กลุ่มในความสนใจ

Groups of Interest (ยังไม่จบ)

ว่าด้วยผู้จองจำ (Jailors)

กลุ่มที่รู้จักกันในชื่อผู้จองจำนั้นเรียกตนเองว่า"สถาบัน" ในหลายๆแง่นั้น พวกมันเก่าแก่ที่สุดและอันตรายที่สุดในหมู่ผู้ที่จะใช้เราเพื่อผลประโยชน์ของตน พวกมันเย็นชา รอบคอบ และระมัดระวัง และหากพวกมันสามารถหาทางเปิดประตูหรือรีดเร้นความรู้จากคนของเราคนหนึ่งได้แล้ว เราก็จะอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง เท่าที่รู้นั้นการอ้างอิงถึงพวกมันครั้งแรกอยู่ในข้อเขียนปี 1344 ผู้ถูกสาปแช่ง ซึ่งกล่าวถึงพวกมันด้วยรูปไวยากรณ์อดีต ราวกับรู้ว่าพวกมันอยู่ที่นั่นเสมอมา

ตำรานั้นกล่าวถึงผู้ที่ถูกทอดทิ้งให้ผู้จองจำดูแลอย่างมากมาย แต่ครั้งแรกที่กล่าวถึงพวกมันในนามดังกล่าวนั้นอยู่ในเรื่องราวของคัลลาไฮน์ บินฮาลาทีป (การผจญภัยของบินฮาลาทีปนอกเหนือจากนี้นั้นอยู่ใน หนังสือแห่งหน้ากากและคนแคระ) ซึ่งยอมให้ตนเองถูกจับกุมเพื่อช่วยภารดาร่วมสายเลือด (บางแหล่งก็ว่าเป็นคนรัก) ผู้ที่เขาพบว่าถูกทรมานและทำให้พิการเสียแล้ว เท่าที่เรารู้นั้น บินฮาลาทีปเป็นคนแรกที่เรียกพวกมันเช่นนั้น

ในขณะนี้ เราขอแนะนำให้ถอนตัวออกมาโดยเร็วหากว่าพบพวกผู้จองจำ มีเพียงหกครั้งในประวัติศาสตร์ของมันที่เราสามารถเข้าไปยังที่มั่นของพวกมันได้สำเร็จ และเพียงสองครั้งที่หลบหนีมาได้โดยไร้ความเสียหาย เราโชคดีมากที่ได้รับความช่วยเหลือในการขจัดเสียงของพระเจ้าจากการครอบครองของมัน (ยังไม่ทราบว่าพวกมันได้สิ่งนั้นไปอย่างไร และเราต้องระแวงไว้ว่ามีเงื้อมมืออื่นนอกจากพวกเราในการนี้) และหากมีโอกาสแล้ว เราจะต้องโค่นผู้ทรยศซึ่งพวกมันคุ้มครองอยู่ (ข้ารู้สึกถึงสายตาของเจ้าได้ ไอ้เฒ่า เราจ้องมองอยู่ เรายังรออยู่ ขอเวลาหน่อยเถอะ เจ้าจะต้องล้มลง) แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้น ปล่อยพวกมันไว้อย่างนั้น อสรพิษต้องรู้ว่าเมื่อใดจึงจะฉกส้นเท้าที่หุ้มเกราะไว้ได้

ว่าด้วยผู้เผาตำรา (Bookburners)

พวกผู้เผาตำราเป็นกลุ่มเล็กๆกลุ่มใหม่ของเหล่าผู้คนที่เขลาและหวาดกลัวซึ่งทำในสิ่งที่เหล่าผู้คนซึ่งโง่เขลาและหวาดกลัวทั้งหมดทำกัน ทำลาย พวกมันนั้น...น่าเศร้ายิ่งนัก เป็นมนุษย์ และด้วยเหตุนั้นพวกมันจึงตกเป็นเหยื่อของความผิดพลาดทั้งหลายที่เหล่ามนุษย์เป็นเหยื่อ ความกระหายในการทำลายล้าง ชิงชังสิ่งที่ไม่รู้จัก และหวาดกลัวสิ่งที่ไม่เข้าใจ ขณะที่พวกผู้จองจำนั้นอย่างน้อยก็เข้าหาเราอย่างเย็นชาระแวดระวัง พวกผู้เผาตำราอยากจะเห็นพวกเราถูกชำแหละและเข่นฆ่า ทิ้งไว้ในนอนอยู่กลางกองเครื่องในที่จะถูกกวาดทิ้งไปราวกับเศษขยะ ไม่จำเป็นต้องบอกนะว่าเราสนุกสนานในการทำลายแผนการของพวกมัน

