“เวทนา” เป็นที่ตั้งแห่ง “ความยึดถือ”
ได้ง่ายกว่าสิ่งใดๆ ทั้งหมด
ไม่ว่า..พอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือชัง
ความยึดถือ เป็นที่ตั้งแห่ง “ความทุกข์”
.
…. “ ความรู้สึกทางพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ย่อมจะเรียกได้ว่าเป็นที่ตั้งของความทุกข์ได้ทั้งนั้น ความรู้สึกชอบกับชังนี้ ตามความหมายทางธรรมะแล้วย่อมถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน เพราะมันทําให้เกิดความทรมานใจเท่ากัน : ความชอบทําให้ใจฟู ความไม่ชอบทําให้ใจแฟบ การดีใจและเสียใจก็เป็นการทําให้จิตเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน ทําให้เกิดหวั่นไหวทางจิตได้เท่ากัน ทั้งหมดนั้นเรียกว่า “ยึดเวทนาเป็นตัวตน”.
…. ขอให้ทุกคนพิจารณาความยึดถือเวทนาว่าเป็นตัวตน ของตน ในตนเอง ให้เข้าใจอย่างถูกต้องจริงๆ จะเป็นหนทางทําให้เป็นอิสระจากเวทนา, เวทนาเป็นสิ่งที่มีอํานาจเหนือจิตใจ แล้วดึงเราไปสู่สภาพที่จะต้องเสียใจในภายหลัง ในทางปฏิบัติเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนให้พิจารณาเรื่องเวทนาโดยเฉพาะก็มีมาก. มีผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะกําหนดเวทนาเป็นวัตถุสําหรับการพิจารณาเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ อย่างนี้ก็มีมาก.
…. เวทนานี้เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือได้ง่ายกว่าสิ่งใดๆทั้งหมด เพราะมันเป็นที่มุ่งหมายสูงสุดของสิ่งที่เราพากเพียรทํากัน : เราอุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียน อุตส่าห์ประกอบการงานอาชีพต่างๆ ก็เพื่อให้ได้เงินแล้วก็ไปซื้อหาสิ่งต่างๆ เช่น ของใช้ ของกิน เครื่องบํารุงบําเรอ ตลอดจนถึงรสพิเศษจากเพศตรงกันข้าม แล้วก็บริโภคของเหล่านั้นเพื่อหวังอย่างเดียวคือ “สุขเวทนา” กล่าวคือ ความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น และ ทางกาย
…. เราลงทุนด้วยกําลังทรัพย์ กําลังกาย กําลังใจทั้งหมด ก็เพื่อหวังสุขเวทนาอันเดียวนี้เท่านั้น ก็รู้อยู่แก่ใจกันดีทุกคน ถ้าไม่เพราะอํานาจของสุขเวทนานี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็คงจะไม่ลงทุนเรียน ลงทุนทําการงาน ลงเรี่ยวลงแรงหาเงิน ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าเรื่องสุขเวทนานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว ถ้ามีความรู้ความเข้าใจก็จะสามารถควบคุมมันได้ จนทําให้เรามีจิตใจสูงอยู่เหนือความรู้สึกชนิดนั้น จะทําให้เราสามารถทําสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าที่เราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา แม้ความยุ่งยากต่างๆในสังคมก็มีมูลมาจากสุขเวทนานี้เหมือนกัน”
.
พุทธทาสภิกขุ
พระยาธรรมเอย...เรื่องของ*จิต*นั้น มันเป็นสิ่งที่ละเอียด
เป็นสิ่งที่ต้องมีสมาธิ ต้องมีกำลังของจิตมาก
จึงจะสามารถเข้าใจและเข้าถึง สภาวธรรมของจิตได้อย่างแท้จริง
แต่ก็ดีแล้วหล่ะ วันนี้ ที่ลูกนั้น สงสัยเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าทุกคนอาจจะเข้าใจ
อาจจะไม่เข้าใจ เข้าใจแต่เข้าไม่ถึง หรืออาจจะเข้าถึงและเข้าใจด้วย
ถึงแม้ว่าจะมีสภาวธรรมหลายอย่าง ก็ไม่เป็นไร ก็จะอธิบายให้ฟัง
เพื่อจะได้เป็นแนวทางเป็นองค์ความรู้
เอาไว้ให้ทุกคน ได้ยึดหลักแนวทางนี้ไว้ ในการประพฤติปฏิบัติธรรม
...........................................................................................................................
(๑/๔)
*จิตหนึ่ง*......*จิตแห่งพุทธะ*
พระยาธรรม เอย.มันก็เป็นเรื่องที่ยากเหมือ นกัน ถ้าหากว่าตัวของเรา * ไม่รู้จักเรา *
ไม่รู้จักดวงจิต ว่ามีสภาวธรรมเป็นแบบไหน เราก็จะจับเราไม่ถูก
เราก็จะไม่รู้ว่า เราคือคนไหน เราคือใคร เรามีสภาวธรรม เป็นแบบไหน
แล้วเราก็จะไม่สามารถที่จะแยกตนเอง ออกจากกิเลส กรรม วิบาก และกาย
เราไม่สามารถ ที่จะแบ่งแยกออกได้ ถ้าเราไม่รู้จัก *ดวงจิต*
พระยาธรรม เอย.ฉะนั้น วันนี้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
ที่ลูกนั้นได้ถามถึงเรื่องนี้ จะได้ทำความรู้จัก ทำความเข้าใจกัน
ลูกเอ๋ย *ดวงจิตหนึ่ง* นั้น ก็ คือดวงจิตที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ
และพอเกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็ไม่สามารถที่จะดับสูญสลายไปได้อีก
เพราะว่าได้เกิดขึ้นมาแล้ว และสภาวธรรมของจิต
ก็คือการเกิดขึ้นมา แล้วก็*ไม่มีภูมิคุ้มกัน*ต้านทานต่อกิเลสตัณหา
ก็เลยถูกกิเลสตัณหา กรรม วิบาก ครอบงำได้
นั่นคือสภาวธรรมของจิตที่ก่อเกิดขึ้นมาใหม่
ก็เลยกลายเป็นมีตัว มีตน มีเรา มีของของเรา
ก็เลยต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารนี้
นั่นก็เป็นสภาวธรรมของดวงจิต ที่เกิดขึ้นไม่มีภูมิคุ้มกันตนเอง
ให้อยู่เหนือกิเลส เหนือตัณหา ก็เลยต้องวน ต้องเวียน ต้องอยู่ ในวัฏสงสารนี้
ถูกกรรม ถูกกาย ถูกกิเลส *ครอบงำ*
*ยึดมั่น ลุ่มหลง* เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในนี้
.......แต่นั่นคือดวงจิต ที่ก่อเกิดขึ้นมา เป็นสภาวธรรมของจิต
และเป็น*จิตที่เป็นอยู่ในวัฏสงสาร* ที่ยังมีอยู่ ยังเป็นอยู่ ทั้งหลายเหล่านี้
มีสภาพคือ..จิตโดนกรรม โดนกาย โดนกิเลส ตัณหา ครอบงำ
ให้พากัน เวียนว่าย เวียนวน อยู่ในนี้
หาทางออกไม่เจอ ไม่รู้จักทางออก และออกไม่เป็น
ก็เลยจมกันอยู่ ติดกันอยู่เช่นนี้ ลูกเอ๋ย
ส่วนสภาวธรรมของจิต
*ผู้ที่สามารถประพฤติปฏิบัติ จนนำพาตนนั้น ออกจากความพ้นทุกข์ได้แล้ว*
ก็จะ*มี* *สักแต่ว่ามี* จิตดวงนั้น จะว่ามี ก็เหมือนไม่มี จะว่าไม่มี ก็มีอยู่
คือจะเป็นสภาวธรรม แบบอยู่กลาง ๆ ว่าง ๆ เช่นนี้
ลูกเอ๋ย และถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คงจะเปรียบเทียบได้กับความว่างเปล่า
*ที่มันมีความว่างนั้นอยู่เป็นปกติของมัน ไม่มีที่มันจะดับไปเลย * ความว่างนั้น
มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น และมันก็ไม่ได้วิ่งสุข วิ่งทุกข์ ตามเรื่องราวใด ๆ
ตามสิ่งใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน ไม่ว่าจะมีลม มีพายุ ลมฝน
จะมีความร้อนหรือความหนาว จะมีสภาวธรรมเป็นแบบไหน ขับเคลื่อนเช่นไร
ความว่างนั้น ก็ยังทรงสภาวธรรมของความว่างอยู่
ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่คล้อยตามตามสิ่งใดๆ ทั้งหมด ทั้งสิ้น
ถ้าจะเปรียบเทียบ กับจิต หรือ*สภาวธรรมที่จิตหลุดพ้น*แล้วนั้น
ก็เปรียบเทียบได้ เช่นนี้
จิตนั้น *รู้อยู่ ตื่นอยู่ เบิกบาน*อยู่ ไม่คล้อยตามกิเลส ตัณหา กรรม วิบาก ต่าง ๆ
เรื่องราวต่างๆที่มันเกิดขึ้น มีอยู่
ไม่เคลิ้มตามกิเลส ตัณหา กรรม กาย นี้เลย
รู้เท่า รู้เท่ารู้ทัน ระบบ ของความเป็นไปและเป็นอยู่ของทุกสิ่ง
จนจิตดวงนั้น *เป็นผู้รู้ตื่น*
ไม่มีสิ่งใดหลอกให้จิตดวงนั้น ไปตกเป็นทาสของอะไรได้อีก
และจิตดวงนั้น ก็ *ว่างเปล่า ว่าง..เข้าสู่ความว่าง ความไม่มี*
แต่ถ้าจะเปรียบเหมือน*อากาศหรือว่าความว่างเปล่า*นั้น
ถ้าจะเปรียบเหมือนความว่างเปล่านั้น ความว่างเปล่า ก็จะไม่มีชีวิต ไม่รับรู้อะไรเลย
แต่ดวงจิตทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะหลุดพ้นไปแล้ว จะอยู่ในดินแดนแห่งพระนิพพานแล้ว
ดวงจิตเหล่านั้น ก็ยังมีความรู้อยู่ ตื่นอยู่ เบิกบานอยู่
ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ใช่ความรู้แบบสุขหรือทุกข์
แต่ *เป็นความรู้แบบว่ารู้อยู่*
...............................................................................
