Treats

Treats (23 เมษายน 2559)

ผมขอพูดตรงนี้อีกครั้งว่า 106 นั้นไม่ใช่นักล่าธรรมดาๆในระดับเดียวกับฉลามชั้นสูงเหมือนที่เชื่อกัน SCP-106เป็นสิ่งที่มีสำนึกแม้ว่าจะเป็นสำนึกที่แปลกประหลาดไปโดยสิ้นเชิง SCP-106นั้นรู้ตัวถึงหลายๆสิ่งนอกเหนือไปจากขอบเขตของสัญชาตญาณและความทรงจำในพันธุกรรม SCP-106นั้นได้แหกการกักกันในช่วงเวลาที่การเก็บคืนและกักกันใหม่ทำได้ยากเสมอ สุนัขจิ้งจอกอาจจะเห็นทางหนีจากกับดักได้ แต่มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะรู้จักรอให้คนที่ดักมันหันไปทางอื่นก่อนจะหนี

-ดร.อัลลอค "เกี่ยวกับสำนึกตัวตนในการกักกันสิ่งคล้ายมนุษย์"

"เหี้ยเอ๊ย แม่งไปอยู่ไหนวะ?"

เจ้าหน้าที่เหวงถอนใจ ถูหน้าตนเองผ่านหน้ากาก คินนี้หนาวแต่ชายทั้งสามก็เหงื่อแตกพลั่ก รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งสยอง สัตว์ประหลาด ปิศาจ สัตว์แฟนตาซี แล้วก็สิ่งของที่เคลื่อนไหวได้หัวเราะคิกตักและคำรามพร้อมๆกับที่เทียวไปมา ถ้ายังไงชายสวมหน้ากากแก็สกับชุดเกราะสามคนนั้นก็ดูแต่งตัวน้อยไปเสียอีก จากที่พวกเขายืนอยู่นั้น จู่ๆชายคนหนึ่งก็ยื่นแขนออกมา มือสวมถุงมือจับซอมบี้เมาเหล้าแล้วดีงเข้าหาตนเองเบาๆครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยกลับไปในฝูงชน เจ้าผีร้ายสบถก่อนเดินโซเซออกไป

"ฮัลโลวีนเหี้ย เราต้องปิดพื้นที่แถวนี้หมดเลย"

เจ้าหน้าที่แดรคโยกหัว ตามองดูกลุ่มนักเที่ยวสวมชุดพิสดาร "ไอ้รถนั่นเข้ามาใกล้เมืองมากไป มันไม่ควรจะอยู่บนรางนี้ด้วยซ้ำ พวกนั้นคิดว่า MC&D มันคงทำอะไรไม่เข้าท่าสักอย่าง การปิดเมืองทั้งเมืองโดยไม่ให้มีเรื่องใหญ่นี่ทำไม่ได้หรอก"

"แล้วตอนนี้พวกนั้นคิดว่าเกิดห่าอะไรอยู่ล่ะ? ไอ้แก่นั่นอยู่ข้างนอกนั่นแล้วเราหาแม่งไม่เจอด้วยซ้ำ!" เหวงเตะกระดาษห่อที่ถูกทิ้งแล้ว ตามองผ่านเลนส์เจือสีไปยังทุกคนที่ไม่ต้องเลี้ยงชีพด้วยการไล่จับนรก

แดรคตบหลังชายผู้มีอารมณ์เบาๆ "ใจเย็นไว้ไอ้เกลอ ฝ่ายบัญชาการคำนวณว่าตาแก่นั่นจะจับตัวไปสักสองสามคนแล้วก็ทำตัวเป็นไอ้เข้ขี้เกียจตามแบบของมัน นั่นปิดเรื่องง่ายกว่าที่ว่าทำไมถึงต้องปิดเมืองทั้งเมืองในงานฮัลโลวีนนะ"

ปาร์ค ผู้ซึ่งถึงตอนนี้แทบไม่ต่างจากรูปปั้นแทรกเข้ามาด้วยเสียงหยาบกร้าน "การหาตัวตาแก่เน่าที่ฆ่าทุกอย่างด้วยการแตะตัวนี่มันยากแค่ไหนล่ะ?"