ผู้เผาตำรานั้นปรากฏขึ้นครั้งแรกในตอนจบของ สามสิบปีแห่งความโศกเศร้า ไม่นานหนักหลังการเผาทำลายครั้งใหญ่ได้ทำลายเศษส่วนของปีกตะวันออกไป (สิ่งอื่นๆที่สูญเสียไปในการเผาทำลายครั้งใหญ่นั้นอยู่ใน หนังสือแห่งนามที่สูญหาย และ ที่พักพิง) พวกมันรู้เรื่องพวกเราผ่านผู้จองจำ และนับแต่นั้นมาก็ไล่ล่าคนของเราอย่างไม่รู้เหนื่อย พวกมันก็แค่กลุ่มล่าสุดของพวกซาราเซ็น ครูเซเดอร์ และมองโกลซึ่งสนใจเพียงการขืนใจและความตาย ตามที่พลูทาร์ชได้เห็นมาแล้ว (ในขณะนี้ยังไม่ทราบดีนักว่าความสัมพันธ์ระหว่างพลูทาร์ชกับชานาเกียซึ่งเป็นผู้เก็บเอกสารในขณะนี้เป็นอย่างไร แม้จะรู้ว่าเขาได้รับอนุญาตให้เข้าถึงกรุที่ห้ามาแล้วสามครั้ง ซึ่งจนถึงขณะนี้นับว่ามากกว่ามนุษย์คนอื่นๆ)

พวกมันควรจะหลีกเลี่ยง แต่อย่าได้หวาดกลัว

ว่าด้วยผู้ถูกแขวนคอ (Hanged One)

สิ่งที่ในขณะนี้รู้จักกันในชื่อราชาผู้ถูกแขวนคอนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ที่อยู่ในหอสมุด (ชื่ออื่นๆก่อนหน้าที่สิ่งนี้เคย"อ้าง"ว่าเป็นของมันนั้นก็มี อโพธีออน สีพินอิน และเนอร์กัล ซึ่งอย่างน้อยนั้น ชื่อเนอร์กัลก็รู้แล้วว่าเป็นของปลอม) ทว่า ในช่วงเวลาที่มันอาศัยอยู่นี้ หอสมุดได้โดดเดี่ยวตนเองมากขึ้นทุกที ขอบเขตของมันก็คับแคบลงทุกที ปัญหาเหล่านี้ในที่สุดก็ถึงจุดแตกหักในช่วงสิ้นสุดของศตวรรษที่ 11 ซึ่งความรู้มากมายนั้นจู่ๆก็ถูกยืมออกไปจากหอสมุดและสูญหายไป (ข้อมูลเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วได้คืนมาหลังสิ้นยุคมืดและการกลับมาของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา) ความหวาดกลัวต่อความรู้และการเติบโตของบุคคลในโลกภายนอกนั้นได้ขึ้นสูงจนต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการฟื้นฟู และบางส่วนของความรู้สึกนั้นก็ยังหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้

ราชาผู้ถูกแขวนคอนั้นเป็นสิ่งอันเก่าแก่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ซึ่งมีนามมากมายยิ่งกว่าดวงดาว ข้อเขียนโบราณของบาบิโลนที่ทำให้มันเติบโตนั้นถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็มีครั้งคราวที่อิทธิพลของมันปรากฏอยู่บ่อยขึ้นและบ่อยขึ้น บ้างก็ถือว่ามันคือต้นตอของความหวาดกลัวที่ถูกเขียนเป็นถ้อยคำครั้งแรก และบ้างก็ว่ามันเก่าแก่ยิ่งกว่านั้น (สำหรับการเสวนาที่สมบูรณ์นั้น ให้ดูใน "การกลับมาของความรู้ กำเนิดใหม่ของชีวิต" ของ M. สิโมนี และ เชสเตอร์ T. คอบเบิลฮิวเวอร์ ปี 1560)

ว่าด้วยนายวานิช (Merchants)