(๒/๔)
เช่นวันนี้ ที่ลูกนั้น ขึ้นเข้าเฝ้าองค์พระพุทธเจ้า
องค์พระพุทธเจ้า ก็รู้ว่าได้เวลาแห่งการแสดงธรรม เพื่อที่จะโปรดลูกนั้น
และให้ลูกนั้น นำธรรมนี้ไปเผยแผ่ เป็นรอบแห่งยุคของกึ่งพุทธกาล ที่พระยาธรรมก็ต้องทำหน้าที่
องค์พระพุทธเจ้า จึงรวมสภาวธรรมของจิตขึ้นมา *เป็นรูปกายแก้ว* ที่จะทำให้ลูกนั้นมองเห็น
แต่การรวมขึ้นมาเป็นรูป *ก็สักแต่ว่ารวม*
*การมี กับ การไม่มี* ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับจิต
หรือไม่มีผลอะไรต่อจิตเลย *สักแต่ว่า ทำไปตามเหตุ เพื่อประกอบเหตุ*นั้น
ให้หมดเหตุ ในยุคของพระพุทธศาสนา ในองค์พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้
จึงไม่ได้มีผลอะไรกับจิต จิตหรือสภาวธรรมของจิต ที่สู่พระนิพพานแล้วนั้น
เป็นเพียงแค่ จิตดวงหนึ่ง ที่กลับคืนสู่ความว่าง แต่ไม่แตกดับ
รู้แบบ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ได้รู้เพราะสุข เพราะทุกข์
ไม่ได้รู้เพราะว่าจะต้อง*เอาไปปรุงแต่งเรื่องนั้น เรื่องนี้ ขึ้นมา*
ไม่ได้เป็นเรื่องรู้แบบโลก แบบวัฏสงสารลูก รู้เหนือตัวตน รู้แบบตื่นจากทุกสิ่งทุกอย่าง
และก็เป็นเพียงแค่จิตดวงหนึ่ง ที่ก็มีแค่สภาวธรรมคือ*จิตดวงหนึ่ง*
ที่รับรู้ ว่ามันมีอะไรบ้าง แต่ไม่ได้สุข ไม่ได้ทุกข์
*รู้สักแต่ว่ารู้* และองค์พระอรหันต์ทุกองค์ ก็มีสภาวธรรมของจิต เช่นนี้เหมือนกัน
............จิตที่ถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ก็เลยเป็นดวงจิต
*ดวงจิตที่รู้ตื่นจากทุกสิ่งและทุกอย่าง*
ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหาใด ๆ
รู้ตื่น อยู่เสมอ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีตาย
การมีอยู่ ก็เหมือนไม่มี....การไม่มี ก็เหมือนมี
สภาวธรรมของจิต ก็เลยเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดเจน
*คล้าย ๆ กับความว่าง แต่ก็ไม่เหมือนความว่าง*
เพราะความว่างนั้น ไม่ได้มีความรู้ ไม่ได้รู้สึกว่า ใครนั้นเป็นอะไร ใครมาหา
หรือว่า ใครปรารถนาสิ่งใด ใครสุข หรือใครทุกข์ ความว่างไม่ได้รู้สึกอย่างนี้
แต่จิตทั้งหลาย ที่เป็นองค์พระอรหันต์แล้ว “ รู้ “ แต่ไม่ได้วิ่งตามที่รู้นั้น
รู้ว่าคนนั้นทุกข์ คนนี้สุข...รู้ว่าคนนู้นดี คนนี้ไม่ดี แต่รู้เฉย ๆ
ไม่ได้มีการสุขหรือทุกข์ รับเวทนาเข้ามาสู่ตน
*สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น เห็นเป็นธรรมดา* อย่างนั้นไป
อย่างนี้แหละพระยาธรรม คือสภาวธรรมของดวงจิต
(๓/๔)
ดวงจิตนั้น ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
ก็เลยถูกกิเลสตัณหาพาให้เวียนว่ายตายเกิด
จิตทั้งหลาย จึงเวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้
อยู่ใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหา
แล้วจิตกลุ่มหนึ่งก็*รู้ตื่น*แล้วว่า
* สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของตน*
จึงสามารถฝึกฝนและนำพาตน เข้าสู่ ที่ที่ปราศจากกิเลสตัณหา
ที่..ที่อยู่เหนือคำว่า...มีกับไม่มี , ที่..ที่บริสุทธิ์ , ที่..ที่ละเอียดอ่อน
ซึ่งบุคคลผู้ที่สามารถประพฤติปฏิบัติตน ให้เข้าไปสู่ความรู้สึกตรงนี้ได้อย่างชัดเจน
จะไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลย ในสภาวธรรมของจิตผู้ที่หลุดพ้น
พระยาธรรม เอย...*จิตคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว และไม่มีทางดับสูญ*
แต่จิตนั้น *มีสภาวธรรมที่ถูกกิเลส ตัณหา หลอกไปเป็นตัวเป็นตนของเขา*
กับ *มีสภาวธรรมที่รู้ตื่นจากกิเลสตัณหา เหล่านั้น* เหล่านั้น
อย่างนี้แหละลูก คือสภาวธรรมของจิต
พระยาธรรม เอย *ดวงจิตที่ถูกกิเลสตัณหาหลอกและพาไปเวียนว่ายตายเกิด*
ก็ไปเปรียบเสมือน “ ความว่าง ที่ไม่รู้ว่าตนเป็นความว่าง “
ความว่างนั้น คอยจะมาข้องเกี่ยวกับ อาการที่มันร้อน ที่มันหนาว
ฝนที่มันตก แดดที่มันออก ความมืดที่มันเข้ามาหา ความสว่างที่มันมีอยู่
ความว่างที่ไม่รู้ตัวตน แล้วก็เอาตน มายึดเอา ถือเอา สิ่งเหล่านี้ เข้าไปบวกว่า*เป็นตน*อยู่ด้วย
จึงกลายเป็น *ความว่างที่วุ่นวาย*
ก็เหมือน*ดวงจิตที่ไม่รู้*ว่าตนคือดวงจิต ก็เลยเอากิเลส เอาตัณหา เอากรรม เอากาย
เอาความเป็นอยู่ มีอยู่ของสภาวธรรมภายนอกจิตนั้น ยึดเข้าไปหาจิต ว่าเป็นตัวเป็นตน
เมื่อเขาทุกข์ เราเลยนึกว่าเราทุกข์ เขาสุขเราเลยนึกว่าเราสุข
เขาสว่าง เราก็นึกว่าเรานั้นหละสว่าง เขามืดเราก็นึกว่าเรานี่แหละมืด
เมื่อลมฟ้า ลมฝนมา ก็นึกว่านั่นแหละคือเรา
*เราเอาเราไปเป็นเขา เอาเขามาเป็นเรา*
ก็เลยลุ่มหลง และเพลิดเพลินอยู่อย่างนี้
แต่จิตแห่งพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้ว
ก็คือผู้แยกได้ แบ่งออกว่า *ตนเองนั้นคือความว่าง*
ส่วนที่เหลืออย่างอื่นนั้น *เขาก็คือเขา เขาไม่ใช่เรา*
ความว่างนั้น มันมีหน้าที่ว่างอย่างเดียว
ไม่ว่าจะที่ไหนมันก็ว่าง ในจักรวาลใดมันก็ว่าง นอกจักรวาลมันก็ว่าง
ฝนจะตก แดดจะออก จะมืด จะร้อน หรือว่าง ความว่างนั้น มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเฉยๆ
(๔/๔)
เมื่อดวงจิต รู้ตื่นในตนเองเช่นนี้ เข้าใจและรู้จักตนเช่นนี้ จึงไม่ข้องเกี่ยวกับสภาวธรรมอื่นอีก
และจิตที่รู้ตื่น ก็จะรู้ดีว่าตนก็ ไม่ได้เป็นเหมือน “ ความว่างโดยทั้งหมด “
เพราะความว่างนั้น ไม่มีความรู้ “ ว่างเฉยๆ ”
แต่จิตนั้น เป็นความว่าง “ว่างแบบรู้ แต่ไม่ทุกข์ ไม่สุข กับสิ่งที่รู้ รู้สักแต่ว่ารู้ และรู้ตื่น “
เอาง่ายๆ แบบเข้าใจง่ายๆ นะ พระยาธรรม
ความว่าง ที่มันเป็น ” ความว่าง “ มัน * ว่างแบบไม่มีชีวิต *
แต่ *ดวงจิต*นั้น * ว่างแบบมีชีวิต *
ถ้าจะเปรียบเทียบคำพูดที่มันฟังง่ายๆ ก็คงจะเป็นประมาณนี้
คือ “ ความว่างของจิต ว่างแบบมีชีวิต แต่ชีวิตที่มีอยู่ เป็นชีวิตที่ ไม่มีตัว ไม่มีตัวตน ว่างเฉย ๆ “
ว่าง...แบบชีวิตในรูปแบบของนิพานหรือของดวงจิตที่อยู่เหนือกิเลสแล้ว
อย่างนั้นหละพระยาธรรม จึงมี ดวงจิตของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้า
ที่ก็ยังคงรู้อยู่ กับสิ่งที่มันขับเคลื่อนไปอยู่ของวัฏสงสารนี้ ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีชีวิต
ว่างแบบมีชีวิต แบบรู้ขับเคลื่อนตามเหตุ แต่ขับเคลื่อนหรือไม่ขับเคลื่อน
มีหรือไม่มี ไม่ได้มีผลอะไรต่อจิตดวงนั้น ฉะนั้นดวงจิตก็เลยเรียกง่ายๆ
หรือว่ามองเห็นง่ายๆ ก็คือ เป็นแค่*จิตหนึ่ง*นั้น
ก็คือเป็นแค่จิตดวงหนึ่งนั่นแหละ..พระยาธรรม.