เหวงส่ายหน้าขณะที่ยังมองหาในฝูงชนอยู่ "ส่วนใหญ่แล้วมันก็เหมือนคนแก่ธรรมดาน่ะ มันจะดูเป็นยังไงก็ได้ตามใจมันเอง ทุกทีเราบอกให้ตามเสียงกรีดร้องไป ตอนนี้มีคนทำแบบนั้นเพียบเลย ไอ้ผู้เชี่ยวชาญของเราไปอยู่ไหนวะ?"

เสียงแค่นหัวเราะแตกพร่าดังผ่านวิทยุ "ฮาร์เคนบอกว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง SCP-106 พอๆกับที่คนที่รอดตายจากเครื่องบินตกเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการบินน่ะนะ พวกนั้นจะไม่ส่งแล็บเทคลงสนามจนกว่าเราจะทำการประเมินขั้นแรกแล้ว ตอนนี้มีแต่พวกเรา"

ทั้งสามคนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสิ่งสยองขวัญ มองหาผู้ที่จะทำให้ทั้งหมดนี้ต้องอาย

นางฟ้าผู้เมามายเทียวไปตามรอบนอกของกองไฟ เหล่าปิศาจ ซอมบี้ และสิ่งของจากวัฒนธรรมตามประแสหมุนไปมารอบตัวเธอ เคลื่อนไปราวกับเป็นก้อนเดียวกันก่อนจะแตกแยกเป็นกลุ่มเล็กๆแล้วก็เป็นคู่ ก่อนจะกลับมารวมกันอีก กองไฟนั้นดูเหมือนจะส่งเสียงเป็นจังหวะตามดนตรีที่กระแทกกระทั้น ลานที่เหล่าวัยรุ่นเลือกในการบุกรุกนี้ไกลออกมาพอไม่ให้มีเสียงบ่นน่ารำคาญ แต่ไม่พอที่จะเรียกความสนใจให้ผู้ใหญ่มาดูแลโดยที่ไม่ต้องการ แอลกอฮอล์รินออกมา ผู้คนหัวเราะ แล้วก็การยับยั้งชั่งใจที่ขาดผึงกับความอัดอั้นของวัยรุ่นก็อบอวลอยู่ในอากาศอันหนาวเย็น

คืนนี้ยังเยาว์ แต่ก็มีหลายคู่แล้วที่เล็ดลอดไปจากแสงไฟอันอบอุ่นไปหาความอบอุ่นอีกแบบในดงไม้อันมืดเป็นส่วนตัวที่อยู่รอบๆลาน นางฟ้ามองไปทางดงไม้ที่เงียบงันแล้วกระดกเบียร์ที่เกือบหมดแล้วอีกที เธอซดมัน โยนมันลงใส่ลานประหารของเหล่าพี่น้องของมันซึ่งถูกเตะและกระทืบกับพื้นดิน เธอก็ควรจะอยู่ตรงนั้น ถูกอ้อมแขนอุ่นๆสวมกอด จุมพิตปากอบอุ่น..แต่ไม่ เธอเลือกเด็กผู้ชายที่ดูเหมือนจะคิดว่าช่วงเวลาก่อนปาร์ตี้เป็นจังหวะดีที่สุดที่จะเอาเรื่อง"กังวลเรื่องความสัมพันธ์ของเรา"มาพูด ไอ้เวร

นางฟ้าที่ตอนนี้ปีกเอียงไปแล้วเริ่มเดินไปยังต้นไม้ที่มดเย็นเหล่านั้น ช่างแม่ง...ถ้าอยากจะเขี่ยเธอทิ้งก็ตามใจ...แต่นั่นนั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ได้เล่นสนุกนี่นะ เธอขำเบาๆ ยิ้มออกเป็นครั้งแรกในระยะนี้ ทำไมไม่เล่นสนุกสักหน่อยล่ะ...เล่นหลอกแล้วก็ได้ของหวานมา เธอหัวเราะ ความตื่นเต้นซุกซนกับของมึนเมาขึ้นมาที่แก้ม เมื่อกี้เห็นพวกเด็กผู้ชายจากชั้นเรียนผ่านมาทางนี้นี่นะ...บางทีเธออาจจะหาเขาเจอ แล้วก็...สนิทสนมกันมากขึ้นหน่อย

