ตอนที่ II

<<ตอนที่ I

แสงขมุกขมัวกับเสียงรื่นเริงนั้นถูกทิ้งห่างไปด้านหลังของชาวซิมเมอเรียน เขาทิ้งเสื้อคลุมขาดๆไปแล้วและเดินฝ่าราตรีไปในสภาพเกือบเปลือยที่มีเพียงเตี่ยวและร​องเท้ารัดสูง เขาเคลื่อนไหวด้วยความนิ่มนวลของพยัคฆ์ กล้ามเนื้อแข็งกล้าเป็นลอนใต้ผิวสีน้ำตาลนั่น

เขาได้เข้ามายังส่วนของเมืองที่สงวนไว้ให้วิหารต่างๆแล้ว รอบกายเขาส่องประกายระยิบระยับสีขาวด้วยแสงดาว—เสาหินอ่อนขาวราวหิมะกับโดมทองและซุ้​มเงิน หมู่วิหารแห่งเทพประหลาดนับพันของซามอรา เขาไม่คิดเรื่องพวกนั้นให้ปวดหัว เขารู้ว่าศาสนาของซามอเรียนนั้นก็เหมือนกับทุกสิ่งของชาวเจริญที่ลงหลักปักรากมานาน คือซับซ้อนยุ่งเหยิง และได้สูญเสียแก่นแท้ดั้งเดิมของมันไปท่ามกลางวงกตแห่งบทสวดกับพิธีกรรมแล้ว เขาเคยนั่งสมาธิเป็นชั่วโมงในสวนของพวกนักปรัชญา ฟังที่พวกนักศาสนศาสตร์กับปรมาจารย์ถกเถียงกัน แล้วก็จากมาด้วยความมึนงงสับสน แน่ใจได้เพียงอย่างเดียวคือพวกนั้นล้วนแต่มีอะไรเพี้ยนในหัว

ทวยเทพของเขานั้นเรียบง่ายและเข้าใจได้ ครอมเป็นหัวหน้าของพวกนั้นและเขาอาศัยอยู่ในมหาภูผา ที่ซึ่งเขาส่งความหายนะและความตายออกมา การเรียกหาครอมนั้นไร้ประโยชน์ เพราะเขาเป็นเทพที่ป่าเถื่อน ดุร้าย และชิงชังผู้อ่อนแอ แต่เขาได้มอบความกล้าหาญแด่บุรุษในตอนที่เกิดมา กับจิตใจและกำลังที่ใช้สังหารศัตรู ซึ่งในความคิดของซิมเมอเรียนนั้น เป็นทั้งหมดที่ควรคาดหวังจากเทพทั้งปวง

ฝีเท้าของเขาไร้ซึ่งสุ้มเสียงบนทางที่ปูแวววาว ไม่มียามผ่านมา เพราะแม้แต่เหล่าหัวขโมยแห่งมาอุลก็หนีห่างจากวิหารเหล่านี้ ที่ซึ่งรู้กันว่ามีความวิบัติอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับผู้ที่ล่วงละเมิดมัน ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าของเขานั้น หอคอยคชสารปรากฏรางๆอยู่กับท้องฟ้า เขารำพึงสงสัยถึงสาเหตุที่มันได้ชื่อนั้น ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดรู้ เขาไม่เห็นเห็นช้างมาก่อน แต่ก็ทราบคร่าวๆว่ามันเป็นสัตว์ที่ใหญ่โต มีหางทั้งข้างหน้าและข้างหลัง นั่นเป็นสิ่งที่ชาวเชมิทพเนจรเคยบอกเขา สาบานว่าเขาเคยเห็นอสุรกายนั้นนับพันในประเทศแห่งชาวไฮร์คาเนียน แต่ใครๆก็รู้ว่าพวกเชมนั้นช่างโป้ปด ถึงอย่างไร ในซามอราก็ไม่มีช้าง

ตัวหอคอยนั้นเป็นประกายเย็นชาอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ท่ามกลางแสงตะวันนั้นมันสว่างไสวจนน้อยคนจะทนแสงของมันได้ และผู้คนก็บอกว่ามันทำจากเงิน มันโค้งมน เป็นทรงกระบอกเรียวๆที่สมบูรณ์แบบ สูงหนึ่งร้อยกับห้าสิบฟิต และขอบริมของมันก็เป็นประกายระยิบระยับกับแสงดาวด้วยเพชรพลอยขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่ หอคอยนั้นตระหง่านอยู่ท่ามกลางระลอกคลื่นของพรรณไม้ประหลาดในสวนที่ยกสูงขึ้นจากชั้น​ดินของเมือง กำแพงสูงรายล้อมสวนนั้น และนอกกำแพงก็คือชั้นที่ต่ำลงมา ซึ่งก็มีกำแพงล้อมไว้เช่นกัน ไม่มีแสงใดสาดส่องออกมา ดูราวกับว่าหอคอยนั้นจะไม่มีหน้าต่าง—อย่างน้อยก็ในชั้นที่สูงกว่ากำแพงชั้นใน มีเพียงเพชรพลอยที่สูงขึ้นไปซึ่งสะท้อนแสงเย็นของดวงดาวเท่านั้น

นอกกำแพงชั้นล่างหรือชั้นนอกนั้นมีพุ่มไม้ขึ้นหนา ชาวซิมเมอเรียนคืบเข้าไปใกล้แล้วยืนอยู่เคียงสิ่งกีดขวาง ใช้สายตาวัดมัน มันสูง แต่เขาสามารถกระโจนและใช้นิ้วจับสันกำแพงได้ จากนั้นการเหวี่ยงตัวเองขึ้นและข้ามมันไปนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเด็กเล่น และเขาก็ไม่สงสัยเลยว่าเขาจะผ่านกำแพงชั้นในไปได้ด้วยวิธีเดียวกัน แต่เขาก็ลังเลต่อความคิดถึงอันตรายที่กล่าวว่ารออยู่ในนั้น สำหรับเขาแล้วคนเหล่านี้ประหลาดและเร้นลับ พวกนั้นไม่ใช่พวกเดียวกับเขา—ไม่แม้แต่จะร่วมสายเลือดกับชาวบริธูเนียน เนเมเดียน และอควิโลเนียนทางตะวันตก ซึ่งวัฒนธรรมอันลี้ลับเคยทำให้เขาตื่นตะลึงมาแล้ว ชาวซามอเรียนนั้นมีมาแต่โบราณนัก และจากที่เขาได้เห็นมาก็ชั่วร้ายนักด้วย