จิตหนึ่งดวง ที่รู้ตื่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
หรือว่าเป็นจิตหนึ่งดวง ที่ยังไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่เบิกบาน
จิตที่ยังไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่เบิกบาน ก็คือจิตหนึ่งที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารนี้
ซึ่งจิตเรา จิตเขา จิตคนนั้นหรือจิตคนนี้ ก็คือแค่หนึ่งดวงจิตเหมือนกัน
ไม่มีสภาวะอะไรที่แตกต่างกัน นอกจากกิเลสตัณหาที่มันเข้ามาคลุม มาเกาะ
และทำให้ดูเหมือนต่างกัน แต่จริงๆแล้ว มันก็เป็นแค่จิตหนึ่งเท่านั้น มันไม่มีอะไรเลย
พระยาธรรมเอย..และจิตขององค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า
หรือองค์พระอรหันต์เจ้า ก็คือ “ จิตหนึ่งนั้น “
แต่เป็นจิตที่รู้ตื่นจากกิเลสตัณหา รู้ตื่นจากสิ่งสมมุติทั้งหลาย
จนไม่มีความแตกต่างอะไร มีแต่ความเป็นจิตหนึ่งนั้น อย่างว่างๆ
อย่างนี้แหละลูก คือสภาวธรรมของจิต ก็พยายามพากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ให้ตนนั้นสามารถที่จะเข้าถึง สภาวธรรมของ *จิตหนึ่ง ที่รู้ตื่น ที่เป็นผู้รู้ ผู้เบิกบาน
เห็นแจ้งในกิเลสตัณหา ที่เข้ามาปกคลุมตนอยู่* ลูกก็จะเป็น *จิตแห่งพุทธะ*
จิตของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือผู้ไม่ถูกหลอกถูกล่อ
ให้ไปสุข ไปทุกข์ ไปเหน็ด ไปเหนื่อย
ไปเวียนว่าย ตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารอีก
ก็จะเป็นจิตหนึ่งนั้น ที่รู้ตื่น ที่เบิกบาน
ที่อยู่เหนือการเกิดและการตาย อยู่เหนือวัฏสงสารนี้
อย่างนี้แหละพระยาธรรม..คือสภาวธรรมของดวงจิตทั้งหลาย
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า...........
สาธุเจ้าข้า ฯ ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วหล่ะเจ้าค่ะ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเมตตาแสดงไปมา แล้วก็ย้ำเข้าไปเรื่อยๆถึงความลึกลับของจิต ที่มันสลับซับซ้อนเข้าไปเรื่อย ๆ ลูกก็พอจะเห็นตามได้บ้างแล้วหละเจ้าข้า ฯ ลูกจะพยายามพิจารณาปฏิบัติตามให้แจ่มแจ้ง ขึ้นเรื่อย ๆ แก่ลูก ลูกจะได้แบ่งแยกกิเลส ตัณหาออกจากจิตได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ วันนี้ลูกคงต้องกราบขอลาก่อนนะเจ้าค่ะ ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
“””””””””””””””””””””””””””””””””
เมื่อ ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อม เข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว
จึงได้เฝ้าทูลถาม พระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา
วันนี้ลูก จะขอเฝ้าทูลถามถึงเรื่องสภาวธรรมของจิตหนึ่ง ๆ หนะเจ้าค่ะ
ดวงจิตนั้นมีสภาวธรรมเป็นเช่นไรบ้างหรือเจ้าค่ะ ในหนึ่งดวงจิตนั้น
ขอพระพุทธองค์โปรดจงเมตตาแสดงธรรมเรื่องดวงจิตให้ลูกได้ฟัง
และนำไปพิจารณาตามให้เข้าใจ เผยแผ่ พระธรรมนี้ออกไปให้กว้างไกล
ถึงทุกคนที่ปรารถนาจะพ้นทุกข์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า
หนทางให้ถึง “ความดับแห่งทุกข์ ” อยู่ที่ไหน?
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ(นิพพาน) มรรค อยู่ที่ไหน?
❝ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในกายที่ยาววาหนึ่ง ที่มีสัญญาและใจ” คือร่างกายที่เป็นๆ ยังมีสัญญา มีใจ ในนั้นมีโลก มีเหตุให้เกิดโลก มีความดับโลก มีทางให้ถึงความดับโลก นั่นแหละคือมันอยู่ที่ “อายตนะ",
ในกายที่เป็นๆ ของคนเป็นๆ มีอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สามารถในหน้าที่ของมัน. อายตนะทั้ง ๖ รู้สึกต่อโลก โลกจึงมี เพราะอายตนะมันรู้สึก, นี่เรียกว่า..โลกมันอยู่ในอายตนะนั้น.
.
ทีนี้ เหตุให้เกิดโลก คือ เกิดทุกข์ ก็เพราะอายตนะนั่นแหละ มันทำการปรุงแต่งให้เกิดโลก หรือเกิดกิเลส และเกิดทุกข์.
.
ทีนี้ การดับโลก ก็เพราะควบคุมอายตนะได้, ไม่ทำให้เกิดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เป็นทุกข์ ก็เรียกว่าความดับแห่งทุกข์ ก็เพราะว่าควบคุมอายตนะได้.
.
ทีนี้ ทางให้ถึงความดับแห่งโลกหรือทุกข์ ก็เพราะปฏิบัติถูกในทางอายตนะ, ระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องในเรื่องของอายตนะนั่นแหละ คือ หนทางให้ถึงความดับแห่งโลก หรือ ความดับแห่งทุกข์...❞
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง “ความลับของอายตนะเป็นสิ่งที่ต้องเปิดเผย” เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๒ จากหนังสือ ชุด"ธรรมโฆษณ์" เล่ม "ธรรมะในฐานะวิทยาศาสตร์" หน้า ๑๘๘-๑๘๙
---------------------------------------------
[๗๐] เทวดาทูลถามว่า
“เมื่ออะไรเกิด โลกจึงเกิด
โลกทำความเชยชิดในอะไร โลกยึดถืออะไร
โลกเดือดร้อนเพราะอะไร”
.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
“เมื่ออายตนะ ๖ เกิด โลกจึงเกิด
โลกทำความเชยชิดในอายตนะ ๖
โลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแล
โลกเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖”
โลกสูตรที่ ๑๐
พระไตรปิฎกภาษาไทย ( มจร.)
เล่มที่ ๑๕ หัวข้อที่ ๗๐ หน้า ๗๗-๗๘
--------------------------------------------
“ อริยสัจ ๔ ” และ "มหาวิทยาลัยของพุทธศาสนา" มีอยู่ที่ไหน?
“ความทุกข์”นั้น ก็อยู่ในคน คนเป็นทุกข์
“เหตุให้เกิดทุกข์”อยู่ในคน ก็ได้แก่ ความโง่ของคน, ความอยากของคน, ความยึดมั่นของคน,
ทีนี้ ภาวะที่จะดับทุกข์ ที่เป็น“ความดับทุกข์” ที่ไม่มีทุกข์นั้น ก็ต้องอยู่ที่ตัวความทุกข์ ความทุกข์อยู่ที่ไหนต้องดับที่นั่น ฉะนั้น จึงอยู่ในคน
และ คนจะต้องปฏิบัติ ฉะนั้น การปฏิบัติก็อยู่ที่เนื้อ ที่ตัว ที่กายวาจา ที่ใจของคน
เพราะเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า...
โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง ซึ่งมีพร้อมทั้งสัญญาและใจ
ฉะนั้น เราจึงถือว่า ในร่างกายของคนเป็นๆนั้น คือ มหาวิทยาลัยของพุทธศาสนา...
เรื่อง “อริยสัจ” เป็นเรื่องจริงหาที่อื่นไม่พบ นอกจากจะหาในคนที่เป็นๆ
ถ้าไม่เคยฟังมาอย่างนี้ ก็จงฟังเดี๋ยวนี้ และก็พยายามคิดพิจารณาให้เข้าใจในเรื่องที่เรียกว่า “อริยสัจ”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หลักพระพุทธศาสนา ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๑๑ หัวข้อ “พระธรรมกำมือเดียว” อบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา ณ ห้องประชุม ของกระทรวงยุติธรรม
--------------------------------------------
เกิดทุกข์ที่ไหน ต้องดับความทุกข์ที่นั่น
มีความทุกข์ที่ไหน ก็มีความดับทุกข์อยู่ที่นั่น
"ท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจความข้อนี้ เพราะเป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุด จริงที่สุด และมีประโยชน์มากที่สุด มีความทุกข์ที่ไหนต้องดับความทุกข์ที่นั่น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้เป็นสิ่งที่กระทำได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า...
"ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ : สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงก็มีความดับเป็นธรรมดา"
ถ้าวัฏฏสงสารมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา วัฏฏสงสารก็ต้องมีความดับเป็นธรรมดา เราอย่าได้ไปแยกออกจากกันเลย มันเกิดที่ไหนมันต้องดับที่นั่น มันขึ้นทางไหนมันต้องลงทางนั้น
ตัวอย่างเราก็เห็นได้ชัดแล้ว ว่ามันเกิดขึ้นมาจากอวิชชา ฉะนั้น เราต้องดับลงที่อวิชชา ขึ้นทางไหนต้องลงทางนั้นหมายความว่า ความทุกข์เกิดขึ้นตรงไหนต้องดับที่ตรงนั้น อย่ามัวไปหาที่ดับที่อื่นเลย
ดังนั้น ต้องหาความดับทุกข์ที่ตัวความทุกข์ เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า โลกนี้ก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี หนทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลก ตถาคตบัญญัติไว้ในร่างกายอันยาวประมาณวาหนึ่งนี้พร้อมทั้งสัญญาและใจ
ถ้าเราจะพูดกันให้ง่ายๆ อย่างวัตถุ เราก็จงดูความไม่มีว่ามันอยู่ที่ความมี คือวัตถุอย่างหนึ่งตั้งอยู่ เราพูดว่ามี"ความมี"แล้ว"ความไม่มี"อยู่ที่ตรงไหน ความไม่มีมันก็ซ้อนกันอยู่ที่วัตถุนั้นเอง อยู่ที่ความมีของวัตถุนั่นเอง ลองเอาความมีของวัตถุนั้นออกไปก็จะพบความไม่มีของวัตถุนั้นอยู่ตรงที่เดียวกัน
เพราะฉะนั้น มีความทุกข์ที่ไหนก็มีความดับทุกข์อยู่ที่นั่น เราต้องหาความดับทุกข์ที่ความทุกข์เสมอไป เช่นเดียวกับที่จะต้องหาจุดที่เย็นที่สุดที่กลางเตาหลอม หาความเย็นที่สุดจากความร้อนที่สุด เย็นที่สุดนั้นมันอยู่ที่ร้อนที่สุด จงหาความดับที่ความเดือด ถ้าวัฏฏสงสารเป็นความเดือด นิพพานก็ต้องเป็นความดับ และหาได้ที่ความเดือด
แต่ท่านทั้งหลายไม่เคยนึกเสียด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่จะรู้หรือจะกระทำเลย แม้แต่นึกก็ยังไม่เคยนึก ทำให้เป็นคนโง่ เหมือนกับคนโง่ชนิดหนึ่งซึ่งว่าโดยที่แท้แล้วเพชรมีอยู่ที่หน้าผากของตัว แต่ไม่เคยทราบไม่เคยคลำหาเพชรแท้ๆ มีอยู่แล้วที่หน้าผากของตัว มีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยทราบและไม่เคยคลำหา นี่แหละคือคนที่โง่ ที่ไปหานิพพานที่อื่นจากวัฏฏสงสาร
ถ้าเราอยากจะเห็นการไม่ปรุง เราก็ต้องดูที่การปรุง ถ้าเราอยากจะเห็นความหยุด เราก็ต้องดูที่ความวิ่ง ถ้าเราอยากจะเห็นความดับ เราก็ต้องดูที่ความเกิด ทุกอย่างอาจจะหาพบได้ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ จริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า"
พุทธทาสภิกขุ
๒ มิถุนายน ๒๕๑๑
ธรรมบรรยาย เรื่อง "ในวัฏฏสงสารมีนิพพาน" จากหนังสือ "มองด้านใน" ชุดที่ ๒
## ท. ส. ปัญญาวุฑฺโฒ - รวบรวม. ##
สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
สติตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้เราได้ดวงตาเห็นธรรม
เมื่อ*สติเข้มแข็ง จิตมั่นคง* คือ สมาธิ
เพราะฉะนั้น เราปฏิบัตินี่ ใครจะได้สมาธิขั้นใด ตอนใดก็ช่าง
แต่ผลลัพท์ครั้งสุดท้ายก็คือ*สติตัวเดียว*
“โพชฌังโค สติสังขาโต” สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
เมื่อ*สติ*กำหนดจดจ้องดู*สิ่งที่เกิด-ดับกับจิต*ตลอดเวลา
“ธัมมานัง วิจโย ตถา” เป็นการสอดส่องธรรม
“วิริยัมปีติปัสสัทธิ” เกิดความเพียร เกิดปีติ เกิดความสงบ
เกิดสมาธิ เกิดปัญญา
เกิดความเป็นกลาง มันจะไปของมันตามลำดับอย่างนี้
เพราะฉะนั้น พอนั่งปั๊บลงไป จิตสงบนิดหน่อย จิตมันผุดขึ้น ผุดขึ้นๆๆๆ มันแสดงว่าเราจะได้ผลเลิศในทางปฏิบัติแล้ว
ถ้าพอพุทโธๆๆๆ รู้สึกวูบๆๆๆ ละเอียดเข้าไปแล้ว บางทีมันจะช้าหน่อย แต่ถ้าพอสงบปั๊บลงไปแล้ว มันเกิดความรู้ผุดขึ้นๆ นี่เร็ว เพราะจิตมันสามารถหาอารมณ์มาป้อนให้ตัวเองได้
แบบสงบลงไปปุ๊บ ลงไปนิ่ง ว่าง สว่าง สบาย เรื่อยไป นี่มันเข้าฌานสมาบัติ
“สมาธิในฌานสมาบัติ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ เป็นเพียงที่พักจิต สร้างพลังจิต สร้างฤทธิ์อิทธิพล สร้างอำนาจ"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
คำถาม :
ดิฉันขอรบกวนหลวงปู่ช่วยอธิบายให้ลูกหลานมีอุบายในการพิจารณาขันธ์ ๕ เพื่อการปฏิบัติธรรมจะได้เจริญก้าวหน้าต่อไปค่ะ พวกดิฉันเปรียบเหมือนกับบัวใต้น้ำ หลวงปู่โปรดเมตตาสงเคราะห์ด้วยเจ้าค่ะ ใจก็อยากจะพ้นทุกข์ในวัฎฎสงสารเป็นที่สุด แต่ก็ยังตะเกียกตะกายไม่พ้นสักที
👉หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบ :
แม้ขันธ์ทั้ง ๕ มีรูปขันธ์ ที่มี ดิน น้ำ ไฟ ลมประชุมกันเรียกรูปขันธ์นั่นเอง ส่วนนามขันธ์ ๔ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้ก็มีความหมายอันเดียวกันกับที่ว่ามาแล้วนั้น คือเกิดขึ้นแปรปรวนและดับไป หาระหว่างมิได้ด้วย
การที่เราไปหลงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั้น หรือเป็นของเราเป็นของบุคคล เป็นของสัตว์นั้น เราควรหมดปัญหาที่จะไปสำคัญอย่างนั้น ไม่ต้องไปสมมติวางมันหรอก มันไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลแล้วเราจะไปสมมติเอาทำไม
เราจะไปสมมติวางทำไม ถ้าเราไม่สมมติว่าได้ว่าเสีย ความสมมติก็จบลง เพียงนั้นความดีใจเสียใจจะเกิดจากประตูใดอีก เหตุที่ดีใจเสียใจก็เพราะยืนยันว่านั่นเรา นั่นผู้อื่น นั่นของผู้อื่น เรื่องจึงไม่มีการจบคล้ายๆ กับหยอกเงา เมื่อเราหยอกเงา เงาก็หยอกเรา ถ้าไม่มีเราอยู่ในนั้นเงาของเราก็ไม่ต้องมีดังนี้แหละ เป็นสติ-ปัญญาชั้นสูง มีทั้งศีล สมาธิ และญาณปัญญาเป็นทัพธรรมรวมอยู่ขณะเดียวด้วย
พูดต่อไปอีกให้ชัดว่าเมื่อเราไม่ยืนยันเอาขันธ์ ๕ ไม่ยืนยันว่าขันธ์ ๕ เป็นเราก็รู้เท่าเราแล้วมิใช่หรือ และก็รู้สิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆ เราแล้วไม่ใช่หรือ
ท้ายนี้ด้วยเดชพระพุทธศาสนา พวกเราทั้งหลาย จงหลุดพ้นจากความหลงตนที่เคยหลงว่าขันธ์ ๕ เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ๕ จงจบลงกันเพียงแค่นี้เทอญ เมื่อสิ้นลมปราณไปแล้วก็ไม่มีหนทางจะไปยืนยันเอาขันธ์ ๕ อีกแล้ว พระพุทธศาสนาจบลงเพียงแค่
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต-วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ)
"...การเจริญสติ..."
๑. ให้รักษาศีลข้อเดียว คือ รักษาใจให้ปกติ
๒. อย่าส่งจิตออกนอก คือ อย่าส่งออกไปปรุงแต่งเรื่องคนโน้น คนนี้หรือเรื่องภายนอก ถึงไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายได้ ถ้าเราไม่ส่งจิตออกนอก
๓. อยู่กับผู้รู้อยู่เสมอๆ ไปอยู่ป่าเขามันว้าเหว่ ก็ให้รู้ให้ดูว่าใครมันว้าเหว่ จะกวาดลาน ถูพื้น อาบน้ำ ทำทุกอย่างให้อยู่กับผู้รู้ แม้แต่คิดก็ให้ดูว่า ใครเป็นผู้รู้ ผู้คิด แม้แต่ปวดหัว ก็เอาไว้ดูว่าใครเป็นผู้ปวด
๔. หาใจให้เจอ ใจคือความเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทาง ชอบ ชัง ถูก ผิด ดี ชั่ว เจอใจที่เป็นกลาง ศาสนาพุทธจบลงเท่านี้..."
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
• สิ่งที่เรียกว่า "จิตหนึ่ง"
หรือ "จิตเดิมแท้"...หาใช่จิตไม่...
