Tension headache
(โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด)
(Tension-type headache (TTH), Tension headache, Muscle contraction headache, Psychogenic headache)
การปวดศีรษะชนิดนี้ พบบ่อยที่สุด
คือ ประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้
อายุที่พบ
พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว
(มีโอกาสน้อยมากที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว)
และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี
อาการเริ่มปรากฏในวัยรุ่นมากกว่า ในช่วงวัย 40 ไปแล้ว
เพศ
พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-3 เท่า
สาเหตุ
อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้า
ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด
สันนิษฐานว่าเกิดจากมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ
ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทขึ้นตรงประสาท ส่วนกลาง (อาจเป็นบางส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี (เช่น เอนดอร์ฟิน ซีโรโทนิน) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
อาการและอาการแสดง
ลักษณะการปวด
ปวดแบบ ตื้อๆหนักๆ กดหรือบีบหรือรัดแน่น
ตำแหน่ง
อาการปวดมักเริ่มบริเวณท้ายทอย ร้าวมาที่ขมับทั้งสองข้าง หน้าผาก แล้วปวดทั้งศีรษะ
ระยะเวลาปวด
ต่อเนื่องกันนานครั้งละ 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์
ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง อาการปวดมักจะเป็นแบบคงที่
ความรุนแรง
ไม่รุนแรงมาก ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย
ยกเว้นบางรายอาจปวดจนเป็นอุปสรรคต่อการทำงานได้
ช่วงเวลาที่เป็น
อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้าๆ
บางคนอาจเริ่มปวดตอน บ่ายๆ เย็นๆ
หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมาก หรือขณะหิวข้าว
หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ
อาการอื่น
ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่มีน้ำมูก ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย
และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหว ของร่างกาย
พบร่วม
การปวดศีรษะชนิดนี้อาจพบร่วมกับการปวดศีรษะไมเกรนได้
หรืออาจมีอาการกดเจ็บที่หนังศีรษะร่วมด้วย
กรณีที่มีอาการเรื้อรังจะมีอาการปวดบ่อยกว่า 15 วันต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือนหรือนานกว่า
ปัจจัยกระตุ้น
ส่วนใหญ่มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความ เครียด หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา อดนอน ตาล้าตาเพลีย (จากใช้สายตามากเกิน)
นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวล ซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน
การวินิจฉัย
โดยอาศัยจากประวัติอาการปวดศีรษะ และการตรวจร่างกาย
ประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน
นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม
เช่น การถ่ายภาพ สมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ควรต้องวินิจฉัยแยกอาการปวดจากสาเหตุที่ร้ายแรงต่างๆและปวดศีรษะจากสาเหตุอื่นๆ
เช่น ไมเกรน, เนื้องอกในสมอง, cluster headache, depression, trigeminalneuralgia, meningitis, glaucoma..........เป็นต้น
การรักษา
- กรณีไม่เรื้อรังให้กินยาแก้ปวดธรรมดา ยาคลายกลามเนื้อ
NSAIDs ที่นิยมให้กัน : Brufen, Synflex, Celebrex etc.
นอนไม่หลับอาจให้ ativan เพิ่มด้วย
- กรณีที่เป็นเรื้อรัง ควรนึกถึงโรคซึมเศร้า ซึ่งจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
การรักษาไม่ควรให้ยาแก้ปวดธรรมดาเนื่องจากจะไม่ได้ผล
และอาจมีอาการถอนยาเมื่อหยุดยาทำ ให้ปวดศีรษะมากขึ้น ควรให้ยา
Amitriptyline
Sig เริ่ม 10-25 มก. เพิ่มได้ถึง 50 มก.ก่อนนอน
ควรให้ยาติดต่อกันนาน 3-6 เดือน หากหยุดยาแล้วมีอาการอาจให้นานเป็นปี
- กรณีปวดถี่ ปวดนาน ปวดมาก
มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง
หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก
อาจให้ ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น amitryptyline, fluoxetin ทุกวันติดต่อกันนาน 1-3 เดือน
เช่น Fluoxetin20 mg 1 cap oral m etc.
ปวดจาก Fibromyalgia
-Naproxen250 1*3 pc
-Norgesic35/500 1*3pc
-Lyrica25mg 1hs
-Amitryp10mg 1hs
การรักษาด้วยวิธีอื่นหรือการปฏิบัติตัว
โดยการพักผ่อนให้สบาย การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การนวดประคบการออกกำลังกายสมํ่าเสมอ และการสวดมนต์ทำสมาธิ เป็นต้น
สิ่งสำคัญ
ต้องอธิบายผู้ป่วยว่า โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด
นอกจากทำให้วิตกกังวล และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสวงหาบริการ
ซึ่งผู้ป่วยมักคิดกังวลว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายโรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อยๆ
การป้องกัน
การป้องกันไม่ให้กำเริบ โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าปล่อยให้หิว
อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า
ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกัน
Ref.