พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 5 กันยายน 2560
ตอนที่ 167 **พุทธานุสติ แบบที่ ๓**
+ +
ในเช้าของวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน
เพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอทูลถามถึงกรรมฐานกองที่ 21 ในแบบที่ 3* ซึ่งเป็นการตามระลึกนึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอารมณ์น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นำไปเผยแผ่ และประพฤติ ปฏิบัติตามด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้นแล้ว ลูกนั้นรู้จักคำว่า *องค์พระพุทธเจ้า* ดีแล้วหรือยัง ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงหลับตาให้สบาย ผ่อนคลายจิต กาย และใจของลูก เพื่อที่จะได้ทำตาม
พิจารณาตามเสียงธรรม ที่จะได้ยินได้ฟังต่อจากนี้เถิด..
ลูกเอ๋ย.. การตามระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า.. เรานั้น ย่อมสามารถที่จะนึกถึงในแบบต่างๆ
ตามความสะดวก สุดแล้วแต่ที่เราจะนึกได้
แต่ลูกเอ๋ย.. ในแบบที่ 3* นี้ ก็จะลองแนะนำดู ลองทำเช่นนี้ก็แล้วกัน.. พระยาธรรม
ให้ทุกคนหลับตาภาวนา ทำจิตทำใจให้เบา ให้สบาย
แล้วมานึกว่า.. องค์พระพุทธเจ้านั้น สอนเราทั้งหลายว่า..
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย - มีอยู่ในกายของมนุษย์ / มีอยู่ในวัฏสงสารนี้เป็นธรรมดา
และการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย การพลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รัก ที่พอใจทั้งหลายเหล่านั้น - ก็เป็นเหตุของทุกข์ *
การยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นตน เป็นของของตน - นั่นก็เป็นทุกข์ *
องค์พระพุทธเจ้าได้รู้แจ้ง เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว..
จึงได้สร้างสั่งสมบารมีแห่งตน จนเต็มทุกบารมี ทั้ง 10 ทัศ
สั่งสมบารมีมา ในทุกรูปแบบ.. จนสามารถ
* ดับการเกิดแห่งตนได้
* ดับความหลงในตน - ในของของตน - ในตัวของตนได้แล้ว
และก็ได้บอกทางชี้ทาง ไว้กับพวกเรา
ให้เราทั้งหลาย.. ได้รู้ ได้เข้าใจตาม ประพฤติ และปฏิบัติตาม
ซึ่งก็มีองค์พระอรหันต์มากมายหลายพระองค์ ที่สามารถทำความเข้าใจ รู้แจ้ง
เห็นตามองค์พระพุทธเจ้า
... จนได้เข้าสู่พระนิพพาน หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด
องค์พระพุทธเจ้า สอนเรา - ทำให้เราดู / ทำให้เรารู้ / ทำให้เราเห็น
วันนี้เราจะตั้งใจนั่งสมาธิ..
/ เพื่อพบกับ ความดีอันบริสุทธิ์
/ เพื่อพบกับ องค์พระพุทธเจ้า
เรานั้นจะละตัวตน ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้..
เพื่อให้จิตของเรานั้น.. เข้าไปสัมผัสกับคำว่า *องค์พระพุทธเจ้า*
เพื่อเรานี้.. ก็จะได้เดินตามพระองค์ท่าน เพื่อพบความหลุดพ้นบ้าง ++
ทีนี้ เมื่อเราระลึกนึกถึงเช่นนี้ เพื่อทำความเข้าใจ รู้จักกับคำว่า *พระพุทธเจ้า*..ว่าเป็นเช่นไร
เราก็มาพิจารณาดูตัวของเรา.. การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ครอบงำเราไว้อยู่ !
/ เรานั้น - ยังเป็นทาสของกายนี้..
/ เรายังถูกการลุ่มหลง ยึดติด ต่างๆ- ครอบงำอยู่
/ เรายังหนีไม่พ้นจากความทุกข์ - ที่ต้องพลัดพรากจากสิ่งของ อันเป็นที่รักที่พอใจทั้งหลายได้เลย
/ เรายังเป็นผู้อยู่ในการเวียนวน เวียนว่ายตายเกิดอยู่
เมื่อเรารู้เช่นนี้.. เราก็เข้าใจแล้วว่า.. เหตุใดเล่า
+ จึงต้องนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
+ จึงต้องทำความรู้จักองค์พระพุทธเจ้า
+ จึงต้องทำสมาธิ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เมื่อเราทั้งหลาย ได้รู้แล้วว่า...
องค์พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ?
กายของเราเป็นอย่างไร ?
เราก็จงตั้งจิตสมมุติขึ้นมาว่า..
