นักรบกับมังกร

The Warrior And The Dragon (27 กุมภาพันธ์ 2557)

เอเบิลเดินไปหาอสุรกายสูงใหญ่นั้นอย่างช้าๆ ท่วงท่าเขามีแววของความไม่ไยดี วางท่าและยิ้มยิงฟันไปด้วย ดาบสองมือเล่มใหญ่วางอยู่เหนือไหล่ของเขา เฟืองและใบเลื่อยที่ปกคลุมมันหมุนเป็นเสียงน่าหนวกหู ขณะที่ใบมีดขนาดเล็กที่เป็นคมหยักของมันเลื่อนไปช้าๆตามขอบอย่างแผ่วเบาราวกับแมวกรน อสุรกายตรงหน้านั้นเป็น ดั่งเสาหินกลางทุ่งเวิ้งว้าง อนุสาวรีย์แห่งการทำลายล้าง คลื่นแห่งความเกลียดชังและโทสะแผ่ออกมาจากร่างของมันอย่างรู้สึกได้ ไม่แพ้ความกระหายเลือดของเอเบิลเลย

มันเพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น ก้อนมวลของแผ่นเปลือกกับเนื้อหนัง ดวงตาสีดำเล็กๆบนกะโหลกใหญ่ยักษ์นั่นเป็นเหมือนหลุมสู่ความว่างเปล่าอยู่เหนือเขี้ยวหยักๆเปื้อนน้ำลาย แม้แต่ในขณะที่เขาเข้าไปนี้ มันก็เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เนื้อบิดเบี้ยว แผ่นเกราะหนาขึ้นเรื่อย ก้อนของกล้ามเนื้อกับเส้นเอ็นและกระดูกเลื่อนไปมาทับกัน ทั้งหมดนั้นเป็นการแปรรูปแบบเป็นสิ่งที่จะรับมือผู้ที่จะโจมตีมันได้ดีกว่าเดิม

ถูกต้องแน่แล้ว สิ่งนี้คือเทพแห่งการทำลายล้าง สิ่งที่เป็นตัวตนของความพินาศแห่งการคงอยู่ เขาแทบเก็บความดีใจไม่ไหว หลังจากที่ผ่านมานี่ การรอคอยนับร้อยปี เขาก็จะได้พบกัยสิ่งที่เหนือเขาในเรื่องของความโหดร้ายได้ บางทีนะ

เขาเดินไปจนอยู่ห่างจากยักษ์ใหญ่นั่นเพียงไม่กี่ฟิต และหลังจากที่ดื่มด่ำกับความคาดหมายของตน เขาก็พูดขึ้นมา

"ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของสัตว์ร้ายอย่างเจ้า อสุรกายอันยิ่งใหญ่แห่งเกล็ดและเนื้อหนัง กรงเล็บกับเขี้ยว พลังในการต่อสู้ที่เหนือยิ่งกว่าสติปัญญาอันล้ำลึกที่ซ่อนอยู่หลังดวงตาของสัตว์ร้ายนั่น ว่ากันว่าครั้งหนึ่งพวกเจ้าเคยปกครองโลกนี้จากกองสมบัติอันมโหฬาร ฆ่าและกินทุกผู้ที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ แต่แล้วเจ้าก็ถูกโค่นลงจากบัลลังก์ ทีละตัวทีละตัว โดยเหล่ายอดนักรบผู้ซึ่งมิได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว และเจ้าก็กลายเป็นเพียงตำนาน" เขากระซิบโดยไม่หายใจ

"แม้แต่ข้าก็เคยคิดว่าเจ้าเป็นเพียงนิทาน แต่เจ้าก็มาอยู่ต่อหน้าข้าแล้ว มังกรที่มีชีวิต..."

