบิดาเจ้าขา แล้วองค์พระพุทธเจ้าหล่ะเจ้าคะ ? ทุกๆพระองค์ หนะเจ้าค่ะ พระองค์ได้ก่อเกิดมาเพื่อสิ่งใดหละเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. องค์พระพุทธเจ้านั้น ก่อเกิดมา ก็เพราะว่า..
เห็นว่าดวงจิตต่างๆ ทั้งหลาย ก่อเกิดความรู้สึกว่า มีตัวมีตน ก็เลยพากันลุ่มหลงในตัวในตน เบียดเบียนกัน ให้มีความสุขและความทุกข์เกิดขึ้น
ให้มีการทำให้ชีวิตนั้น มีสิ่งสมมุติมากมาย..
องค์พระพุทธเจ้า ก็เลยสร้าง สั่งสมบารมี เพื่อรู้แจ้ง / เข้าใจความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าในความเป็นจริงนั้น...
สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่มี
สิ่งที่มี ก็เพราะว่า เรารู้สึกว่า " มี "
ทุกสิ่งก่อเกิดขึ้นจากความรู้สึก ที่รู้สึกว่า " มี " เมื่อนั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเกิดอยู่ร่ำไป
แท้ที่จริงแล้ว เมล็ดของฟักทองนั้น ก็ "ไม่มี "
หากมีแล้วก็จะก่อเกิด ออกดอก ออกผล ต้องปลูก ต้องเป็นไปอย่างนั้นอยู่ร่ำไป
จึงชี้ให้เห็นเหตุที่เกิดต้น.. ก็เพราะว่า มีเม็ด
เหตุที่มีเม็ด.. ก็เพราะว่า มีต้น
แต่ในความจริงเป็นนั้น ไม่มีทั้งต้นและเม็ด
พระยาธรรมเอ๋ย.. ความเป็นจริงแล้ว - สรรพสิ่งไม่มี…
** ความรู้สึกต่างหาก.. ที่ทำให้มี **
หากวันหนึ่งที่เราสลาย " ความมี " ได้ทั้งหมดแล้ว
เมื่อนั้นแหละลูก เราก็จะสามารถพ้นจากสิ่งที่ก่อเกิด - สิ่งที่ลิขิตให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้
พ้นจากความเป็นธรรมชาติ กลับคืนสู่*ความไม่มี*
เลยจึงจะ*ไม่มีความสุข - ไม่มีความทุกข์*
ไม่มี และ.มี .ไม่แตกต่างกัน
เมื่อนั้นแหละลูก.. ลูกนั้นจึงจะเข้าใจ
++ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ - ก็เลยอุบัติบังเกิดขึ้นมา เพื่อชี้บอกสิ่งเหล่านี้แหละลูก ++
พระยาธรรม :: ข้าแต่องค์บรมบิดาเจ้าขา ถ้าอย่างนั้น ก็แปลว่า สิ่งที่มี เพราะว่าเราคิดเองว่า มี
** ในความเป็นจริง สรรพสิ่งไม่มี **
เหตุที่จักรวาล และวัฏสงสารนี้.. ยังมีสิ่งนั้น สิ่งนี้อยู่ เพราะเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาว่า " มี "
หากวันไหนที่เราสลาย " ความมี " ทั้งหมดได้ เราก็จะพ้นจากความทุกข์
จะไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีใครให้สุข ให้ทุกข์อีกต่อไป
***** ดวงจิตของเราทุกคน ที่มีดวงจิต ก็เพราะว่า เราคิดว่ามี *****
แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น สรรพสิ่งไม่มี อย่างนั้นใช่มั้ยเจ้าคะ ?
องค์บรมบิดา :: ถูกต้องแล้ว พระยาธรรม
ในความเป็นจริง ก็คือ " ไม่มี "
** ไม่มี นั่นแหละลูก คือความเป็นจริง **
แต่บุคคลผู้ที่ไม่มีปัญญา // บุคคลผู้ที่ยังไม่ทำความดี // บุคคลผู้ที่ขาดปัญญานั้น ย่อมไม่สามารถมีแสงสว่างที่ทำให้ตนรู้ / เข้าใจ / และยอมรับในสิ่งเหล่านี้ได้
พระยาธรรม :: ข้าแต่องค์บรมบิดาเจ้าขา ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าเรายังมัวแต่ถามว่า แล้วธรรมชาติก่อเกิดมาจากอะไร ทำไมต้องมีธรรมชาติ ทำไมต้องมีโลก มีจักรวาล ?