เขาคิดถึงยารา มหานักพรต ผู้สร้างวิบัติอันแปลกประหลาดจากหอคอยที่ประดับด้วยอัญมณีของเขา แล้วชาวซิมเมอเรียนก็ขนลุกเมื่อระลึกถึงเรื่องที่เด็กรับใช้ผู้เมามายในสนามหญ้าเล่า​ให้ฟัง—ที่ยาราหัวเราะใส่หน้าของเจ้าชายผู้เป็นศัตรู แล้วชูอัญมณีที่ส่องแสงชั่วร้ายขึ้นต่อหน้า และที่แสงซึ่งสาดส่องเจิดจ้าออกมาจากมณีเลวทรามนั้นโอบล้อมเจ้าชายผู้กรีดร้องและล้ม​ลง แล้วก็หดตัวลงเป็นก้อนสีดำเหี่ยวๆซึ่งกลายไปเป็นแมงมุมดำซึ่งวิ่งไปมาอย่างไร้สติในห​้องนั้นก่อนที่ยาราจะใช้เท้าเหยียบมัน

ยารานั้นไม่ค่อยจะออกจากหอคอยเวทมนตร์ของตนนัก และก็จะทำงานชั่วร้ายให้ผู้ใดหรือประเทศใดอยู่เสมอ องค์ราชาแห่งซามอรากลัวเขายิ่งกว่าที่กลัวพญามัจจุราช และก็ทำให้ตนเมามายตลอดเวลาด้วยว่าตนไม่อาจทนต่อความหวาดกลัวนั้นในยามสร่างได้ ยารานั้นอายุมากแล้ว—ว่ากันว่าหลายร้อยปี และเสริมด้วยว่าเขาจะอยู่ไปได้ตลอดกาลด้วยเวทมนตร์จากมณีของเขา ซึ่งผู้คนเรียกกันว่าหัวใจคชสาร ซึ่งก็ไม่ได้มีเหตุผลมากกว่าที่เรียกรังของเขาว่าหอคอยคชสาร

ชาวซิมเมอเรียนที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านั้นแนบตัวกับกำแพงอย่างรวดเร็ว ในสวนนั้นมีใครบางคนผ่านมา คนที่เดินด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ โสตประสาทได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน ในสวนนี้มียามอยู่จริงๆ ซิมเมอเรียนรอด้วยคาดว่าจะได้ยินเขาผ่านไปอีกรอบหนึ่ง แต่ในสวนลึกลับนั้นก็มีแต่ความเงียบงัน

ในที่สุดความสงสัยก็นำเขา เขาโผนขึ้นเกาะกำแพงอย่างแผ่วเบาแล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปด้านบนด้วยแขนข้างหนึ่ง ตอนที่หมอบราบกับสันกำแพงที่กว้างนั้น เขาก็มองลงไปในที่ว่างกว้างขวางระหว่างกำแพงทั้งสอง ไม่มีพุ่มไม้ขึ้นใกล้ๆเขาเลย แต่เขาก็แลเห็นพุ่มไม้ที่ตัดเล็มอย่างประณีตแล้วใกล้กับกำแพงชั้นใน แสงดาวสาดส่องลงบนสนามหญ้าที่ราบเรียบและมีเสียงของน้ำพุจากที่ไหนสักแห่ง

ชาวซิมเมอเรียนหย่อนตัวลงไปด้านในอย่างระมัดระวังแล้วชักดาบมองไปรอบกาย เขาสั่นด้วยความกังวลตื่นเต้นที่ยืนอยู่ใต้แสงดาวโดยไม่มีที่กำบัง แล้วเขาก็ขยับไปตามแนวโค้งของกำแพงอย่างแผ่วเบาในเงาของมัน จนกระทั่งตนอยู่ในแนวเดียวกับไม้พุ่มที่แลเห็นก่อนหน้า จากนั้นเขาก็วิ่งไปหามันอย่างรวดเร็ว หมอบตัวลงต่ำ และเกือบสะดุดร่างที่กองอยู่ใกล้กับพุ่มไม้นั้น

เมื่อมองซ้ายขวาอย่างเร็วและเห็นว่าไม่มีศัตรูอยู่ใกล้ตัวแล้ว เขาก็ก้มลงดูใกล้ๆ แม้แต่ใต้แสงดาวสลัวนั้น สายตาอันแหลมคมของเขาก็แลเห็นชายผู้กำยำสวมเกราะเงินและหมวกเหล็กที่มีสัญลักษณ์ของร​าชองครักษ์ซามอเรียนได้ โล่และหอกวางอยู่ข้างกาย และเพียงตรวจดูก็เห็นได้ทันทีว่าเขาถูกรัดคอ คนเถื่อนมองไปรอบๆอย่างไม่สบายใจ เขารู้ว่าชายผู้นี้คือยามที่เขาได้ยินเดินผ่านไปในตอนที่ซุ่มที่กำแพงนั่นเอง เวลาผ่านไปไม่นานนัก แต่ในเวลานั้นก็มีมือนิรนามยื่นมาจากความมืดมิดและปลิดชีพทหารผู้นี้ไป

เมื่อเขม็งตาในความมืด เขาก็เห็นร่องรอยของการเคลื่อนไหวผ่านพุ่มไม้ใกล้กับกำแพง เขาโผไปที่นั่น มือจับดาบไว้ ไม่ได้มีเสียงมากไปกว่าที่เสือดำเร้นกายในราตรีเลย แต่ชายผู้ที่เขาตามไปนั้นก็ยังได้ยิน ชาวซิมเมอเรียนเห็นแนวร่างใหญ่รางๆอยู่ใกล้กับกำแพง โล่งอกที่อย่างน้อยมันก็เป็นคน แล้วผู้นั้นก็หันกายอย่างเร็วโดยหลุดเสียงออกมาเหมือนตระหนก กระโจนไปข้างหน้าและกำมือทั้งสองก่อน แล้วจึงผงะไปเมื่อดาบของซิมเมอเรียนสะท้อนกับแสงดาว ครู่หนึ่งอันตึงเครียดนั้นทั้งสองมิได้เอ่ยปาก ยืนรอรับมือสิ่งใดๆที่จะเกิดขึ้น

“เจ้าไม่ใช่ทหาร” ในที่สุดคนแปลกหน้าส่งเสียงก่อน “เจ้าเป็นหัวขโมยเหมือนข้า”

“แล้วเจ้าเป็นใคร?” ชาวซิมเมอเรียนถามด้วยเสียงกระซิบสงสัย

“ทอรัสแห่งเนเมเดีย”

ชาวซิมเมอเรียนลดดาบลง

“ข้าเคยได้ยินชื่อเจ้า ผู้คนเรียกเจ้าว่าเจ้าชายแห่งขโมย”

เสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา ทอรัสนั้นสูงพอๆกับชาวซิมเมอเรียนและหนักกว่า เขามีหน้าท้องที่อ้วนใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวทุกย่างนั้นมีแนวของวิถีอันละเอียดอ่อน ซึ่งได้แลเห็นได้จากกับดวงตาอันแหลมคมซึ่งเป็นประกายแข็งแรงแม้จะอยู่กลางแสงดาว เขาเท้าเปล่าและถือขดซึ่งดูเหมือนเชือกเรียวเล็กแข็งแรงซึ่งมัดเป็นปมไว้เป็นระยะสม่​ำเสมอ

