518....วิมุติปัญญา
"จิตพุทธะ" ของมนุษย์มีพลานุภาพยิ่งใหญ่นัก แต่ที่ด้อยศักยภาพเพราะกิเลสทั้งปวงที่พัวพันและทำให้ด้อยค่า จึงกลายเป็นปุถุชนที่มีความ "ติดยึด" ความทุกข์จึงเกาะกุม "จิตพุทธะ" เอาไว้อย่างเหนียวแน่น
**...แต่ "เมื่อเราใช้ปัญญาดั้งเดิมเพ่งพิจารณาภายในได้ ย่อมเกิดความสว่างไสวแจ่มแจ้งทั้งภายในและภายนอก และอยู่ในฐานะที่จะรู้จักใจของเราเอง
#...การรู้จักเช่นนี้ จึงถือว่า เป็นกาารลุถึงวิมุติ คือการหลุดเป็นอิสระ จากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง ภาวการณ์ลุถึงวิมุติ ก็คือการลุถึง สมาธิฝ่ายปัญญา ซึ่งเป็น "ความไม่ต้องคิด" อันหมายถึงการเห็น และ รู้สิ่งทั้งปวง ตามความเป็นจริง ด้วยใจที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มพัวพัน"
//....การใช้ "ความไม่ต้องคิด" นั้นหมายความว่า..ใจมิได้กำหนด ..ทั้งฝ่ายดี.และ.ฝ่ายชั่ว จึงมิได้..ติดอยู่กับ.ภาวะดี.หรือ.ชั่ว จึง..เหนือดี เหนือชั่ว
++....เมื่อ "จิตพุทธะ" ขยับจึงเกิดเป็น "จิต" และ กลายเป็น ความคิดดีหรือชั่ว แปรเปลี่ยนไปตามสภาพแห่งการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นจึงเกิด "ทุกข์" และ "สุข" ตามมา..มีการอุปทานยึดมั่นตามมา ภพชาติ จึงหมุนวน..
**...."เมื่อเราใช้"ความไม่ต้องคิด"จิตพุทธะ นั้นก็แทรกไปได้ในทุกสิ่ง...แต่ไม่ติดอยู่ในสิ่งใดเลย สิ่งที่เราต้องทำนั้น .. มีเพียงการชำระจิตให้ใสกระจ่าง .. เพื่อวิญญาณทั้ง6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)...แล่นไปตามอาตนะ6 จะไม่ถูกทำให้เศร้าหมอง. โดยอารมณ์ทั้ง6
"ความไม่คิด" ก็คือ การเห็นรูป ก็สักแต่ว่าเห็น มิได้ไปกำหนดหมายว่า "น่ารัก" หรือ "น่าชัง" นั่นคือการบรรลุถึง "วิมุติปัญญา"
**...เพราะสามารถ ตัดความยึดมั่น ถือมั่น ได้เด็ดขาด ความเป็นอิสระ จากเครื่องร้อยรัด เหล่านี้จึงเป็นจริง .
.
*/-...การไม่ต้องคิด ไม่ใช่ "การหักห้ามความคิดถึงสิ่งต่างๆ หรือกดเอาไว้ นั่นเป็นการกดธรรมะไว้มิให้ปรากฏ..เราเพียงแต่รับรู้ อย่างเข้าใจ ..โดยไม่ไหลตามอารมภ์ที่มากระทบ..แค่นั้น..
503..สวดยอดพระกัณฑ๋..&.หลวงปู่ใหญ่.
..คาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก...พบในใบลาน ภาษาขอม.ที่.สวรรคโลก..โดยขรัวตาแสง..อาจารย์.ของหลวงปู่โต..แต่งโดย..หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร..มีอานิสงส์มาก..สรุปหัวใจพระไตรปิฏกทั้ง.45 เล่ม.ย่อได้ 27 บท.
@.บทที่.1-4 ..กล่าวถึงลักษณะ บารมี ของพระพุทธเจ้า.ผู้เป็นที่พึ่ง ที่กำจัดภัย.ได้จริง.
@.บทที่ 5..กล่าวถึง ขันธ์5.ไม่เที่ยง
@..บทที่ 6-7.. กล่าวถึงธรรมที่เป็นธาตุ.ตั้งแต่สวรรค์ 6ขั้น.พรหม อรูปพรหม.ประกอบธาตุ5.ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
@..บทที่8..กล่าวถึง.รูปาวจร5.ฌาน1-5
@..บทที่9..กล่าวถึง.อรูปาจร.4ชั้น
@.บทที่.10..กล่าวถึงธรรมโสดาปัตติมรรค.-อรหัตตมรรค
@..บทที่11..กล่าวถึงธรรม.ของ.พระโสดาปัตติผล-อรหัตตผล
@..บทที่12.-13 กล่าวถึง.พระพุทธเจ้า5พระองค์.หัวใจพระวินัย หัวใจพระสูตร..หัวใจพระอภิธรรม หัวใจนวโลกุตรธรรม หัวใจพระเจ้าสิบชาติ..หัวใจพระรัตนตรัย..เป็นที่พึ่ง
@.บทที่.14-17..กล่าวถึงธรรมพระพุทธเจ้า.เป็นอิสระจากมนุษย์.สวรรค์.ขันธ์5
@.บทที่ 18..ธรรมที่ อิสระจากแดนพรหม
@.บทที่19..ขอนอบน้อมแด่.พระพุทธ พระธรรม.พระสงฆ์
@.บทที่ 20-21.. คาถาทิพย์มนต์.
@.บทที่.22-27..กล่าวถึง.ขันธ์5 ไม่เที่ยง.เป็นทุกข์.ไม่ใช่ตัวตน..ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.
#..ข้าพเจ้าท่องเกือบทุกวันๆละ1-3 รอบ.เหมือนย่อพระไตรปิฏกมาไว้..เวลาสวด.เทพ พรหม.จะชอบฟังมาก..และจะเชื่อมกระแสกับปู่ใหญ่ได้ไว..
฿..เมื่อคืนวันพระ..สวดยอดพระกัณฑ์.นั่งภาวนา..นอนภาวนา..เห็นชายผิวค่อนข้างดำ.ยืนบนกำแพง..ข้าพเจ้าได้ถามว่า
.".สะสมพระหลวงปู่เทพโลกอุดร.ไช่ไม๊".
เขายิ้มเห็นฟันขาว.
".รู้ได้ไง."..แกดึงย่ามออกจากหลัง..เทออกให้ดู..เห็นพระหลวงปู่ทวด.หลวงปู่ใหญ่..ไอ้ไข่(คนใต้นับถือ)..ลูกแก้วเท่ากำปั้น.3ลูก.จิตบอกว่า..ของปู่ทวด..จึงบอกว่า
"..ของผมมี.ลูกแก้วหลวงปู่ดู่..9ลูก"..
