พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 6 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 333 **ดวงจิตพระอรหันต์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้น้อมพลังพุทธบารมีจนเต็มในศูนย์กลางกาย จึงได้โยกจิตออกจากกาย ไปสู่ที่ที่ไม่มีโลก ที่ที่ไม่มีวัฏสงสาร เพื่อเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านนอกวัฏสงสาร
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้โยกจิตไปถึงที่แห่งนั้น เป็นแต่เพียงความว่างเปล่า โล่งโปร่ง ไม่มีอะไรสักสิ่งสักอย่าง
กายที่ไป.. ก็เป็นกายโล่งๆ เหลือเพียงแค่ความรู้สึกเงาลางๆ คล้ายกันกับว่า ให้เรารู้ว่านั่นคือ รูปลักษณ์ของจิตดวงหนึ่งเท่านั้น
เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ก็เห็นมีบันไดปรากฏขึ้นมา ณ ตอนนั้นเอง บันไดนั้น เป็นสีขาว สว่าง เป็นขั้นๆขึ้นไป ราวๆประมาณ 17 ขั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็พุ่งจิตลอยขึ้นไปที่ที่สูงสุดของบันไดนั้น ก็มีประตูขาวๆคล้ายกับประตูกระจกกลมๆ ข้าพระพุทธเจ้า เลยเดินเข้าไปในนั้น..
เมื่อเดินเข้าไปในนั้นแล้ว พบกับพื้นที่เป็นพื้นกระจกใส.. ที่นั่นมีกลิ่นไอหอม ที่นั่นมีความสงบสุขยิ่งนัก
หันไปทางด้านซ้ายมือ ก็เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงประทับอยู่ ทางด้านบนบัลลังก์ สูงเหนือศีรษะขึ้นไปสัก 6 เมตร
หันไปทางด้านขวา ก็เห็นองค์พระอรหันต์ท่านนั่งเต็มไปหมด สว่าง เป็นกายแก้วสว่างไสว
ข้าพระพุทธเจ้า จึงเดินด้วยความสงบเรียบร้อย นั่งลงอยู่ท่ามกลางระหว่างองค์พระพุทธเจ้า กับองค์พระอรหันต์ ด้วยความนอบน้อมเคารพบูชา ด้วยจิต กาย และใจ
เมื่อได้กราบพระพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่าน ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ เพราะว่าที่ลูกได้ฟังสังโยชน์ 10 ประการมา
ก็ทำให้ลูกเข้าใจ ถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ว่าเป็นแบบไหน
แต่ว่าลูกยังไม่ทราบว่า การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น เราจะได้รับอานิสงส์เช่นไรบ้างล่ะเจ้าค่ะ ?
ลูกจึงจะขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด เจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ทำจิตใจของลูกนั้นให้มันสงบ น้อมพลังพุทธบารมี เข้าไปเติมในดวงจิตของลูกอีกทีหนึ่ง
อย่าเชื่อมต่อกระแสความวุ่นวายจากกายหยาบ หรือโลกมนุษย์เลย
ปล่อยใจให้ว่าง ทำจิตให้สว่าง จะได้ทำความเข้าใจในธรรมที่จะได้ยินได้ฟัง
รวมถึงทุกคน ที่ถ้าได้มีโอกาสได้ฟังธรรมนี้.. ก็เช่นเดียวกัน
เพราะการที่เราจะฟังธรรมรู้เรื่อง เข้าใจ.. เราต้องฟังด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น และมีพลังของฌานสมาธิ ในระดับหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง.. พระยาธรรม
องค์พระอรหันต์.. ท่านจะได้รับอานิสงส์ คือ
/ การไม่ทุกข์อีกต่อไป ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
/ จิตนั้นอยู่เหนือกิเลส และตัณหาแล้ว อย่างแท้จริง
/ ไม่มีทางที่จะวนกลับไป ตกเป็นทาสแห่งกิเลส และตัณหาได้อีก..
พระยาธรรมเอย.. ดวงจิตที่เกิดขึ้น ยังเป็นจิตที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อกิเลสตัณหา เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าหากว่า มีกิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำ หรือต้องอยู่ในที่ที่เจอกับกิเลสตัณหา
จิตดวงนั้น.. ก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย
จิตดวงนั้น.. ย่อมตกเป็นทาสแห่งกิเลสตัณหา อย่างนับภพนับชาติไม่ถ้วน ในการเวียนว่ายตายเกิด
แต่จิตที่สามารถประพฤติปฏิบัติ จนตนนั้นเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์แล้ว..