“เจ้าเป็นใคร?” เขากระซิบ

“โคแนน ชาวซิมเมอเรียน” อีกฝ่ายตอบ “ข้ามาเพื่อหาทางขโมยมณีของยาราซึ่งคนเรียกว่าหัวใจคชสาร”

โคแนนรู้สึกได้ถึงหน้าท้องของชายผู้นั้นสั่นเทิ้มด้วยเสียงหัวเราะ แต่มิใช่การดูถูก “แด่เบล เทพแห่งหัวขโมย!” ทอรัสส่งเสียง “ข้าคิดว่ามีแต่ตัวข้าที่มีความกล้าจะลองขโมยมันเสียแล้ว เจ้าพวกซามอเรียนนี้เรียกตนเองว่าขโมย—ฮ่า! โคแนน ข้าชอบใจเจ้า ข้าไม่เคยผจญภัยร่วมกับผู้ใดมาก่อน แต่ในนามของเบล เราจะลองมันด้วยกันถ้าเจ้ายินดี”

“งั้นเจ้าก็ต้องการมณีนั่นเช่นกัน?”

“จะมีอะไรอีกเล่า? ข้าได้วางแผนมาหลายเดือน แต่สำหรับเจ้านั้น ข้าว่าคงเป็นอารมณ์ชั่ววูบล่ะสิ สหายข้า”

“เจ้าฆ่าทหารนั่น?”

“แน่นอน ข้าไถลข้ามกำแพงมาตอนที่เขาอยู่อีกด้านของสวน ข้าซ่อนตัวในพุ่มไม้ เขาได้ยินข้า หรือไม่ก็คิดว่าเขาได้ยินอะไรสักอย่าง เมื่อเขาเดินเข้ามา มันก็ไม่ใช่ลูกเล่นอะไรที่จะเข้าไปข้างหลังแล้วรัดคอปลิดชีวิตโง่เขลาของเขาเสีย เขาก็เหมือนคนส่วนใหญ่ อยู่ในความมืดแล้วก็ตาบอดเสียครึ่ง หัวขโมยที่ดีควรมีดวงตาดั่งแมว”

“เจ้าทำพลาดไปสิ่งหนึ่ง” โคแนนกล่าว

ตาของทอรัสเป็นประกายด้วยความโทสะ

“ข้า? ข้านี่นะทำพลาด? เป็นไปไม่ได้!”

“เจ้าควรจะลากศพเข้าไปในพุ่มไม้”

“นั่นมือใหม่กล่าวกับปรมาจารย์ พวกมันไม่เปลี่ยนกะยามจนถึงหลังเที่ยงคืน หากมีใครสักคนมาหาเขาในตอนนี้แล้วเจอศพของเขา พวกนั้นก็จะหนีไปหายาราในทันที ป่าวประกาศข่าวออกไป และก็ทำให้เรามีเวลาหลบหนี แต่หากว่าพวกนั้นหามันไม่พบก็จะทำการค้นทุกซอกทุกมุมแล้วจับเราได้เหมือนหนูติดกับ”

“เจ้าพูดถูก” โคแนนเห็นด้วย

“เอาล่ะ ทีนี้ฟัง เราเสียเวลากับการเสวนาสารเลวนี่ ในสวนชั้นในนั้นไม่มียาม—ข้าหมายถึงยามที่เป็นคน แต่มันก็มีผู้เฝ้าระวังที่ร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะพวกมันนั่นเองที่ทำให้ข้าอับจนอยู่นาน แต่ในที่สุดข้าก็หาวิธีกำจัดพวกมันได้แล้ว”

“แล้วพวกทหารที่อยู่ชั้นล่างของหอคอยล่ะ?”

“เจ้าเฒ่ายาราอยู่ในห้องข้างบน เราจะเข้าไปทางนั้น—แล้วก็ออกมา ข้าหวังว่าอย่างนั้น อย่าถามข้าว่าจะทำอย่างไร ข้าได้เตรียมหนทางไว้แล้ว เราจะเล็ดลอดลงไปจากยอดหอคอย บีบคอเจ้าเฒ่ายาราก่อนที่มันจะร่ายคาถาต้องสาปใดๆใส่เราได้ อย่างน้อยเราก็จะลองดู โอกาสที่จะถูกสาปเป็นแมงมุมหรือคางคก แลกกับความมั่งคั่งและอำนาจในโลกนี้ หัวขโมยชั้นดีทุกคนรู้จักการเสี่ยงภัยทั้งนั้น”

“ข้าจะทำเท่าที่คนจะทำได้” โคแนนกล่าวพลางถอดรองเท้าออก

“งั้นก็ตามข้ามา” แล้วทอรัสก็หันไปกระโดดขึ้นเกาะกำแพงก่อนดึงตัวขึ้นไป ความพลิ้วไหวของชายผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์เมื่อคำนึงถึงร่างของเขา มันเกือบดูเหมือนกับว่าเขาโผนขึ้นไปบนสันกำแพงนั่น โคแนนตามไปแล้วหมอบลงบนนั้น พวกเขาพูดกันด้วยเสียงกระซิบ

“ข้าไม่เห็นแสง” โคแนนรำพึง ส่วนล่างของหอคอยนั้นก็ดูเหมือนส่วนที่แลเห็นได้จากนอกสวน—ทรงกระบอกแวววาวที่สมบูรณ​์แบบซึ่งไม่มีช่องทางอันแลเห็นได้

“มันมีประตูและหน้าต่างที่สร้างอย่างแยบยลอยู่” ทอรัสตอบ “แต่มันปิดแล้ว พวกทหารหายใจด้วยอากาศที่เข้าไปทางข้างบน”

สวนนั้นกลายเป็นแอ่งของเงามืดรางๆ ซึ่งไม้พุ่มและต้นไม้ที่กระจายไปต่ำๆนั้นโอนเอนอย่างมืดมัวใต้แสงดาว จิตอันระมัดระวังของโคแนนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเภทภัยที่ล่องลอยอยู่เหนือมัน เขารู้สึกได้ถึงแววอันลุกโชนของดวงตาที่ยังไม่เห็น และเขาก็ได้กลิ่นจางๆซึ่งทำให้เขาขนลุกตามสัญชาตญาณ เหมือนสุนัขล่าเนื้อที่ได้กลิ่นศัตรูเก่าแก่

“ตามข้ามา” ทอรัสกระซิบ “อยู่หลังข้าไว้ หากเจ้ายังรักชีวิต”