&ทันใด..ชายคนนั้น..กลายร่างเป็นพระสงฆ์หนุ่ม.ผิวขาว..แล้วมีพระสงฆ์อีกองค์ปรากฏร่างขึ้น..เรียกพระสงฆ์องค์แรกว่า.."พระวิจิตร"..
#..พระวิจิตร..พูดกับข้าพเจ้าว่า
".จะรู้ได้ไง..ว่าเป็นพระโลกอุดร..พระโลกอุดรจะมีกลิ่นหอมออกจากปาก"..
ท่านพูดแล้วยิ้ม..หายไป..
&..ภาพประกอบ..พระบูชา.หลวงปู่ครูอาจารย์ที่ตั้งในห้องพระที่บ้าน..มีหลวงปู่ใหญ่..หลวงปู่ ทวด หลวงปู่โต.หลวงปู่ดู่..หลวงปู่ปาน..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน..ข้าพเจ้าจะเอ๋ยนามทุกคืน..แทบไม่เคยขาด.
488..รู้จำ..กับ..รู้แจ้ง
ส่วนมาก..เราจะรู้จำ..จากการอ่าน..การฟัง.แต่ยังไม่รู้แจ้ง.รู้จริง.ในธรรม..เพร่ะขาดวิริยะในการปฏิบัติ..เราจึงต้องทุกข์..ต่อไป..เพราะธรรม.ไม่ซึมสู่ใจ..เพราะขาด สติ สมาธิ.
** การเคลื่อนไหวในสมาธิ..อยู่ในหมวดอิริยาบทและสัมปชัญญะบรรพ์..เพื่อ.จะมี." สติปรมัตถ์"..หรือ..มหาสติ..ความรู้ตัวทั่วพร้อม..รู้ทั้งกาย.และ.จิต.รู้ทั้งสุข.และ.ทุกข์..นั่นคือ..อารมภ์วิปัสสนา..จะรู้ทั้งอานาปานสติ กายคตาสต้..อิริยาบท..
//.การเคลื่อนไหวของมือ..ทำอย่างนุ่มนวล..ไม่เพ่ง..ไม่จเอง เพียงรู้เบาๆ..ว่า.มือ.มันเคลื่อนอยู่นะ..การเคลื่อน..คือ.อารมภ๋ปัจจุบัน..จะทำให้จิตตื่น..คือ..รู้เล่นๆ. แต่ทำจริง..รู้ให้ต่อเนื่อง.อย่างน้อย..รอยละ.ครึ่งชม..วันละ.3 รอบ.ทำจนจิตชินเป็นนิสัย..ต่อไป..พอกายขยับ..สติมาทันที..สมาธิ.ปัญญา..งอกงามทันที.
+-*..แม้แต่การเดินจงกรม..ก็คือ.การเคลื่อนไหวในสมาธินั่นเอง..เราเดินจงกรมเพื่อความรู้สึกตัว..อย่าเดินด้วยความเครียด..อย่าจ้องดูเท้าที่ยกขึ้นลง..ไม่ต้องกำหนด..เดินหนอ.ก้าวหนอ ย่างหนอ..ให้รู้สึกตัวอย่างเดียว.เมื่อหลง..ก็ให้รู้ว่า..เราหลง..กลับมารู้สึกตัวใหม่.ไม่เพ่ง..ไม่เผลอ.
**สุดท้าย..ผลที่ได้..คือ.ดูกายเห็นจิต..ดูความคิดเห็นธรรม..เมื่อรู้เห็นความจริง..ปัญญามันจะทำงานเอง.
399..ปริญญา ๓ ใบ
ในสังคม ราจะนับถือผู้มีปัญญา มีการศีกษาสูง ว่าเป็นผู้ประสพความสำเร็จ และจะเป็นผู้นำคนได้ดี เราวัดการศีกษา ความรู้ จาก “ใบปริญญา” จึงมีทั้ง ปริญญาตรี โท เอก เรียน จาก ง่าย ยาก ไปตามลำดับ
แต่ในทางธรรมแล้ว แม้จะแบ่งปริญญา เป็น ๓ ใบ เช่นกัน แต่ความหมายแตกต่างจากทางโลก ในทางธรรม เราจะใช้.*.การกำหนดรู้.*. เป็นตัวปริญญา ทั้ง๓ ใบ คือ
(๑) ญาตปริญญา(การกำหนดรู้ขั้นรู้จัก)
(๒) ตีรณปริญญา(การกำหนดรู้ขั้นพิจารณา)
(๓) ปหานปริญญา(การกำหนดรู้ขั้นละ)
** ปริญญาขั้นรู้จัก เป็นอย่างไร?
คือ ผู้รู้จักผัสสะ(กระทบอารมภ์) ว่า “เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุข-เวทนา เป็นกุศล ที่เป็นอกุศล ที่เป็นอัพยากฤต เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร เป็นอรูปาวจร สุญญต อนิมิตตผัสสะ อัปปณิหิตผัสสะ เป็นโลกิยะ เป็นโลกุตตระ เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน”
**ปริญญาขั้นกำหนดรู้ เป็นอย่างไร?
คือ ผู้รู้ผัสสะแล้ว พิจารณาผัสสะ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค ทรุด หวั่นไหว ผุพัง ไม่ยั่งยืน เป็นของว่าง เป็นของเปล่า เป็นของสูญ เป็นอนัตตา มีโทษ ไม่มีแก่นสาร เป็นเหตุเกิดทุกข์
** ปริญญาการกำหนดรู้ขั้นละ เป็นอย่างไร?
คือ ผู้ พิจารณา แล้วละ ความกำหนัด ความติดใจ ความพอใจในผัสสะ ในรูป...เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... ตระกูล ...หมู่คณะ ... อาวาส ... ลาภ ... ยศ ... สรรเสริญ ... สุข….ตัดรากถอนโคน ..กำหนดรู้ผัสสะแล้วก็ไม่ติดใจ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้ ..
*-* เมื่อเราได้ปริญญา ๓ ใบแล้ว ย่อม ข้ามพ้นห้วง กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา
***..เมื่อเราปารถนานิพพาน ต้องการพ้นทุกข์ ลองถามตนเองว่า..ตอนนี้..เราเรียน ..และมีปริญญา หรือยัง. กี่ใบ.?
404.. บุรุษ..ผู้ติดถ้ำ..