ถ้าเกิดว่าเรายังมีความคิดแบบนี้อยู่ล่ะเจ้าคะ เพราะว่าอะไร และต้องทำแบบไหนเจ้าคะ ?
องค์บรมบิดา :: เราก็ลองคิดดู ว่ามันเกิดประโยชน์อะไร ในความคิดเช่นนั้น ?
ในเมื่อสรรพสิ่งทั้งหลาย ก่อเกิดขึ้นจากธรรมชาติ และธรรมชาติก็คือ "สิ่งที่ก่อเกิดเอง โดยไม่มีใครทำอะไรได้"
คำว่า *ธรรมชาติ* เมื่อเข้าใจถึงมันอย่างแท้จริง เราก็จะไม่มีคำว่า "ทำไม" อีก
รวมถึงลองนึก และทบทวนดูว่า การที่เรานั้น คิดไป สงสัยไป คาใจไป.. ในสิ่งที่มันไม่มี และเป็นไปไม่ได้ มันจะเกิดประโยชน์อันใด ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งที่เราควรจะทำ คือ ทำในสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง และมีประโยชน์อย่างแท้จริงดีกว่า
คือ นำพาจิตของตน ให้บรรลุ สำเร็จ มองเห็นตามความเป็นจริง -- แล้วคำถามเหล่านั้น ก็จะหายไป พร้อมกับการรู้แจ้งของลูกนั้น…
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณองค์บรมบิดาเจ้าค่ะ องค์บรมบิดาเจ้าขา
ถ้าอย่างนั้น แล้วการล้างโลก ล้างโลกมนุษย์ ที่ล้างใหม่หมด มีอยู่จริงมั้ยเจ้าคะ?
คือ ภัยพิบัติที่ล้างโลกหน่ะเจ้าค่ะ
องค์บรมบิดา :: พระยาธรรมเอ๋ย โลกนี้เกิดขึ้นมานานนัก แต่ละยุค แต่ละสมัย แตกต่างกันไป…
เมื่อกาลเวลาผ่านไป มีสิ่งมากมายเกิดขึ้นในเมืองนี้
และในความเป็นจริง ในเมืองมนุษย์นี้ - ก็เป็นแค่สถานที่หนึ่ง.. ที่ทำขึ้นมาเพื่อ " คัดกรองดวงจิต "
เมื่อรู้สึกว่าดวงจิตเหล่านี้ ไม่สามารถคัดกรองได้แล้ว -- ก็ย่อมต้องมีการล้างโลก เพื่อปรับใหม่ / ทำใหม่
แต่ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น ก็แค่ตายจากโลกมนุษย์ แล้วไปอยู่โลกอื่น เพื่อรอการกลับมา รอการปรับปรุง ปรับเปลี่ยนของโลกมนุษย์.. แล้วค่อยกลับมาใหม่
การล้างโลกจึงมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ล้างวัฏสงสาร แต่เป็นการ…
ล้างโลกมนุษย์ ด้วยภัยพิบัติ เป็นบางยุค
ล้างด้วยธรรมคำสอนสั่ง เป็นบางคราว
ล้างด้วยเหตุและผลต่างๆ มากมาย
แต่พระยาธรรมเอ๋ย.. การล้างโลกมนุษย์นั้น ย่อมมีอยู่แล้ว
พระยาธรรม :: องค์บรมบิดาเจ้าขา ถ้าอย่างนั้น การล้างจักรวาลหล่ะเจ้าคะ.. จะเป็นไปได้หรือเปล่า หรือจะต้องล้างเช่นไร เจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. การล้างจักรวาลนั้น จะล้างได้ก็ต่อเมื่อ ดวงจิตทั้งหลาย
สลายความรู้สึกว่า *มีตัวมีตน*
สลายความรู้สึก *ดับความเป็นตัวตนได้*
เมื่อนั้นแหละลูก วัฏสงสารก็จะล้างได้ ด้วย * กฎของธรรมชาติ * สิ่งที่เป็นไปเอง
แต่ตราบใดก็ตาม.. ที่ดวงจิตทั้งหลายยังมีความรู้สึกว่า มีตน มีของของตน มีตัวมีตนอยู่ เมื่อนั้น วัฏสงสารนี้ ก็จะยังไม่สามารถลบล้าง หรือล้างได้
นอกจากดวงจิตใดที่*สามารถสลายตัวตนได้* เท่านั้นแหละลูก..