เธอเดินเข้าไปในความมืดที่เย็นกว่าเดิม มีเพียงเสียงหัวเราะ เสียงกระซิบ หรือแสงวาบจากแท่งเรืองแสงนานๆครั้งเป็นร่องรอยของชีวิต เธอสะดุดรากไม้ เซไปข้างหน้าแล้วก็ทาบมือกับโคนไม้ที่เป็นเมือก เธอดึงมือของเธอกลับมาเกือบจะทันที พื้นผิวที่หยาบและเป็นเมือกนั้นทำให้มือของเธอไหม้ นางฟ้าที่เสียการทรงตัวเกือบจะล้มลงนอนเหยียด เธอเพ่งดูมือของเธอ มองเห็นรอยเมือกหยาบเป็นเส้นๆที่ติดมันอยู่ รอยไหม้นั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อเธอเห็นรูประหลาดที่กัดลงไปในโคนไม้

นางฟ้าตัวสั่นสะท้านสร่างเมาทันที และรู้ตัวอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ไหน ว่าเธอไม่รู้ว่ามีใครที่อยู่ใกล้พอให้ขอความช่วยเหลือได้ เธอพยายามเช็ดฝ่ามือกับกระโปรงฟูโดยไม่เห็นว่าเธอทิ้งรอยเปื้อนสีแดงดำไว้กับมัน ตาเบิกโพลง บางส่วนลึกลงไปในสมองระดับดึกดำบรรพ์ส่งเสียงเตือนภัย เธอเริ่มเดิน อย่างเร็ว จดจ่อไปที่กองไฟที่โบกสะบัดเป็นหมายนั้น พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกงี่เง่า ให้ไม่สนใจความตระหนกอันไร้เหตุผลที่เอ่อล้นนั้น

กิ่งไม้หักเบื้องหลังของเธอ

เธอยืนแข็งทื่อ เงาสีขาว มือหนึ่งมีเลือดหยดจากแผลกัดกร่อนซึ่งถ้าเธอมองมันก็จะต้องตื่นกลัว นางฟ้าไม่กล้าหันกลับไปมอง แต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะวิ่ง จะได้ยินอะไรบางอย่างตามมา เอื้อมมาจับตัว ชั่วขณะหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดนางฟ้าก็ตั้งใจวิ่งออกไปได้ในจังหวะที่มือผอมแห้งเอื้อมผ่านชุดของเธอไปยังกล้ามเนื้อด้านหลังราวกับเเด็กซนใช้มือบี้ขนมเค้ก

เธอกรีดร้อง หรือพยายามจะกรีดร้อง เสียงที่พ่นออกมาได้นั้นเป็นเพียงการขึ้นเสยงแรงๆเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดอันรุนแรง แขนขาหนักและเหมือนไร้กระดูกไปในทันที ประสาททุกอย่างตายสนิทยกเว้นความเจ็บปวด เธอรู้สึกถึงนิ้วที่สัมผัสซี่โครงของเธอจากภายในในตอนที่มันถูกกัดกร่อนไปช้าๆ ตัวเธอหันช้าๆไปหาเจ้าของมือ แสงกระเพื่อมห่างออกไปทำให้เห็นอะไรบางอย่างที่แห้งเหี่ยว มืด เป็นเมือกและอ่อนนุ่ม แต่ก็แกร่งและแข็งแรง ดวงตาสีดำขุ่นสองข้างสะท้อนแสงมาหาเธอบนส่วนหัวที่ใหญ่เกินไปนั้นอยู่เหนือรอยยิ้มแข็งๆของซากศพ ฟันบางบิ่น