หอสมุดยังคงมีความสัมพันธ์อันดีกับตัวตนปัจจุบันของเหล่านายวานิช ซึ่งเรียกตนเองว่ามาแชล คาเตอร์ แอนด์ดาร์ค จำกัด พวกมันเจาะเข้าไปในรังของผู้จองจำและผู้วิปลาสให้เราและเก็บเอาสิ่งที่จำเป็นโดยแลกกับสำเนาของตำราที่สาปสูญไปแล้วเล็กน้อย ก็เหมือนกับบรรพบุรุษของพวกมันนั่นแหละ ขณะที่คู่หูซึ่งมองเห็นได้ของพวกมัน มองซิเออร์มาแชลกับคาเตอร์ คิดว่าพวกตนเป็นองค์กรเช่นนี้เพียงหนึ่งเดียว รูปแบบต่างๆของนายวานิชนั้นคงอยู่มาตลอดยุคสมัย ยิปซิมนัม ย่านเคหาของไชล็อก และเดอะแบล็คมาเก็ต นั้นได้รับบทบาทนี้มาก่อนหน้า แต่ละกลุ่มก็คิดว่าตนเป็นพวกแรก นวัตกรรมมันก็แบบนี้แหละ

สมาชิกคนที่สามของกลุ่ม นายดาร์ค นั้นเป็นหัวข้อที่สมาชิกของหอสมุดหลายคนสนใจอยู่บ้าง เป็นที่รู้และยืนยันได้ว่านี่คือดาร์คคนเดียวกับที่ดำเนินการให้ยิปซิมนัมโดยการบริจาคอย่างลับๆและดูแลร้านค้าจำนวนหนึ่งในย่านเคหาของไชล็อก (ยืนยันได้จากเอกสารเก่าและใบเสร็จ) นอกจากนั้น วิธีการที่ดาร์คสื่อสารนั้นบ่อยครั้งที่น่างุนงงอย่างยิ่ง บ่อยครั้งที่พบตำราในหอสมุดซึ่งมีลายมือหรือรอยจารที่ลงชื่อไว้ว่าดาร์ค (ลายเซ็นเหล่านี้นั้นได้รับการยืนยันอย่างสมบูรณ์เป็นกรณีๆไปแล้วทั้งทางอาคมและจิตวิญญาณ) ซึ่งมักจะอ้างถึงสถานการณ์ที่ต้องใช้ประโยชน์โดยเร็ว (บันทึกที่สมบูรณ์ของสิ่งนี้มีไว้บริการให้ผู้ที่สนใจใน บันทึกของจิตวิญญาณและวานิชศาสตร์ แผนกโบโซนิก ชั้นสี่) ในแต่ละกรณีนั้น เราได้รับบริการจากรุ่นปัจจุบันของนายวานิชโดยแลกเปลี่ยนกับข้อมูลนี้ ซึ่งมักจะเป็นไปด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย ถึงกระนั้นก็ขอแนะนำว่าให้ระมัดระวังการตกลงใดๆกับพวกนายวานิช น้อยครั้งที่พวกมันจะพอใจกับการแลกเปลี่ยนอันเท่าเทียม เพราะการค้าเช่นนั้นยากจะเกิดกำไรได้

ว่าด้วยผู้ภักดี (Devout)

ผู้ภักดีนั้นเป็นเหล่าสมาชิกของศาสนา—ศาสนจักรของเทพผู้แตกหัก—ซึ่งในขณะนี้ถูกผู้ที่อยู่ในหอสมุดมากมายตรวจวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง (ในขณะนี้ สมาชิกของหอสมุดไม่น้อยกว่าสามสิบคนกำลังสืบสวนสาขาและนิกายต่างๆในศาสนจักรอยู่ ส่งรายงานการไปมาของพวกเขาเกือบทุกวัน การที่หูตาของหัตถ์เหล่านี้จะแลกเปลี่ยนนิกายกันเป็นระยะนั้นเป็นเรื่องปกติ ผู้ที่สื่อสารจึงอาจเปลี่ยนชื่อไปบ่อยครั้ง โปรดตรวจสอบเอกสารเทียบกันเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน) เหล่าผู้ศรัทธาเชื่อว่าสิ่งของจำนวนหนึ่งซึ่งกระจัดกระจายไปทั่วโลกในเงื้อมมือของกลุ่มต่างๆ (ในขณะนี้ ผู้จองจำได้ครอบครองไว้หลายชิ้น ซึ่งมีข่อเสนอให้เราทำการปลดปล่อยสักหนึ่งหรือสองชิ้นให้ผู้ภักดีเพื่อให้พวกมันวางใจเราในการสังเกตการณ์มากขึ้น) และตำราอาคมนั้นเป็นชิ้นส่วนของตัวตนแบบเทพเจ้า (มีการเชื่อกันอย่างแข็งขันว่าในขณะนี้นั้นมีชิ้นส่วนอย่างน้อยหนึ่งชิ้นของเทพแห่งผู้ภักดีอยู่ในการครอบครองส่วนตัวของนักสะสมซึ่งได้ซื้อไปจากโรงประมูลของคริสตีในปี 1989 ชายผู้นี้นั้นรู้จักกันเพียงนามสมมุติว่า COG ซึ่งต้องทำการสอบสวนเพิ่มเติมอีก) แม้ว่าตอนนี้พวกมันจะพยายามคืนสภาพให้ตัวตนนี้อยู่ ก็มีข้อถกเถียงอย่างเร่าร้อนในหอสมุดเกี่ยวกับกระบวนการนี้ นั่นคือ...