ชาวเนเมเดียนดึงสิ่งที่ดูเหมือนท่อทองแดงออกจากเข็มขัดแล้วทิ้งตัวลงบนสนามหญ้าด้านใ​นกำแพงอย่างแผ่วเบา โคแนนตามไปติดๆ พร้อมจะใช้ดาบ แต่ทอรัสดันเขาถอยไปชิดกับกำแพงโดยที่ตนเองก็ไม่มีท่าทีจะเดินหน้า ท่าทางของเขานั้นเป็นการรอคอยอย่างตึงเครียด และสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังมวลเงาของพงไม้ที่ห่างออกไปไม่กี่หลาเช่นเดียวกับโคแนน​ พงไม้นั้นสั่นไหวแม้ว่าลมจะสงบแล้ว จากนั้นดวงตาคู่หนึ่งก็เป็นประกายจากเงาที่สั่นไหวนั้น และด้านหลังของมันก็มีประกายแสงอื่นอยู่ในความมืด

“สิงโต!” โคแนนพึมพำ

“ใช่ ตอนกลางวันพวกมันถูกขังไว้ในถ้ำใต้หอคอย นี่คือสาเหตุที่ไม่มียามในสวนนี้”

“มองเห็นห้าตัว อาจจะมีในพุ่มไม้ข้างหลังนั่นอีก พวกมันจะพุ่งเข้ามา—”

“เงียบ!” ทอรัสส่งเสียงขู่แล้วก็เคลื่อนกายออกไปจากกำแพงอย่างระมัดระวังราวกับกำลังทรงตัวบนใ​บมีดและยกท่อเรียวนั้นขึ้น เสียงคำรามต่ำๆดังจากเงามืดและดวงตาที่โชติช่วงก็เคลื่อนมาด้านหน้า โคแนนรู้สึกได้ถึงฟันที่เปื้อนน้ำลาย หางที่เป็นพู่สะบัดไปด้านข้าง อากาศเริ่มอึดอัดขึ้น—ชาวซิมเมอเรียนจับดาบตนไว้ รอการกระโจนและแรงกระแทกอันไม่อาจต้านทานได้จากร่างอันใหญ่โต แล้วทอรัสก็ยกปลายท่อขึ้นจรดริมฝีปากของตนก่อนเป่าอย่างแรง ละอองสีเหลืองพุ่งออกไปเป็นสายยาวจากอีกด้านของท่อซึ่งกระจายออกเป็นหมอกหนาสีเหลือง​เขียวที่เข้าปกคลุมพุ่มไม้บดบังดวงตาที่เป็นประกายนั่น

ทอรัสรีบวิ่งกลับมาที่กำแพง โคแนนมองโดยที่ไม่เข้าใจ หมอกหนานั้นบดบังพุ่มไม้ไว้และไม่มีเสียงใดๆออกมา

“หมอกนั่นมันอะไร?” ซิมเมอเรียนถามอย่างไม่สบายใจ

“มัจจุราช!” เนเมเดียนส่งเสียง “หากว่ามีลมพัดมันกลับมาหาเรา เราก็ต้องหนีขึ้นไปบนกำแพง แต่ไม่หรอก ตอนนี้ลมสงบและมันก็แผ่ออกไปแล้ว รอให้มันหายไปให้หมดก่อน เพราะการสูดมันเข้าไปนั้นหมายถึงความตาย”

ครู่หนึ่งมันก็เหลือเพียงเศษเสี้ยวสีเหลืองที่อ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศราวกับภูตผี แล้วก็หายไป และทอรัสก็ทำท่าให้เพื่อนร่วมทางเดินหน้า พวกเขาย่องไปทางพุ่มไม้ แล้วโคแนนก็อ้าปากค้าง ที่เรียงรายอยู่ในเงานั้นคือร่างสีน้ำตาลขนาดใหญ่ห้าร่าง ประกายในดวงตาอันดุร้ายของพวกมันหม่นมัวไปตลอดกาล กลิ่นหอมชวนอึดอัดยังคงอยู่ในอากาศ

“พวกมันตายโดยไม่ได้ส่งเสียง!” ซิมเมอเรียนพึมพำ “ทอรัส ผงละอองนั่นคืออะไร?”

“มันทำจากดอกบัวดำที่บานในป่าลึกแห่งคิไท ที่ซึ่งมีเพียงพวกนักพรตกะโหลกเหลืองแห่งยุนอาศัยอยู่ ดอกไม้นี้จะนำพาความตายมาสู่ทุกผู้ที่ดมมัน”

โคแนนคุกเข่าลงข้างร่างใหญ่โตเหล่านั้นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันไม่อาจเป็นภัยแล้วจริง​ๆ เขาส่ายศีรษะ เวทมนตร์ของต่างแดนนั้นทั้งลึกลับและน่าสะพรึงกลัวต่อคนเถื่อนแห่งทางเหนือ

“ทำไมเจ้าถึงสังหารพวกทหารในหอคอยด้วยวิธีเดียวกันไม่ได้หรือ?”

“เพราะนั่นเป็นผงละอองทั้งหมดที่ข้ามีแล้ว ลำพังการเอามันมานั้นก็นับเป็นวีรกรรมที่พอจะทำให้ข้ามีชื่อเสียงในหมู่หัวขโมยบนโลก​ได้เลย ข้าขโมยมันมาจากกองคาราวานของสไตเกีย แล้วข้าก็ยกมันซึ่งอยู่ในคราบของถุงทองจากขดของมหาอสรพิษที่เฝ้ามันอยู่โดยที่ไม่ทำใ​ห้มันตื่น แต่มาเถอะ ในนามแห่งเบล! เราจะเสียเวลาคืนนี้ไปกับการพูดคุยกันหรือไร?”

พวกเขาถลาผ่านพุ่มไม้ไปยังตีนหอคอยแวววาว และที่นั่น ทอรัสก็คลายเชือกที่มัดไว้เป็นปมซึ่งปลายด้านหนึ่งนั้นเป็นตะขอเหล็กกล้าด้วยการเคลื​่อนไหวที่ไร้สุ้มเสียง โคแนนรู้แผนของเขาและมิได้ถามอะไรเมื่อชาวเนเมเดียนจับเชือกต่ำลงมาจากตะขอไม่มากนัก​ แล้วก็เริ่มกวัดแกว่งมันเหนือหัว โคแนนแนบหูฟังกับผนังที่เรียบลื่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร แน่ชัดว่าพวกทหารข้างในมิได้ตระหนักว่ามีผู้บุกรุกซึ่งมิได้ทำให้เกิดเสียงใดดังไปกว​่าสายลมยามราตรีที่พัดผ่านแมกไม้ แต่คนเถื่อนก็ยังมีความระแวงประหลาด อาจจะเป็นเพราะกลิ่นสาบสิงโตซึ่งมีอยู่ทั่ว