จึงสามารถออกจากสิ่งที่มี สิ่งที่เรียกว่า * สมมุติ * เหล่านี้ เพราะได้สลาย " ความมี " ไปแล้ว
พระยาธรรม :: องค์บรมบิดาเจ้าขา ถ้าอย่างนั้น มีคนชอบถามหน่ะเจ้าค่ะ ว่าการปรินิพพาน หรือไปอยู่นิพพาน.. ไปอยู่ทำอะไร
เป็นแบบไหน หล่ะเจ้าค่ะ เพราะอะไรเหรอเจ้าค่ะ เราต้องทำให้ไปถึงนิพพาน แล้วไปถึงนิพพานเพื่ออะไร เพราะอะไรอย่างงั้นหนะ เจ้าคะ ?
มีคนชอบถามแบบนี้หนะเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอ๋ย.. ก็เพราะว่า นิพพาน คือ ความไม่มี
นิพพานนั้น คือ ที่ที่ไม่สุข และไม่ทุกข์ ไม่มีตัวและไม่มีตน
กลับคืนสู่ความไม่มี
กลับคืนสู่ธรรมชาติที่ไม่มี
กลับคืนสู่สภาวะของความไม่รู้สึกสุข ไม่รู้สึกทุกข์ ไม่รู้สึกมีตัว และมีตน
จึงพ้นทุกข์.พ้นทุกข์ และพ้นสุข
จึงเป็นที่ที่ดวงจิต ที่เกิดมาแล้ว *เกิดขึ้น*เพราะ*ความรู้สึก* - ต้อง*ดับไป*ด้วย*ความรู้สึก*
-- เมื่อนั้น ก็จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง --
นั่นแหละลูก เพราะเหตุเช่นนี้ จึงต้องไปนิพพาน ++
ไปนิพพาน - ก็เพื่อดับทุกข์ และดับตัวตน
ดับตัวตน ก็เพื่อ ไม่มี
เมื่อไม่มี ก็ย่อมไม่ทุกข์
++ เป็นเช่นนั้นแหละลูก.. จึงต้องไปนิพพาน ++
แล้วบุคคลที่ไม่ปฏิบัติ จนถึงจุดที่เห็นนิพพานด้วยจิตของตน.. จะสามารถเข้าใจสภาวธรรมดังนี้ได้หรือเปล่า เจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. ทุกคนนั้น.. สามารถทำความเข้าใจได้ในหลายๆเรื่อง แต่ในความเป็นจริง จนกว่า เราจะเข้าใจได้อย่างแท้จริง
เราก็ต้องไปถึงในจุดนั้น ด้วยตัวของเราเอง
. ข้อลังเลสงสัย จะไม่เกิดขึ้นกับเราอีกเลย …
แปลว่า บุคคลผู้ถึงนิพพานเท่านั้น.. จึงจะเข้าใจสภาวธรรมของความเป็น * นิพพาน * ได้ลูก
พระยาธรรม :: องค์บรมบิดาเจ้าขา ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า.. ในโลก ในจักรวาล ในวัฏสงสาร หรือนอกวัฏสงสาร สรรพสิ่งทั้งหลาย ก่อเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติ
ธรรมชาติก่อเกิดขึ้น โดยไม่ต้องมีใครลิขิต โดยไม่ต้องมีใครให้เกิด จึงเรียกว่า * ธรรมชาติ *
และธรรมชาติ ก็มีธรรมชาติหลายแบบ เช่น
ธรรมชาติของความเป็นทิพย์
ธรรมชาติของความมี และไม่มี
ธรรมชาติในโลกมนุษย์ ในที่ต่างๆ
เขาก็เรียกว่า * ธรรมชาติ * เพราะมันเป็นไปตามเหตุของมัน โดยไม่มีใครทำอะไรได้
แต่พระองค์ องค์บรมบิดา ก็ได้เมตตาพวกเรา โดยการพยายามให้ดวงจิตทั้งหลาย ที่เป็น ** องค์พระพุทธเจ้า **
มานำทาง ให้เรา*ดับตัวตน* เพื่อ*ดับเรา*.. ดับ*ความทุกข์*
พระองค์ พยายามช่วยเราทั้งหลายอยู่ อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
องค์บรมบิดา :: ถูกต้องแล้วพระยาธรรม
ในเมื่อสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครทำอะไรได้