ในถ้ำ ย่อมมีความมืด เพราะถูกปิดบังไว้ เมื่อติดอยู่ในถ้ำ ย่อมยากนักจะหาทางออกได้ จึงเป็นเหตุให้เราหมดแรง นอนจมลงในถ้ำ
ถ้ำ เปรียบเหมือน ร่างกายของเรา ความมืดเปรียบดังกิเลส ที่ปิดบังไว้ ทำให้เรา ติด เกี่ยว เกาะติด พัวพันอยู่ในถ้ำ ร่างกายนี้ แล้วเรา ก็ติดอยู่ในความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ความยึดมั่น ในเวทนา สัญญา ...ในสังขาร ... ในวิญญาณ
#.. กิเลสอะไร?..ปิดบัง
คือ ราคะ โทสะ โมหะ และกิเลสทุกชนิด ... ปิดบังไว้
#..ผลของการติดถ้ำ?
เกิดความลุ่มหลง ตามอำนาจโมหะ เกิดกำหนัด ตามอำนาจราคะ เกิดขัดเคือง ตามอำนาจโทสะ เกิดยึดติด ตามอำนาจมานะ เกิดยึดถือ อ ตามอำนาจทิฏฐิ- เกิดฟุ้งซ่าน ตามอำนาจอุทธัจจะ เกิดลังเลตามอำนาจวิจิกิจฉา เกิดกิเลสตามอำนาจอนุสัย
**..บุรุษผู้ติดถ้ำ เรียก “นรชน” เป็นผู้ลุ่มหลง กำหนัด เพลิดเพลิน ในสิ่งที่รับรู้ ทางตา ทางหู การลิ้มรส การสัมผัสทางกาย ทางใจ
**..คือ..บุรุษ ผู้มีวิญญาณ (ผู้รู้) ไปยึดถือ รุป เวทนา สัญญา สังขาร เป็นอารมณ์ วิญญาณย่อมงอกงาม
** เมื่อ วิญญาณ ตั้งอยู่ งอกงามได้ในที่ใด นามรูปก็มีได้ในที่นั้น
-...นามรูปมีอยู่ในที่ใด สังขารก็มีได้ในที่นั้น
-.. สังขารมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ก็มีได้ในที่นั้น
-.. ความเกิดในภพใหม่มีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะ ต่อไปก็มีได้ในที่นั้น
-...ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป มีอยู่ในที่ใด ที่นั้นมีความเศร้าโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้นใจ”
**..จะมีสักกี่ดวงจิตในไตรภพนี้..ที่จะหลุดจากถ้ำอวิชชาได้...
482..ปาฏิหาริย์..แห่งพระรัตนตรัย..?
..วันนี้..วันพระ..ไปหาพระ..ผู้ให้เลือดเนื้อ..กรรมเป็นเผ่าพันธ์..หลายครั้ง..กับปาฏิหารย์แห่งพระรัตนตรัย..โพธิสัตว์..ที่เกิดกับ แม่..
*..วันสงกรานต์.15.เมย.62..ที่ครอบครัวได้มากราบขอขมา..แม่..ทุกปี..แต่ปีนี้..แม่ไม่รู้สึกตัว..นอนอยู่ที่บ้าน..ใส่สายออกซิเจน..สายอาหาร..ชีพจร..เหลือ.40..ทุกคนลงความเห็นว่า..ถึงไป.รพ..ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้..นอนที่บ้านดีกว่า..เปิดเทบสวดมนต์ไว้ข้างๆหู..จนลูกหลานบอกข้างหูว่า..ไม่ต้องห่วง..ไปนิพพานเลยนะ"..
***..ในวันนี้..แม่ในวัย..91ปี..ถอดสายอาหารเอง..ความจำกลับคืนมา..เรียกชื่อข้าพเจ้าชัด.."...หิวข้าว"..จึงพานั่งรถเข็น..เดินไปตามถนน..ก่อนป้อนข้าวต้ม..
//..ช่วงที่..แม่หมดสติ..ข้าพเจ้า.ได้ขอบารมีพระรัตนตรัย..พระโพธิสัตว์..เหมือนที่เคยทำมาทุกครั้ง..ที่เกิดเหตุ..คิดในใจ..วันละ.9 ครั้งขึ้นไปว่า
".ขอถึงอำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่.ครูอาจารย์..โปรดบันดาลแสงทิพย์นิพพาน.แสงฉัพพรรณรังสี.บารมีรวม.**.คลุมกายคลุมจิต.นาง.......แม่ข้าพเจ้า
ขอให้นาง....มีความสุขกายสบายใจ.จนกว่าจะถึงพระนิพพาน..(ครั้งที่1)
/.แล้วอธืษฐานครั้งที่2...เหมือนเดิม..แต่เปลี่ยนตรงกลาง..*..จงถึงแก่นายเวรที่ก่อกวนแม่..ตอนนี้..ขอจงอโหสิกรรม..
***..ให้อธิษฐานแบบนี้..วนไปมา..ในใจ.ยิ่งมากยิ่งดี..แม้อยู่ไกล..ก็ส่งบุญถึงได้..
..ใครมีญาติป่วย..ตนเองป่วย..ให้ทำแบบนี้ได้เลย..
***..เมื่อ.4 ปีที่แล้ว..แม่สลบ..ส่วตัวจาก.รพ.อำเภอ..ไป.รพ.จังหวัด..ด้วย..5 โรค..คือ.ไตรุนแรง...ปัสสาวะติดเชื้อ..ปอดติดเชื้อ..กึ่งอัลไซเมอร์..เบาหวาน.ความดัน..หัวใจ.
..หมอบอกว่า..ต้องล้างไต..และ..ต้องเจาะคอ..ช่วยหายใจ..
/*..ข้าพเจ้าบอกว่า..ไม่ต้อง..ไม้อยากทรมานสังขารแม่..หมอบอกว่า..ยังงั้นให้ยาถ่ายช่วยได้อย่างเดียว..เพราะของเสียเต็มร่างกาย.ไตไม่ทำงาน..
**..ข้าพเจ้านิมนต์พระปฏิบัติดี..มารับสังฆทาน.ผ้าไตร. พระพุทธรูป..น้ำ..ที่เตียง.รพ..ปลุกแม่ให้ลืมตากระซิบข้างหู.
..แล้วข้าพเจ้า..จึงแผ่บุญ..ตามที่บอกข้างบน.วันไม่ต่ำกว่า..30 ครั้ง.ภึง.98 ครั้ง..เมื่อแม่นอนอยู่..รพ..อยู่.15 วัน..รู้สึกตัว..กลับมานอนพักที่บ้าน..ไม่นาน..ทุกอย่างหายหมด..ไม่ต้องใส่สายอาหาร..สายออกซิเจน..หรือ.ล้างไต..เจาะคอ..แถมความจำกลับมาเหมือนเดิม.เนื้อ.ผิว.สดใส..อารมภดี..จำชื่อหมอที่รักษาได้..เรียกชื่อหมอ..จนหมองง..บอกกับญาติว่า..นึกว่า..ท่านไปแล้ว(เสียชีวิต)..ไม่เคยเจอ..ที่หายได้แบบนี้
***..ที่ลงบทความนี้..เพื่อ..ให้ผู้ที่ป่วย.มีญาติป่วย..ให้เราศรัทธาทำจริง..ขยันทำ..พลังงานพระรัตนตรัยมีจริง..และเป็นพลังงานสูงสุดด้วย..กระจายเต็มจักรวาล..อยู่ที่เรา..จะเขื่อมจิตมหาพลังบริสุทธิ์..ได้แค่ไหน..ศรัทธา..ต้องมาก่อน..อยากให้นำไปใช้นะ..สาธุ
502..แจ้งทุกข์..แจ้งนิพพาน
คำสอนใน อริยสัจ๔. แม้เราจำได้..แต่ไม่เข้าใจในภาคปฏิบัติ. อริยสัจ๔.ทุกข์ สมุทัย.นิโรธ มรรค..