เจ้าสัตว์ร้ายสั่นคลอน ปากของมันเริ่มขยับป้าออกช้าๆ ราวกับรูปปั้นที่จู่ๆก็มีชีวิต

"น่าสมเพช..." มันบ่นงึมงำ เสียงของมันทุ้มและหนัก ราวกับภูเขาที่พังทับตนเองนับพันครั้ง

"มังกรรึ? เจ้ามันกองสิ่งเน่าเหม็นที่เรียบง่าย เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย ก็เช่นที่ข้าคาดไว้จากสุนัขที่ฝึกมาแล้ว"

ตรงนี้ สีหน้าของเอเบิลหม่นลง เสียงของดาบบนบ่าเริ่มถี่ขึ้นด้วยคมมีดที่หมุนเร็วยิ่งกว่าเดิม

"...อะไรนะ?" เขาบอกช้าๆ เสียงเบาๆของความโกรธที่แทบคุมไม่อยู่

"นั่นคือสิ่งที่เจ้าเป็น หรือไม่ใช่? ฝึกมาดีแล้วและโง่งม พร้อมกับถูกผูกมัดด้วยปลอกคอ" มันบ่น ทำท่าเล็กน้อยไปที่ปลอกคอเหล็กหนาที่อยู่รอบคอและไหล่ของเขา

"ข้าเลือกสิ่งนี้เอง" เขาตอบห้วนๆ ใบหน้าบึ้งตึง

"ไม่ว่าเจ้าจะเลือกหรือไม่ เจ้าก็ยังเป็นสุนัขอยู่ดี ที่ต่างกันคือเจ้ากินอาหารจากมือของพวกนั้นแทนที่จะเป็นชาม" มันเย้ย ใบหน้าที่ไม่ใช่คนนั้นราวกับจะแสดงสีหน้าได้

ใบหน้าของเอเบิลบิดเบี้ยว มือจับอาวุธแน่นขึ้นอีก คมที่หมุนวนนั้นเร็วมากทีเดียวซึ่งแสดงออกมาเป็นเสียงแหลม

"อย่างน้อยข้าก็เลือกโชคชะตาของข้าเองได้" เขาตะโกนด้วยโทสะ ฟาดดาบลงไปใส่หัวของสัตว์ร้ายราวกับเป็นความพิโรธของเทพผู้วิปริต

ทว่า...

อสุรกายนั้นตอบโต้อย่างที่เอเบิลไม่เคยเจอมาก่อนในการต่อสู้หลายพันปี

มันใช้หัวโขกอาวุธ กะโหลกด้านบนกับเปลือกนอกแตกกระจายเป็นเศษขนาดใหญ่ ตาของมันถลนด้วยว่าในหัวของมันแหลกกระจาย ตาข้างหนึ่งนั้นแตกทะลัก และของเหลวเหนียวข้นก็พุ่งออกจากปากของมัน เนื้อเป็นก้อนๆพุ่งออกมาราวกับน้ำพุเลือด

แต่ด้วยการใช้หัวโขกดาบนั่น เอเบิลจึงเสียหลักด้วยแรงของมันและผงะจากการโจมตีโดยอัตโนมัติ ทำให้ท้องของเขาเปิดช่องว่าง ในช่วงเวลาเสี้ยววินาทีที่ไร้การป้องกันนั้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยกำปั้นมหึมาของเจ้าสัตว์ร้าย ก้อนแผ่นกระดูกที่มีขนาดเท่าก้อนหินยักษ์กระแทกใส่ลำตัวของเขา อัดเขาด้วยแรงของลมพายุและทำให้ดาบกระเด็นจากมือ เขากระเด็นไปกว่าสิบเมตรราวกับตุ๊กตา พังทุกอย่างที่ขวางทางอยู่ ร่างของเขากระดอนหนักๆกับพื้น เสื้อผ้าและผิวหนังด้านหลังฉีกขาด กระทั่งเขาหยุดลงโดยที่ฝังเข้าไปในหินครึ่งตัว

เขานอนแผละอยู่ตรงนั้น เลือดเป็นสายไหลออกจากดวงตา จมูก ปาก แล้วก็หู ใบหน้าหย่อนลงเป็นแววของความทึ่ง

แล้วเขาก็หัวเราะ หัวเราะเสียงดังยาวนาน ยิ้มเห็นฟันแหลมโชกเลือดที่ดูเหมือนกับว่าเขาพึ่งกินอาหารสุดสยองมา

เขาพูดขึ้นเป็นภาษาที่ตายไปนานแล้ว แต่ความหมายนั้นไม่มีทางผิดพลาด เขายื่นคำท้า

แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เจ้ากิ้งก่านั่นดูเหมือนอยู่ในภวังค์ มันสูดอากาศเข้าไปทางจมูกซ้ำๆ ตัวมันพองขึ้นใหญ่โตกว่าที่เป็นตามปกติ แล้วก็กินดินที่เปื้อนเศษอวัยวะนั่นเข้าไป กงเล็บใหญ่โตของมันตวัดใส่พื้นแล้วยัดเข้าไปในปาก