จิตเหล่านั้น.. จะมีภูมิคุ้มกัน
จะมีสิ่งที่เป็นสิ่งที่ช่วยปิดกั้น ไม่ให้กิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำตนต่อไปได้อีก
คือ ดวงปัญญา อันรู้แจ้ง รู้ทะลุแจ่มแจ้งในวัฏสงสาร ++
บุคคลผู้ยังไม่เข้าโรงเรียน.. ยังไงก็จะอ่านหนังสือไม่ออก
ยังไง.. ก็ต้องเริ่มตั้งแต่อนุบาล ระดับการศึกษาตั้งแต่เริ่ม จนจบปริญญาเอก
ส่วนบุคคลผู้ที่เรียนจบแล้ว ยังไงก็คือผู้ที่เรียนจบแล้ว
ถ้าเกิดจะเทียบ หรือสมมุติกับทางโลก.. ก็สมมุติได้เช่นนี้
จิตที่เกิดมา เมื่อเจอกับกิเลสตัณหา.. ก็จะต้องหลงวนไปก่อน
เพื่อเรียนรู้ ฝึกฝน ดิ้นรนไป ทุกข์ไป.. เวียนวนไปตามกรรมของตน
ส่วนจิตผู้ที่สามารถประพฤติปฏิบัติ จนตนเป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น.. ก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
เพราะถือว่า.. เป็นผู้ที่เรียนจบโลก จบจักรวาล จบวัฏสงสารแล้ว
- ไม่กลับไปปนเปื้อนอีก -
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ ความแตกต่างระหว่าง การเป็นองค์พระอรหันต์ กับการเป็นจิตที่เกิดใหม่ หรือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
จึงแสดงให้เห็นถึงว่า การที่เป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น.. จะไม่กลับไปเป็นทุกข์อีก เกิดอีก หรือว่าปนเปื้อนกับกิเลสตัณหา ตกเป็นทาสของมันอีกต่อไป..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. เป็นอานิสงส์แห่งองค์พระอรหันต์ ที่ได้รับ คือ
/ ไม่ทุกข์
/ ไม่เวียนตายเวียนเกิด
/ ไม่เป็นทาสของใคร
จิตเป็นอิสระ.. อยู่เหนือโลก เหนือจักรวาล วัฏสงสาร
จะท่องไปในแห่งหนใด ของโลกใด ของภูมิใด ของที่ใด.. ก็สามารถไปได้
โดยไม่มีขอบเขตในการจำกัดว่า.. ได้แค่ไหน ยังไง
- ไม่มีอะไรควบคุม บังคับองค์พระอรหันต์ อีกต่อไป..
และองค์พระอรหันต์ ก็คือ ผู้ที่มีจิตที่บริสุทธิ์
บริสุทธิ์ เพราะว่า.. อยู่เหนือคำว่า มี -
มี กับไม่มี ก็เลยเสมอเหมือนกัน...
จะเรียกว่า “มี” ก็ไม่ถูก
จะเรียกว่า “ไม่มี” นั้น ก็ไม่ถูก
เป็นผู้ที่สามารถฝึกฝนตน อยู่เหนือความมีได้แล้ว อย่างแท้จริง
จึงไม่ต้องถูกอำนาจของอะไรควบคุม
จิตจึงเป็นอิสระ - ไปได้ในทุกที่ ทุกแห่งหน อย่างไม่สุข ไม่ทุกข์
ไป กับไม่ไป - มีค่าเสมอเหมือนกัน
-- จิตดวงนั้นจะสว่างไสว.. ไม่ทุกข์อีกต่อไป ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ จึงเป็นผู้เป็นอิสระ
.. ไม่เป็นทาสของใครอีกต่อไป..
เช่นนี้ละลูก.. การที่เราประพฤติปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์ได้แล้ว..
อานิสงส์ที่เราได้รับ
.. ย่อมเป็นของแท้แน่นอน
.. ย่อมเป็นของจริง ไม่มีดับ กลับคืนสู่ของปลอมอีกต่อไป
การที่เป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น.. ไม่ใช่เพียงแค่การได้รับรางวัลบางอย่าง หรืออานิสงส์อะไรบางอย่าง เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
-- แต่เป็นการดับทุกข์ออกจากตนได้แล้ว อย่างแท้จริง ++
ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป...
