SCP-439

SCP-439 (7 ก.ค. 2555)

ระดับวัตถุ Euclid

มาตรการพิเศษ

ตัวอย่างนั้นถูกไว้ในศูนย์วิจัยติดอาวุธที่45 แผนกสิ่งมีชีวิตอันตราย ในห้องปิดผนึกแบบGที่ต่อระบบอ็อกซิเจนไว้ ให้ให้อาหารเป็นสารอาหารแบบX-Fที่อนุมัติแล้วทางท่ออาหารแบบ16a โดยบุคลากรผู้ดูแลนั้นต้องมีระดับบุคลากรตั้งแต่2ขึ้นไป

ลักษณะ

SCP-439เป็นแมลงไม่ทราบที่มา ลักษณะคล้ายกับForficula auricularia (แมลงหางหนีบ) สีเทาใส ความยาวประมาณ2.5ซม. เดิมนั้นถูกพบและเก็บมาจากมณฑล████ ████ ประเทศจีน ขณะนี้ยังไม่พบตัวอย่างอื่นอีก

โดยทั่วไปแล้ว SCP-439นั้นนับว่าไม่มีอันตราย นอกจากจะใช้หางหนีบได้เจ็บทีเดียว อันตรายจริงๆของSCP-439นั้นอยู่ที่พฤติกรรมในการสร้างรังและขยายพันธุ์ โดยมันจะเข้าไปในปากของมนุษย์ที่หลับอยู่ โดยมันจะเลือกมนุษย์เท่านั้นและไม่ทำรังกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมด เมื่อเจอเป้าหมายที่เหมาะสม มันจะซ่อนตัวในบริเวณใกล้เคียงแล้วรอจนเป้าหมายหลับ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันรู้ได้ยังไงว่าเป้าหมายหลับ แต่ก็มีความแม่นยำมากถึง[ข้อมูลปกปิด]ใน[ข้อมูลปกปิด]ครั้ง เมื่อเข้าไปในปากของเหยื่อ SCP-439ก็จะไต่ไปทางหลอดลมและเข้าไปในปอดข้างหนึ่งของเหยื่อ

ประมาณ4-8ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน เหยื่อจะรู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก และรู้สึกว่าปวดท้องเกร็ง อาการแน่นหน้าอกนั้นจะรุนแรงขึ้นพร้อมมีไข้จนกระทั่งเหยื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ช่วงนี้เองที่อาการ Fibrodysplasia Ossificans Progressiva (FOP)จะเริ่มขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะเป็นอาการผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้กระดูกงอกผิดปกติ เนื่องจากกระดูกจะงอกเร็วมาก ทำให้แทงเข้าไปในกล้ามเนื้อ เป็นกระบวนการที่เจ็บปวดมาก เหยื่อจะรู้สึกอยากซ่อนตัวในที่มืดและแคบอย่างชั้นใส่ของ ตู้เสื้อผ้า หรือท่อลม

ถ้าไม่ได้รับการรักษาในสามวัน อาการหายใจขัดและความเจ็บปวดจากกระดูกงอกจะทำให้เหยื่อหยุดตอบสนองและเคลื่อนไหวไม่ได้ ถึงตอนนี้ เหยื่อก็จะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนสภาพสุดท้ายไปเป็น"รังกระดูก" โดยจะม้วนตัวในท่าคุดคู้ โครงสร้างกระดูกจะเปลี่ยนไปตามแนวของ[ข้อมูลปกปิด]จนกระทั่งร่างของเหยื่อคล้ายกับทรงกลมและมีขนาด3/4ของขนาดเดิม การงอกของกระดูกนั้นก็จะยังดำเนินต่อไปและถ้าเป็นไปได้ก็จะยึดตัวเองไว้กับตำแหน่งที่อยู่ โครงสร้างกระดูกในตอนนี้จะแทบไม่เหลือเค้าเดิม กลายเป็นเหมือน"กรง"สำหรับป้องกันอวัยวะภายในและรัง

ถึงตอนนี้ การแปลงสภาพก็เสร็จสมบูรณ์ ตัวราชินีซึ่งเข้าไปในร่างเหยื่อนั้นจะออกลูกมาตั้งแต่ 20-30,000 ตัว ซึ่งมีทั้งแมลงงาน ตัวผู้ และทหาร เหมือนระบบรังของแมลงโดยทั่วไป เนื่องจากมีแต่ราชินีเท่านั้นที่ขยายพันธุ์ได้ จึงนับเป็นโชคดีที่แมลงตัวอื่นๆไม่มีอันตรายอะไร นอกจากทหารที่มีคีมหางเท่านั้น โครงสร้างภายในของเหยื่อในตอนนี้นั้นแทบไม่เหลือเค้าของมนุษย์ อวัยวะบางส่วนถูกกินเป็นอาหาร ขณะที่บางส่วนถูกแมลงงานดัดแปลงเป็นห้องวางไข่ ที่น่าทึ่งก็คือการใช้ระบบย่อยอาหารของเหยื่อเปลี่ยนอินทรีย์วัตถุที่ทหารเก็บมาเป็นสารอาหารเหลว ซึ่งใช้เป็นแหล่งอาหารของแมลงในรังและเลี้ยงชีพของเหยื่อที่เป็นรังไว้

เมื่อผ่านไป4-6เดือน ก็จะเกิดราชินีตัวใหม่ซึ่งจะผสมพันธุ์กับตัวผู้ แล้วพวกแมลงก็จะทำลายรังโดยเจาะ[ข้อมูลปกปิด]ออกมา ทำให้พวกแมลงส่วนใหญ่ตายหมด แมลงงานและตัวผู้นั้นไม่สามารถเอาตัวรอดนอกรังได้ ส่วนทหารที่หมดหน้าที่แล้วก็จะเร่ร่อนไปนอกรัง ซึ่งทหารนั้นจะไม่กินอะไรนอกจากสารอาหารเหลวที่ผลิตจากรังของตน ส่วนราชินีตัวใหม่ซึ่งอยู่ในสภาพพร้อมขยายพันธุ์ก็จะออกไปสร้างรังของตนเอง น่าประหลาดใจที่เหยื่อจะไม่ตายเพราะอาการบาดเจ็บตอนรังถูกย้าย แต่เป็นการขาดอาหารต่างหาก

อาการ Fibrodysplasia Ossificans Progressiva ขั้นรุนแรง

เพิ่มเติม

สิ่งที่เราได้เรียนรู้เพิ่มเติมอย่างน่าสยอง ดร.██████ได้ทำการทดลองเพื่อตรวจสอบระดับความเสียหายต่อร่างของเหยื่อหลังการแปลงสภาพแล้ว โดยจากการชันสูตรก่อนหน้านี้ทำให้เราทราบว่าแม้สมองส่วนหนึ่งจะถูกเจาะเพื่อใช้เป็นอาหาร ส่วนอื่นก็จะยังอยู่ดี ซึ่งเชื่อว่าเป็นการคงการทำงานของร่างกายเอาไว้ ในการทดลองครั้งล่าสุด ██████ได้ถือโอกาสตรวจสอบสภาพในเวลาไม่นานหลังการแปลงสภาพอย่างใกล้ชิด แม้ว่าดวงตานั้นจะถูกใช้เป็นอาหารเช่นกัน แต่ขณะที่██████ทำการตรวจสอบนั้นมันยังอยู่ดี เธอได้เปิดเปลือกตาแล้วใช้ไฟฉายส่อง และก็พบว่าดวงตาของเหยื่อนั้นขยับตามแสงไฟ การทดลองถูกยุติทันที และไม่มีกำหนดการทดลองใดๆอีก