ตอนที่ I

คบไฟส่องแสงสลัวในย่านเริงรมย์แห่งเมืองมาอุล ที่ซึ่งเหล่าหัวขโมยแห่งแดนตะวันออกจัดงานรื่นเริงในยามค่ำคืน ในมาอุลนั้นพวกมันสามารถร่ำสุราและโห่ร้องได้ตามใจ ด้วยว่าเหล่าสุจริตชนได้หลีกเลี่ยงละแวกนั้น และพวกทหารยามที่ได้รับค่าจ้างอย่างงามเป็นเหรียญเขรอะก็มิได้เข้ามาขัดขวางกิจกรรมข​องพวกมันแต่อย่างใด เหล่าผู้เมามายเดินโงนเงนและตะโกนไปท่ามกลางถนนดินอันคดเคี้ยวกับกองขยะและแอ่งน้ำสก​ปรกนั่น ในเงามืดที่สุนัขป่าไล่ล่าสุนัขป่าด้วยกันนั้นมีประกายของเหล็กกล้า และเสียงหัวเราะโหยหวนของอิสตรีกับเสียงของการต่อสู้ดิ้นรนก็ออกมาจากความมืด แสงสลัวของคบไฟลามเลียตามหน้าต่างแตกๆกับประตูที่เปิดอ้าไว้ และจากประตูเหล่านั้น กลิ่นอับของไวน์และสาปเหงื่อ เสียงจอกเหล้ากับกำปั้นที่ทุบลงบนโต๊ะหยาบๆ และวลีจากเพลง ก็หลั่งล้นออกมาราวกับจะกระแทกใส่ใบหน้า

เสียงเฮฮาดังลั่นอยู่ใต้หลังคาเปื้อนควันของหนึ่งในรังโจรเหล่านี้ ที่ซึ่งเหล่าทุรชนสุมหัวกันจากทุกระดับ—นักกรีดกระเป๋าผู้มีเลศนัย โจรลักพาตัวที่มีนัยน์ตาลอกแลก หัวขโมยจอมมือไว นักฆ่าผู้กรีดกรายมาพร้อมกับสตรีของมัน หญิงสาวผู้มีเสียงแหลมซึ่งแต่งกายอย่างหรูหรา พวกที่เห็นอยู่มากนั้นเป็นเหล่าวายร้ายพื้นเมือง—ชาวซามอเรียนผิวคล้ำตาดำ ผู้มีกริชอยู่ที่เข็มขัดและมารยาอยู่ในหัวใจ แต่ก็มีเหล่าสุนัขป่าจากแคว้นอื่นอีกกว่าครึ่งโหลด้วยเช่นกัน มีทหารหนีทัพร่างยักษ์ชาวไฮเปอบอเรียน เงียบขรึม อันตราย และมีดาบใบกว้างผูกติดกับร่างอันผอมสูงของเขา—ด้วยว่าเหล่าบุรุษนั้นพกพาอาวุธอย่างเ​ปิดเผยในมาอุล มีนักทำของปลอมชาวเชมิทิช ผู้มีจมูกงองุ้มกับเคราดำครึ้มเป็นลอน มีสตรีตาคล้ำชาวบริธูเนียน ผู้นั่งอยู่บนเข่าของชาวกุนเดอร์มันผมสีน้ำตาลอ่อน—ทหารรับจ้างเร่ร่อนที่หนีทัพจากก​องทหารที่แตกพ่ายสักกอง แล้วก็ทุรชนผู้อ้วนพลุ้ยซึ่งเรื่องตลกหยาบโลนของมันทำให้เกิดเสียงตะโกนอันรื่นเริงน​ั้น ก็คือโจรลักพาตัวมืออาชีพผู้มาจากจากแคว้นคอธอันห่างไกลเพื่อสอนเรื่องการลักพาตัวอิ​สตรีให้แก่ชาวซามอเรียนด้วยความรู้ถึงศาสตร์นี้ที่มีมาแต่เกิดมากกว่าจะที่ได้เรียนเ​สียอีก

ชายผู้นี้พักคำบรรยายถึงเสน่ห์ของเหยื่อที่หมายตาไว้ แล้วยื่นปากไปหาเหยือกใส่เหล้าเป็นฟองเหยือกใหญ่ ก่อนจะพ่นฟองออกจากริมฝีปากหนาโดยกล่าวว่า “แด่เบล เทพแห่งหัวขโมยทั้งปวง ข้าจะสอนพวกมันถึงการขโมยสตรี ข้าจะพานางไปพ้นชายแดนซามอเรียนก่อนรุ่งอรุณ และที่นั่นจะมีกองคาราวานรอรับนางอยู่แล้ว ท่านเคาท์แห่งออฟีร์สัญญากับข้าจะจ่ายสามร้อยเหรียญเงินให้สาวน้อยชาวบริธูเนียนชั้นสูงส​ักคน ข้าใช้เวลาหลายสัปดาห์ร่อนเร่ไปตามพรมแดนในคราบของขอทานเพื่อหาใครสักคนที่ใช้การได้​ แล้วนางก็เป็นสินค้าที่สวยงามจริงๆ!”