แล้วก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น บาดแผลซึ่งเมื่อครู่ทำให้กะโหลกของเจ้าอสุรกายดูเหมือนมะเขือเทศที่งอมแล้วเริ่มสมานตัว ส่วนหัวของมันกลับไปมีรูปร่างตามปกติ แผ่นเกราะที่แตกหักถูกดันหล่นลงมาแล้วถูกกินอีกครั้ง และเผยให้เห็นเปลือกสดๆที่ก่อตัวขึ้นอยู่ใต้แผ่นเดิมและหนายิ่งกว่า

"โชคชะตารึ? เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับโชคชะตา? โชคชะตาคือชีวิต และเจ้า...เจ้ากับทั้งหมดนี่คือความตาย" เจ้าสัตว์ร้ายคำรามก่อนพุ่งเข้าใส่เขา

นั่นทำให้เอเบิลแค่นหัวเราะ

"เออ อันนั้นเถียงไม่ได้ว่ะ" เขาตอบอย่างลิงโลด ดึงลูกตุ้มอันใหญ่ออกจากเงาของผ้าคลุมรุ่งริ่ง ด้ามจับของมันยาวกว่าหกฟิต ส่วนหัวของมันเป็นเพียงกลุ่มของหนามแหลมที่หมุนวนส่งเสียงหวีดร้องขณะที่มันหมุนเป็นรูปแบบอันซับซ้อนของความตาย

เจ้าสัตว์ร้ายเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว แต่ละก้าวอันทรงพลังของมันทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน ก้อนดินที่แตกกระจายกับการมาของมันร่วงเทใส่เขาด้วยกำลังและความยากจะหลบเลี่ยงของพายุหิมะ

เอเบิลถอยไปยืนด้านข้าง ขยับแขนไปด้านหลังแล้วกดเท้าตนกับพื้น เขาหันไปหาภัยพิบัติอันรุนแรงนี้แล้วแกว่งอาวุธใส่อากาศด้วยไหวพริบของตน

และแล้วมันก็เข้าถึงตัวเขา แล้วเขาก็กวัดแกว่ง ราวกับว่าเวลาได้หยุดลงในชั่วขณะที่อาวุธของเขาปะทะกับหัวของมันอีกครั้ง มันมีเสียงกรอบจนหูอื้อในขณะที่หัวของมันถูกอัดขยี้ แตกกระจายเป็นชิ้นๆอีกครั้ง กระดูกสันหลังของมันก็ถูกแรงกระแทก เจ้าสัตว์ประหลาดตัวสั้นลงอย่างมองเห็นได้จากแรงอันไม่อาจหยุดยั้งได้ที่เคลื่อนไหวมันปะทะกับกำลังที่มิอาจโยกคลอนได้

ความปั่นป่วนรุนแรงที่เกิดจากแรงมหาศาลทั้งสองปะทะกันส่งเจ้ากิ้งก่าออกไปหลายสิบเมตร หมุนคว้างราวกับจรวดมิสไซล์ที่ออกนอกเส้นทาง ชิ้นส่วนของมันปลิวออกมาขณะที่มันลอยไปกลางอากาศ มันกระแทกพื้นอย่างแรง เศษของตัวมันกระจายตามพื้นรอบๆแอ่งที่เกิดจากแรงกระแทกนั้นเหมือนหยาดฝนในช่วงฤดูร้อน

เอเบิลโยกคอตัวเองโดยไม่สนใจเลือดที่ทะลักออกมาจากแผลหนึ่งที่ขา หรืออีกสามรอยที่หน้าอกที่ถูกคู่ต่อสู้ข่วนในตอนที่เขาแกว่งอาวุธ เขาโยนลูกตุ้มที่งอและหยุดนิ่งทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ กระตุกไหล่ให้มันกลับเข้าที่ แล้วก็จัดการกับศอกที่แตกของตน

เจ้าสัตว์ร้ายดันตัวเองขึ้น กินทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวมัน รูปร่างของมันหนาขึ้น หนักขึ้น และดูเหมือนหินมากขึ้น มันสะบัดเลือดออกจากตัวเองเหมือนสุนัข หยดของเหลวสีคล้ำข้นกระจายทั่วพื้นรอบตัวมัน แล้วก็คลานออกมาจากแอ่งนั่น