กายของเรานี้ - เป็นสีดำ
ส่วนพลังแห่งพุทธเจ้า หรือว่าพุทธะ / พลังของผู้ที่สามารถอยู่เหนือวัฏสงสารได้แล้ว - เป็นสีขาว
วันนี้เราจะเอาแบบอย่าง - ตามองค์พระพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์ ดีกว่า
ทีนี้ เมื่อเราหลับตาลง.. เราก็พร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่ง ละทุกอย่าง
หายใจเข้าไปลึกๆ.. สู่ศูนย์กลางกาย
ค่อยผ่อน..ค่อยคลาย
กายนี้.. ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา
กายนี้.. เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ / เป็นเหตุของทุกข์
เกิด - ก็ทุกข์
แก่ - ก็ทุกข์
เจ็บ - ก็ทุกข์
ครั้งจะตายจากกันไป - ก็เป็นทุกข์
.. เป็นเหตุของทุกข์ ให้ทั้งกับเรา และผู้อื่น ..
เรานี้.. ครอบครองกายแบบนี้มาแล้ว - ไม่รู้กี่ภพชาติ นับไม่ถ้วน
เราก็ยังคงจมอยู่ในความทุกข์ ไม่พบความสุขเลย..
เกิดครั้งใด - ก็ตายครั้งนั้น.. ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเราเลย
เราทำดีไป ผลดี.. ก็ส่งผลมาให้เราเสวยสุขอยู่ / ลุ่มหลงอยู่กับการทำดีนั้น
พอความดีนั้น หลอกให้เราหลงอยู่ในวัฏฏะนี้ นึกว่าสิ่งที่เราได้รับมานั้น ดีที่สุดแล้ว..
เราก็เลยโดนมันหลอก.. หลอกให้อยู่ในนี้
ทำชั่วไป - ผลของการทำชั่วนั้น.. ก็ส่งผลมาให้เรา ต้องชดใช้มัน
เมื่อเราชดใช้กรรมชั่วนั้น.. เราก็ทุกข์ ก็ทรมาน
หลงอยู่ในความทุกข์ทน ทรมานอยู่อย่างนั้น
วนอยู่ในวัฏฏะนี้.. ไม่รู้จบ
วันนี้ เรา..
จะทิ้งความลุ่มหลงในตัว ในตน
จะวางทุกสิ่งเอาไว้ ทำจิตทำใจให้ว่าง ให้โล่ง ให้เบา ให้สบาย..
... น้อมรับพลัง แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีกว่า
ลูกเอ๋ย.. การที่เราพิจารณาธรรมต่างๆเหล่านี้..
ธรรมเหล่านี้จะช่วยขจัดปัดเป่า ความรุ่มร้อน เร่าร้อน
.. ความเจ็บ ความไม่สงบของจิต และกาย
เมื่อเราทำให้จิตของเราสงบแล้ว.. ให้ทุกคนนึกขึ้นมาว่า..
ตรงหน้าของตน สูงเหนือศีรษะขึ้นไป สัก 3 เมตร
... เรานั้นเห็นองค์พระพุทธรูปแก้ว
หรือว่า เราจะจินตนาการขึ้นมา นึกขึ้นมาก่อน ว่า..
มีองค์พระพุทธรูปเป็นแก้วใส.. อยู่ตรงหน้าของเรา
และเราเอง ก็นั่งอยู่ตรงหน้าองค์พระพุทธเจ้า - องค์พระพุทธรูปแก้ว องค์นั้น
องค์พระท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่.. ทรงยิ้มเล็กน้อย
มีแสงพลัง สว่างแวววาว..จากพระวรกาย
ตัวของเรา เมื่อเห็นภาพขององค์พระนั้นแล้ว.. เราก็น้อมเอาจิต กายภายใน
สมมุติว่า.. กราบลงต่อหน้าองค์พระนั้น สัก 3 ครั้ง
เมื่อเรากราบลงแล้ว.. เราก็เอาจิตกายภายในของเรา
คือหมายถึง ความรู้สึกนึกคิดของเรา น่ะลูก นั่งขัดสมาธิ.. หลับตา
เมื่อเรานั่งขัดสมาธิแล้ว.. เราก็น้อมขอพลัง จากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือ องค์พระที่เรานึกขึ้นมา ที่อยู่ตรงหน้าของเรานั้น..
“ ข้าแต่องค์พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้ ข้าพระพุทธเจ้า จะขอน้อมพลังคุณงามความดี
พลังจากจิตอันบริสุทธิ์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด.. จากท่าน
เพื่อที่จะได้นำมา ชำระล้างความหลง ที่ครอบงำแก่จิต กาย และใจ ของข้าพระพุทธเจ้า
ขอให้ข้าพระพุทธเจ้า จงได้รู้แจ้ง เข้าใจ
ตามรอยของพระพุทธองค์
ตามคำสอนสั่ง
ตามการประพฤติ การปฏิบัติดี ของพระพุทธองค์
.. เพื่อพ้นทุกข์ตามด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
จิตของเรา อยู่กับองค์พระพุทธเจ้าอยู่ นะลูกนะ
อยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ที่เรานึกถึง*คุณของพระพุทธเจ้า*
นึกถึง การเป็นองค์พระพุทธเจ้า ว่า..