ทอรัสใช้แขนอันทรงพลังเหวี่ยงเชือกด้วยการเคลื่อนไหวอันไหลลื่นและเฉียบคม แนวของตะขอนั้นโค้งขึ้นและหันเข้าอย่างแปลกประหลาดจนยากจะบรรยายได้ และหายลับไปเหนือขอบฝังอัญมณี ดูเหมือนว่ามันจะติดอยู่อย่างมั่นคง เพราะเมื่อกระตุกและดึงอย่างแรงดูแล้วก็มิได้ลื่นหรือหลุดออกมา

“มีโชคตั้งแต่ทีแรก” ทอรัสรำพึง “ข้า—”

สัญชาตญาณเถื่อนของโคแนนทำให้เขาหันกายอย่างฉับพลัน เพราะความตายเข้ามาหาทั้งสองอย่างไร้สุ้มเสียง การเหลือบมองชั่วขณะทำให้ชาวซิมเมอเรียนเห็นร่างสีน้ำตาลใหญ่โตซึ่งยกตัวขึ้นกลางหมู​่ดาวเหนือตัวเขาเพื่อตะปบ ไม่มีเผ่าเจริญผู้ใดจะเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วเพียงครึ่งของที่คนเถื่อนทำ ดาบของเขาเป็นประกายเย็นชาท่ามกลางแสงดาวด้วยประสาทในยามคับขันทั้งหมดที่เหวี่ยงมัน​ออกไป แล้วทั้งคนกับสัตว์ร้ายก็ล้มลงทั้งคู่

ทอรัสโก้งโค้งเหนือมวลนั้น สบถไม่เป็นภาษา และเห็นว่าแขนขาของเพื่อนร่วมทางกำลังเคลื่อนไหวเพื่อกระเสือกกระสนดึงตัวเองออกจากน​้ำหนักมหาศาลที่ฟุบอยู่บนตัวเขา การมองผ่านๆก็ทำให้ชาวเนเมเดียนที่ตระหนกรู้ว่าสิงโตนั้นตายแล้ว หัวกะโหลกที่ลาดเอียงของมันถูกผ่าครึ่ง เขาดึงซากนั่น แล้วโคแนนก็ผลักมันออกไปได้และลุกขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของเขา มือยังจับดาบที่มีเลือดหยด

“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า สหาย?” ทอรัสอ้าปากค้าง ยังตะลึงกับความรวดเร็วของชั่วจังหวะที่เกิดเมื่อครู่

“ไม่เลย แด่ครอม!” คนเถื่อนตอบ “แต่นั่นก็ฉิวเฉียดที่สุดในชีวิตของข้าเลย ทำไมเจ้าสัตว์ร้ายนั่นถึงไม่คำรามก่อนพุ่งมา?”

“ทุกสิ่งในสวนนี้ประหลาดทั้งนั้น” ทอรัสว่า “สิงโตที่จู่โจมอย่างเงียบกริบ—ความตายอื่นๆก็ด้วยเช่นกัน แต่มาเถอะ—การเข่นฆ่าเมื่อครู่เกิดเสียงน้อยนิด แต่หากว่าพวกมันไม่ได้หลับหรือเมามายกันแล้วพวกทหารก็อาจจะได้ยิน เจ้าสัตว์ร้ายนั่นอยู่ในส่วนอื่นของสวนและหลบรอดจากความตายแห่งดอกไม้มาได้ แต่แน่ใจได้ว่ามันไม่มีอีกแล้ว เราต้องปีนเชือกนี่—ขอถามชาวซิมเมอเรียนนิดนะว่าทำได้หรือเปล่า”

“ถ้ามันรับน้ำหนักข้าได้นะ” โคแนนแค่นเสียง ใช้หญ้าเช็ดดาบ “มันรับน้ำหนักตัวข้าได้สามคนเลยล่ะ” ทอรัสตอบ “มันทอจากปอยผมของสตรีที่ตายแล้ว ซึ่งข้าเอามาจากหลุมศพของพวกนางในยามเที่ยงคืน แล้วก็แช่ในยางน่องอันน่ากลัวเพื่อให้มันแข็งแรง ข้าจะไปก่อน—ตามมาติดๆล่ะ”

ชาวเนเมเดียนกุมเชือกแล้วเกี่ยวเข่าข้างหนึ่งไว้กับมันและเริ่มปีนขึ้นไป เขาขึ้นไปราวกับแมวซึ่งผิดกับร่างที่ดูอุ้ยอ้ายเขา ชาวซิมเมอเรียนตามไป เชือกแกว่งและบิดตัว แต่ผู้ที่ปีนอยู่ก็มิได้หยุดชะงัก ทั้งคู่เคยทำการปีนป่ายที่ยากกว่านี้มาแล้ว ขอบฝังอัญมณีระยิบระยับอยู่เหนือทั้งสองยื่นตั้งฉากออกมาจากผนัง ทำให้เชือกนั้นโยงห่างจากข้างหอคอยมาประมาณฟุตหนึ่ง—ซึ่งทำให้การปีนขึ้นไปนี้ง่ายขึ​้นมาก

พวกเขาขึ้นไปสูงขึ้นและสูงขึ้นอย่างเงียบๆ พวกเขาเห็นแสงไฟของเมืองกระจายออกไปเรื่อยๆตามที่ตนปีน ดวงดาวเบื้องบนก็ถูกแสงระยิบระยับของเพชรพลอยบนขอบนั้นทำให้จางลงเรื่อย ตอนนี้ทอรัสได้เอื้อมมือขึ้นจับขอบหอคอยแล้วดึงตนเองขึ้นไปพ้นมัน โคแนนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งที่ขอบริมนั้นด้วยตะลึงต่อเหล่าอัญมณีอันเย็นชาเม็ดใหญ่ซึ่งแ​สงแวววาวของมันทำให้เขาตาลาย—เพชร ทับทิม มรกต ไพลิน หินเทอร์ควอยซ์ มุกดา กระจุกกันอยู่เหมือนหมู่ดาวท่ามกลางโลหะเงินเป็นประกาย ตอนอยู่ห่างๆนั้นประกายที่แตกต่างกันของพวกมันดูเหมือนจะรวมกันเป็นแสงสีขาว แต่ตอนนี้ ใกล้ๆนี่ พวกมันส่องแสงเป็นเฉดของสายรุ้งนับล้าน สะกดเขาไว้ด้วยประกายระยิบระยับของพวกมัน

“นี่มันสมบัติก้อนใหญ่เหลือเชื่อเลยนะ ทอรัส” เขากระซิบ แต่ชาวเนเมเดียนกลับตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “มาเถอะ! หากเราเอาหัวใจมาได้ พวกนั้นกับอื่นๆทั้งหมดก็จะเป็นของเรา”