มันคืบออกจากรอบแตกที่มันทำไว้นั่น เพียงเพื่อจะเจอกับกงจักรที่เฉือนเข้าไปในเนื้อของมัน วางแหวนนั้นจมลงไปด้วยคมมีดที่หมุนวนและกดลงไปอีก จักรอีกหลายอันลอยตามมาจากมือของเอเบิลที่ดึงมันออกมาจากเงาพร้อมกับวิ่งเข้าหาคู่ต่อสู้

เขากระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ปลดปล่อยขวานเล่มยักษ์ออกมาจากรอยพับของผ้าคลุม แล้วฟาดมันลงใส่ศัตรูเหมือนทิ้งระเบิด

มันปัดใส่การโจมตีนั้นเหมือนม้าที่ปัดริ้นไร พยายามตะปบเอเบิลด้วยกงเล็บ เขาหลบและวนไปรอบๆกำปั้นที่ถลาเข้ามา ทิ่มมีดที่เหมือนกับสว่านใส่หนังหนาของมันแล้วปล่อยให้มันฉีกกระชากเนื้อหนัง เมื่อใดด็ตามที่การโจมตีเกือบโดนตัวเขา เอเบิลก็ดึงตัวเองให้พ้นทางด้วยมีดที่ฝังอยู่ใกล้ๆมือ

ถึงกระนั้นเจ้าสัตว์ประหลาดก็ไม่ได้มีท่าทีจะชะลอการโจมตีลงหรือแม้แต่เจ็บปวดเลย มันคิดเพียงอย่างเดียวในการโจมตีนี้ มีเพียงจุดประสงค์เดียวที่มันแลเห็น

ฆ่า

ทันใดนั้น เล็บที่หลุดออกมาอันหนึ่งก็โดนเข้าที่ไหล่ของเอเบิลทำให้เขาสะดุด นั่นทำให้เขาได้กำปั้นอีกหนึ่งครั้งที่ลำตัว อัดเขาลงกับพื้น เจ้าสัตว์ร้ายยกกงเล็บอีกข้างขึ้นเตรียมปลิดชีพ มันคือขวานเพชรฆาตที่ถูกยกขึ้นด้วยประสงค์ที่ไม่น่าดูนัก แล้วก็ฟาดลงมาเป็นประกายของแสงและเงา

มันยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อบดขยี้ส่วนที่เหลืออยู่ของเอเบิล แต่ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่แขนของมันเหลือเพียงข้อศอก เลือดข้นคลั่กพุ่งออกจากรอยแผลอย่างเต็มที่

แล้วแขนอีกข้างก็ตามไป ถูกตัดออกเสมอข้อต่อด้วยกรรไกรกลขนาดยักษ์ที่เอเบิลถืออยู่ คมมีดด้านในหมุนอย่างบ้าคลั่ง เนื้อถูกฉีกกระชากกระจายออกมา

เจ้าสัตว์ประหลาดพยายามกินแขนที่ขาดออกมาและทดแทนส่วนที่เสียไป เพียงเพื่อจะถูกรองเท้าติดใบมีดของเอเบิลเตะใส่กรามล่างจนมันล้มหงายลงกับพื้น

เอเบิลกระโจนใส่เจ้าสัตว์ร้ายที่เปิดช่องว่างเหมือนหมาไนกระโจนใส่เหยื่อ ซัดใส่มันด้วยความบ้าคลั่งของสัตว์ป่า ตะโกนไม่ได้ศัพท์ด้วยความบ้าเลือดของตน เขาใช้อาวุธอัดใส่มันอย่างนั้น ดึงอันใหม่ออกมาเมื่ออีกอันจมลึกเกินกว่าจะดึงออกได้หรือหักเพราะทนแรงไม่ไหว

ในที่สุด เขาก็ถอยออกมา หายใจอย่างหนักหน่วง ชุ่มโชกไปด้วยของเหลวสีแดงกลิ่นเหม็นราวกับเป็นปิศาจนรก เขามองมันที่พยายามหายใจ ร่างกายนั้นยังพยายามเปลี่ยนแปลงสภาพ

แล้วเขาก็ได้เห็น คลื่นถูกปล่อยออกมาจากเจ้าสัตว์ร้าย คลื่นกระแทกที่ฉีกกระชากความเป็นจริงอันบางเบา โลกบิดเบี้ยวรอบๆตัวสัตว์ร้ายในขณะที่กระแสไฟฟ้าแล่นไปตามร่างยับเยินของมัน