เพราะความทุกข์ของคนเรา หรือดวงจิตทั้งหลาย ก็คือ..
ทุกข์ เพราะถูกกิเลสตัณหา ครอบงำ
ทุกข์ เพราะกรรมวิบากที่ก่อที่ทำ
ทุกข์ เพราะต้องเป็นไปตามกรรม
ทุกข์ เพราะถูกอำนาจแห่งความไม่เที่ยงแท้ - ครอบงำ ควบคุม
ทุกข์ทั้งหลาย.. เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลผู้ที่มีกิเลสตัณหาอยู่ เท่านั้น !
ฉะนั้น.. ดวงจิตที่สามารถปฏิบัติจนตนนั้น เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์.. จึงไม่มีทุกข์อีกต่อไป
เพราะกิเลสตัณหาจะไม่เกิดในองค์พระอรหันต์อีก เป็นแน่แท้ !
และเป็นของจริง ที่อยู่เหนือโลก เหนือจักรวาล วัฏสงสาร
เป็นของที่ไม่เสื่อม ไม่ดับ ไม่กลับ อีกต่อไปแล้ว..
- จึงไม่มีทุกข์อะไร อีกต่อไป…
องค์พระอรหันต์ พ้นทุกข์เช่นนี้ละลูก..
เพราะเป็นผู้รักษาตน.. จนหายจากโลกแห่งกิเลสตัณหา กรรมวิบาก โลกแห่งความทุกข์
ที่จะต้องอยู่ในกฎกติกา ต่างๆ
จิตนั้นถอดถอนกิเลสตัณหาจนหมด หลุดจาก..
- การเล่นเกมชีวิต
- การที่จะต้องดิ้นรนขวนขวาย ฟันฝ่า
- การที่จะต้องเวียนวนแล้ว
จิตนั้น.. จึงอยู่นอกโลก นอกจักรวาล นอกวัฏสงสาร นอกกฎ นอกกติกา
อยู่ในที่ที่อยู่เหนือ ความมี และความไม่มี
-- จึงเป็นผู้ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง.. ไม่มีสิ่งใดทำให้ปนเปื้อนได้อีกต่อไป ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจธรรมที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น บ้างหรือเปล่า ?
เพราะในช่วงที่ผ่านมาของการแสดงธรรม ก็ได้เคยแสดงธรรมเรื่องของสภาวธรรม ขององค์พระอรหันต์ไว้แล้ว ในบางคลิป บางตอน
วันนี้จึงต้องหยิบยกเรื่องของการเป็น องค์พระอรหันต์ หรือความสุข อานิสงส์ ที่ได้รับจากการเป็นองค์พระอรหันต์ ที่แตกต่างไปในอีกแง่มุมหนึ่ง ให้เห็นชัดเจนได้ว่า..
*องค์พระอรหันต์* คือ จิตผู้มีภูมิต้านทานต่อกิเลสตัณหา
ต่างจากจิตที่เกิดใหม่ หรือจิตของปุถุชนผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ คือ ไม่มีภูมิต้านต่อกิเลสตัณหา
จึงไม่ต้องทุกข์อีก / ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก..
ถือเป็นผู้จบเกม จบโลก จบจักรวาล จบวัฏสงสาร
เป็นผู้มีอิสระ เพราะไม่มีอำนาจใดควบคุมอีก
เป็นผู้ที่อยู่เหนือ ความมี และความไม่มี
จึงเรียกว่า เป็นผู้ที่เป็นองค์พระอรหันต์ได้
จะเรียกว่า..
มี ก็ไม่ใช่
ไม่มี ก็ไม่ใช่
จิตเป็นสุข อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจธรรมนี้แล้วหรือยัง ลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. แต่ช่วง 2 วันนี้ ลูกเห็นแต่พญามาร
พญามารมันจะปลอมตัว เป็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นองค์พระอรหันต์ ปลอมตัวอยู่บ่อยๆเลย..
แล้วพอมันปลอมตัวขึ้นมา ลูกก็จะเห็นแวบๆว่า.. นั่นอาจจะเป็นมารแฝงเข้ามา ปลอมตัวเข้ามาหลอกลูก ว่าเป็นองค์พระพุทธเจ้า
และลูกก็จะเห็นอีก เห็นองค์พระพุทธเจ้า อยู่ในความไม่มี น่ะเจ้าค่ะ
- นั่นมันแสดงถึงอะไรหรือเจ้าคะ ?