ตัวตนนี้เคยคงอยู่จริงๆและได้แตกกระจายไป หรือมันไม่เคยมีอยู่และกำลังกำกับการกำเนิดของตัวมันเอง? (ข้อมูลเพิ่มเติมจากนี้ ให้ดูในข้อเขียนอันละเอียดของมุฮัมมัด อัลชรานาอี การทำลายความศักดิ์สิทธิ์ และ เอกสารสั้นของไฮน์ริช ริคเตอร์ ขึ้นสู่อำนาจอันไม่สิ้น)

ผู้ที่เชื่อวามันเคยมีอยู่นั้นได้ตั้งทฤษฏีต่อมาว่าอะไรที่อาจเกิดขึ้นกับบางสิ่งซึ่งสำคัญต่อการเป็นไปของโลกถึงขนาดนั้นและทำให้มันไม่เป็นหนึ่งเดียวอีกได้ อีกพวกก็เชื่อว่าในอนาคตนั้น สิ่งนี้จะกลายเป็นตัวตนและชี้นำผู้ที่สร้างมันถึงการก่อสร้างมันในอดีต ไม่ว่าอย่างไร ความเป็นไปได้ของศรัทธาอันแท้จริงที่เจ็ดก็เป็นที่หลงใหลของพวกเราส่วนใหญ่ (สำหรับรายละเอียดเต็มของศรัทธาอันแท้จริงนั้น ให้แนะนำดูใน ศรัทธาอันแท้จริง ฉบับปรับปรุงและเรียบเรียงใหม่ของเอลเลียต ชมิดท์ ซึ่งได้รวมเอาการตรวจวิเคราะห์นิกายมอร์มอนและได้เอาข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างมากของลัทธิกินเนื้อมนุษย์ซึ่งอยู่ในฉบับ 1644 ออกไป) และหัตถ์ก็จับตาดูกลุ่มนี้อยู่อย่างใกล้ชิดในขณะที่พวกมันหาคำตอบของพวกมันเอง

ว่าด้วยสิ่งที่มิเคยเป็น (Neverwere)

มันมีสิ่งซึ่งเก่าแก่กว่า อันตรายกว่า และน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่มีอยู่ สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ ต่อไปก็ไม่มีอยู่ และบัดนี้ก็ไม่มีอยู่ แต่พวกมันต้องการ เราเรียกตัวตนเหล่านี้ว่าสิ่งที่มิเคยเป็น พวกมันเคลื่อนไปมาในมุมอันซ่อนเร้นของสถานที่ เพียงพ้นสายตาไปนิดเดียวเท่านั้น "เศษส่วนอันถูกสร้างขึ้นของเรื่องราวที่ถูกลืม มหากาพย์ที่สาปสูญ และความฝันที่ถูกทอดทิ้ง" (จาก ตำนานของรุ่งอรุณแห่งมนุษย์และปกรณัมอันแท้จริงอื่นๆ ของธอร์กแห่งแดนเหนือ สมัยโบราณ)