มีการประพฤติ กระทำเช่นไร ?
สั่งสอน เรื่องอะไร ?
พ้นวัฏฏะ อย่างไร ?
แล้วก็มานึกถึง *องค์พระพุทธเจ้า* ที่ได้ประพฤติ ปฏิบัติ บำเพ็ญมา
แล้วเราก็มาตัดความยึดมั่นถือมั่น โดยการระลึกนึกตาม ถึงองค์พระพุทธเจ้า- ที่อยู่ต่อหน้าของเรา
เราก็ยังคงนึกถึงองค์พระอยู่เสมอ.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเราน้อมภาวนา ตั้งจิต เช่นนั้นแล้ว..
เราก็หลับตา ตั้งจิตน้อมนึกถึงองค์พระ- ที่อยู่ตรงหน้าของเรา อย่างนั้น.. เรื่อยไปๆ
เริ่มแรก.. เรา
อาจจะเห็นองค์พระ ไม่ชัดเจน
อาจจะเห็นว่า อยู่ไกลจากเรา
อาจจะเห็นว่า เป็นองค์ขนาดเล็ก
อาจจะเห็น เฉพาะช่วงของดอกบัว.. รู้ว่าข้างหน้ามีองค์พระอยู่
หรือว่าจะเห็นสว่างไสว ทั้งหมดของตัวองค์พระ
เราก็อยู่อย่างนี้ละลูก..
พุทธานุสติ มีสติระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า / องค์พระพุทธรูป
ที่อยู่ตรงหน้าของเราอยู่เสมอ
ทำคล้ายกับว่า.. สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนั้น - ไม่มี
มีแต่องค์พระ - กับเรา เท่านั้น…
จิตตั้งมั่นอยู่กับองค์พระ
น้อมภาวนา น้อมแสงสว่างจากองค์พระ- ที่อยู่ตรงหน้าของเรา
เข้ามาแตะที่ฝ่ามือซ้าย - ฝ่ามือขวา
ตัวของเรา.. ก็จะเบาสบาย
น้อมพลัง..
*สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ*
*สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ*
เราก็ยังคงท่องคำบริกรรม..ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จนเรานั้นอาจจะมีความรู้สึก คล้ายกับว่า.. เราอยู่ในป่าลึก
ที่มีองค์พระพุทธเจ้าอยู่กับเรา.. ในป่าแห่งความอุดมสมบูรณ์นั้น
องค์พระพุทธเจ้า - ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์บัว ที่อยู่ใต้ต้นไม้
ส่วนตัวของเรา - ก็นั่งอยู่ทางด้านล่าง
แต่ในที่ตรงนั้น.. เป็นป่าที่สงบ และร่มเย็น
เรารู้สึกคล้ายกับว่า ทั้งตัว ทั้งกาย ทั้งใจของเรา.. อยู่ในที่แห่งนั้น
ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งไป..
ภาวนาไป.. อยู่กับองค์พระพุทธเจ้า.. ในที่นั้น
/ เพื่อน้อมพลังอันบริสุทธิ์
/ เพื่อที่จะได้นำพลังอันบริสุทธิ์นั้น.. มาชำระล้างกิเลสและตัณหา - ที่มันครอบงำจิตใจของเราอยู่..
/ เพื่อที่จะได้เป็นแบต ที่มาเติมเต็ม มาชาจ.. ให้จิตของเรา
- มีพลัง มีแสงสว่าง
- รู้แจ้ง เข้าใจ ตามความเป็นจริง..
เราน้อมเอาสีขาวมาเติมมาแต้ม มาใส่ตัวของเรา - ให้กลายเป็นสีขาว บริสุทธิ์
... เพื่อเรานี้จะได้พ้นจากความทุกข์ ..
เราจะได้หลุดจากการเวียนว่ายตายเกิด - ในวัฏสงสารนี้
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
การตามระลึกนึกถึง *องค์พระพุทธเจ้า*นั้น..
.. เราสามารถที่จะนึกขึ้นมาแบบไหนก็ได้ ลูกเอ๋ย..
-- ขอแต่ให้เราสะดวก และเป็นอารมณ์ ณ ตอนนั้น ที่เรานึกขึ้นมาได้ --
เราสามารถ ที่จะตรึกตรอง ทบทวนถึงความเป็น *องค์พระพุทธเจ้า*
เพื่อขจัดปัดเป่า “ความหลง” ที่มันครอบงำจิตใจของเรา..