1.ทุกข์..คือ.ทุกข์กายทุกข์ใจ..รูป.กับ..นาม..ทุกข์ให้รู้..ตามจริง.ไม่ใช่ให้ละหนี..เรียก.ปริญญากิจ
2.สมุทัย..คือ.ตัญหา.ทะยานหยาก..ให้เราละ.เรียก ปหานกิจ
3.นิโรธ..คือ.ความดับทุกข์.นิพพาน..ให้เราทำให้แจ้ง.การสิ้นตัญหา.เรียก.สัจฉิกิริยากิจ
4.มรรค.ทางสู่การพ้นทุกข์..คือ.ศีล สมาธิ.ปัญญา..ให้เราเจริญ..คือ.สติปัฏฐาน๔..
**.ดังนั้น..เมื่อเราเจริญสติ..มีความรู้เนื้อรู้ตัว.นั่นเรากำลังเจริญมรรรคอยู่..มรรคต้องขยันทำ..เราต้องรู้สึกตัวบ่อยๆ..เราจะมีสติ..ไปเห็นทุกข์..รู้ทุกข์..เห็นความจริง..ว่า.กาย.ใจ.มันคือ.กองทุกข์...เมื่อรู้ทุกข์..มันจะละวางตัญหา..
//.เมื่อใด..มีสติ.มีความรู้สึกตัว..สติเป็นฝ่ายกุศล..ขณะนั้น..ตัญหาเกิดไม่ได้..เพราะตัญหา.เป็นฝ่ายอกุศล..ไม่เข้ากัน.ปลาคนละน้ำ.
*+**..ดังนั้น..เมื่อเจริญสติมากๆๆๆๆ..สมาธิจึงมั่นคงมากๆๆๆ...จึงเห็น.เข้าใจกองทุกข์มากๆๆๆ....ปัญญาจึงมากๆๆ...จึงละวาง.ความอยาก.ตัญหา.(สมุทัย).มากๆๆ....เมื่อรู้แจ่มแจ้ง.ในกองทุกข์.กายใจ..ความละวางตัญหาในกาย ใจ.จึงเด็ดขาด..เราจะแจ้งพระนิพพาน.ตามลำดับ..
*+-..นั่นคือหน้าที่เรา..ที่จะต้องทำกิจ.เจริญสติ..คือ.ประตูสู่พระนิพพาน..เราต้องหันมามองตนเองว่า..ที่เราประกาศว่า..". เราต้องการนิพพานชาตินี้"..นั่นคือเป้าหมาย..เป็นความตั้งมั่นในความดีสูงสุด..แต่การตั้งเป้าหมาย.อย่างเดียว..ไม่เพียงพอหรอก..ตั้งแล้ว..ต้องเดิน..และเดินจริง..เดินถูกเส้นทางด้วย
++..เมื่อเราบอกว่า.." ฉันจะว่ายน้ำจากฝั่งนี้..ไปขึ้นฝั่งโน้น.มีทรายขาวสะอาด.งดงาม"..แล้วเรา..ก็ตะโกนดังขี้นๆๆ..แต่เรายังไม่ได้ว่ายน้ำเลย..ยืนอยู่ที่เดิม..แล้วจะข้ามฝั่งได้อย่างไร?
..บางคน..ลงว่ายน้ำ.จะไปฝั่งโน้น..แต่ไม่รู้วิธีว่ายน้ำ..ก็จมลงใต้น้ำ. บางคน..ว่ายน้ำเป็นบ้าง..แต่ไม่รู้ว่า..เป้าหมายอยู่จุดไหน..จึงว่ายวนไปมา..ไม่ถึงซะที..บางคน..ว่ายไปเจอ..เนินดินกลางน้ำ..นึกว่า..ถึงฝั่งแล้ว..จึงดีใจนอนพัก.แล้วตะโกนบอกคนอื่นว่า..
". นี่ ฉันข้ามฝั่งแล้วนะ..มีอะไรสงสัย..ถามฉันได้นะ"..คือ.มีเมตตา.แต่ปัญญายังไม่พอ..การจะถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้..จักต้อง..ทำจริง..ทำถูกต้อง..ดูแบบครูอาจารย์ที่ถึงแล้ว..ท่านทำอย่างไร..ถึงไม่หลงมรรค..แล้วเรา..ทำจริงเหมือนท่านไม๊..
***..ครูอาจารย์เข้าถึงความหลุดพ้น..เพราะท่านทำจริง.เดินตามแผนที่..พระพุทธองค์บอกไว้จริง..จึงพบของจริง...หันมามองตัวเรา..ต้องการมรรคผล..เหมือนครูอาจารย์..แต่ทำเหยาะแหยะ..แล้วจะได้มรรคผลอย่างไร..ครูอาจารย์.ว่า..นิพพานไม่ยากหรอก..ท่านพูดได้..เพราะท่านเข้าถึงจริง..ทำจริง..บารมีมากจริง..เราอย่าไปง่าย..เหมือนท่าน..จะเป็นว่า..เราประมาทธรรม..เราขึ้เกียจ.แต่อยากได้รางวัลใหญ่.เป็นได้ยาก
486..ขัดเกลา..เจตสิก.
..เจตสิก.อารมภ์ของจิต.มี.189ดวง..คือ.อารมภ์ปรุงแต่งจิต..เราจะต้องขัดเกลา.เจตสิก.ให้ลดการปรุงแต่ง.ให้ว่างจากกิเลสที่ปรุงแต่งอารมภ์.ให้เหลือน้อยที่สุด..เพื่อให้จิตบริสุทธิ์..จากการปรุวแต่งทั้งหลาย
*..ซึ่ง.ใช้แนวทาง.ศีล สมาธิ..ปัญญา.ขัดเกลาจิตเจตสิก.ให้ความเห็นผิดเบาบางลง..จาก.189ดวง..เหลือ 152..เหลือ.121ดวงจิต..ละวาง.ความทะยานหยาก..อุปกิเลสลงไปทีละดวงๆ..แล้วความสดใสของดวงจิต.จะสว่างใสขึ้นๆ..ตามลำดับ..