และ เราผู้เป็นองค์บรมบิดา ก็รู้ดีอยู่ว่า.. ความเป็นจริงนั้น สิ่งที่ดวงจิตทั้งหลายมีอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะ***ความรู้สึก*** ที่ ***รู้สึกว่ามี***
หากดับตัวตนนั้นแล้ว ก็จะสลายคืนสู่ " สภาวธรรมของความไม่มี "
จึงได้ให้องค์พระพุทธเจ้า ที่เป็นองค์นำดวงจิตทั้งหลาย ก่อเกิดขึ้นในโลก ในจักรวาล วัฏสงสารนี้ อยู่ร่ำไปในแต่ยุค แต่ละสมัย
ให้นำพาดวงจิตทั้งหลาย ***สลายกลับคืนสู่ความไม่มี***
และบัดนี้ มีดวงจิต ที่สลายกลับคืนสู่ไม่มี เยอะแยะมากมาย หลากหลายดวงจิต.. จนนับไม่ได้ว่าเป็นเท่าไหร่
เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีหรือไม่มี จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีจำนวนว่าเท่าไหร่
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งที่สูงสุด ก็คือ ** ดับความมีเรา **
เพื่อสลาย กลับคืนสู่ " สิ่งที่ไม่มี "
เพื่อตัวของเรานั้น จะได้ไม่ทุกข์ - จะได้ไม่มี
++ เท่านั้นแหละลูก คือ เป้าหมายสูงสุดแล้ว -- ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด.. ลูกเอ๋ย ++
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณองค์บรมบิดาเจ้าค่ะ ที่ได้โปรดเมตตาชี้แนะ ชี้นำในเรื่องของโลก จักรวาล วัฏสงสาร การก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งหลาย
การดับไปเพื่ออะไร สิ่งที่ก่อเกิดขึ้นเพราะอะไร
คิดทำไม ถามทำไม คำตอบอยู่ที่ไหน ? ทำให้ลูกได้เข้าใจ เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระองค์มากเจ้าค่ะ ถ้าเกิดว่าวันหลังลูกมีอะไรอยากจะถามอีก ลูกจะกลับมาเฝ้าทูลถามพระองค์ใหม่นะเจ้าคะ
ลูกขอกราบลาแล้วหละ เจ้าค่ะ
สาธุ...
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. คำถามที่ไม่มีคำตอบ ก็เพราะว่า เรายังตอบตนเองไม่ได้
ใครเป็นคนถาม - คนนั้นก็ต้องเป็นคนตอบ ++ ตอบแก่ตนเอง - ด้วยตัวของตนเอง จึงจะเข้าใจ ++
พระยาธรรมเอย.. วันนี้เธอ อยากจะทูลถามอะไรอย่างนั้นหรือ.. เธอจงถามมาเถิด
เมื่อถามแล้ว เธอก็จงพิจารณาให้เห็น / เข้าใจตาม
คำตอบนั้น.. อาจจะทำให้เธอเข้าใจได้เลยในทันที เมื่อฟังคำตอบ
หรืออาจจะทำให้เธอยังต้องงงๆ กลับเอาไปคิดอยู่ – หรืออาจจะทำให้เธอนั้น มองว่าเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ - ตามความคิดของเธอ
... แต่วันหนึ่ง เมื่อเธอเดินมาถึงจุดนั้นแล้ว เธอก็จะเข้าใจ
พระยาธรรมเอ๋ย.. บางทีคนเรานั้น ก็ "คิดมาก" จนเกินไป …
จนลืมมองเห็นความเป็นจริง สัจธรรมของความเป็นจริง ที่มันก่อเกิดขึ้นอยู่แล้ว
พระยาธรรมเอ๋ย.. บางทีคนเราก็ "คิดน้อย" เกินไป …
น้อยจนลืมมองเห็น และพิจารณาเหตุและปัจจัย - ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง -- ก็เลยทำให้เรานั้น ไม่อยู่ในความพอดีที่จะได้รับคำตอบ...