ในครั้งโบราณกาล (ตามที่มีรายงานในตำราซึ่งอาจไม่สามารถเชื่อถือได้ นิมิตรแห่งอดีตอันไกล ของเซอร์เพนติส ฮิวบริดิบิดิส ซึ่งเป็นนามปากกาของเอ็ดวิน สมีธ 1972) มรคา (the Way) นั้นสว่างและปลอดโปร่งจนสุดสายตาของท่าน และมีไม้ผลให้ผู้เดินทางแลกกับตำนานจากโลกของพวกเขา ทว่า เมื่อมีผู้คนมากเข้าที่ฝันและหายไป บอกเล่าเรื่องราวที่ถูกลืม และตายไปโดยไม่เคยได้รู้จักตนเอง มรคาก็มืดลงเรื่อย จนกระทั่ง ตามที่มีผู้อ้างไว้ สิ่งที่มิเคยเป็นก็ปรากฏขึ้น (มีคำให้การนับพันๆถึงสิ่งที่มิเคยเป็นในตำราต่างๆ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วควรจะนับเป็นเรื่องแต่งก็ตาม ถ้ามีรายงานว่าสิ่งที่มิเคยเป็นนั้นเอ่ยวาจาก็ถือได้ว่าเรื่องนั้นผิดแล้ว ดังที่เหล่าผู้ศึกษาเห็นพ้องกันโดยทั่วไปว่าสิ่งที่มิเคยเป็นจะพูดกับผู้ที่ติดกับของมันแล้วเท่านั้น) บ้างก็อ้างว่าสิ่งที่มิเคยเป็นนั้นเป็นเพียงวิญญาณของผู้ที่นับถือเหล่าที่เทพที่ตายแล้ว แสวงหาโอกาสที่จะได้มาซึ่งการช่วยไถ่บาปอีกครั้ง (สำหรับการวิเคราะห์ที่น่าทึ่งอันนี้และเรื่องที่คล้ายกันอื่นๆนั้น ดูได้ใน ศรัทธาที่ล่มสลายและวิญญาณอันนิรันดร์ ของ N. เบนนาร์โด มัลกี) ขณะที่ผู้อื่นยังคงกล่าวว่าพวกมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจินตนาการที่ได้รับการและรูปพื้นฐานจากมรคา

ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่เดินทางบนมรคาก็เริ่มหายตัวไป และมีสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่เริ่มปรากฏขึ้นมา แต่ก็ไม่เคยมีการพบเห็นสิ่งที่มิเคยเป็นซึ่งเป็นตัวตนสมบูรณ์มานับพันปีแล้ว เพราะพวกมันก็ไล่ล่ากันเองเช่นกัน ตัวที่ได้รับการคงอยู่มานั้นปกติแล้วจะถูกพวกพ้องของมันกัดกินไปแทบจะในบัดดล

ว่าด้วยผู้ไร้นาม (Nameless One)

ในประวัติศาสตร์ของหอสมุดนั้นมีผู้ที่หันไปเสียจากเราเพียงหยิบมือ ล่าสุดนั้นผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้ทรยศได้หนีไปจากโถงของเราและหลบซ่อนอยู่ ทว่า ที่ยังคงเป็นที่จดจำได้มากที่สุดนั้นก็ยังคงเป็นผู้แรกเสมอ ก็นับว่าย้อนแย้งกันอยู่ทีเดียว ผู้ไร้นามนั้นทรยศหอสมุดเมื่อเขาได้ให้กำลังของสัตว์ร้ายจำนวนหนึ่งซึ่งถูกผูกมัดด้วยเสน่ห์ของเขาเข้ามาในนี้ เพื่อจะเข้าไปยังห้องอันลึกที่สุดด้วยเหตุผลที่ไม่อาจรู้ ก่อนหน้านั้น เขาเป็นผู้ศึกษาในตำนานและอาคมของเราซึ่งได้รับการนับถืออย่างดี หนึ่งในนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหอสมุด

เพื่อเป็นการตอบโต้ เหล่าผู้แรกเริ่มได้เปิดตำราแต่ละเล่มซึ่งมีนามของเขาแล้วขีดมันออกไปจากข้อความเสีย ลบมันออกไปจากความทรงจำของพวกเขาและความทรงจำของผู้ที่อยู่ใกล้เขา ปลดเปลื้องอำนาจส่วนใหญ่ของเขาออกไป แต่เขาก็ยังคงทนผ่านกาลเวลาอยู่ได้ และก็ยังคงกัดติดเป้าหมายของเขา แต่ก็ปล่อยเขาไว้แบบนั้นแหละดีแล้ว ให้ถูกลืมไป ผู้ที่ได้พบกับเขานั้น ขอแนะนำว่าให้หนีมาซะ

ว่าด้วยผู้หลงเหลือ (Remnant)