**.จนเหลือ.21ดวง...ธาตุหยาบ..จะกลายเป็นธาตุทิพย์..กายเทพ.กายพรหม..เมื่อละเอียดขึ้น..จนเหลือ.เจตสิก.12 ดวง..คือ.โมหะ..โทสะ.โลภะ..ราคะ.อิจฉา..อาฆาต.พยาบาท.ทิฏฐิมานะ..จองกรรม จองเวร ริษยา..จนเหลือจิตทีมีกุศล.จิตดี 9 ดวง..
**..จึงมาฝึกจิต.ทั้ง.9 ดวง.ให้มีความเมตตา กรุณา.มุทิตา.อุเบกขา...ให้จิตสงบ.เพื่อจะเดินวิปัสสนา.พิจารณา.กาย.เวทนา.จิต.ธรรม..เห็นความเกิด.ดับ.ของ กาย.จิต.เข้าถึงสัจจธรรม..เข้าถึง.".ตัวรู้"...ให้มีมหาสติ.พิจารณา..รู้ในรู้ .จิตในจิต..เพื่อเห็นความ เกิดดับ.ของตัวรู้.ของจิต.
*/+..ดังนั้น..การสำรวมกาย.วาจา..ใจ..จิตตั้งมั่น.ในศีล.สมาธิ.มีปัญญา...มันจะพัฒนา.อทอสมานกาย..กายใน.ให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ...จากกายใน..กายฝัน..หน้าตาเหมือนกายหยาบ..จะกลายเป็น..กายแต่งชุดขาว..กายจะเบาขึ้น..บางท่านเป็นกายพระห่มเหลือง..กายแก้ว..เกิดจากการสำรวมกายใจ.มีศีล5.กำกับใจ.และ.กายแก้ว..ขุ่นใส.ไม่เท่ากัน..เพราะจิตาะอาดไม่เท่ากัน...ยิ่งจิตสงบ.มีพรหมวิหาร4..จะเกิดเป็นกายพรหม..แก้วใสมีเครื่องประดับสีทอง..จนมองดู..กายแก้ว.เป็นกายทอง.ได้..
***..ส่วน..กายอริยะ..แก้วประกายเพชร..ไว้โอกาสหน้า..
485..จากธาตุขันธ์..สู่..ธาตุทิพย์..
ภพภูมิมนุษย์..คือ.ภพภูมิกลาง.ที่สามารถทำดี ทำชั่ว.ส่งผลให้ไปสู่ภพภูมิทุกสาย..ตามบารมี..คือ..บารมี10นั่นเอง..เมื่อจิตวิญญานขันธ์แตกดับจากกายหยาบมนุษย์..แล้ว จิต เจตสิก..จะไปผุดขึ้น..เป็นกายเทพ..กายพรหม.กายทิพย์..กายแก้ว..จะเป็นธาตุทิพย์ที่สวยงาม..หรือ.น่ากลัว..อยู่ที่กรรมดี..กรรมชั่ว.จิตดำ..จิตขาว..นั่นเอง
**..บางคนสร้าง แต่กรรมชั่ว..จนจิตชินบันทึกควาชั่วหนาแน่น.จิตวิญญานจะจุติ..ในอบายภูมิ..เปรต อสูรกาย สัมภเวสี.โอปปาติกะ.เพราะจิตนั้น.บันทึก.การคิดร้าย..เบียดเบียน.อิจฉาริษยา.อาฆาต..รวมทั้งผู้ทำคุณไสย.
***..สำหรับดวงจิต..ที่เคยเล่าเรียนพระธรรม..แต่กลับหลงเดินทางผิด...ผิดศีลวินัย.ผิดสัจจะ.หรือ.ผู้หลงในสมบัติ.หลงบ้าน.หลงที่ทาง..ขวางทางผู้แสดงธรรม..มักเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน..เช่น หมา แมว.งู..จิ้งจก.ตุ๊กแก..
.แต่ถ้าผู้นั้น..แม้จะหลงผิดไม่ตรงต่อสัจธรรม..แต่ยังมีบารมีมาก..จะไปเกิดเป็น.สัตว์ในป่าหิมพานต์..พญานาค.พญาครุฑ.มังกร..ยังมีฤทธิ์อำนาจ..แปลงกายได้..แต่ไม่ได้อยู่ในแดนสวรรค์ชั้นวิมานในอากาศ..หรือ.นิพพานได้. จึงมาอาศัยในภพภูมิในโลกมนุษย์..มิติซ้อนกันในโลกหยาบ..
/*-..พวกที่สร้างทั้งดี.และชั่ว.ควบคู่กันไป..บางพวกเกิดเป็น..เปรตเทวดา..(กลางวันเป็นเทวดา.กลางคืนเป็นเปตร)..บางพวกเป็นอสูรกายมีฤทธิ์มีตบะ..เรียก..เจ้าพ่อ..เจ้าแม่..แม้แต่พระสงฆ์..บางรูปยังสู้ฤทธื์ไม่ได้..
///..บ้างไปเกิด.เป็นพญามาร..เทวบุตรมาร..พวกนี้..ทำความดีมาก..ทำบุญมาก..แต่เจือด้วยความอิจฉา..ความมานะถือตัว..ต้องการให้คนยกย่อง..แข่งทำบุญ..และมีความคิดผิดๆ..ด้านธรรม..ขวางธรรม..
*+..บางพวกมาเกิดเป็นพญายักษ์..บางท่านทำหน้าที่ในนรก..ดูแลสัตว์นรก.บางท่านเป็นท้าวเวสสุวรรณ.เพราะเล่นฤทธิ์..วิชชาอาคม...แต่มีเจตนาดีต่อประเทศชาติ. ศาสนา.มหากษัตริย์.ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ..จึงมาเป็นท้าวมหาราชทั้งสี่..ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา.