ลูกเอ๋ย.. คำตอบที่ถูกต้อง ที่แท้จริง / คำตอบที่ใช่สำหรับเรานั้น ก็คือ จิตใจของเราทะลุอย่างแจ่มแจ้ง ในสิ่งนั้นที่เราได้ถามไป
ตราบใดก็ตาม.. หากจิตใจของเรานั้น ยังไม่ทะลุ -- เราก็จะยังไม่สามารถเข้าใจ หรือให้คำตอบแก่ตนเองได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่ไม่เคยเรียนหนังสือ ย่อมไม่รู้ว่า การสะกดและอ่านหนังสือ ให้ออกเป็นคำนั้น.. ต้องทำเช่นไร
++ แม้จะมีคนที่บอกว่า เป็นเช่นนั้นหรือเช่นนี้ – หากเราไม่เคย ศึกษาเรียนรู้ จับต้องด้วยตนเอง..
แม้จะเข้าใจ.. ก็ไม่ทั้งหมดหรอกลูก ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. คำถามหลายๆอย่าง.. บางครั้ง บางที คำตอบก็ซ่อนอยู่ในคำถาม - คำถามก็ซ่อนอยู่ในคำตอบ
เหมือนเส้นผมที่บังภูเขา
เหมือนสิ่งที่เรานั้นคาดไม่ถึง
เหมือนดังเพชรที่เราจับเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าตนจับเพชรอยู่.. เลยไม่เห็นว่า จะมีเพชรอยู่กับตน
... เพราะตนนั้น ไม่รู้จัก ว่าที่ถืออยู่นั้น ก็คือ เพชรเม็ดงาม
ใครเป็นผู้สร้างพระบรมบิดา
พระยาธรรมรับคำสอนจากพุทธองค์ วันที่ 18 มิถุนายน 2559
ตอนที่ 97 **ใครเป็นผู้สร้างพระบรมบิดา**
+ +
ขอกราบนอบน้อมถึงองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบน้อมนมัสการ ต่อองค์พระธรรม ธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
รวมถึงพระอริยสงฆ์เจ้า ทุกๆ พระองค์ วันนี้ลูกจะขอน้อมพลังพุทธบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อลูกนี้ปรารถนาที่จะนำเอาพลังบารมี ที่ได้รับมาจากพระองค์ ไปเปิดโลก เปิดจักรวาล เปิดวัฏสงสาร
เพื่อให้ลูกนั้นจะได้รู้และเข้าใจ ถึงสภาวธรรมโลกทิพย์ สภาวธรรมต่างๆ ที่ซ่อน ที่ซ้อนอยู่ในโลก ของมนุษย์ ในโลกทิพย์ ในโลกทั้งหมด
ในจักรวาลทั้งหมด ขอพระพุทธองค์โปรดเมตตาลูกด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ความเชื่อมั่นของคนเรา เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรารู้..