นางฟ้าที่ถูกกดลงกับพื้นนั้นอ้าปากส่งเสียงไม่เป็นภาษา รู้สึกถึงสิ่งโสโครกเป็นเมือกที่แผดเผาซึมเข้าไปในตัวเธอช้าๆ พยายามจะไม่สนใจความรู้สึกที่กำลังตกลงไปช้าๆ พยายามจะไม่รู้สึกถึงดินใต้ตัวเธอที่กลายเริ่มนุ่มแฉะ กลืนร่างทั้งสองลงไปทีละนิด มันชะโงกเข้ามาใกล้และแม้จะหวาดกลัวต่อใบหน้านั้น ส่วนที่ยังมีสติของเธอก็ยินดีรับสิ่งที่กำลังจะมาเยือนแน่นอนและยุติความเจ็บปวดของเธอเสียที แต่มันยังคงอยู่ มือที่บิดเบี้ยวเป็นกรงเล็บชูขึ้นขณะที่พื้นดินกลืนลงไปถึงเอว

สัมผัสใหม่นั้นทำให้นางฟ้ารู้สึกตัวด้วยความหวาดกลัวใหม่ ใบหน้าของเธอจดจ่ออยู่กับดวงตาเน่าๆนั้น เธอเห็นประกายแสงที่ฉายอยู่เบื้องหลังมันและก็เริ่มกรีดร้องด้วยความสยดสยองใหม่ แม้แต่ในตอนที่มันดึงชุดและผิวหนังของเธอออกเป็นริ้วเปียกโชก

เจสันวิ่ง ปอดเหมือนจะไหม้ พยายามตะโกนขอความช่วยเหลือสลับกับที่หายใจเอาอากาศเข้าไป ตอนนี้ชุดแบทแมนของเขาเป็นสิ่งที่น่าตลกสุดๆไปเลย วิ่งไประหว่างแสงไฟข้างถนนพร้อมกับที่สัมผัสความอุ่นของฉี่ที่เป้ากางเกงได้ ทุกคนไปไหนกันหมดเนี่ย? งี่เง่าที่สุดเลย ทำเป็นเด็กตัวใหญ่ใจกล้าแล้วออกมาคนเดียว...ตอนนี้เขาก็อยู่คนเดียวจริงๆแล้ว เพื่อนๆเขาคงถูกกินไปหมดแล้วล่ะ

อันนั้นเขาก็ไม่แน่ใจ แต่ในเมื่อเจ้าผีร้ายนั่นลงมาจากต้นไม้แล้วผลักเด็กๆเข้าไปในกำแพงที่จู่ๆก็เป็นเหมืนทรายดูดก็คงจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องล่ะนะ เขาทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนดูนิ้วแห้งยาวนั้นจับเพื่อนสนิทสองคนแล้วก็แค่...ดึงไปเหมือนตุ๊กตา แทบไม่ได้ร้องออกมาก่อนที่กำแพงสีดำหนืดๆนั่นจะกลืนพวกเขาเข้าไป เจ้าผีร้ายมันเกี่ยวนิ้วเข้าไปในตาของเดวิดเหมือนกับที่พ่อสอนเขาจับลูกโบว์ลิง แล้วก็...

จู่ๆเจสันก็ล้มอาเจียนออกมาหน้าชุดตนเอง ก้อนช็อกโกแลตที่ย่อยไปส่วนหนึ่งนั้นดูคล้ายกับเมือกที่กสาดไปทั่วในตอนที่ชายแก่เปลือยผอมสูงนั้นลงมาจากต้นไม้ เขาหยุดใช้เข่ายันตัวเองขึ้น ไอและสำลัก ส่งเสียงร้องอ่อนแรงขอความช่วยเหลือต่อราตรีอันมืดสลัว มันผ่านไปโดยไม่มีใครได้ยิน เด็กชายสะอื้นไม่ออกด้วยซ้ำ ความอ่อนล้าและหวาดกลัวนั้นทำให้ร่างกายชาเกินไป เขาแทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าจนกระทั่งมันเกือบจะอยู่เหนือตัวเขาแล้ว

เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่คนใดก็ตามที่เห็น แล้วเขาก็เห็นขา ผอม ดำ เท้าที่พองและราบตามอายุ คอนกรีตใต้เท้านั้นเริ่มร้าวและเหนียวหนืด เจสันเงยหน้าขึ้นอีกนิด ตัวสั่นมากขึ้นเรื่อย เอวเหี่ยวๆ อกเหนียวอ่อนนุ่มที่ไม่มีขยับขึ้นลง...แล้วก็ส่วนหัวของฝันร้ายนั้น มันดูเหมือนฟักทองเน่าๆแต่ดำและเป็นเมือกเหมือนถังน้ำมันดิน สองตานั้นมองดูเด็กชาย เป็นประกายและว่างเปล่าเหมือนแสงไฟฉายในห้องใต้ดิน ฟันเผยอออก มีอะไรดำๆเป็นเมือกขยับไปมาอยู่ข้างใน

เจสันล้มไปข้างหลัง ปากอ้าออกจะตะโกนแต่แค่หายใจก็ไม่ถูกแล้ว เขามองเจ้าผีร้ายที่กำลังคลึงอะไรบางอย่างอยู่ในมือเหี่ยวๆนั้น ใช้สองนิ้วหนีบมันแล้วยกขึ้นใส่ปาก เด็กชายคิดว่ามันคงเป็นลูกอมหรืออะไร แล้วเขาก็เห็นประกายของโลหะ

นั่นมันฟันหน้าของแอนโธนีเพื่อนเขา เหล็กครอบฟันยังติดอยู่เลย

เจ้าผีร้ายวางมันลงระหว่างฟันตนเองอย่างทนุถนอม ฟันนั้นยังขาวสะอาดอยู่ในปากโสโครกนั้น เขาวางมันไว้อย่างนั้นครู่หนึ่ง...แล้วก็หุบกราม ฟันสั่นอยู่แล้วก็แตกเป็นเสี่ยงเหมือนลูกกวาดที่ถูกล้อรถทับ เขาเคี้ยวมันสองครั้งแล้วก็หยุด ตายังมองเด็กชาย เวลาเหมือนจะผ่านไปยาวนาน เจสันไม่แน่ใจว่าตนเองหายใจอยู่หรือเปล่าด้วยซ้ำ รู้ตัวว่านี่คือตอนจบ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณไม่เชื่อฟัง เมื่อคุณออกมาคนเดียว ผีร้ายจะออกมาแล้วพาคุณไป ตลอดกาลและตลอดไป

แต่เขาไม่ เขาหันกลับไปทำท่าเหมือนจะก้าวเท้าเดิน...ก่อนจะล้มลงไป ช้าๆ เหมือนชายชราสะดุดก้อนหิน อสุรกายสีดำนั้นล้มบนพื้น...แต่ก็แค่ทะลุผ่านมันลงไปเหมือนเป็นอากาศ ไม่มีอะไรนอกจากคราบสีดำเหลือไว้บนคอนกรีต ...กับเหล็กครอบฟันเล็กๆ

ในตอนที่พวกนั้นพบเขาในหลายชั่วโมงต่อมา เขากำมันไว้แน่นจนฝังลงไปในฝ่ามือ

เด็กชายนั่ง ทั้งสบายและน่าสังเวช แม่ใจดีพอที่อย่างน้อยๆก็ยอมให้เขาสวมชุดมาริโออยู่ แต่แม้แต่เขาเองก็ยอมรับว่าเขาคงจะป่วยเกินกว่าจะเดินไปมาในบ้านได้ ไม่ต้องพูดถึงออกไปข้างนอกเป็นชั่วโมงท่ามกลางความหนาวเหน็บเลย พอตื่นขึ้นมาเขาก็อาเจียน แล้วมันก็เป็นอย่างนั่นต่อมา พ่อแม่ของเขาก็หวังไว้แต่ในที่สุดก็ต้องยกเลิกทริค-ออร์-ทรีท ถึงเขาจะเศร้าแต่ทั้งสองก็พยายามชดเชยให้เขาอย่างดีที่สุดแล้ว มีชามขนมเล็กๆของเขาซึ่งสัญญาไว้ว่าทั้งหมดที่เหลือจะเป็นของเขา แล้วเขาก็ดูหนังน่ากลัวได้เท่าที่อยากดูด้วย

ก๊อก ก๊อก

"ทริค-ออร์-ทรีท"

"ว้าว เต่าน่ารักจัง! แล้วเธอเป็นอะไรจ้ะ แม่หนู?"