เหล่าเทพผู้ถูกผลักไส ผู้เร่ร่อน และไร้ที่อยู่จากโลกต่างๆซึ่งได้เคลื่อนไปสู่สิ่งอื่นแล้ว ฝันร้ายที่มีชีวิตและทวยเพทที่ถูกลืมนั้นได้รวมกันด้วยจุดประสงค์เดียว ให้ได้จดจำ สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้าพวกมันเอาหนังสือซึ่งบอกเล่าชีวิต ความเชื่อ หรืออำนาจของพวกมันเข้ามาไว้ในหอสมุดได้ พวกมันก็จะได้รับความเป็นอมตะ แม้ว่ามันเป็นเป็นความจริงอยู่ในแง่หนึ่ง (จะมีสิ่งใดอีกเล่าที่ยั่งยืนและเป็นอมตะเหมือนถ้อยคำที่เขียนไว้? -L.S.) ส่วนใหญ่แล้วก็เลือนหายไปในขณะที่กำลังเขียนอยู่ เพระาว่าพวกมันล้วนแต่มายังหอสมุดเมื่อเข้าตาจนสุดขีดแล้วเท่านั้น (สำหรับการวิเคราะห์เหล่าเทพเจ้าและสิ่งดำรงชีพของพวกมันที่นับว่าแม่นยำพอดูแต่แห้งแล้งอย่างเจ็บปวดนั้น โปรดพิจารณา วันเวลาของอิชตาร์ บันทึกประจำวันที่เป็นการวิเคราะห์อย่างน่าแปลกใจของเทพีแห่งความรักของเมโสโปเตเมีย อีกอย่าง มันเป็นข้อเขียนถึงหลายชั่วรุ่นแห่งเผ่าพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว)

กลุ่มกองเล็กๆของตัวตนเหล่านี้ได้รวมกัน ณ เวลาหนึ่ง (การประมาณเวลาอย่างแน่ชัดนั้นกระทำได้ยากเนื่องจากมีเส้นเวลาจำนวนหนึ่งที่ทาบทับกันในการพบปะนั้น) เรียกพวกมันเองว่าผู้หลงเหลือ ปฏิญาณว่าจะเชื่อในกันและกันเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายของพวกมัน (ความเชื่อของเทพเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เอาแน่ไม่ได้ แต่ความทนทานของตัวตนหลายๆตนที่ไม่มีผู้ติดตามอยู่ในโลกใดๆแล้วนั้นก็เป็นอุบัติการณ์ที่มีค่าควรแก่การตรวจสอบ) บางครั้งก็มีการพบเห็นเทพซึ่งเชื่อว่าสิ้นไปนานแล้วเดินไปตามทางเดินของหอสมุด มองหาตำราศักดิ์สิทธิ์ของมันเพื่อเตือนใจตนเองว่าครั้งหนึ่งมันเป็นใคร มีอยู่บ่อยๆที่พวกผู้หลงเหลือจะรับตัวตนเหล่านี้เข้าไป ซึ่งพวกมันจะพาไปยังสถานที่อันลึกพ้นมรคาไปอีกด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบ (มีจะมีผู้ที่พยายามหาตำแหน่งของสถานี่ซึ่งผู้พเนจรอื่นๆเรียกว่า "ที่เก็บเทพ" ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทำได้ หนังสือรวมการผจญภัยของเหล่านักสำรวจหลายๆคนนั้นได้รวบรวมไว้ในปีกตะวันตก ในหมวดสิ่งศักดิ์สิทธิ์)

ว่าด้วยนกสาลิกา (Magpies)

พวกนกสาลิกาเรียกตนเองว่า "นักสะสม" และแม้ว่าเมื่อมองเผินแล้วพวกมันจะคล้ายคลึงกับผู้จองจำพวกมันก็มีอำนาจน้อยกว่าแต่ก็เป็นภัยที่น่ารำคาญกว่าเนื่องจากความสามารถที่ท่องไปตามมรคาได้โดยตรง (ดูเหมือว่าพวกนกสาลิกาจะเดินทางได้ด้วยวิธีการตามธรรมชาติ ซึ่งกลไกที่พวกมันใช้นั้นนับว่าไม่เป็นที่รู้จักโดยสิ้นเชิง) พวกนกสาลิกาเข้ามาในหอสมุดแล้วหลายครั้ง มองหาตำราหรือเอกสาร นานๆครั้งพวกมันก็เข้าหาผู้พเนจรเพื่อพยายามให้ช่วยพวกมันเอาสิ่งที่ต้องการ (มีตำราหลายเล่มทีเดียวที่เขียนถึงการผจญภัยที่พวกนกสาลิกาส่งผู้คนไป ซึ่งรายการอย่างสมบูรณ์นั้นได้บันทึกไว้ในแผนกทางใต้อันลึก)