เป็นเพียงธรรมชาติเดิมแท้ของสิ่งทั้งปวง
ก่อนแต่จะมีสิ่งทั้งปวง
แล้วก็ยังคงมีอยู่ตลอดเวลา
พร้อมกับสิ่งทั้งปวง
ซึ่งเป็นเพียงมายาของจิตหนึ่งเท่านั้น
และจิตหนึ่งนั้นมีความหมายเท่ากับ
ความว่างจากสิ่งทั้งปวงอีกต่อหนึ่ง..
เช่นเดียวกับคลื่น เป็นสิ่งที่ปรากฏ
ออกมาให้เห็น ในเมื่อน้ำถูกลมพัด
แต่น้ำกับคลื่นหาใช่สิ่งเดียวกันไม่
คลื่นเป็นเพียงมายาที่เกิดจากน้ำ
ตัวน้ำแท้ต้องว่างจากคลื่น
ฉันใดก็ฉันนั้น...
นี้เปรียบน้ำกับจิตหนึ่ง..
เมื่อใด"ไม่มีความคิดปรุงแต่ง"
"จิตหนึ่ง"ก็ปรากฏทันที
เรียกอีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า
"จิตเข้าถึงความว่าง..".
"ตัวเองหาย...กลายเป็นความว่าง...หรือจิตหนึ่งไป"
ความคิดปรุงแต่งนั้น เจือด้วยอุปทานหรือความยึดถือ
ใน"ของคู่" หรือ "คติทวินิยม" นั่นเอง
ถ้า"ไม่หลง"ในของคู่ อุปาทานก็ไม่เกิด
คือกิเลสตัณหาไม่เกิดนั่นเอง
สภาพจิตเดิมแท้จะปรากฏ
ออกมา"เป็น ความว่างจากกิเลส ตัณหา หรืออุปาทาน"
โดยประการทั้งปวง..
.
"คติทวินิยม"ในที่นี้
หมายถึง การไม่รู้ความจริงของสิ่งทั้งปวง
แล้วหลงไปว่ามีของเป็นคู่ๆ
เช่น ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ บุญ-บาป
ดำ-ขาว ชาย-หญิง มี-จน ดังนี้เป็นต้น
ถ้ามองให้ลึกซึ้งถึงความจริงแล้ว
มันเป็นเพียงสังขารธรรมหรือ มายาเหมือนกันหรือเท่ากัน
จึงไม่มีอะไรที่จะตรงกันข้ามเป็นคู่ไปได้
เมื่อไม่รู้สึกเป็นคู่ ก็ไม่รู้สึกรักทางหนึ่ง
แล้วเกลียดในทางตรงข้าม...ความคิดปรุงแต่งก็ไม่มี
เมื่อความคิดปรุงแต่งไม่มี จิตก็เข้าถึงความว่าง
หรือเข้าถึงความเป็นจิตเดิมแท้ หรือจิตหนึ่งนั่นเอง...
• ท่านพุทธทาสภิกขุ •
สมาธิ ไม่ต้องดับรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส เหมือนฌาน
แต่สมาธิจะยึดเอาอารมณ์ทั้ง ๖ นั่นแหละมาเป็นเครื่องพิจารณาืจนเห็นอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นชัดตามเป็นจริงว่า อายตนะ ๖ มีตาเป็นต้น เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น กิเลสจะเกิดขึ้นที่อายตนะ ๖ นี้เพราะความไม่รู้ตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดอารมณ์ ๖ นั้นมาไว้เป็นของตัวจึงเดือดร้อนเป็นทุกข์
ความจริงแล้ว อายตนะ ๖ ก็มีไว้สำหรับรับรู้ทำหน้าที่ของตนๆเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อายตนะมิได้มาไหว้วอนหรือร้องขอให้ใครๆ มาหลงรักหลงชอบหรือเกลียดชังอะไร แต่ใจของเราต่างหาก แส่ไปยึดไปถือเอาอารมณ์นั้นมาเป็นตน เป็นของตน ทั้งๆที่อารมณ์เหล่านั้นก็หาได้เป็นไปตามปรารถนาไม่
มันเกิดขึ้น ณ ที่ใด มันก็ดับลง ณ ที่นั้น มันเกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนี้ตลอดกาล
ผู้มาพิจารณาเห็นชัดแจ้งอย่างนี้ด้วยใจด้วยปัญญาอันชอบแล้ว จิตจะไม่แส่ส่ายลังเลไปในอารมณ์นั้นๆ
แล้วจะตั้งมั่นแน่แน่วอยู่ในความจริงใจว่า อายตนะทั้ง ๖ จะเป็นกิเลส และเป็นภัยก็แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดถือ เอามาเป็นตนเป็นของตนเท่านั้น ผู้ที่รู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอายตนะทั้งหลายก็จะเป็นอายตนะอยู่ตามเดิม และทำหน้าที่อยู่ตามเคย
ใจก็จะไม่หลงเข้าไปยึดเอามาเป็นตนของตนเลย
ที่เรียกว่าสมาธิเกิดขึ้น เพราะเอาความเห็นอันเป็นจริงในสัจจธรรมมาเป็นอารมณ์ ต่อนั้นไป หากมีผู้มาแสดงสัจจธรรมอันเนื่องมาจากอายตนะ-ขันธ์ เป็นต้น
อันมีมูลฐานอันเดียวกัน ท่านผู้นั้นก็จะส่องแสงปัญญาตามรู้ตามเห็นไปตามทุกแง่ทุกมุม จนสิ้นสงสัยในธรรมนั้นๆ ที่เรียกว่าได้บรรลุธรรม
.
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี.
โอวาทหลวงปู่ใหญ่ พระครูเทพโลกอุดร
การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อนไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต
ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง ) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น ๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง
นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต
เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน
" เมื่อ...มีเรา
ก็มี ของเรามาหมายมั่น
เหมือนกัน กับฝาผนัง
ถ้าไม่มีหัวตะปูแล้วห้อยเสื้อ ไม่ได้
ห้อยกางเกง ไม่ได้ ไม่มีที่เกาะ
ฉันใด ถ้าภาวนาถึงที่แล้วมันก็...
ไม่ใช่ เรา
ไม่ใช่ ของเรา เป็นต้น
พระอรหันต์ท่านจึงหลุดพ้นจาก...เรา
หลุดพ้นจาก...เขา
อาสวะทั้งหลาย ไม่มีที่เกาะ
อาสวะทั้งหลาย ไม่มีที่แอบอิง
ไม่มี ที่พึ่ง
ถ้า...มันหมดตัวเรา
การกระทำทุกวัน
การประพฤติทุกวัน
การพิจารณาทุกวัน
จึงเป็นปัญหา ที่จะแก้ปัญหาให้รู้จักตัวว่า...
เรา หรือไม่ใช่ ของเรา ออก
ถ้ายังมีตัวเราอยู่อย่าง อุปาทาน
ก็มี ของเราตลอดไป
เมื่อมีของเรา ก็มีของหาย มีของได้
เมื่อมีได้ เมื่อมีเสีย
ก็มี สุข ก็มี ทุกข์
เมื่อมี สุข เมื่อมี ทุกข์ ก็มีเหตุมีปัจจัยหมุน
เวียนเปลี่ยนไป
ไม่มี ที่สิ้นสุด ที่จบลงได้
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าของเรา ท่านจึงเน้น
เน้นข้อประพฤติ เน้นข้อปฏิบัติให้เห็นตาม
เป็นจริง
เมื่อเห็นตามเป็นจริงแล้ว ก็สบาย
แต่ เราไม่ค่อยเห็นตามเป็นจริง ได้ง่าย
สมัยก่อน ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ค่อยมี
มีแต่ว่า บรรลุธรรมะ
ไปฟังธรรม ก็ภาวนาไปด้วย
เมื่อ รู้จักธรรม ความละอายก็เกิดขึ้นมา
ไม่กล้าทำในสิ่งที่ผิดทาง กาย วาจา ใจ
เพราะได้ฟังธรรมะ รู้เรื่องตามความเป็นจริงแล้ว จึงมีความละอาย
ความละอายท่านเรียกว่า ศีล
จิตที่มั่นอยู่กับความละอายว่า จะเป็นบาปอยู่นั้น ความมั่นในอารมณ์ที่ว่า มันเป็นบาป อันเดียวนั้นเรียกว่า สมาธิ ก็ได้
เมื่อ สมาธิความมั่นอยู่ในอารมณ์ ไม่ทำบาป
ทำใจให้ สุขุม
ปัญญา ความรู้เท่าทั้งหลาย ก็เกิดขึ้นมา
บรรลุถึง สันติธรรม เห็นตัวเรา ของเรา
ตามความเป็นจริงว่า...มิใช่ เรา ขึ้นมา
เป็นตัวปัญญาเกิดขึ้นมา
พ้นจากวัฏฏะสงสาร อันนี้ได้
ฉะนั้น ในครั้งพุทธกาลท่านว่า...
เมื่อมีกาลฟังธรรม ก็บรรลุธรรม เท่านั้นเอง
เมื่อมี ศีล
(เมื่อมี) สมาธิแล้ว
ปัญญา ก็เกิดขึ้นมา."