แต่มันจะเป็นอะไรก็ช่าง มันไม่หวังว่าจะได้พัก แล้วเขาก็ไม่คิดจะให้มันได้ด้วย

มันมองเขาอย่างอ่อนแรง ความขยะแขยงและเกลียดชังยังคงรุนแรง ยังคงชัดเจนเหมือนที่มันเป็นมาตลอด เขาดึงดาบเล่มยาวเล่มสุดท้ายออกมาจากผ้าคลุมที่เป็นริ้ว ด้วยความตั้งใจจะปิดฉาก

เจ้าสัตว์ร้ายแยกเขี้ยวแล้วกระโจนขึ้นขณะที่เขาฟันลงไป ดาบของเขาฝังลงไปในเพดานปากของมันไปถึงสมองแล้วก็ทะลุออกไปจากหัว ใบมีดยังหมุนวนขณะที่มันฉีกมวลสีเทากระตุกนั่น

แต่เจ้าสัตว์ร้ายก็ยังมีชีวิต คมเขี้ยวของมันล้อมอยู่รอบแขนของเอเบิล มันมองเขาด้วยความทระนง และอ่อนโยน เกือบจะเป็นความนับถือ กัดทะลุแขนของเขา ฟันที่เหมือนงานั้นผ่านกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างไม่ต้องใช้ความพยายามและบรรจบกันโดยมีเสียงกึกเบาๆ

เอเบิลเซไปด้านหลังด้วยความแปลกใจ และเจ้าสัตว์ร้ายก็ยืดตัวไปด้านหลัง ใช้หัวโขกกะโหลกของเขาแตกร้าว ทำให้เขาล้มลงก้นกระแทกพื้น มันมองเขาอย่างเย็นชาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วอ้าปากขึ้นหมายจะกลืนกิน

ก่อนที่ขากรรไกรนั้นจะหุบลงใส่เขา เอเบิลก็คว้าดาบที่ยังฝังอยู่ในหัวของมัน จับด้ามที่อยู่ในปาก ตอนที่ปากนั้นหุบลงมา เขาก็ใช้แรงทั้งหมดกดมันลงไป ผ่าเจ้าสัตว์ร้ายเป็นสองซีก

แต่การเคลื่อนไหวของมันที่ดำเนินไปแล้วนั้นไม่อาจหยุดได้ ฟันของมันตัดลำตัวท่อนบนของเขาเป็นสองส่วน ปล่อยให้แขนที่เหลืออีกข้างกับส่วนหัวหล่นลงมาบนพื้น

สำนึกสุดท้ายของเขา เอเบิลคิดว่าเขาได้ยินเสียงหวีดหวิวอันประหลาด เหมือนอะไรหล่นลงมาจากที่สูงๆ

จากนั้น...มีเพียงความมืดมิด

เวลาผ่านไปกับการหลับไหลที่ไร้ความฝัน แล้วเอเบิลก็ตื่นขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่ครบถ้วนเหมือนใหม่ กลับมาในโลงศพของเขา เขาขยับตัวอย่างกระตุกๆ ใช้แรงเปิดโลงศพที่ใส่เขาไว้ ดึงโซ่ที่อยู่ข้างๆออกอย่างเร่งร้อนเพื่อจะได้ออกไปจากความหนาวห่วยๆนี่

เขาใช้เวลาหลายนาทีจึงปลดล็อกประตูหินที่ขวางทางออกอยู่ได้ ตลอดเวลานั้นก็ถูพื้นเย็นๆด้วยรองเท้า ลมหายใจกลายเป็นผลึกอยู่ตรงหน้า

เมื่อเขาได้ออกไปเสียที เขาก็ถอนใจอย่างโล่งอก เขาไม่เคยชอบความเย็นเลย ด้วยว่าเป็นคนผู้นิยมความร้อนและอบอุ่นมากกว่า

ถึงอย่างนั้น เขาคิดกับตัวเอง นั่นก็คงเป็นการต่อสู้ที่ยอดที่สุดที่เขาเคยผ่านมาเลย มันต้องเลี้ยงฉลองกันสักหน่อย กับทีมของเขาทุกคนเลย เอาล่ะ พวกนั้นเอาเจ้ากล่อง"พิซซา"ประหลาดนั่นไปไว้ที่ไหนล่ะเนี่ย?