เขาจุมพิตกับอากาศ

“ข้ารู้จักเหล่าขุนนางแห่งเชมที่พร้อมจะแลกความลับของหอคอยคชสารกับนางด้วย” เขาว่าก่อนจะดื่มต่อ

สัมผัสบนแขนเสื้อทำให้เขาหันไปแค่นเสียงที่ถูกขัดจังหวะ เขาเห็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำยืนอยู่ถัดไป คนผู้นี้ดูผิดที่ผิดทางในรังโจรนั้นเหมือนสุนัขป่าสีเทาท่ามกลางฝูงมุสิกโสโครกในท่อ​น้ำ เสื้อคลุมราคาถูกของเขาไม่อาจปิดเร้นโครงร่างอันบึกบึนทรงพลังได้ ไหล่กว้างหนา อกผึ่งผาย เอวคอด และแขนที่หนาหนัก ผิวกายนั้นเป็นสีน้ำตาลด้วยแสงอาทิตย์ต่างแดน ดวงตาสีฟ้าแจ่มใส ผมสีดำสั้นเป็นกระเซิงปรกหน้าผากกว้างนั้น ที่เข็มขัดของเขาสะพายดาบซึ่งอยู่ในฝักหนังคร่ำคร่า

ชาวคอเธียนผงะไปโดยไม่ตั้งใจ ด้วยว่าชายผู้นี้มิใช่เผ่าเจริญที่เขารู้จัก

“เจ้าพูดถึงหอคอยคชสาร” คนแปลกหน้าเอ่ยขึ้นเป็นภาษาซามอเรียนที่มีสำเนียงต่างถิ่น “ข้าได้ยินเรื่องของหอคอยนี้มามากนัก ความลับของมันคืออะไร?”

ท่าทางของคนผู้นั้นมิได้เป็นการคุกคามและสุราก็ทำให้ความกล้าหาญของชาวคอเธียนใหญ่โต​ขึ้น ประกอบกับที่เห็นท่าทีเออออจากผู้ที่ฟังเขาอยู่ เขาจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกสำคัญตนทีเดียว

“ความลับของหอคอยคชสารงั้นหรือ?” เขาร้อง “ทำไม คนโง่ที่ไหนก็รู้ว่านักพรตยาราอยู่ที่นั่นกับมหามณีที่ผู้คนเรียกกันว่าหัวใจคชสาร นั่นล่ะคือความลับแห่งเวทมนตร์ของเขา”

คนเถื่อนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่อึดใจ

“ข้าเห็นหอคอยนั่นแล้ว” เขากล่าว “มันอยู่ในสวนใหญ่ซึ่งสูงกว่าพื้นของเมืองนี้ รายล้อมด้วยกำแพงสูง ข้าไม่เห็นยาม กำแพงนั่นควรจะปีนได้ง่าย ทำไมถึงไม่มีใครขโมยมณีลับนั่นไป?”

ชาวคอเธียนอ้าปากมองความเรียบง่ายของอีกฝ่าย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมาซึ่งทำให้คนอื่นหัวเราะตาม

“ฟังเจ้าคนเถื่อนนี่สิ!” เขาร้อง “มันจะขโมยมณีของยารา! ฟังสิสหาย” เขากล่าวแล้วหันไปหาอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “ข้าว่าเจ้าคงเป็นพวกคนป่าจากทางเหนือ—“

“ข้าเป็นชาวซิมเมอเรียน” คนต่างถิ่นตอบด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร คำตอบและท่าทีนั้นแทบไร้ความหมายต่อชาวคอเธียน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่อยู่ไกลไปทางใต้ติดพรมแดนของเชมนั้น เขารู้จักชนเผ่าทางเหนือเพียงผิวเผินเท่านั้น

“งั้นก็เงี่ยหูแล้วเรียนรู้ไว้นะ เพื่อน” เขาว่าพร้อมยื่นจอกเหล้าไปทางชายหนุ่มที่มีท่าทีอึดอัด “จงรู้ไว้ว่าในซามอเรียน โดยเฉพาะในเมืองนี้ มีหัวขโมยที่กล้ายิ่งกว่าที่อื่นใดในโลก แม้แต่คอธ หากมีคนเป็นๆจะขโมยมณีนั่นมาได้ มันก็ต้องถูกเอามาเสียนานแล้ว เจ้าพูดเรื่องปีนกำแพง แต่เมื่อปีนขึ้นไปแล้ว เจ้าก็จะหวังให้ตัวเจ้ากลับไปอย่างเร็วเลย ที่ไม่มียามในสวนตอนค่ำคืนนั้นมีเหตุผล—คือไม่มียามที่เป็นคน แต่ในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ส่วนล่างของหอคอยนั้นมีกลุ่มคนติดอาวุธ และถึงเจ้าจะผ่านพวกที่ท่องอยู่ในสวนยามราตรีได้ เจ้าก็ต้องฝ่ากองทหารไปอยู่ดี เพื่อที่จะไปถึงมณีที่เก็บไว้ที่ไหนสักแห่งสูงขึ้นไปบนหอคอยนั่น”

“แต่หากมีผู้ที่ผ่านสวนนั้นไปได้” ชาวซิมเมอเรียนเถียง “ทำไมเขาจึงจะไม่ไปหามณีนั่นทางด้านบนหอคอยแล้วก็เลี่ยงกองทหารไปด้วย?”