***.เพราะ.กรรมดี.กรรมชั่ว.ในภพมนุษย์..จึงนำพา จิต เจตสิก..ไปสู่ภพภูมิต่างไป..
ตอน..สมาธิของพระโพธิสัตว์
.. วันหนึ่ง ขณะนั่งสมาธิอยู่ พอจิตเริ่มจะสงบ(อุปจารสมาธิ) ร่างกายข้าพเจ้า มีอาการส่ายไปมา เหวี่ยงตัวไปมามากขึ้นๆ หมุนเป็นวงกลม จากขวาไปซ้าย (ตามเข็มนาฬิกา)เหมือนคนเมารถ มีน้ำลายออกมามาก เหมือนจะอาเจียน โดยที่ข้าพเจ้ามีสติรู้อยู่พอหมุนไปสักพัก กายเริ่มนิ่ง จิตสงบ โล่ง เงียบ ต่อมา มือข้าพเจ้าเริ่มเคลื่อนไหวเอง โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้บังคับและไม่ขัดขืน ช่วงแรกๆ มันจะเคลื่อนไหวรุนแรง เหมือนมีองค์ลง แต่ข้าพเจ้ามีสตินิ่งรู้ตลอดเวลา กระบวนท่า มันจะออกมาเอง แม้ขณะทำงาน ยืน เดิน นั่ง พอจิตจะสงบขึ้นมา สมาธิ จิตหมุนตลอดเวลา
+*/.. ร่างกายหมุนเหวี่ยงไปมา เป็นการเกิดจากการหมุนของธรรมจักร หรือ ”สมาธิหมุน” หมุนธรรมจักร หรือ เดินลมปราณหมุนวน เป็นการเดินวิชชา เป็นสมาธิของพระโพธิสัตว์ ในแดนสุขาวดีโลกธาตุ คือ..การหมุนจักระเข้าถึงธรรม จิตหมุนวน ก่อเกิดกำลังภายใน ทำให้ร่างกายหมุนตามลมปราณภายใน เป็นพลังงานรุนแรง เป็นการสลัดสัญญาเก่าๆที่หมักดองสะสมไว้รอบๆจิตให้สลายไป เป็นการสลายกายทิพย์( วิญญาณปรุงแต่ง) เป็นการชำระกรรมในสมาธิ จึงช่วยย่นระยะการเกิดของภพชาติ เหมือนเป็นแยกจิตออกจากวิญญาณที่ปรุงแต่ง จึงบรรลุธรรมเร็ว เมื่อจิตวิญญาณปรุงแต่งหลุด “วืด” ออกไป เข้าสู่สภาวะเดิมของมัน (จิตเดิมแท้) หลุดพ้นจากสภาวะปรุงแต่งของขันธ์ห้าชั่วขณะ (ศูนยตา) เพื่อเป็นบาทฐานเครื่องอุดหนุนปัญญา โดยการเจริญวิปัสสนา คือการพิจารณาธรรม ลงสู่ไตรลักษณ์ เพื่อให้เกิดปัญญานั่นเอง
***. บางครั้งจะพบแสงสว่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน (ธรรมจักษุ) ซึ่งแสงสว่างนี้ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาหรือรู้ด้วยใจ เป็นแสงสว่างที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของจิต ซึ่งเราปิดตาแล้วแสงสว่างยังทะลุเปลือก ตาไม่มีความแตกต่างในการเห็นระหว่างข้างในและข้างนอก สว่างไปทั่วสากลจักรวาล บุคคลผู้นั้นจะนอนไม่หลับ แต่ไม่รู้สึกเพลีย ให้พิจารณาเรื่องบาป บุญ คุณ โทษ สวรรค์ นรก นิพพาน เข้าไปละลายในแสงสว่างนั้นให้หมด ผู้ที่จิตหลุดพ้น จะมีคุณธรรมขั้นต้นถ้าเจริญองค์ของมรรค ก็จะถึงคุณธรรมขั้นสูงสุด.
//.. พลังหมุนซึ่งเป็นนามธรรม (จิต) ตัดแรงดึงของอารมณ์ที่ใจ และตัดแรงดึงของความคิด สามารถชนะแรงดึงดูดของอารมณ์ได้ ทำให้ไม่เป็นทาสของอารมณ์ โลภ โกรธ หลงจิตเกิดความอิสระแรงหมุนทำให้เกิดลมปราณขึ้น ใช้ลมปราณเป็นฐานที่ตั้งแห่งการเจริญสติ แรงหมุนกลายเป็นแรงเหวี่ยง จะส่งเข้าไปจิตใน ไปสัมผัสธรรมในธรรม ที่สะสมในจิตใต้สำนึก
+++…… กระแสกรรมต่างๆ ที่มาในรูปของธรรมารมณ์ก็จะถูกเหวี่ยงออกมาทางกายภาพ ในขณะที่กายภาพแสดงออกถึงอิริยาบถต่าง เวทนาต่างๆก็เกิดขึ้นที่ใจ ก็สามารถใช้อารมณ์ของเวทนาต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นฐานที่ตั้งแห่งการเจริญสติ แล้วก็หมุนวนในจิตในจิต ธรรมในธรรม กายเวทนาจิตธรรม กายเวทนาจิตธรรม
/*..หมายเหตุ..ข้าพเจ้าไม่ได้เรียนสมาธิแบบนี้ จากที่ไหน..นั่งอยู่ที่บ้าน..มันเป็นของมันเอง..
506..สมาธิธรรมจักร..(สมาธิหมุน) ภาค๒
ตอน..ประตูจิตเปิด .รับวิญญาณ
สมาธิหมุน จะหมุนวนในจิต และหมุนวนกาย..จนฐานทั้งสี่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว พัฒนาสู่มหาสติปัฏฐาน คือ ใช้ฐานทั้งสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นฐานที่ตั้งแห่งการเจริญสติในขณะจิตเดียว มิได้แยกพิจารณาเป็นสติครบรอบ สามารถเข้าสู่บุพเพนิวาสนุสติญาน คือ ญาณรู้ซึ่งเกิดจากการระลึกชาติ เหวี่ยงความอยาก(ตัณหา)ทิ้งอย่างเดียวก็บรรลุธรรม เพียงแต่เหวี่ยงสิ่งที่กีดขวางทิ้งไป เข้าสู่สภาวะเดิมของจิต จิตเดิมแท้เป็นประภัสสร
