Valor

The Holder of Valor

ในทุกเมือง ในทุกที่ ไปที่โรงพยาบาลโรคจิตที่ไหนก็ได้ที่เจ้าไปได้ เมื่อถึงโต๊ะหน้า จงมองตาของพนักงานแล้วถามว่าเจ้าจะพบกับ “ผู้ถือครองแห่งความอาจหาญ” ได้หรือไม่ ห้องนั้นจะเริ่มมืดลง สายลมอ่อนๆจะก่อตัว ค่อยๆแข็งกล้าขึ้นจนรุนแรง ทุกชีวิตจะค่อยเลือนหายไปจากห้องนั้น จากนั้นก็เป็นพวกเครื่องเรือนที่จะค่อยๆหายไปเช่นกัน สิ่งสุดท้ายที่จะยืนอยู่คือพนักงานต้อนรับที่ห้อยอยู่กลางอากาศเหมือนหุ่นกระบอกอันไร้ชีวิตและดวงตาสีแดงประสานกับของเจ้า ผู้ซึ่งกลางสายลมนั้นจะส่งเสียหัวเราะอันชั่วร้ายและทุ้มลึก ราวกับปิศาจร้ายเย้ยหยันเจ้า ก่อนที่ความมืดมิดจะห้อมล้อมเจ้านั้นนางจะหายไป เหลือไว้แต่เสียงอันเลวร้ายสะท้อนอยู่กับสายลม

เมื่อความมืดสลายไปต่อหน้าเจ้า ถนนอันเก่าแก่คดเคี้ยวจะก่อตัวขึ้น กฏฟิสิกส์นั้นเหมือนจะผิดเพี้ยน แต่อย่าไปสนใจมันเลย พ้นถนนนั้นไปจะมีเปลวไฟโลดแล่นอยู่ในความมืด ใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลานั้นถูกจารึกลงกลางเปลวไฟนั้น ส่งเสียงกรีดร้องอย่างไร้ความหวังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตกลงไปสู่ความว่างเปล่า ในตอนที่ถนนสายนั้นเข้าออกไปตามขอบเขตของความเป็นจริงนั้น หมอกสีเงินยะเยือกก็จะลงมาปกคลุมเส้นทาง ความคิดอันสิ้นหวังจะครอบคลุมจิตใจของเจ้า บีบคั้นความรู้สึกสนุกสนานและทำให้ความหวังไร้ประโยชน์ เจ้าจะได้เห็นโลกนี้มอดไหม้ต่อหน้าเจ้า ผู้ที่เจ้ารักจะถูกเข่นฆ่าด้วยมือของพวกมัน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ไม่ว่าพวกนั้นจะดูกล้าหาญเพียงใด มีแต่ผู้ที่มีความกล้าพอที่จะถอนตัวเองไปจากจินตนาการนี้ได้เท่านั้นที่จะยังคงมีจิตใจทนทานให้ไปตามถนนต้องสาปนี้ต่อได้ ด้วยว่ามีมากมายนักที่ได้โยนตนเองลงไปสู่เปลวไฟสุดขอบของความว่างเปล่านั้นเพื่อปลดปล่อยตนเองจากจิตใจของตน