ชาวคอเธียนอ้าปากอึ้งใส่เขาอีก

“ฟังมันสิ!” เขาตะโกนเยาะเย้ย “คนเถื่อนผู้นี้เป็นนกอินทรีที่จะบินขึ้นไปยังขอบฝังเพชรพลอยของหอคอยนั่น ซึ่งอยู่สูงจากดินไปเพียงหนึ่งร้อยกับห้าสิบฟิตเท่านั้น แล้วก็มีด้านข้างโค้งซึ่งเรียบลื่นยิ่งกว่าแก้วที่ขัดถูแล้ว!”

ชาวซิมเมอเรียนเขม็งตามอง รู้สึกอายกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่มากับคำกล่าวนั้น เขาไม่เห็นสิ่งใดขบขันเลย และก็ยังใหม่ต่อวัฒนธรรมนี้เกินกว่าจะเข้าใจความหยาบคายของมัน โดยทั่วไปแล้วพวกผู้เจริญจะหยาบคายกว่าคนป่าเถื่อน เพราะพวกเขารู้ว่าตนทำตัวไม่สุภาพได้โดยที่กะโหลกไม่ถูกผ่าเป็นเสี่ยง เขารู้สึกสับสนและไม่สบายใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเดินออกไปอย่างอับอาย แต่ชาวคอเธียนก็เลือกจะยั่วอารมณ์เขาอีก

“เอาสิ เอาสิ!” เขาตะโกน “บอกเหล่าผู้น่าสงสารเหล่านี้ ผู้เพียงแต่เป็นขโมยมาก่อนที่เจ้าจะเกิด บอกพวกเขาสิว่าเจ้าจะขโมยมณีมาอย่างไร!”

“มันจะมีหนทางเสมอ หากความปรารถนานั้นอยู่คู่กับความกล้า” ชาวซิมเมอเรียนตอบสั้นๆเป็นการยั่วโทสะ

ชาวคอเธียนถือว่านั่นเป็นการดูถูกส่วนตัว ใบหน้าเขาเป็นสีม่วงด้วยโทสะ

“อะไรนะ!” เขาคำราม “เจ้ากล้าบอกเราเรื่องงานของเรา แล้วหาว่าพวกเราเป็นคนขลาด? ไปเลย ไปให้พ้นหน้าข้า!” แล้วเขาก็ผลักชาวซิมเมอเรียนอย่างแรง

“เจ้าเยาะเย้ยข้าแล้วสัมผัสตัวข้าหรือ?” คนเถื่อนพูดเสียงไม่ชวนฟัง ความโกรธของเขาพวยพุ่งขึ้น และเขาก็ผลักตอบกลับไปด้วยฝ่ามือที่กระแทกผู้ทรมานเขาไปกลับชนกับโต๊ะไม้ที่โค่นมาหย​าบๆนั่น เหล้ากระฉอกออกจากจอก แล้วชาวคอเธียนก็คำรามด้วยโทสะ ชักดาบของตน

“อ้ายหมาเถื่อน!” เขาร้อง “ข้าจะควักหัวใจเจ้า”

โลหะส่องประกายและพวกที่มุงอยู่ก็ถอยไปพ้นทาง ท่ามกลางความแตกตื่นนั้น พวกมันก็ได้ชนเทียนเล่มหนึ่งเดียวล้มแล้วรังโจรนั้นก็ถลำสู่ความมืดมิด แทรกด้วยเสียงม้านั่งล้มคว่ำ เสียงฝีเท้า เสียงตะโกน เสียงสบถสาบานที่ดังขึ้นซ้อนๆกัน แล้วก็เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่ผ่าทุกเสียงราวกับใบมีด ในตอนที่เทียนถูกจุดขึ้นอีกนั้น แขกส่วนใหญ่ก็ออกไปทางประตูกับหน้าต่างแตกๆเสียหมดแล้ว ที่เหลือนั้นเบียดเสียดกันอยู่หลังกองถังไวน์กับใต้โต๊ะ คนเถื่อนจากไปแล้ว กลางห้องนั้นว่างอยู่ยกเว้นเพียงร่างที่มีแผลยาวของชาวคอเธียน ชาวซิมเมอเรียนได้สังหารคนผู้นั้นท่ามกลางความมืดและความวุ่นวายด้วยสัญชาตญาณอันไม​่มีผิดพลาดของคนป่า

ตอนที่ II>>