โคแนนปีนข้ามขอบอันส่องประกายขึ้นไป พื้นชั้นบนของหอคอยนั้นต่ำลงมาจากขอบฝังเพชรพลอยประมาณฟุตหนึ่ง มันราบ ทำจากวัสดุสีน้ำเงินเข้มสักอย่างตัดกับทองคำซึ่งสะท้อนกับแสงดาว ทำให้ทั้งพื้นนั้นดูเหมือนไพลินเม็ดใหญ่โรยด้วยผงทองเจิดจ้า ตรงข้ามจากจุดที่พวกเขาเข้ามานั้นดูเหมือนจะเป็นห้องอะไรสักอย่างที่สร้างไว้บนหลังค​า มันทำจากเงินเช่นเดียวกับผนังของหอคอย ประดับด้วยเพชรพลอยเล็กๆ ประตูบานเดียวของมันเป็นทองคำ ผิวหน้าของมันตัดเป็นเกล็ดและอัดไว้ด้วยอัญมณีที่ส่องแสงแวววาวเหมือนน้ำแข็ง

โคแนนเหลือบมองไปยังกลุ่มแสงที่เต้นเป็นจังหวะซึ่งกระจายห่างลงไปด้านล่าง แล้วมองไปยังทอรัส ชาวเนเมเดียนดึงเชือกของตนขึ้นมาแล้วขดมัน เขาให้โคแนนดูที่ที่ตะขอเกี่ยวไว้—จุดที่ลึกลงไปไม่ถึงนิ้วใต้อัญมณีเม็ดใหญ่ที่ส่อง​ประกายอยู่ด้านในขอบ

“โชคอยู่ข้างเราอีกครั้ง” เขาพึมพำ “เป็นใครก็คงคิดว่าน้ำหนักของพวกเรารวมกันจะดึงหินนั่นหลุดออกมา ตามข้ามาเถอะ จากนี้ไปต้องเสี่ยงภัยจริงๆแล้ว พวกเรามาอยู่ในรังอสรพิษ และเราไม่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ที่ใด”

พวกเขาคลานข้ามพื้นที่ส่องประกายมืดมนไปเหมือนพยัคฆ์ตามรอยเหยื่อและหยุดอยู่นอกประต​ูที่ส่องประกายนั้น เมื่อมือที่คล่องแคล่วและระมัดระวังของทอรัสลองผลักมัน มันก็เปิดออกโดยไม่ติดขัด เพื่อนร่วมทางทั้งสองมองเข้าไป เกร็งที่จะเจออะไรก็ตาม โคแนนมองข้ามไหล่ของทอรัสไปและเห็นห้องที่เป็นประกายแวววาว ทั้งผนัง เพดาน แล้วก็พื้น เต็มไปด้วยอัญมณีสีขาวซึ่งฉายแสงเจิดจ้า และดูเหมือนจะเป็นแสงไฟอย่างเดียวในนั้น ดูเหมือนจะไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด

“ก่อนที่เราจะตัดทางถอยของเรา” ทอรัสส่งเสียง “เจ้าไปที่ขอบแล้วมองดูให้ทุกด้าน ถ้าเจ้าเห็นทหารเคลื่อนไหวอยู่ในสวนหรืออะไรก็ตามที่น่าสงสัยก็กลับมาบอกข้า ข้าจะรอเจ้าในห้องนี้”

โคแนนเห็นว่าเรื่องนี้มีเหตุผลเพียงนิด และความแคลงใจในตัวเพื่อนร่วมทางก็สัมผัสจิตอันระแวดระวังของเขา แต่เขาก็ทำตามที่ทอรัสบอก ตอนที่เขาหันไปนั้น ชาวเนเมเดียนก็หลบเข้าไปในประตูและปิดมันลงเบื้องหลัง โคแนนคลานไปรอบขอบหอคอย และกลับมาที่จุดเริ่มต้นโดยมิได้เห็นการเคลื่อนไหวน่าสงสัยใดท่ามกลางระลอกใบไม้ที่พ​ลิ้วไหวเบื้องล่าง เขาหันกลับมาทางประตู ด้วยว่ามีเสียงร้องดังจากในห้อง

ชาวซิมเมอเรียนกระโจนไปข้างหน้าอย่างระทึก—ประตูแวววาวนั้นเปิดออกและทอรัสก็ยืนอยู่​ในแสงอันเย็นชาเบื้องหลัง เขาโอนเอนและอ้าปาก แต่ก็มีเพียงลมแห้งๆออกจากคอหอย เขายึดประตูทองคำเพื่อทรงตัวไว้แล้วก็ถลาออกมาบนหลังคา ก่อนล้มลงหัวทิ่ม มือกุมลำคอตนไว้ ประตูปิดลงหลังเขา

โคแนนหมอบลงเหมือนเสือดำริมฝั่งน้ำ ชั่วขณะที่ประตูเปิดอยู่ส่วนหนึ่งนั้นมองไม่เห็นสิ่งใดในห้องหลังชาวเนเมเดียนที่กำล​ังหวาดกลัว—เว้นเสียว่าเงาที่พุ่งไปตามพื้นแวววาวนั้นจะไม่ใช่การเล่นตลกของแสง ไม่มีอะไรตามทอรัสออกมาบนหลังคา แล้วโคแนนเข้าไปก้มอยู่เหนือเขา

สายตาของเนเมเดียนนั้นเบิกโพลง มองขึ้น และยังมีความตระหนกอย่างร้ายกาจ สองมือเขาข่วนลำคอตนเอง น้ำลายไหลยืดฟูมปาก แล้วจู่ๆเขาก็แน่นิ่ง และซิมเมอเรียนผู้ตื่นตะลึงก็รู้ว่าเขาสิ้นใจแล้ว เขายังรู้สึกว่าทอรัสตายไปโดยไม่ทราบว่าความตายมาหาตนในรูปแบบใด โคแนนมองอย่างตื่นๆไปยังประตูทองคำอันลึกลับ ในห้องว่างนั้น ภายในผนังประดับเพชรนิลจินดาอันระยิบระยับนั่น มัจจุราชได้มาเยือนเจ้าชายแห่งขโมยอย่างรวดเร็วและลึกลับเฉกเช่นที่เขามอบแก่เหล่าสิ​งโตในสวนเบื้องล่าง

คนเถื่อนใช้มือลูบหาบาดแผลอย่างระมัดระวังบนร่างเปลือยครึ่งท่อนของทอรัส แต่ร่องรอยของการประทุษร้ายก็มีเพียงที่ระหว่างไหล่ทั้งสอง สูงขึ้นไปใกล้กับที่ต้นคอหนาของเขา—แผลเล็กๆสามรอยที่ดูเหมือนตะปูสามอันแทงลงไปในเน​ื้อแล้วถอนออก ขอบของแผลเหล่านี้กลายเป็นสีดำ และยังได้กลิ่นเน่าอ่อนๆ ลูกดอกพิษ? โคแนนคิด—แต่ถ้าเช่นนั้นแล้วมันก็ควรจะยังติดอยู่ที่บาดแผล

เขาย่องอย่างระมัดระวังไปยังประตูทองคำ ผลักเปิดมันแล้วมองเข้าไป ห้องนั้นว่างเปล่า อาบด้วยแสงเย็นชาเป็นจังหวะของอัญมณีมากมายที่เรืองรอง ที่กลางเพดานนั้นเขาสังเกตเห็นสิ่งที่น่าสงสัย—รูปทรงแปดเหลี่ยมสีดำซึ่งตรงกลางนั้น​มีพลอยสี่เม็ดซึ่งเป็นประกายราวสีแดงเพลิงต่างจากแสงขาวของอัญมณีอื่นๆ อีกด้านของห้องนั้นมีประตูอีกบาน คล้ายกับที่เขายืนอยู่เพียงแต่มิได้สลักเป็นแนวเกล็ด เป็นประตูนั่นหรือไม่ที่มัจจุราชผ่านเข้ามา?—และถอยกลับไปทางเดียวกันหลังจากจัดการก​ับเหยื่อของมันแล้ว?