ในขณะนี้นั้นดูเหมือนจะไม่มีจังหวะหรือเหตุผลในสิ่งที่พวกมันหาอยู่ และแม้จะมีพวกนกสาลิกาถูกจับตัวไว้ในขณะที่เข้ามาหรือออกไปจากหอสมุด ก็มีอยู่อีกนับไม่ถ้วนที่หนีไปได้พร้อมกับตำราหรือสิ่งของ (รายการเต็มของตำราที่เชื่อว่าถูกพวกนกสาลิกาขโมยไปนั้นได้รับการปรับปรุงและแก้ไขโดยผู้เก็บเอกสารคนปัจจุบัน) การสืบสวนในธรรมชาติของพวกมันก่อนหน้านี้นั้นไม่ได้อะไร และผู้เก็บเอกสารคนที่สอง (แคดูแอล เมเซริโซ ผู้เก็บเอกสารที่รับตำแหน่งสั้นที่สุด ผู้เสียชีวิตขณะนอนหลับในครั้งแรกที่เขาให้ตนเองพักผ่อน) ก็เรียกพวกมันว่า"นกสาลิกา" เพราะดูเหมือนว่าพวกมันจะเพียงแต่หยิบฉวยเอาสิ่งใดๆที่พวกมันแลเห็น"เป็นประกาย"ไม่ว่าจะมีค่าหรือไม่ ในขณะนี้นั้นพวกนกสาลิกาถือว่าเป็นสิ่งน่ารำคาญมากกว่าอะไรอื่น

ว่าด้วยผู้วิปลาส (Madmen)

พวกผู้วิปลาสนั้นปรากฏตัวบนมรคาครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่แล้วเริ่มต้นขึ้น ในตอนแรกนั้นพวกมันได้รับการต้อนรับสู่หอสมุดเพราะเราเชื่อว่าพวกมันเป็นการบอกถึงผู้พนจรเหล่าใหม่ที่กำลังมา แต่พวกเราก็พบความผิดพลาดอย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ใช่อย่างที่พวกมันดูจะเป็น และเมื่อเราพบว่าพวกมันเคยใกล้ชิดกับผู้จองจำแล้วเราก็ขวางกั้นพวกมันอย่างเร่งรีบ ทุกวันนี้ พวกมันก็ยังคงเทียวไปตามมรคาด้วยวธีการที่ไม่ทราบ บางครั้งก็พยายามจะเข้ามาอีก มีสองครั้งที่พวกมันทำได้ แต่ละครั้งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ครั้งหนึ่งพวกมันใช้ประโยชน์จากการเผาทำลายครั้งใหญ่เข้ามา และครั้งที่สองนั้นพวกมันมีผู้พเนจรวัยเยาว์ซึ่งพวกมันได้ทำให้แตกหักและเฉือนร่างให้เชื่อฟัง

ในขณะนี้ เรายังไม่เข้าใจแรงจูงใจหรือเป้าหมายของพวกมันเต็มที่ดี นอกจากที่ผู้ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากการคร่ากุมของพวกมันเรียกพวกมันว่า ผู้หว่านความแตกแยก หรือ ดิอินเซอเจนซี (เหล่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนี้รวมถึงหลายๆคนที่ในขณะนี้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของหัตถ์อสรพิษ มีอยู่หลายคนที่ร่างกายหรือจิตใจนั้นหักพังเกินกว่าจะช่วยได้และถูกปล่อยให้อยู่ในอุ้งมือของผู้จองจำ หรือให้ผู้เผาตำราสังหาร ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นไปตามที่ผู้วิปลาสปล่อยให้เกิดขึ้น ในขณะนี้ยังไม่มีแผนการเข้าช่วยเหลือใดๆเนื่องจากอันตรายของผู้จองจำ) พวกมันดูเหมือนจะใช้เครื่องมือซึ่งพวกมันยังไม่เข้าใจถึงการใช้งานอย่างสมบูรณ์ รวมถึงสิ่งมีชีวิต (ที่น่าสนใจก็คือ ผู้วิปลาสนั้นดูจะชอบใจในการใช้อาวุธโบราณ โดยเฉพาะเครื่องมือของเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ด้วยเหตุนี้ ให้ติดตามร่องรอยของเหล่าผู้วิปลาสอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะพวกมันพร้อมที่จะฉีกกระชากโลกนี้เป็นชิ้นๆเพื่อสนองความปราถนาอันประหลาดของมัน

ว่าด้วยแดวา (Daeva)

มันเป็นเรื่องง่ายๆธรรมดาที่ความเป็นจริงจะเปลี่ยนแปลงตำรา ตัวอย่างเช่น เบโอวูล์ฟถูกเหล่าพระคริสเตียนเปลี่ยนแปลงโดยเขียนมันใหม่เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการเก็บมันไว้ในห้องสมุดของพวกเขา (โปรดพิจารณาเพิ่มเติม เจ้าชายแห่งดารา ของมาร์ติน สวอร์ทลิง และ ไบเบิล ของเยโฮวาห์) พวกแดวานั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