**... พลังสมาธิหมุนที่เจาะไปที่จิตใต้สำนึก สมาธิหมุนเข้าไปเคลียร์ขยะในจิตใต้สำนึกออกไป เป็นการล้างพิษทางอารมณ์ ล้างสัญญา พลังงานของจิตที่หมุนสลัดออก จึงทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท ทำให้เกิดการร่ายรำ เป็นการบริหารปรับสมดุลย์ของกายและจิต
+..... เมื่อความรู้สึกอยู่ที่การเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เมื่อมีการหมุนวนมากขึ้นๆ จะมีแรงดึงดูดสู่จุดศูนย์กลางของจิต ( จิตเดิมแท้ ) เสมือนการหมุนวนของน้ำ จะมีแรงดิ่งลงสู่พื้นน้ำที่ลึกที่สุด สมองจะไร้ความคิด ใจไร้การปรุง สัญญาขันธ์ ความคิดขยะในใจ ถูกสลัด ทิ้งไป จนจิตสะอาดผ่องใส ไร้ความคิดมีแต่ความว่าง ซึ่งเป็นรอยต่อเพื่อเข้าสู่จิตเดิมแท้ที่ลึก “การหยั่งรู้” จะเกิดขึ้น จะระลึกชาติได้
#.... อนึ่ง การหมุนธรรมจักร จะใช้พลังปราณมาก และสำเร็จรวดเร็ว ใช้ได้กับท่านที่มีบารมีเก่าอยู่บ้าง ถ้าจิตไม่มีบารมี จะเกิดการทรงเจ้าเข้าผีแทน เพราะจักระเปิดรับพลังจากจักรวาลหรือจิตวิญญาณ ซึ่งมีหลายชนิด ทำให้ปรับจิตไม่ทัน เพราะจิตวิญญาณที่ประสานเข้ามาทางจักระที่เปิดนั้น เหมือนประตูจิตเปิด..วิญญาณที่ดี และไม่ดี ย่อมมีสิทธิ์เข้ามาได้เหมือนกัน แต่เมื่อฝึกจนถึงที่สุดก็จะสำเร็จขั้นสูงสุดได้คือ..”พระพุทธะ”
///...... ส่วนสัญลักษณ์มือที่แสดงออกมาอ่อนช้อย สวยงาม ทางวัชรญาณ เรียกว่า มุทรา เป็นธรรมชาติของการรวมสมาธิมี สติ / สัมปชัญญะ ที่สะท้อนจากจิตผ่านทางร่างกาย กลมกลืนให้เป็นหนึ่งเดียวกับพุทธะ และพระโพธิสัตว์ เทพโพธิสัตว์ เป็นบารมีเก่าที่สะสม ที่ปารถนาในอดีตชาติ ที่สะท้อนออกมา ..ข้าพเจ้าถูกกระแสภายในเร่งเร้าให้ออกไปเดินแผ่เมตตา ที่ป่าบนเขาตอนตี ๑.กายมันจะยกมือท่าประทานพรไปตามราวป่าๆ..จิตมันจะรู้ว่า..ตรงจุดนั้น.มีวิญญาณรออยู่..”ไปแบบรู้ตัว แต่ต้องไป”
507..สมาธิธรรมจักร..(สมาธิหมุน) ภาค๓
ตอน ..สมาธิไร้นิมิต ความนิ่งในการเคลื่อนไหว ..
คือ การนั่งยกมือเคลื่อนไหวไปมา โดยมีสติรู้ ไม่ต้องบริกรรม ไม่ต้องหลับตา แค่รู้อย่างเดียว ใช้หลัก “รู้กายที่เคลื่อนไหว รู้ใจที่มันคิดรู้สึก”คือรู้รูป-นาม การจับความเคลื่อนไหว อย่างผ่อนคลาย เห็นร่างกายหายใจ(ไม่ใช่เห็นลมหายใจ) มีใจเป็นคนดู เห็นสุข เห็นทุกข์ มีใจเป็นคนดู ทำให้มีความรู้สึกตัว เมื่อไรมีสติ เมื่อนั้นจิตมีกุศล รู้ทันกิเลส จะมีศีลอัตโนมัติ เมื่อนั้นไม่มีกิเลส
@.. สติจะตื่นตัว เห็นร่างกายไม่ใช่เรา เป็นการแยกธาตุขันธ์ กายอย่างหนึ่ง จิตอย่างหนึ่ง จะรู้สึกว่าร่างกายเป็นวัตถุอย่างหนึ่งไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเห็นความไม่เที่ยงของกายจิต จิตจะรวมเป็นอัปปนาสมาธิโดยอัตโนมัติ.. เป็นอริยมรรคขั้นต้น ..ประตูอริยะจะเริ่มเปิด
*** ปฏิบัติต่อไป. จะเห็นตัวจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวจิตโกรธ เดี๋ยวจิตรัก เดี๋ยวจิตเศร้าหมอง บังคับไม่ได้ ไม่ใช่เรา ให้รู้อย่างเดียว ความเศร้าหมองไม่ใช่จิต เป็นสิ่งแปลกปลอม ให้จิตเดินปัญญา รู้ไปตรงๆ เห็นไตรลักษณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง อะไรเกิดขึ้นให้สักแต่ว่า...รู้เป็นปัจจุบัน เมื่อเห็นความจริง แล้วจิตจะหลุดจากความคิด หลุดจากอารมณ์ เหนือคิด(ปรุงแต่ง) เหนือโลก เป็นมหาสติ มหาปัญญา เห็นความเกิด-ดับ วิมุตหลุดพ้นอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกตัว(สติ) ทำให้ความไม่รู้สึกตัว (โมหะหลง) หายไป เมื่อเรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจะเกิดปัญญา รู้ความจริง การเห็นตัว คือการเห็นธรรมะ ความสงบ คือ ขณะเมื่อเราเห็นความคิดเป็นความสงบที่เป็นอิสระจากโทสะ โมหะ โลภะ
฿.. ข้าพเจ้าปฏิบัติ ประมาณ ๔ วัน ข้าพเจ้ารู้สึกถึงมือไม้มันเบา รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้ามันวิ่งไปทั่วมือ เสียววาบ ร่างกายอ่อนไหวไปทั้งตัว ลมพัดผ่านกายรู้ทันที (จิตมันตื่นควรแก่งาน) จนวันหนึ่ง.. พรึบ!จิตข้าพเจ้ารวมแว๊บ! เกิดอาการเหมือนหยุด ตะลึงค้าง งง ! เกิดสติตื่นโพลงขึ้นมา มันสว่างโปร่ง โล่ง แต่ไม่ใช่แสงสว่าง มันเหมือนเราไม่มีตัว ไม่มีน้ำหนัก เหมือนจิตมันหดตัว เหมือนเราอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งเงียบ สงัด เบิกบาน เคย(เล่าแล้วในจิตตื่น).. จะขยายเพิ่ม เพื่อมีประโยชน์สำหรับผู้ปฏิบัติแบบนี้อยู่