- - -
พระพุทธองค์ :: แล้วลูกคิดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น มันเกิดมาจากเหตุอะไรเล่า ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกคิดว่า มันเกิดขึ้น เพื่อทดสอบลูก ว่าลูกจะคิดว่า..
องค์พระพุทธเจ้า จริง /ไม่จริง - ด้วยความคิดของลูกเอง หรือลูกจะตรึกตรองด้วยตัวปัญญา
ลูกคิดว่า มันเกิดขึ้น เพื่อสอบสภาวธรรมของลูกว่า ให้ลูกเจอกับองค์พระพุทธเจ้าองค์จริง
ให้ลูกรู้ว่า.. องค์พระพุทธเจ้าองค์จริง มีตัวตน หรือไม่มี - ก็ไม่สำคัญ !
สำคัญ คือ การปราศจากตัวตน และดับกิเลสตัณหาทั้งปวงได้แล้ว
จะมีตั้งอยู่ตรงหน้า / หรือไม่มีตั้งอยู่ตรงหน้า
หากสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติ หรือทำอยู่ เป็นสิ่งที่ปราศจากกิเลสตัณหา.. ย่อมถึงพระพุทธองค์
ถึงแม้จะมีพระพุทธองค์อยู่ตรงหน้า - นั่นอาจเป็นการหลงในการมีของพระพุทธองค์ ก็ได้ อย่างนั้น พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจึงสลายความมี..
ต่อให้จะเห็นองค์พระพุทธเจ้า ก็จะเฉยๆ เหมือนไม่เห็น
ต่อให้ไม่เห็น.. ลูกก็มั่นใจว่า..ลูกถึงพระองค์ โดยที่มี หรือไม่มีรูปก็ได้ *
ฉะนั้น.. พญามาร มันจะหลอกลูกให้ไปติดในตัวตน ที่มันมีอยู่ สมมุติขึ้นมาเป็นรูปของพระพุทธองค์ น่ะเจ้าค่ะ
.. ลูกคิดว่าอย่างนี้ เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม ถือว่าจิตนั้นกรอบการเข้าถึง การเป็นองค์พระอรหันต์ องค์พระพุทธเจ้า ผู้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาได้ อย่างถูกต้อง
พญามารทั้งหลาย.. จะแฝงอยู่ในการมีตัวตนนั้น เป็นสิ่งที่ยึดเอา ถือเอา
แม้แต่ยึดองค์พระพุทธเจ้า ว่าเป็นกายอย่างนั้น เป็นรูปแบบนี้
องค์พระอรหันต์ ว่าเป็นแบบนี้ แบบนั้น
.. ก็ยังจะต้องโดนพญามารนั้น หลอกให้หลงยึด ในตัวของการเป็นตัวเป็นตน ที่สมมุติขึ้นมาเหล่านั้น ลูก
ฉะนั้น.. สิ่งที่สำคัญ ก็คือ.. เรา
เข้าถึงความเป็นกายแก้ว ที่ใสสะอาด บริสุทธิ์
เข้าถึงการมองเห็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นแก้วสว่างไสว
เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์
เราก็ยังต้องข้ามตัวนั้น ให้ได้ด้วยนะลูก !
ให้เหลือเพียงแค่ ความถูกต้อง
ความถูกต้อง คือ การไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีกิเลสตัณหา
.. ไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น..
และถ้าไปยึดว่าไม่มีนั้น.. มันก็ไม่ใช่อีก
ต้องอยู่ท่ามกลาง ระหว่าง มีกับไม่มี
ต้องอยู่อย่างนั้น ลูก
และอยู่แบบไหน ?
อยู่บนความถูกต้องไงลูก
ถูกต้องคือ อะไร ?
คือ ปราศจากความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
... อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
- แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก -
จงตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันเถิดลูก
ให้เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์เมื่อไร.. ลูกจะเข้าใจคำพูดนี้
พระยาธรรมเอ๋ย.. *นิพพาน* นั้น เป็นเรื่องที่ ถ้าแค่อธิบายและเข้าใจตามนั้น - มันเป็นเรื่องยาก
แต่ก็สามารถเข้าใจอยู่บ้างเป็นแนวทางเล็กน้อย.. แต่ก็เข้าใจไม่หมดอยู่ดี !