มีข้อสงสัยว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่งนั้น พวกแดวาก็เป็นผู้พเนจร ผู้ถูกผลักไสที่จากมาจากโลกอื่นซึ่งได้ตายไปด้วยหายนภัยบางอย่างหรือสิ่งอื่น และพวกมันบางคนก็มาถึงหอสมุดในวันเวลาของการก่อตั้ง ดังที่ยืนยันได้จาก นิทานของเสาหลัก ทว่า ณ อีกช่วงเวลาหนึ่ง พวกมันก็ไปจากความปเ็นจริงทั้งหลายตลอดกาล ทิ้งหนังสือไว้เบื้องหลัง (แม้ว่าปกนอกของหนังสือจะยังได้รับการเก็บรักษาไว้ ตัวหนังสือเอง พงศาวดารแดวา นั้นได้สาปสูญไปหลายยุคสมัยแล้ว ในขณะนี้นั้นเชื่อว่ามันอยู่ในการครอบครองของนายวานิชหรือไม่ก็ผู้จองจำ แม้ว่าการหว่านล้อมให้พวกแรกขายหนังสือนั้นจะกระทำได้ หากพวกมันรู้ถึงความสนใจของเราแล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่าราคาย่อมจะสูงขึ้นไปอย่างมากทีเดียว ไม่มีแผนการณ์ใดๆที่จะเก็บมันกลับมาหากว่ามันอยู่กับผู้จองจำ) โชคร้ายที่สิ่งนี้ไม่อาจยืยันได้โดยง่ายเลย ซึ่งเป็นเพราะธรรมชาติของเหล่าแดวาเอง

พวกแดวานั้นครอบครองข้อเขียนซึ่งอยู่ในกระบวนการที่จะเขียนตนเองไปเรื่อยๆ เมื่อมันเป็นเช่นนี้นั้น การอ้างอิงถึงมันก็จะปรากฏในเล่มอื่น (สำหรับรายการความเปลี่ยนแปลงในเชิงอรรถและข้อความที่จู่ๆก็เกิดขึ้นเองนั้น โปรดดู มรดกแห่งแดวา ซึ่งในขณะนี้นั้นแอนโตนิอุส ไทฟอนเป็นผู้ดูแลอยู่) แต่มันจะไม่ปรากฏในความทรงจำของผู้ที่เก่าแก่พอจะจดจำเหตุการณ์นั้นได้ด้วยตนเอง (ทั้ง สคารามุนเจีย และ อิราด บอกว่าไม่มีความทรงจำถึงตัวตนที่บรรยายนั้น) สิ่งที่น่ารบกวนจิตใจก็คือหลักฐานของพวกแดวานั้นดูเหมือนจะเขียนตนเองลงในประวัติศาสตร์ในขณะที่หนังสือถูกเขียนไปเรื่อยๆ ดังนั้นแม้จะมีข้อความบอกว่าพวกมันเป็นผู้พเนจรจากโลกอื่น ก็ไม่มีทางแน่ใจได้เลย

สิ่งที่แน่ใจได้ด็คือ พวกแดวานั้นมีความพยาบาทอย่างไม่ทราบเหตุผลกับหอสมุด แม้จะมีทฤษฏีว่าบางสิ่งของเวทมนตร์ของที่นี้อาจทำให้พวกมันเป็นอย่างในปัจจุบัน มีข้อความมากมายที่ปรากฏขึ้นอย่างดูไร้รูปแบบซึ่งบ่งบอกถึงสงครามระหว่างแดวากับหอสมุดและผู้ที่อาศัยอยู่ แม้ว่าจะไม่มีบันทึกถึงสงครามดังกล่าวมาก่อนก็ตาม (เหตุการณ์อย่าง 'การเฉือนคอหอยของกริฟฟอน' และ 'การสิ้นสุดแห่งศรัทธา' นั้นถูกระบุว่าเป็นจุดพลิกผันของการต่อสู้เหล่านั้น แม้จะรู้ว่าตัวตนทั้งสองนั้นได้กระทำหน้าที่ของตนอย่างน่าชื่นชม) ที่น่ากังวลที่สุดก็คือความเป็นไปได้ที่จู่ๆเหตุการณ์เหล่านี้จะมีขึ้นมาหากว่าข้อความเดิมนั้นสมบูรณ์