"ราพันเซลค่ะ!"

"จ้า เอาไปนะคะ องค์หญิง!"

"ขอบคุณค่ะ!"

เขาไปช่วยแจกไม่ได้ด้วยซ้ำ ก็พยายามไม่สนใจดีกว่าน่ะนะ ทำเหมือนว่าทุกคนก็อยู่ข้างในบ้านเหมือนกัน จะได้รู้สึกดีขึ้น เขาดึงหมวกหลวมๆลงมาหน่อย พยายามบอกตัวเองว่าท้องเขาไม่ได้รู้สึกเหมือนมีเม่นกลิ้งอยู่ข้างใน เขาดูซอมบี้ถลาข้ามจอ หวังไว้นิดๆว่าผู้คนที่ตะโกนพร้อมกับวิ่งไปทางบ้านนั้นเป็นพวกเด็กๆที่โรงเรียน

ก๊อก ก๊อก

"ทริค-ออร์-ทรีท"

"โอ แวมไพร์ยอดไปเลยจ้ะ!"

"แดร็คคูลอร่าค่ะ! แฮ่!"

"น่ากลัวจังเลย! นี่จ้ะ…"

"ขอบคุณค่ะ!"

เขาเร่งเสียงหนัง เสียงครางต่ำๆของผีดิบกลบเสียงตะโกนของความสุขไป ที่แย่ที่สุดก็พรุ่งนี้ ต้องทนฟังทุกคน ดูพวกนั้นกินขนมพลางพูดถึงบ้านต่างๆกับการผจญภัย เขาถอนใจแล้วกลืนน้ำลาย ท้องเขากำลังม้วนอีกรอบแล้ว เด็กชายวางลูกอมที่เขาแทะอยู่ไป จู่ๆแค่กลิ่นก็แย่แล้ว

ก๊อก

"…"

"ฮัลโหล?…โอ…"

"…"

"เอ่อ คุณอยู่กับโอ้คุณพระช่วย!"

เสียงร้องที่จู่ๆก็ดังขึ้นของแม่ทำให้เด็กชายลุกขึ้นนั่งตรง ท้องเขาบิดเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมแต่มันก็แทบจะถูกลืมไปเลย จากที่เบาะนั่นเขามองไม่เห็นเธอแต่ได้ยินเสียง เสียงล้มหนักๆและเสียงตะโกนอู้อี้...กับเสียงอะไรเหลวๆไหลเหมือนท่อน้ำทิ้งที่อยู่บนกองใบไม้แห้ง เขายืนขึ้นและเริ่มแอบมองอ้อมผนังสั้นที่บังทางเข้าไว้ ส่งเสียงเรียกอย่างลังเลด้วยความกลัวว่าจะไม่มีเสียงตอบ แต่ก็กลัวพอๆกันว่าจะมีอะไรตอบกลับมา เขาอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ฟิตในตอนที่มือนั่นโผล่มาจับผนังไว้แน่น

มันเป็นสีเทาดำและผอมแห้ง หนังตึงถึงกระดูกเหมือนของคุณย่า เล็บแบนกว้างกุมสีที่ทาไว้แน่น รอยสีดำแผ่ออกไปจากที่ที่มันจับเหมือนน้ำมันบนถุงกระดาษ ข้อนิ้วนั้นดูพองและหนา เด็กชายมองและถอยออกมาช้าๆพร้อมเรียกแม่เขาอีกครั้ง เสียงในตอนนี้เริ่มเป็นการวิงวอนแล้ว มือนั้นขยับ จมลงไปในผนังพร้อมๆกับที่รอบเปื้อนแผ่ออกไป แล้วฝันร้ายก็โผล่มามองจากตรงมุม