//.. หลังจากข้าพเจ้า นั่งสักพักซึมซับ สภาวธรรมนั้น นั่นคือจิตผู้รู้ มันเด่นขึ้นมา ( จิตผู้รู้ ตัวนี้ มันก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวเผลอ ) แต่สติมันยังทำงานอยู่..อย่างเงียบเชียบ ชัดเจนจิต..มันตื่นรู้ขึ้นมา จิตมันตั้งมั่น ..จิตมันแยกกาย ..แยกจิต โดยอัตโนมัติ ..แม้แต่การก้าวเดินสติมันรู้ไปหมด ไม่ต้องไปพิจารณาซ้าย หรือ ขวา มันรู้โดยอัตโนมัติ เห็นเบื้องต้นว่ากายเราไม่มี ร่างกายแทบไม่มีน้ำหนัก เบา เหมือนลอย แต่รู้ชัด จะ เคลื่อนไหวอะไร....สติมันทำงานเป็นอัตโนมัติ.. คิดอะไรมันก็รู้ ..แต่เราเหมือนแยกจากความคิดได้(เหนือคิด)จิตตอนนั้นไม่มีความสะเทือน ไม่มีความอยากได้ (อุเบกขาจิต) เป็นการตื่นด้วยปัญญา แยกจิตกับกายด้วยปัญญา
508...สมาธิธรรมจักร..(สมาธิหมุน) ภาค๔
ตอน ..จิตตื่น รุ่งอรุณวิปัสนา
เมื่อเรามีสติต่อเนื่อง จิตจะตื่น เข้าถึง “จิตผู้รู้”.ตัวแรก...จิตผู้รู้ตัวนี้ ยังตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ ยังไม่เที่ยง..ยังมีการปรุงแต่ง ยังมีอวิชชา ยังมีตัวกู ยังมี ภพชาติ ในจิตผู้รู้นั้น มันยังไม่ใช่”จิตผู้รู้แบบพระอริยะ”.(จิตผู้รู้ตัวที่สอง) .ในจิตผู้รู้ตัวแรกนี้...นับว่า...เป็นรุ่งอรุณวิปัสสนา(วิปัสสนาอย่างอ่อน) สมควรแก่การงาน เพื่อนำไปใช้ในการรู้ไตรลักษณ์ รู้อริยสัจ4 เข้าไปเรียนรู้ธาตุขันธ์ เพื่อรู้เห็นความจริงตามลำดับ..เพื่อเข้าสู่อริยมรรค เพื่อที่ จิต จะเห็นทุกข์ของกายและจิตจริง แล้วจิตจึงจะปล่อยวางทั้งกายและจิตเอง..เราไม่ได้บังคับจิตให้วาง..แต่ปัญญาในจิตมันจะทำหน้าที่ของมันเอง
+.. แต่เมื่อข้าพเจ้า ไม่ได้นำ จิตผู้รู้(ตัวแรก) มาเดินปัญญาต่อเนื่อง กระแสแห่งสติ จิตผู้รู้ จึงอยู่กับข้าพเจ้าเพียง 3 วัน 3 คืน ทั้งตื่นและหลับ ก่อนจะค่อยๆจางหายไป .เพราะแม้แต่ สติ.ก็ไม่เที่ยง..สติ คือ เจตสิกฝ่ายกศล.
... ดังนั้น.. การเคลื่อนไหวของร่างกาย จะปลุกเร้าสติ จะปลุกวิญญาณ(ธาตุรู้) ให้ตื่นเหมือนกับเอาเครื่องตีน้ำเพื่อให้ตะกอน(กิเลส)ที่นอนก้นถังกระเด็นออกให้หมด ...ทำให้ตะกอนฝุ่น ในฝุ่นนั้นมีสสารมากมายทั้งที่สวยงาม และ สกปรก การกระจายตัวของตะกอน...จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงกามราคะ ความฟุ้งซ่าน นิวรณ์ต่างๆรุนแรง เหมือนนักมวยตะลุมบอนกัน ซึ่งๆหน้า รู้ผลแพ้ชนะเร็ว ไม่อ้อยอิ่ง สติสู้กับกิเลสทำให้สะเทือนถึงกาย จึงทำให้เห็นภาพสัญญาในอดีตถึงปัจจุบัน ที่มันไหลมาทั้งในนิมิต ทั้งทางความฝัน หรือขณะลืมตา
^… เห็นทั้งภาพอดีตไล่ขึ้นมา เห็นภาพพระพุทธรูป โบสถ์ เจดีย์ ใบไม้ เครื่องหมายศาสนา รวมทั้งภาพลามกจกเปรต แม้ในขณะลืมตา ยังเห็นภาพรอบตัว โย้เย้ไปมา และสัญญามันแสดงตัวตนให้เห็นชัด.ในความไม่เที่ยง.. ความจำข้าพเจ้า เดี๋ยวจำได้ ไม่ได้บ้าง แม้กระทั่งว่า..ตอนนี้ เราอยู่ในโหมดความฝัน หรือ โหมดแห่งความจริง.....นี่คือบ้านจริงๆ..หรือ.บ้านในความฝัน..ทั้งๆที่เป็นบ้านของข้าพเจ้าจริงๆแหละ....
+ นั่น....คือ...เกิดจากการปรับฐานจิตโดยตัวมันเอง... ให้กลับสู่สภาวะจิตเดิมแท้ ที่ไม่มีสัญญาอุปทาน เป็นการสำรอกกิเลส สัญญาอุปทานที่อยู่รอบๆจิตออกไป.. เหมือนเอาสนิมออกจากเนื้อเหล็ก ..เหมือนการอาเจียนสิ่งมีพิษออกมา ...เพื่อให้ร่างกายสะอาด.. เป็นการแยกรูป-นาม เพียงแต่จิตข้าพเจ้าหมุนวนเร็ว แรงไป แยกรูป-นาม เร็วรุนแรง จึง ก่อเกิด สติ สมาธิ จิตตื่นโพล่ง,
.. เหมือนเราปั่นน้ำผลไม้..ย่อมมีน้ำกระฉอก เสียงดัง กากผลไม้ถูกสับกระเด็นกระดอน..จนหยุดนิ่ง..เราจึงได้ชิมน้ำผลไม้ที่สะอาด หอม หวาน... การที่เรามีสติต่อเนื่องในปัจจุบันขณะ เหมือนเราปั่นน้ำผลไม้นั่นเอง.. ผลตามมาหลังจากเกิดสติ ก็คือ ปัญญา ส่งผลให้รู้เท่าทัน "ธรรมแท้จริง" สติเหมือน "ประกายไฟ" "ปัญญา" จากความรู้สึกตัว มาเป็นรู้ตัวทั่วพร้อม มาเป็นรู้ล้วนๆ(พุทธะ) บริสุทธิ์ล้วนๆ ในสภาวะเช่นนั้น
...฿....ข้าพเจ้าคิดว่า...ได้สัมผัสต้นทางของ มรรค ความอัศจรรย์ขั้นต้น เป็นความสงบจากกิเลส เป็นจิตผู้รู้ ตื่น เบิกบาน ต้นทางแห่งพุทธะ เมื่อใดที่ข้าพเจ้า หมุนจิตต่อไป..ย่อมรู้กาย รู้จิตแล้ว แล้วจิตจะพัฒนาจน จิตผู้รู้นี้จะไปรู้ธรรม รู้อริยสัจ๔ นั่นแหละทางพ้นทุกข์...เพียงแต่ว่า..”**ข้าพเจ้าหยุดปั่น เสียแล้ว..พอเขียนบทความนี้แล้ว..คิดจะไปปั่นจริงจังอีกครั้ง”...ช่างถูกจริต กับ จิตหมุน จัง..
505..สมาธิธรรมจักร..(สมาธิหมุน) ภาค๑