... ถ้าเรารู้แล้วเมื่อไหร่ - ความเชื่อมั่นนั้นก็จะก่อเกิดขึ้น
หากว่า เรานี้ ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ อย่างถ่องแท้ อย่างแท้จริง - ความเชื่อมั่นก็จะยังไม่เกิดขึ้น
... คำถามที่ไม่มีคำตอบ ก็จะมีมากมายอยู่ในตัวของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลผู้ที่มี ดวงจิตที่ปรารถนา เพื่อที่จะเกิดมา *เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง* นั้นแล้ว --
ย่อมจะมีนิสัย มีความเป็นตัวเป็นตนของดวงจิต นั้น
++ คือ ต้องได้คำตอบด้วยตนเองอยู่เสมอ.. เป็นอย่างนั้นอยู่ร่ำไป ++
ต้นเดือน ก.พ. 54
ได้คุยกับน้องไก่ ผู้ที่รับแสงทิพย์มาด้วยกัน น้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติเข้มข้น จริงจัง ร่างและจิตสะอาด สามารถสื่อพระญาณได้
กำลังคุยทาง Msn คุยได้พักหนึ่งก็ขอตัวไปตากผ้า
ตากผ้าไป วันนั้นรู้สึกเศร้าๆ อึดอัดมาก เพราะว่ามีปัญหาการเงินกับร้านเกมส์เล็กๆที่เปิดหน้าบ้าน มีแต่ค่าใช้จ่ายอะไรเยอะแยะ ติดลบ ขาดทุนอยู่ ทันทีที่ลูกเดินมาบอกว่าต้องเสียค่าเปลี่ยนอะไหล่คอม อีกประมาณ 4 พัน จิตใจที่เก็บกดอยู่ ก็ระเบิดออกเป็นน้ำตาไหลพรั่งพรู เก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วค่ะ
เมื่อตากผ้าเสร็จก็กลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นข้อความกำลังพิมพ์อยู่ยาวเป็นบรรทัดต่อๆ กัน เมื่อพิมพ์เสร็จถามน้องไก่ว่า เขียนอะไรเหรอ น้องไก่บอกเปล่า เรียกว่าพิมพ์ไปไม่โดยไม่รู้ตัวค่ะ แล้วก็ถามต่อว่า ใครให้น้องเขียน ก็ไม่รู้อีก แต่เราก็สามารถรับรู้ได้ว่าพระบิดาเป็นผู้ประทานคำสอน
ข้อความมีดังนี้
ลองพิจารณาดูจากคำเขียนช่วงท้ายก่อนไปตากผ้า.....
- ปัญหาอาจจะมองว่าหนัก แต่คนอื่นยังหนักกว่าเราอีกมากมาย
- บางคนเก็บขยะขายก็มี
- บางคนขอทาน
- จงอย่าท้อนะ
- สู้ๆ เติมพลังจิตให้มีพลังก้าวเดิน
- เปลี่ยนดวงจิตให้สดใส แล้วทางที่ไป ก็จะสดใสด้วยจิตดีที่นำทาง
เมื่อตากผ้าเสร็จ มาที่หน้าคอม ก็ได้ปรากฏข้อความเขียนล่วงหน้าไว้แล้ว...
- ยามท้อแท้ หมดหวัง และพลัง
- จงเติมมันให้เต็ม อย่าท้อถอย
- ชีวิตนี้ยังต้องเดินอีกยาวไกล
- ก้าวต่อไป ด้วยความหวัง ทุกก้าวเดิน
- ขอเป็นหนึ่งในกำลังใจที่มองไม่เห็น
- ขอเป็นหนึ่งหนทางให้ก้าวเดิน
- ขอเป็นหนึ่งที่อยู่กับเธอตรงนี้แล
- อันว่าทุกข์ใช่อยู่กับเรานาน
- สร้างพลังให้ใจอย่าท้อหนา
- ที่ผ่านมาถือเป็นประสบการณ์
- อาจยาวนานหรือใกล้ใครจะเดา
- อย่าคาดหวังกับสิ่งใดในโลกนี้
- ท้องนทีกว้างใหญ่สุดไพศาล
- สู้ต่อไปแล้วจะอยู่อีกยาวนาน
- หากไม่สู้ใครเล่าจะช่วยเจ้า
- ทุกหนทางเดินย่อมมีอุปสรรค
- เจ้าจะทุกข์ไปทำไมเล่า
- สุขก็เหมือนไม่อยู่กับเรานาน
- จงสู้ทนฝ่าฟันไปเถิด
- สู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนะอุปสรรคและปัญหา
- สู้เท่านั้นจะทำให้มีความสุข
- สู้เท่านั้นจะทำให้ใจเบิกบาน
- จงสู้ไปจนกว่าลมหายใจจะไม่มี
ประทานคำสอน
วันพฤหัสบดีที่ 3 ก.พ. 54