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
จิตหนึ่ง จิตคือพุทธะ คือจิตพระอรหันต์
หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงปู่ก็สอนอีกนะ บอกว่า ภายนอกมันว่างเปล่า คือไม่มีรูปลักษณ์ ภายในนั้นเหมือนท่อนไม้และก้อนหิน คือ ไม่มีการเคลื่อนไหว ท่านสอนลักษณะของจิตหนึ่ง จิตหนึ่งคือจิตของพระอรหันต์น่ะ
หลวงพ่อเคยได้ยิน บางคนบอกว่า ชอบคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ ขณะนี้ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ ก็ถามว่าปฏิบัติเรื่องอะไร ปฎิบัติตามเรื่องจิตคือพุทธะ อย่างนั้นก็เสร็จเลย จิตคือพุทธะ จิตหนึ่ง คือจิตพระอรหันต์ เราต้องปฏิบัติให้มันถูกเรื่องนะ อันนั้นเป็นปลายทาง เป็นผลของการปฎิบัติ ถ้าปฏิบัติต้นทางของการปฎิบัตินะ ท่านจะเจริญปัญญานะ มีญาณเห็นจิตเหมือนตาเห็นรูป คำสอนที่อ้างหลวงปู่ดูลย์ก็ต้องอ้างให้ถูกที่ด้วย อ้างผิดนะ มั่ว กลายเป็นการพยายามเลียนแบบจิตพระอรหันต์
จิตพระอรหันต์ ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกริยาของจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรสักอย่าง เราพยายามไปทำอันนี้ขึ้นมา มันเลยไม่ว่างจริง เพราะมันยังวิ่งวุ่นวายอยู่นะ ไปสร้างขึ้นมา ไม่สว่างจริงหรอก ยังประกอบด้วยโมหะอยู่ ประกอบด้วยอวิชาอยู่ ไม่บริสุทธิ์หรอก อวิชาก็ยังอยู่ ซ่อนอยู่ในจิต ยังปรุงแต่งอยู่ ปรุงแต่งอะไร ปรุงแต่งว่าง (ปรุงแต่งความว่างขึ้นมา – ผู้ถอด) ยังแสวงหาอยู่ แสวงหาอะไร แสวงหาว่าง ยังมีการไปยังมีการมา มีนิพพานแล้วมีเข้ามีออก บางทีสอนกันนะ บอกว่า บรรลุพระอรหันต์นะ จิตสงบสันติอยู่ภายในนิรันดร มีภายนอกภายในก็ไม่ใช่หรอก ยังมีนอกมีในยังมีธรรมที่เป็นคู่อยู่ ไม่ใช่ธรรมที่เป็นหนึ่ง ไม่ใช่จิตหนึ่งหรอก
บางทีอ้างหลวงปู่นะ อ้างว่าฝึกตามที่หลวงปู่สอนนะ มั่วซั่วเลย ไปเอาปลายทางมาเป็นต้นทาง ต้องฝึกต้นทาง ต้องมีญาณเห็นจิตเหมือนตาเห็นรูป
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
...การปฏิบัติธรรม
คือ การที่เราได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ
ที่รู้ตื่น เบิกบาน ผ่องใสอยู่...
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า..
"จิตนี้ประภัสสรผ่องใสมาแต่เดิม
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา"
..เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจพระสัทธรรม
จึงหลงเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งต่างๆในโลก
เกิดตัวตน เกิดภพเกิดชาติ เวียนว่ายตายเกิด
หลงติดอยู่ในวัฏสงสารอยู่ร่ำไป..
..แต่เมื่อใดเลิกหลง เลิกยึด
ละความเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆ
ค่อยๆสละละวางสิ่งต่างๆลง..
จิตใจก็จะค่อยๆผ่องใสขึ้นโดยลำดับ
ค่อยๆกลับคืนสู่สภาพจิตประภัสสรขึ้นมา
รู้ตื่นเบิกบานผ่องใสอยู่
..การปฏิบัติธรรมก็ให้ทำสบาย
ทำกายให้สบาย ทำจิตใจให้สบาย
จิตใจเราก็จะค่อยๆกลับคืนสู่สภาพปกติ..
ปล่อยวางความคิดปรุงแต่ง รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่
ใจเราก็จะผ่องใสขึ้น เบาขึ้น สงบขึ้น เบิกบานขึ้นมา..
..คลายจากความทุกข์ร้อนทั้งปวง
เข้าถึงความสุขที่ประณีตลึกซึ้งขึ้นโดยลำดับ..
ดั่งเมื่อใดที่เมฆหมอกจางคลายสลายไป
พระจันทร์จึงปรากฏ งามสว่างกลางนภาอีกครั้ง...
"พบความสว่างไสวของพระสัทธรรม"
พระมหาวรพรต กิตติวโล
พอถึงจะตาย ไฟธาตุจะแตก มันจะดิ้นออกจากร่าง เราเลยกระเด็นออกไปเลย
พอมันเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน แล้วมันหาลมหายไม่เจอ เฮือก... เฮือก... เฮือก!!! มันดิ้นเลย ตัวเราดิ้นกระเด็นหลุด ปิ๊ง! ออกไปเลย แล้วยมทูตลากเอาไปเลยต่อหน้าต่อตา
มันจะต้องไม่มี “ตัวเรา” ออกไป
จะไม่มีตัวเราออกไปได้ กรณีเดียว.. คือ เห็นไอ้ตัวดิ้น “ไม่ใช่ตัวเรา”
มันเป็นตัวสังขาร ตัวปรุงแต่ง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์
" จงกำหนดเข้าไป
พิจารณา เข้าไป
จิต...ถ้าพูดตามหลักการพิจารณาแล้ว
จิต...ก็เป็นตัวอนิจจัง เป็นตัวทุกขัง เป็นตัวอนัตตา
เพราะ...มีสมมุติแทรกอยู่ จึงต้องเป็นลักษณะสาม
คือ ไตรลักษณ์ ได้
จงฟาดฟันหั่นแหลกลงไป ที่ตรงนั้น
โดยไม่ต้องยึดมั่น ถือมั่นว่า...
จิตนี้ เป็นเรา จิตนี้ เป็นของเรา
ไม่เพียงแต่ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ในรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นเรา เป็น
ของเรา เท่านั้น
ยังกำหนด ให้เห็นชัดเจนในตัวจิต
อีกว่า ควรจะถือเป็นเรา เป็นของเรา หรือไม่?
เพราะเหตุไร ?
เอ้า ! กำหนดลงไป
พิจารณาลงไป
แยกเเยะ ให้เห็นชัดตามความเป็นจริง
สิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายในจิตนี้
จะกระจายออกหมด ไม่มี อะไรเหลือเลย
เมื่อ...ธรรมชาตินี้ ได้กระจายหายไป ไม่มีอะไรเหลือ
แล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ภายในจิตก็หายไปพร้อมกัน
เป็นจิต...ที่สิ้นสมมุติ โดยประการทั้งปวงแล้ว
คำว่า...อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงไม่มีในจิตอีกต่อไป
ตลอดอนันตกาล."
______________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
< การวางอุปาทานขันธ์ ๕ >
จะต้องฝึกใจให้รู้การทำงานของขันธ์ ๕ ก่อน
และฝึกสังเกต ว่า วิญญาณขันธ์นั้น ไปรู้ตาม
อายตนะ ๖ ที่มีผัสสะ
ในองค์ประกอบ ๓ ส่วน ดังตัวอย่าง ทางตา
๑. ตา
๒. รูป
๓. วิญญาณทางตา
เมื่อ ๓ ส่วนรวมเป็น ผัสสะ จึงเกิด
เวทนา สุข ทุกข์ ตาม ราคะ นันทิ โดย
มีอวิชชา ไม่รู้ตามนี้
》เมื่อ"รู้ทัน"ตามนี้ มีวิชชา อวิชชาก็ดับไป
เมื่อมีผัสสะ เวทนาไม่เกิด
สุขหรือทุกข์จึงไม่มี ตัณหาก็เกิดไม่ได้
เพราะ "ตัณหา"เกิดจาก "เวทนา"
》ดังนั้นในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้
ภาวนาว่า สักแต่รู้ สักแต่เห็น (ไม่ยินดีหรือยินร้าย)
เธอก็ไม่มี ในโลกนี้ ไม่มีในโลกหน้า
ในโลกทั้ง ๒ ก็ไม่มีแก่เธอ
ก็ฝึกใจให้ยอมรับตามนี้
(ทำได้ยัง ถ้ายังก็ต้องฝึกต่อไป)
San Nirvana
จิตอยู่กับกาย รู้อยู่กับลมหายใจเข้า ออก .. หรือ รู้อยู่กับการทำงานปัจจุบัน เป็นไปเพื่อ สติสัมปัชชัญญะ ... ทิ้งอารมณ์ให้ไวที่สุด ละนันทิ (ละความเพลิน) ... เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ... รู้ อารมณ์เดียว เอาวิญญาณขันธ์เกาะกับกาย (ลมหายใจ) ... การเกิดในขันธ์อื่นๆก็ดับไป (เวทนา สัญญา สังขาร) ... อยู่กับผู้รู้ ไม่อยู่กับสิ่งที่ไปรู้ ... จิตมีสมาธิดี ก็เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ... อานาปานสติ
Trader Hunter พบธรรม
ธาตุรู้ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
โวหารท่านอาจารย์ดูลย์ ท่านบอกว่า “จิตคือพุทธะ” ท่านพูดย่อๆ หมายความถึง “จิตคือพุทธะ” ไม่ใช่ “พุทธะคือสัมมาสัมพุทธะ”
“พุทธะ” ในที่นี้ หมายความถึง “จิตคือพุทธะ”
“พุทธะ” แปลว่า “ผู้รู้” แต่ไม่ใช่ “สัมมาสัมพุทธะ” ไม่ใช่สัพพัญญู
“พุทธะ” หมายความถึงจิต เมื่อจิตเป็นผู้คิดผู้นึก ผู้ปรุงผู้แต่งสารพัดทุกอย่างนั่นน่ะ อันนั้นน่ะมันจะรู้ขึ้นได้ เพราะความคิดความนึกความรู้สึกอะไรต่างๆสารพัดทุกอย่าง อันนั้นแหละ “จิตเป็นพุทธะ” ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมพุทธะมีอีกอย่างหนึ่ง