เมื่อเจ้าเดินทางลึกเข้าไปในความเวิ้งว้างนั้นอีก มันก็ยากยิ่งขึ้นที่จะเดินได้ถูกต้อง แม้ว่าเจ้าจะสะดุดและล้มลงบนถนนอันชั่วร้ายนั้นก็จงอย่าได้หวาดหวั่นและก้าวเดินต่อไป หาไม่แล้วความเวิ้งว้างที่เติบโตอยู่รอบกายจะกลืนกินเจ้า หากเจตจำนงค์ของเจ้ายังคงเข้มแข็ง จิตใจไร้ราคีจากความสยดสยองในหมอกนั้น และกายเจ้าก็ยังคงเดินหน้าต่อไปแล้ว ก็จะมีร่างในชุดคลุมศีรษะปรากฏขึ้นต่อหน้าเจ้า มองไปในทางตรงกันข้ามกับเจ้า มันจะลอบมองเจ้าจากใต้ผ้าคลุมแล้วหายลับไปในเขาวงกตถนนที่อยู่ต่อหน้าเจ้า แม้ว่ากายเจ้าคงจะไม่อาจทนต่อหมอกอันหนาและหนักได้ เจ้าก็ต้องบังคับให้มันเร่งจังหวะเพื่อให้ตามทันร่างนั้น หาไม่แล้วมันจะสลัดทิ้งเจ้าไว้ในเขาวงกตนั้น มีแต่ตอนที่อสุรกายแห่งความเวิ้งว้างกัดกินตัวตนของเจ้าต่อหน้ามันที่มันจะมองร่างของเจ้าและหัวเราะอย่างสนุกสนาน มีแต่การบังคับให้ความตั้งใจเข้มแข็งขึ้นเท่านั้นที่เจ้าจะตามร่างในชุดคลุมนั้นทัน

เมื่อเจ้าเข้าไปใกล้ปลายเขาวงกต จิตใจอ่อนล้าจากประกายของความวิปลาส ร่างในชุดคลุมก็จะค่อยหันกลับมาและถอดผ้าคลุมศีรษะออก ใบหน้านั้นจะเป็นสหายผู้ใกล้ชิดเจ้าที่สุด และในที่อันมืดมนไร้ความหวังเช่นนั้น มันก็เป็นที่ระลึกของชีวิตอันอบอุ่น เมื่อเจ้าเข้าไปหาร่างนั้น ใบหน้าก็จะซีดลง รอยยิ้มหายไปเป็นอารมณ์อันชั่วร้าย ในตอนที่เจ้าเข้าไปหาร่างนั้น กายของเจ้าก็จะเริ่มสูญเสียเรี่ยวแรงซึ่งคงอยู่ในตัวมันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน "สหาย"ของเจ้าจะส่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ทำให้วิญญาณของเจ้าอ่อนแอจนพังทลายลง

ในตอนที่ร่างกายของเจ้ากำลังตายไปนั้น เมื่อสายใยสุดท้ายแห่งความหวังกำลังปลิดปลิวจากตัวเจ้า นั่นคือเวลาที่เจ้าต้องเอาชนะ ความเย่อหยิ่งของร่างชุดคลุมนั้นทำให้มันมิได้ปกป้องจุดอ่อนอันร้ายแรงที่สุดของมัน ความหวัง มีแต่ผู้อาจหาญที่สุดที่จะเอาชัยเหนือร่างอันมืดมัวนั้นได้ เพราะหากว่าเจ้าทรุดกลัวลงต่อหน้ามันก็จะไม่มีความเมตตาใดๆให้เจ้าทั้งสิ้น และวิญญาณของเจ้าก็จะเป็นเช่นเดียวกับพวกที่อยู่ในเปลวไฟ หากว่าเจ้าสามารถเค้นเจตจำนงค์ของตนออกมาได้ ร่างนั้นก็จะกรีดร้อง ความตื่นกลัวจะปรากฏบนดวงตาของมัน เนื้อหนังของมันจะเริ่มละลายไปจนกระทั่งเหลืออยู่เพียงผ้าคลุมดำแต่ก็เป็นประกายนั้น

จงเอาสิ่งที่ศัตรูของเจ้าเหลือทิ้งไว้มาสวม มันจะพอดีทีเดียว ผ้าคลุมที่อยู่บนบ่าของเจ้านั้นคืวัตถุหมายเลข 235 จาก 538 ในยามที่มืดมิดและลำบาก ยามที่ความเกลียดชังและความสิ้นหวังเป็นใหญ่ ตราบเท่าที่เจ้าสวมผ้าคลุมนี้ พวกมันก็จะแยกออกต่อหน้าเจ้า

การล่มสลายของพวกมันอยู่แค่เอื้อมแล้ว