ชาวซิมเมอเรียนเข้าไปในห้องและปิดประตูลงเบื้องหลังตน เท้าที่เปล่าเปลือยของเขาไร้ซึ่งเกิดเสียงบนพื้นผลึกนั่น ไม่มีเก้าอี้หรือโต๊ะในห้องนั้น มีเพียงเบาะไหมสามสี่ตัวซึ่งปักลายทองเป็นรูปลักษณ์ประหลาดแบบอสรพิษ กับหีบไม้มะฮอกกานีเลี่ยมเงินจำนวนหนึ่ง บ้างก็ถูกปิดผนึกด้วยกุญแจทองคำหนาหนัก บ้างก็เปิดไว้ ฝาสลักของมันหงายไปด้านหลังเผยให้เห็นกองเพชรนิลจินดาซึ่งในสายตาอันตื่นตะลึงของซิม​เมอเรียนนั้นเป็นความสวยงามอันรกราวกับไม่มีผู้ใยดี โคแนนสบถเบาๆ คืนนี้เขาได้เห็นความมั่งคั่งมากกว่าทั้งหมดที่เขาเคยคิดว่าจะมีอยู่ในโลกนี้แล้ว และเขาก็เริ่มเวียนหัวเมื่อคิดถึงมูลค่าของมณีที่ตนแสวงหา

ตอนนี้เขามาถึงกลางห้องแล้ว หัวก้มไปด้านหน้าอย่างระแวดระวัง ดาบนำไปก่อน แล้วความตายก็จู่โจมเขาอย่างไร้สุ้มเสียงอีกครั้ง สิ่งเดียวที่เตือนเขาคือเงาที่ทะยานข้ามพื้นเรืองรองนั่น และการกระโดดไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณก็ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาได้เห็นความสยดสยองสีดำที่มีขนรุงรังซึ่งแกว่งตัวผ่านเขาไปและคมเขี้ยวที่เป็นฟอง​สบกันเพียงวูบเดียว แล้วบางสิ่งก็สาดใส่ไหล่เปลือยของเขาซึ่งร้อนไหม้ราวกับหยดของไฟนรกที่หลอมเหลว เขย่งถอยไป ดาบยกขึ้นสูง เขาเห็นสิ่งน่ากลัวนั้นปะทะกับพื้น หมุนตัวแล้ววิ่งมาหาเขาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ—แมงมุมยักษ์สีดำ เช่นที่ผู้คนพบเห็นแต่ในฝันร้ายเท่านั้น

มันตัวโตพอๆกับสุกร และขาที่มีขนรุงรังทั้งแปดก็พาร่างยักษ์ของมันข้ามพื้นด้วยย่างก้าวที่เหมือนโถมตัว ดวงตาแวววาวชั่วร้ายทั้งสี่ของมันฉายแสงแห่งสติปัญญาอันน่าพรั่นพรึง และเขี้ยวของมันก็มีพิษหยด ซึ่งโคแนนรู้ได้จากรอยไหม้บนไหล่ของตนที่เพียงแต่โดนเข้าไม่กี่หยดในโตนที่มันโจมตีพ​ลาดนั้นว่าชโลมไว้ด้วยความตายอันรวดเร็ว มันคือเพชฌฆาตที่ทิ้งตัวลงมาจากรังกลางเพดานด้วยใยของมันลงบนคอของชาวเนเมเดียน พวกเขาช่างโง่เขลาที่มิได้คิดว่าห้องชั้นบนนี้จะมีการป้องกันเหมือนชั้นล่าง!

ความคิดเหล่านั้นผ่านจิตของโคแนนไปในชั่วพริบตาที่เจ้าสัตว์ประหลาดวิ่งเข้ามา เขากระโดดขึ้นและมันก็ลอดใต้เขาไป หันตัวกลับแล้ววิ่งกลับมา ครั้งนี้เขาหลบการเข้าหาของมันโดยกระโดดไปด้านข้างและโจมตีกลับไปเหมือนแมว ดาบของเขาตัดขาซึ่งมีขนรุงรังของมันข้างหนึ่งขาด และเขาก็เอาตัวรอดอย่างฉิวเฉียดจากที่สัตว์ร้ายแว้งกัดได้อีกครั้ง เขี้ยวของมันสบกันราวกับปิศาจ แต่เจ้าสัตว์ร้ายก็มิได้ตามต่อ มันหันเลี้ยวแล้ววิ่งข้ามพื้นผลึกและขึ้นตามผนังจนถึงเพดาน ซึ่งมันหมอบลงมองเขาด้วยดวงตาสีแดงของผีร้าย จากนั้นมันก็ดีดตัวข้ามอากาศโดยไม่มีการเตือนใดๆ เส้นใยสีเทาเป็นเมือกตามมาเป็นสาย

โคแนนถอยหลบร่างที่ลอยมานั้น—แล้วก็รีบก้มลงหลบรอดสายใยได้ทันท่วงที เขาเห็นจุดประสงค์ของสัตว์ร้ายและกระโจนไปทางประตู แต่มันก็ไวกว่าและขังเขาด้วยสายใยเหนียวเหนอะข้ามประตู เขาไม่กล้าใช้ดาบตัดมัน ด้วยรู้ว่ามันจะติดกับคมดาบและเจ้าปิศาจร้ายก็จะฝังเขี้ยวลงบนหลังของเขาได้ก่อนที่เ​ขาจะเอามันออกไป

จากนั้นก็คือการชิงชัยที่อันตรายระหว่างไหวพริบและความว่องไวของคนกับเล่ห์กลและความ​เร็วของแมงมุมยักษ์ มันมิได้วิ่งเข้าหาตรงๆมาตามพื้นหรือเหวี่ยงตัวข้ามอากาศมาหาเขาอีกแล้ว มันแล่นไปตามเพดานและผนัง พยายามจับเขาไว้ด้วยสายใยเหนียวสีเทายาวของมันซึ่งมันฉีดออกมาได้แม่นยำอย่างยิ่งยวด​ ใยเหล่านี้หนาเหมือนเชือก และโคแนนก็รู้ว่าหากมันรัดเขาได้แล้ว แรงในยามจนตรอกของตนก็ไม่พอจะฉีกมันออกได้ก่อนที่เจ้าอสุรกายจะโจมตี