ผมจึงตั้งสูตรใหม่ว่า “จิต” กับ “ใจ” มันคนละอย่างกัน ถ้าหากว่าเข้าถึงใจแล้ว ไม่มีความรู้สึกอื่น มีแต่ความเฉยอยู่ แต่ว่ารู้สึกว่าตัวเฉยอยู่ ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง อันนั้นแหละพุทธะ พุทธะตัวนั้น คือ “ความรู้” นั่นเอง หรือเรียกว่าธาตุรู้ สิ่งที่รู้ความรู้ต่างๆ นั้นมันเป็นสมมติบัญญัติไป ถ้าหากธาตุรู้แล้วถึงที่สุด ไม่มีอะไรพูดต่อไปอีก ถึงเรียกว่า ธาตุรู้ แต่ว่าธาตุรู้มันก็ยังเรียกว่าสมมติอยู่นั่นเอง สมมติให้รู้เรื่องกัน พูดให้เข้าใจกัน สิ่งทั้งปวงหมดไม่มีอะไร มีแต่ธาตุรู้เท่านั้น ถึงพระพุทธเจ้าท่านเสด็จปรินิพพาน ก็เรียกว่า นิพพานธาตุ สภาวะมันหากเกิดอยู่เป็นอยู่อย่างนั้น เรียกว่า สภาวะ เรียกว่า ธาตุรู้ พระนิพพานก็เรียกว่านิพพานธาตุ
ผมถึงเรียกสมมติอื่นว่า ธาตุรู้นั้นอันหนึ่ง และสิ่งที่ไปรู้นั้นอีกอันหนึ่ง ถ้าออกจากธาตุรู้นั้นแล้ว ไปรู้สิ่งอันอื่นนอกจากนั้นอีก เรียกว่า ปัญญา ปัญญานี้ เกิดจากความปรุงความแต่งความคิดความนึกสารพัดทุกอย่าง ปัญญา เกิดจากเอาธาตุรู้นั้นไปเกิดปัญญา ไปเป็นจิตแล้วไปเกิดเป็นปัญญาปัญญา นั้นมี ๒ อย่าง ปัญญาโลกิยะอย่างหนึ่ง ปัญญาโลกุตระอย่างหนึ่ง
ปัญญาโลกิยะนั้นคือ ความคิดความนึกปรุงแต่งสารพัด สัญญาอารมณ์ทั้งปวง รู้สิ่งต่างๆหมด แต่หาได้รู้ว่า ตัวพุทธะไปรู้ ไม่ ตามความคิดนึกปรุงแต่งไปไม่มีที่สิ้นที่สุดไม่หยุดไม่ยั้งสักที มนุษย์ชาวโลกจึงพากันปรุงแต่ง พากันคิดพากันนึกอยู่นี่ สารพัดทุกอย่างวุ่นวี่วุ่นวายร้อยแปดพันประการ อันนั้นเป็นโลกิยปัญญา
โลกุตระปัญญานั้น มีเฉพาะท่านผู้ฝึกหัดอบรมจิต ผู้รู้นั่นแหละ ผู้ไปรู้ไปคิดไปนึกนั่นแหละ เอาสติไปควบคุมจิตตรงนั้นแหละ ให้อยู่ในบังคับของสติรู้สิ่งทั้งปวงหมด ให้อยู่ในบังคับคือ บังคับให้รู้ก็ได้ บังคับไม่ให้รู้ก็ได้ ที่มันคิดมันนึกมันปรุงแต่งสารพัดทุกอย่างนั้นรู้เท่ารู้เรื่องของมัน ฝึกฝนอบรมให้มันอยู่ในขอบเขตในบังคับ การฝึกหัดปฏิบัติในธรรมวินัยนี้มีฝึกหัดจิตอันเดียวเท่านั้น อันอื่นนอกนี้ไม่มีอะไรทั้งหมด จะเป็นอย่างไร อบรมอย่างไร ก็ต้องอบรมจิต ครั้นปรารภจิตอบรมจิต จึงจะอบรมจิตให้อยู่ในสติได้ เมื่ออบรมไปโดยมีข้อบังคับจํากัดด้วย ไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันรู้ว่าสิ่งต่างๆทั้งปวงมันมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในตัว
ครั้นเมื่อมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว ไปไม่ถึงไหนต้องหมด ไม่ปรุงไม่แต่ง ลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตตาแล้ว ก็กลับเข้ามาหา “ใจ” คราวนี้ มันกลับเข้ามาเอง พิจารณาไปหมดเรื่องหมดราวแล้ว กลับมาเองหรอก เข้ามาหา “ใจ” มาหยุดนิ่ง
เวลามันจะออก มันออกไปตามอายตนะต่างๆ มันออกไปอยู่ในขอบเขตของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาไปมามันก็รวมลงไปอีก ของเก่า เข้ามาถึงจุดเดิมคือ ผู้รู้ หรือ ธาตุรู้ กลับไปกลับมาอย่างนี้บ่อยๆ จนกระทั่ง ชํานิชํานาญคล่องแคล่วในการที่พิจารณา คราวนี้ไม่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอนุมาน และไม่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยบังคับ หากเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอัตโนมัติ
ทีแรก พิจารณาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอนุมาน ทีหลังเมื่อพิจารณาชํานิชํานาญแล้ว มันเป็นอัตโนมัติในตัว จึงว่า ศาสนาพุทธถึงที่สุดของการคิดการนึกการปรุงการแต่งการรู้ต่างๆ สารพัดทุกอย่าง มันลงมาถึงของจริง มาถึงผู้รู้
หลวงปู่ดูลย์ท่าน จึงบอกว่า จิต คือ ผู้รู้ ท่านพูดถึงเรื่องจิตอันเดียว แท้ที่จริงจิตกับใจก็อันเดียวกันนั่นแหละ จิตอันใดใจอันนั้น ท่านก็พูดเหมือนกัน ครั้นเข้าถึงใจแล้ว ก็หมดเท่านั้นพุทธศาสนานี้ไม่มีอื่นไกล นอกจากจิตกับใจแล้ว ก็หมดเท่านั้น ผู้รู้ รู้แล้วเข้าถึงใจแล้วละก็หมดเรื่องเท่านั้น
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์ เรื่องธาตุรู้
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
"จิตนี้ประภัสสร..ผ่องใสมาแต่เดิม
แต่มัวหมอง..เพราะอุปกิเลสที่จรมา
ดุจพระจันทร์คืนวันเพ็ญ..งามสว่างกลางท้องฟ้า
ถูกเมฆาเคลื่อนมาบัง..พระจันทร์จึงอับแสง..."
สภาวะตรงนี้พระองค์พูดถึง
จิตที่เป็น สังขตธรรม เกิดดับทีละดวง
แต่มีอีกพระสูตรหนึ่ง ที่ทรงตรัสว่า...
จิตของเราถึงแล้วซึ่งวิสังขาร
ที่สภาพอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้เลย
สภาวะตรงนี้พระองค์ทรงอธิบายสภาวะของ
อสังขตธรรม ที่เป็นวิสังขาร
ใช้คำว่า จิต คำเดียวกัน
แต่สภาวะคนละอย่างกันนะ
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน
.
จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ
.
เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย
.
ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป
.
ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน
.หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ
937.. ใจ -จิต -วิญญาณ
“ใจ” นั้น ประกอบด้วยธรรมชาติ ๔ อย่าง ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ต่างๆ กัน คือ
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่"เสวยอารมณ์" เรียกว่า "เวทนา"
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่"จดจำ" เรียกว่า "สัญญา"
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่คิด เรียกว่า “จิต” หรือ "สังขาร"
ธรรมชาติที่ทำหน้าที่" รู้ " เรียกว่า "วิญญาณ"
*..เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ธรรมชาติทั้ง ๔ อย่างนี้เองที่รวมเรียกว่า “ใจ” ทั้ง๔ ทำหน้าที่ต่างๆ กัน แต่สัมพันธ์กัน
**..ส่วน “อารมณ์” หมายถึง , สิ่งที่ถูกรู้ ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย) และ ธรรมารมณ์ ( เรื่องราวที่เกิดขึ้นในใจ)
935.. วิญญาณดับ.. จิตไม่สูญ
"วิญฺญาณสฺส นิโรเธน ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโน ปชฺโชตสฺเสว นิพฺพานํ วิโมกฺโข เจตโส อหุ"
“ ความพ้นไปแห่งจิต ของพระขีณาสพ เหมือนเปลวเพลิงที่ดับ ไป เพราะ ดับไปแห่งวิญญาณ “
เป็นการ "พ้นพิเศษ เพราะเหตุ”สิ้นตัณหา" แสดงว่า เพราะเหตุวิญญาณดับ จิตของพระขีณาสพ(พระอรหันต์) จึงพ้นไป
นั้นคือ วิญญาณ ในนามขันธ์ ๔ คือ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) เมื่อ วิญญาณดับแล้ว นามขันธ์อื่นๆ ย่อม ดับไปตามกัน
**..เพราะ รูปขันธ์ ตาย นามขันธ์ ๔ เหล่านั้นจึง ดับ เพราะ นามขันธ์ ๔ เหล่านั้น ดับ จิตของพระขีณาสพจึง พ้นไป เมื่อจิตของพระขีณาสพพ้นไปจากสังขตนามธรรม อสังขตธาตุของท่าน...ก็เกิดปรากฏเต็มที่ พร้อมด้วยอริยผล ไม่กลับเกิดในโลกอีกต่อไป
***ส่วนจิตของคนสามัญ เมื่อตายแล้ว วิญญาณย่อมถือปฏิสนธิเกิดอีกในโลกต่อไป..**ด้วยอำนาจสังขตธรรม
** ดังนั้น จิตพระอรหันต์ มีจิตพ้นไป จาก สังขตธาตุ โลกสมมุติ เท่านั้น ..**หาได้ดับสูญหายไปไหนไม่ จิตพระอหันต์ เป็นอสังขตธาตุ ธรรมธาตุ ซึ่งเป็นของเดิม เป็นธาตุที่ไม่ตาย ดังนั้น พระอรหันต์ตายแล้วไม่สูญ มีแต่กิเลสสูญ เท่านั้น
**.อนึ่ง .”อสงฺขตธาตุ “ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ นิพพานธาตุ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง จึงไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาพที่เที่ยงและเป็นสุขอย่างยิ่ง
ส่วนสังขตธาตุ..คือธาตุ ที่มีปัจจัยปรุงแต่ง
936. เปลวไฟที่ดับ
พระอรหันต์พ้นจากโลกนี้ แล้วไปไหน?