/ เพื่อจะได้สยบจิตของเรา -ให้มันสงบ
/ เพื่อเรานี้จะได้สงบพอ ที่จะนึกถึงองค์พระขึ้นมาได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. จิตที่มีความหลง เชื้อแห่งกิเลสนั้นครอบงำไปหมด
แม้แต่นึกถึงองค์พระ - ก็นึกไม่ออกหรอกลูก
เพราะจิตมัวแต่วุ่นวาย รุ่มร้อน.. พลังความสงบไม่มี
- จึงนึกไม่ออก
ฉะนั้น.. เราทุกคน จึงควรที่จะตามระลึกนึกถึง คุณงามความดีที่บริสุทธิ์
ที่ที่ปราศจากการเวียนว่ายตายเกิด ปราศจากกองทุกข์ทั้งหลาย
- เพื่อชำระล้างจิตกาย ใจของตน
- เพื่อน้อมนึกถึงองค์พระ
-- แล้วก็จะเข้าสู่ฌานได้ ด้วยการตามระลึกนึกถึง *องค์พระพุทธเจ้า* ++
พระยาธรรมเอย.. นึกถึงองค์พระพุทธเจ้า - ก็เพื่อให้จิตเรานั้นคบเพื่อนที่ดี
ไปในทิศทาง / ในฝ่ายของการทำความดี
ยิ่งนึกถึงได้มาก.. จิตใจของเรา ย่อมมีพลังงานแห่งการบวกเข้าไปเยอะ
.. เรายิ่งจะคิดดี ทำดี..
เมื่อยิ่งจะคิดดี ทำดีแล้ว - เราย่อมห่างไกลจากการสร้างกรรมชั่ว
เมื่อเราค่อยๆชำระล้างกรรมเก่าให้หมด - กรรมใหม่ไม่มี
-- เราย่อมพบมรรคผลนิพพานได้ ลูก **
การระลึกนึกถึงคุณของ *องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า*
- มีประโยชน์แก่ลูก เช่นนี้ละ.. ลูกเอ๋ย
จงน้อมนำไปประพฤติ ปฏิบัติตามเถิด..
-- แล้วลูกจะเข้าใจ.. จะรู้แจ้งตามความเป็นจริง --
พระยาธรรมเอ๋ย.. ในแบบที่ 3 * ของกรรมฐานกองที่ 21 - ก็ให้ระลึกเช่นนี้ละลูก
จงน้อมไปเผยแผ่ และประพฤติ ปฏิบัติตามเถิดลูก
ผลนั้นจะเกิดเป็นเช่นไร - ขึ้นอยู่กับว่าลูกนั้น จะทำได้แค่ไหน เข้าใจแค่ไหน !
อย่างนั้นละ..ลูกเอ๋ย
ความเป็นจริง ก็คือ ความเป็นจริง - มันย่อมมีซ่อนอยู่ในธรรมชาตินี้อยู่แล้ว
เพียงแต่ว่า ลูกจะสามารถขุดค้นหาความจริงเหล่านั้นขึ้นมา ให้ได้หรือเปล่า.. เท่านั้นลูก
ฉะนั้น.. จงตั้งใจค้นหาความจริง ด้วย *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
ลูกนั้น.. มีอาวุธอยู่ 4 ชิ้น - ที่จะช่วยให้ลูกหาความจริง ได้สำเร็จ !
ลูกเอ๋ย..
ความจริง ก็ซ่อนอยู่ในทุกสิ่ง
ความจริง มีอยู่ในทุกอย่าง
ความจริงนั้น - เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้ **
ลูกเอ๋ย.. ทำตนให้เข้าใจถึง ความเป็นจริง
ความจริง - ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่สมมุติขึ้นมา.. ปกปิดมันเอาไว้
ค้นหาให้เจอสิ่งนั้นเถิด แล้วดวงจิตของลูกก็จะเป็นจริง อยู่ตลอดไป..
- ไม่มีวันดับ
- ไม่มีวันทุกข์
- ไม่มีวันเกิด แก่ เจ็บ และตายไป --
- ไม่มีวัน ตกเป็นทาสของใครอีกต่อไป
ลูกจะเป็นผู้มีอิสระ ปราศจากความทุกข์ทั้งหลาย..
พบความสุข ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง -ในดินแดนพระนิพพาน **
-- จงประพฤติ เช่นนี้ละลูก.. แล้วความสำเร็จ ย่อมตามมา --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาชี้ทางสว่าง
ให้ลูกได้เดินไปอีกหนึ่งย่างก้าว - ในคลิปนี้
ลูกจะน้อมประพฤติ ปฏิบัติ น้อมทำความเข้าใจ
เพื่อลูกจะได้เข้าถึงความเป็นพุทธะ - เข้าถึงพระนิพพานได้.. พระพุทธเจ้าค่ะ
สาธุ