เจ้าปิศาจเต้นไปทั่วห้องท่ามกลางความเงียบงันเว้นแต่เพียงเสียงหายใจถี่ๆของเขา เสียงเบาๆที่เท้าเขาสีกับพื้นเรืองรอง และเสียงที่เขี้ยวของสัตว์ร้ายกระทบกันถี่ๆ สายใยสีเทาวางขดอยู่บนพื้น มันลากวนไปตามผนัง ซ้อนอยู่บนหีบเพชรพลอยกับเบาะไหม และห้อยเป็นพู่ระย้าขมุกขมัวจากเพดานฝังอัญมณี ดวงตาและกล้ามเนื้ออันฉับไวของโคแนนทำให้เขาแคล้วคลาดมาได้ แม้ว่าสายเหนียวเหนอะนั้นจะผ่านเขาไปอย่างใกล้ชิดจนทำให้หนังเปลือยของเขาถลอก เขารู้ว่าเขาจะหลบมันไปไม่ได้ตลอด ไม่เพียงแต่เขาต้องจับตาดูสายใยที่ห้อยจากเพดาน แต่ยังต้องคอยดูที่พื้นมิเช่นนั้นจะสะดุดขดที่วางอยู่นั่น ไม่ช้าก็เร็วห่วงเหนียวๆก็จะพันรอบตัวเขาดั่งงูเหลือม และเมื่อถูกรัดไว้เช่นดักแด้ เขาก็จะขึ้นอยู่กับความเมตตาของมัน

เจ้าแมงมุมวิ่งข้ามพื้นห้องโดยมีสายใยสีเทาโบกสะบัดตามไปหลังมัน โคแนนโดดขึ้นสูงข้ามเบาะนั่ง—เจ้าปิศาจเลี้ยวอย่างเร็วขึ้นไปบนผนัง แล้วสายใยก็สะบัดจากพื้นเหมือนมีชีวิตฟาดเข้าใส่ข้อเท้าของซิมเมอเรียน เขาใช้มือยันพื้นไว้ได้ในตอนที่ล้มนั่น สะบัดตัวอย่างบ้าคลั่งขณะที่ใยนั้นจับเขาไว้เหมือนคีมที่ยืดหยุ่นหรืออ้อมรัดของงูเห​ลือม เจ้าปิศาจขนรุงรังแล่นลงมาจากผนังเพื่อจับเหยื่อให้สมบูรณ์ ในภาวะคลุ้มคลั่งนั้น โคแนนคว้าหีบเพชรพลอยใบหนึ่งแล้วทุ่มมันสุดแรงเกิด นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่เหนือความคาดหมายของเจ้าอสุรกาย อาวุธขว้างขนาดใหญ่นั้นปะทะเข้าตรงกลางระหว่างขาที่เป็นแขนงของมันพอดี อัดมันเข้ากับผนังด้วยเสียงบดทึบๆที่น่าสยดสยอง เลือดและเมือกสีออกเขียวสาดกระเซ็น และก้อนมวลที่เป็นเสี่ยงๆก็ตกลงมาบนพื้นกับหีบเพชรพลอยที่แตกรั่ว ร่างสีดำยับบู้บี้กองอยู่ท่ามกลางกองอัญมณีที่เป็นประกายปั่นป่วนซึ่งไหลออกมาทับมัน​ ขาที่เป็นขนของมันเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร้ความหมาย ดวงตาที่ใกล้ตายเป็นประกายสีแดงท่ามกลางเพชรพลอยระยิบระยับ

โคแนนมองไปรอบๆ แต่ไม่มีสัตว์ร้ายอื่นออกมาอีก แล้วเขาก็ดึงตัวเองออกจากใย สิ่งนั้นยึดแน่นกับข้อเท้าและมือของเขา แต่ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระและหยิบดาบขึ้นมา เขาหาหนทางตามขดและบ่วงสีเทาไปยังประตูชั้นใน ความสยดสยองใดจะรออยู่นั้นเขามิอาจรู้ได้ เลือดของซิมเมอเรียนสูบฉีดแรงขึ้นแล้ว และในเมื่อเขามาไกลถึงเพียงนี้ ฝ่าฟันเภทภัยมามากมาย เขาจึงตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะไปให้ถึงจุดจบของการผจญภัยครั้งนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไรก็ตาม และเขาก็รู้สึกว่ามณีที่เขาตามหาอยู่นั้นจะไม่อยู่ท่ามกลางที่วางอยู่มากมายอย่างไม่​ใยดีทั่วห้องแวววาวนี้

หลังจากที่ปลดสายใยที่เปรอะเปื้อนประตูชั้นในแล้ว เขาก็พบว่ามันมิได้ลั่นดาลไว้เช่นเดียวกับอีกบาน เขาสงสัยว่าพวกทหารข้างล่างจะยังคงไม่รู้ตัวที่เขาอยู่นั่นหรือไม่ เอาเถอะ เขาอยู่สูงขึ้นมาเหนือศีรษะพวกนั้นนัก และหากเรื่องราวต่างๆนั้นเชื่อถือได้ พวกมันก็ชินกับเสียงประหลาดในหอคอยเหนือพวกมันแล้ว—เสียงอันชั่วร้าย และเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดกับความสะพรึงกลัว

ที่เขาคิดอยู่คือยารา และเขาก็ใช่จะสบายใจโดยสิ้นเชิงในตอนที่เปิดประตูทองคำนั้น แต่เขาก็เห็นเพียงขั้นบันไดเงินที่นำลงสู่เบื้องล่าง มีแสงสลัวซึ่งเขามิอาจแน่ใจในที่มาได้ เขาลงไปตามนั้นอย่างเงียบกริบ มือจับดาบไว้ เขามิได้ยินเสียงใด และแล้วก็มาถึงประตูงาช้างซึ่งประดับด้วยศิลาโลหิต เขาเงี่ยหูฟัง แต่ไม่มีเสียงใดจากภายใน มีเพียงควันจางๆที่เล็ดลอดอย่างอ้อยอิ่งจากใต้ประตูซึ่งเป็นกลิ่นประหลาดที่ชาวซิมเม​อเรียนไม่คุ้นชิน เบื้องล่างลงไปนั้น ขั้นบันไดเงินลับตาไปในความมืด และไม่มีเสียงใดจากเงามืดนั้น เขามีความรู้สึกที่น่าขนลุกว่ามีตนเพียงผู้เดียวในหอคอยซึ่งมีแต่ผีร้ายอาศัยอยู่

ตอนที่ III>>