“อจฺจิยถาวาตเว เคน ขิตตํ อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ เอวํ มุนี นาม กายา วิมุตฺโต อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ เอวํ มุนี นาม กายา วิมุตฺโต อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ”
“ เหมือนเปลวไฟ ที่ถูกลมพัดโดยแรงย่อมดับไป.. ไม่นับว่าตั้งอยู่อย่างไร ที่ไหน มุนี (พระอรหันต์) ที่พ้นแล้วจากนามกาย(นามขันธ์ ๔) ก็อย่างนั้น ย่อมดับไป ไม่นับว่าไปตั้งอยู่อย่างไร ที่ไหน “
** เมื่อ พระอรหันต์ ที่พ้นจกโลกนี้ไปแล้ว สิ้นอาการที่สามัญสัตว์โลกจะพึงเห็น มี พระอริยเจ้าจะพึงเห็น ได้ด้วย ปัญญาจักษุ ของท่านเท่านั้น
**..พระอรหันต์ มีแต่ขันธ์ ๕ เท่านั้นเป็นของตายสูญ ส่วนพระอรหันต์หาได้สูญด้วยไม่
ความเป็น อสังขตธาตุ หรือ “อมตธรรม” ที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมธาตุที่เที่ยงถาวรและไม่ตาย
** เมื่อพระอรหันต์ ยังไม่ดับขันธ์ ยังมีชืวิตอยู่ มีรูปขันธ์อยู่ จึงยังมีอายตนะ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมี “ผัสสะ”จึงเกิดการรับรู้ ท่านจึง รู้ ร้อน รู้หนาว รู้ปวด รู้ หิว เหมือนเราทั้งหลาย เพียงแต่ ท่านไม่มีอุปทานยึดมั่นในสิ่งที่มากระทบ คือ..เข้ามาไม่ถึงใจของท่าน.. เพราะพระอรหันต์นั้นไม่ใช่ขันธ์ ๕
คำว่า... จิต แปลว่าสภาพรู้
มันเป็นแค่สมมุติบัญญัติขึ้นมา
ในพระสูตรหนึ่ง ทรงตรัสว่า...
จิตก็ดี มโนก็ดี ใจก็ดี วิญญาณก็ดี
เกิดดับทีละดวง เกิดดับรวดเร็วมาก
จุดนี้เป็นจุดที่เกิดกับผู้ปฏิบัติที่เริ่มรู้อะไรมากแล้ว แต่สิ่งที่รู้มากขึ้นแล้วยังจัดระบบไม่เข้าที่ หรือยังรู้ไม่ชัดแบบลึกจริง จะมาทําให้เกิดความลังเลสงสัย ว่าเราทําคลาดเคลื่อนทําผิดตรงไหนหรือปล่าว ทั้งที่ก่อนหน้าที่ทําบนความไม่รู้ชัดทําผิดๆถูกๆ และลองทําเล่นๆกับเกิดความก้าวหน้า เกิดสภาวะบ้างแล้ว แต่พอมารู้เยอะขึ้น พอเริ่มสงสัย เริ่มลังเลสับสน ที่นี้ความก้าวหน้าที่มีหายไปหมด พอหายก็เริ่มอยากได้สภาวะที่เคยได้แว๊ปๆชั่วคราวกลับมาใหม่ ก็จะยิ่งหลุดไปไกลกว่าเดิมอีก ยิ่งหายิ่งไกลห่างออกไปเรื่อยๆ
วิธีแก้ ก็ให้ทําเหมือน สักแต่ว่าทํา ทําเรื่อยๆเล่นๆ ไม่ให้ค่าใดๆ "ไม่มุ่งมั่นแต่ก็ไม่ลดละ ละความลังเลสงสัยเสีย" หากเจตนาเป็นการปฏิบัติแล้ว จะทําคลาดเคลื่อนไปบ้าง เมือ่เจตนาหมดลงจากการทําเรื่อยๆเล่นๆ ก็ยังจะได้ความก้าวหน้าที่สลับกันไปมาระหว่างสมถะกับวิปัสสนาอยู่ดี ดีกว่าลังเลแล้วไม่ได้อะไรจากการปฏิบัติเลย เหมือนทําฟรี
การปฏิบัติธรรมนั้นอยู่ที่จิต จิตสําคัญสุด จิตที่บริสุทธิ์ยิ่งได้สภาวะธรรมง่าย จิตที่บริสุทธิ์คือจิตที่ว่างๆไงครับ ที่นี้ว่างเนี้ยเกิดได้สองแบบ คือว่างเพราะไม่รู้อะไรเลย ว่างแบบไม่มีอะไรรู้ ไม่มีความคิดอะไร กับ ว่างแบบรู้เยอะรู้ลึกแล้วว่างจริง แต่ไม่ว่าว่างแบบไหน ก็ได้สภาวะธรรมทั้งนั้นครับ แล้วพอเราได้สภาวะไปแล้ว ปัญญาญาณจะเกิดกับเราเอง
สิ่งที่เราไม่ได้รู้อะไรมาก่อนเราจะค่อยๆเริ่มรู้ธรรมได้เอง แต่ถ้าไปลังเลสงสัยมากๆ พยายามรู้มากๆรู้เยอะๆก่อนมักจะกลายเป็นไปติดอยู่กับการเป็น"ผู้รู้"ครับ ที่รู้อะไรเยอะรู้ลึกแบบความคิดคือไปอ่านไปฟังเขามา ศึกษามาเป็นสิบๆปี แต่ตนเองกับไม่ได้เกิดสภาวะใดๆกับจิตใจตนเองเลย ปัญญาญาณจึงไม่เกิด การบรรลุธรรมได้เองจึงไม่มี ยังติดอยู่กับรักโลภโกรธหลง เหมือนเดิม
ลองสังเกตุสิครับบางท่านที่รู้มากรู้เยอะ แต่เถียงเพื่อจะเอาชนะกันแทบตาย ตัวตนโผล่มาเต็มไปหมดไม่รู้ตัว แต่ถ้ารู้ได้จากใจตนนี้ สภาวะที่ได้มันทําให้รักโลภโกรธหลง เจือจางลงไปเรื่อยๆ พวกนี้จะไม่เถียงเพื่อเอาชนะกับใครหรอก เขาแค่ต้องการบอกเพื่อจะช่วยเท่านั้น ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใดๆหรือเอาชนะผู้ใดเลย เพราะตัวตนเขาลดน้อยลงไปเรื่อยๆครับ
" ทําไมการปฏิบัติที่ก้าวหน้าอยู่ดีดีในตอนแรก ถึงหายไปหรือหยุดความก้าวหน้า "
สิ่งหนึ่งที่ดึงเรา คือความสับสนความลังเลสงสัย จริงแล้วการปฏิบัติที่ทําอยู่จะได้สลับระหว่าง สมถะกับวิปัสสนาอยู่ถ้าไม่ลังเลสงสัย ทําไปเรื่อยๆเล่นๆ แม้ใจเราอยากได้วิปัสสนาแต่บางครั้งหลุดไปสมถะบ้างก็ไม่แปลกครับ ดีในแง่ไปเสริมให้จิตเราตั้งมั่นดีขึ้น แต่ถ้าไปลังเลปุ๊บเนี้ย มันจะไม่ได้อะไรเลย แม้แต่สมถะก็ไม่ได้ ไม่ต้องหวังวิปัสสนาหรอกครับยิ่งห่างไปใหญ่(สมถะกับวิปัสสนา ล้วนมีส่วนที่หนุนกันและกัน)
อาจารย์พุทธทาส ท่านเรียกสภาวะนี้ว่า “จิตเดิมแท้”
หลวงปู่เทสก์ ท่านเรียกสภาวะนี้ว่า “ใจ”
หลวงปู่บุดดา ท่านเรียกว่า “จิตเดียว” หรือ “ใจเดียว” จำไม่ได้แล้ว
แต่ละองค์ท่านพูดถึงสภาวะอันเดียวกัน แต่โดยสมมุติบัญญัติที่แตกต่างกัน
ถ้าเราไม่ได้ภาวนา เราจะไม่เข้าใจ รู้สึกว่าแต่ละองค์ท่านพูดไม่เหมือนกันไปติดอยู่ที่ “คำพูด”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมช
ครูบาอาจารย์บางองค์...
ท่านเรียกจิตที่สัมผัสพระนิพพานว่า ธรรมธาตุ
พระอาจารย์มหาบัว ท่านเรียกว่า “ธรรมธาตุ”
หลวงปู่ดูลย์ เรียกว่า “จิตหนึ่ง”
สมเด็จพระญาณสังวร ท่านไม่ธรรมดานะ ถ้าฟังธรรมมะเป็น จะรู้ว่าท่านสุดยอดเลย ท่านเรียกสภาวะนี้ว่า “วิญญาณธาตุ”