- หรืออาจเป็นเรื่องที่เข้าใจไปในทางที่ไม่ถูกต้อง.. หากจิตไม่เข้าถึง ++
ฉะนั้น.. จงทำจิตของตนให้เข้าถึง และจะเข้าใจว่า..
อยู่เหนือความมี กับไม่มี - มันเป็นยังไง
มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ - มันเป็นยังไง
- จะเข้าใจสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้..
พระอรหันต์ ได้รับอานิสงส์ความสุข เช่นดังที่กล่าวมานั้น..
ซึ่งเป็นความสุข ที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน - ไม่มีวันดับ วันกลับมาอีก !
องค์พระอรหันต์..
* เป็นจิตที่ มีภูมิคุ้มกันต่อกิเลสตัณหา
* เป็นผู้ที่ เป็นอิสระ
* เป็นผู้ที่ อยู่เหนือความมี และความไม่มี
* เป็นผู้ที่ หลุดจากทุกข์ทั้งปวง
เพราะว่าจิตเหล่านั้น อยู่เหนือความมี และไม่มีได้
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. คือ สิ่งที่พญามารพยายามทดสอบลูก มาหลายวันนี้
ดีแล้วละ ที่พอจะเข้าใจสภาวธรรมต่างๆ
ดีแล้วละ ที่เข้าถึงความเป็นพุทธะ อย่างแท้จริง
คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่ถูกต้องแท้จริง
ขอให้ลูกนั้น จงเดินทางสร้างบารมี โดยตลอด ปลอดภัยจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง
ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ลูกได้สร้างได้ทำ จงช่วยให้ลูกนั้นปลอดภัยจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง
และสำเร็จในการประกาศธรรม ตามบารมีที่ลูกได้สร้างได้ทำเอาไว้
ด้วยอำนาจแห่งอธิษฐานบารมีนี้ จงสำเร็จในสิ่งที่ดีเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม.. สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ..
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม..
แล้วลูกนั้น จะได้ทำในสิ่งที่ดี และเกิดประโยชน์แก่ตัวของลูก และผู้อื่นมาก
หากลูกสามารถเข้มแข็ง และกระทำหน้าที่แห่งตนให้ดี ให้สมบูรณ์ต่อไปเรื่อยๆ
ฉะนั้น.. จงตั้งใจ
ทำตามที่ลูกนั้นรู้
ชำระกิเลสตัณหา ตามที่ลูกเข้าใจ
ฝึกฝนเรียนรู้ เรื่องของโลก / เรื่องของวัฏสงสาร / เรื่องของตน
เรื่องของตน ก็คือ เรื่องของวัฏสงสาร
เรื่องของวัฏสงสาร ก็คือ เรื่องของตน
เพราะลูกนั้น คือ ผู้ที่จะมาไขกุญแจ แห่งวัฏสงสารนี้
เพราะลูกนั้น คือ *พระยาธรรมิกราช* ผู้ที่จะมาเปิดโลก เปิดจักรวาล
ฉะนั้น.. สภาวธรรมของทุกอย่างในจักรวาลนี้.. อยู่ในตัวของลูก
และตัวของลูก ต้องเข้าใจ..
- ทุกอย่างของวัฏสงสาร
- การเวียนว่ายเวียนวน และดวงจิตทั้งหลาย
.. จึงถือว่า สำเร็จ ++
ฉะนั้น..
จงเข้มแข็ง ในสิ่งที่ทำ
จงมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยความเพียร ความอดทน ด้วยสติ ด้วยปัญญา
เรียนรู้ไปเถิด พระยาธรรม..
-- ลูกจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ ในที่สุด --
+ +
พระยาธรรม.. สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาลูกเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: เอาละนะ พระยาธรรม.. วันนี้ ก็มานานแล้วพอสมควร ถ้าเป็นโลกที่เธออยู่
ถ้าอย่างนั้น จงกลับไปเถิด..
ไปทำหน้าที่แห่งตน ทำตามเหตุที่ควรจะทำ
เรียนรู้ทุกสิ่ง ที่ควรจะเรียนรู้
ฝึกปัญญา ในทุกสิ่งที่ควรจะฝึก.. ให้รู้แจ้งโลก
-- ลูกนั้นจะได้กลับมาที่นี่ เป็นแน่แท้ --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกขอกราบลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ..
สาธุ