หัวนั้นหนา บวม และผิดรูปเหมือนเป็นหุ่นไล่กาที่ทำมาไม่ดี ผิวหนังบางและเหมือนวุ้น ตาสีแข็งๆเป็นประกายเหมือนหนอนสองข้างอยู่เหนือรอยบากบางกว้างที่เป็นปาก ตาของทั้งสองสบกัน และเด็กชายก็รู้สึกถึงความกลัวที่แล่นจากหัวจรดเท้า ท้องเดือดเหมือนหม้อต้มที่ถูกลืมทิ้งไว้ เส้นประสาทกรีดร้องให้เขาวิ่ง ให้หนีไป แต่เขาทำให้ตัวเองหยุดมองตาคู่นั้นไม่ได้ เท้าเคลื่อนไปข้างหลังช้าๆเหมือนเดินละเมอ มือกับใบหน้านั่นขยับนิดหนึ่ง แล้วก็มีเสียงลากของเปียกหนักในตอนที่แม่ของเขาถูกดึงเข้ามาในสายตา

เธอตายแล้ว หรือไม่ก็เกือบแล้ว ถูกดันมาข้างหน้าด้วยมือบนหน้าอกเหมือนหุ่นเชิด ส่วนหนึ่งของเธอดำและบวม คราบเปื้อนสีดำนั้นกัดลงไปในหน้าของเธอ คอของเธอ แขนของเธอ หน้าอกของเธอเป็นโพรงสีดำเคลือบด้วยวุ้น มืออีกข้างหนึ่งของสิ่งนั้นจมลงไปถึงข้อมือ ซากที่เละเทะไร้เลือดออกของแม่เขาห้อยอยู่เหมือนตุ๊กตา เขากรีดร้องแล้วอาเจียนออกมา ไม่มีอะไรมากกว่ากองของน้ำย่อยกับขนมที่ย่อยไปบ้าง จากนั้นก็วิ่ง กรีดร้องขึ้นไปบนบันได ร้องหาแม่ พ่อ ใครก็ได้ ใครสักคน

เขาพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูแล้วล็อกไว้ ตัวสั่นแล้วก็ร้องไห้ พ่อไปเยี่ยมคนอื่นข้างนอก เดี๋ยวเขาก็จะกลับมาแล้วก็จัดการทุกอย่างได้สักวิธี เขาจะเรียกตำรวจหรืออะไรสักอย่าง พาพวกเขาออกไปจากบ้าน ปล่อยไอ้ตัวดำนั่นไว้แบบนี้ บางทีแม่คงจะแค่เจ็บแล้วก็ยังไม่เป็นอะไร ก็เขาเห็นเธอแป๊บเดียวเองนี่นา ไอ้นั่นมันก็แค่คนบ้าสวมชุดเท่านั้นเอง บางทีเขาคงจะหนีไปทันทีที่ได้ยินใครบางคนมา แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย มันจะไม่เป็นไร เขาเอาแต่กระซิบกับตัวเอง เท้ายันอ่างล้างหน้า หลังชนประตู

เขายังพูดซ้ำๆอย่างนั้นในตอนที่ใบหน้านั้นโผล่ทะลุประตูเข้ามาเหนือเขา

เขาได้ยินเสียงแตกแล้วก็เงยหน้าขึ้น ได้เห็นใบหน้านรกนั่นมองลงมาพ้นหัวเขาไปไม่กี่นิ้ว จู่ๆพื้นใต้เท้าของเขาก็รู้สึกลื่นและอ่อนลงขณะที่เขามองอยู่ ปากอ้าออกให้ลิ้นที่บวมและเน่าเหมือนปลาตายแลบออกมา…แล้วก็ลงมา…ลงมา เลื้อยลงมาบนใบหน้าที่ตื่นกลัวนั้นเหมือนน้ำเหนียวๆเผาไหม้ในตอนที่เขารู้สึกว่าขาของตนกำลังจมลงไปเรื่อยๆ แม้แต่จะขยับตัวยังทำไม่ได้ในตอนที่เนื้อนิ่มๆเปื้อนเมือกกัดลงไปบนหน้าของเขาเหมือนกรด รู้สึกว่าจมูกของตนหดลงเหมือนยางลบที่ถูมากไป กรีดร้องออกมานานพอที่ปลายๆของลิ้นที่ยาวไม่มีสิ้นสุดนั้นจะเข้าไปในปาก สำลักออกมาก่อนที่เส้นประสาทจะหยุดไป เขาเริ่มสลบไปในตอนที่รู้สึกว่าฝันร้ายนั้นกำลังชิมลูกตาเขาอยู่

แดรคตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนหลับอยู่บนกองชิ้นส่วนรถยนต์ขึ้นสนิม เขาลุกขึ้นนั่งแล้วพยายามหาที่มาของความเจ็บปวดบนขา แล้ว...ความจำก็ถาโถมใส่เขาเหมือนรถด่วน วิ่งข้ามเมือง ฝ่าฝูงชน เห็นแขนเหี่ยวๆกองอยู่บนพื้น เสียงกรีดร้อง ผู้คนวิ่งหนี ใบหน้าสีดำอัปลักษณ์นั่นโผล่มาจากพื้นจ้องตากับเขา ปาร์คยิง เสียงกรีดร้องอีก มือเหี่ยวๆนั่นยื่นออกมา จับ ดึง...

โอคุณพระ ไม่นะ

เขามองไปรอบๆด้วยความสยดสยอง วิงวอนให้สมองของเขาโกหกตัวเอง ห้องนี้มืด สกปรก เพดานเตี้ยๆ มีกองดินกับเศษวัสดุอยู่ที่มุม สีเทาลอกเป็นริ้ว เพดานกับพื้นสกปรกบิดเบี้ยวตะปุ่มตะป่ำ ประตูเปิดไปสู่ความมืด มีเสียงเบาๆดังมาจากที่ไกลๆเนิ่นนาน มีแสงสลัวแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฉายมาจากที่ไหนทั้งนั้น เป็นแค่แสงเรืองที่มีอยู่ทั่วที่มีสีเขียวอ่อนๆเหมือนน้ำลึกใต้สมุทร

แดรครู้จักห้องนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมามาก่อน อย่างน้อยก็ห้องที่เหมือนห้องนี้ล่ะ ตาแก่นั่นชอบเอาคนที่จับได้มาทิ้งไว้ที่นี่ก่อนที่เขาจะ...หาพวกเขาเจอ แดรครีบลุกขึ้น ค้อมตัวลงหน่อยเพื่อหลบส่วนที่ปูดลงมาจากเพดาน เขาไม่อยากให้รองเท้าแตะโดนที่นี่ด้วยซ้ำไป อย่างอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาสะดุ้ง รู้สึกได้ถึงความปวดหนึบๆว่างเปล่าสูงขึ้นมาบนน่องขา มันคงจับเขาตรงนั้น…และเขาไม่มีทางดูมันแน่ เขาโซเซอยู่สองสามก้าวให้แน่ใจว่ารับน้ำหนักไหว ตาสอดส่วยไปทั่วทุกพื้นผิว

เขาหายใจช้าๆ ลึกๆ นึกถึงเอกสาร ถึงการบรรยาย เวลาเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เขาอาจจะหายไปไม่กี่วินาทีหรือหลายๆสัปดาห์ มันชอบเล่นแมวกับหนู ตามไปรอยไปทั่ว...บ้าน หรือห้องของเล่น หรือห่าอะไรก็ตามที่มันเป็น พื้นที่นี้ไม่มีสิ้นสุด แต่บางครั้งคนก็ออกไปได้ หรืออาจจะถูกปล่อยไป เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ อย่าซ่อนตัว เพราะมันเป็นพระเจ้าของที่นี่และมันจะรู้ เขารู้สึกถึงความตระหนกที่เลื้อยไปตามริมสมองแล้วก็กดมันลง เงยหน้าอย่างมุ่งมั่นในตอนที่เขาก้าวออกไปสู่ความมืดมิดพ้นประตูนั่น

ทางเดินนั้นยาวและแตกหัก เหมือนทางเดินโรงพยาบาลหลังเกิดแผ่นดินไหว ไม่มีรูใหญ่ๆ แต่บิดเบี้ยวและเอียงแปลกๆ เขาคืบไปใกล้กับผนังให้มากที่สุดเท่าที่ยังไม่ต้องสัมผัสมัน รู้สึกว่าปูนหยาบๆถูกบดอยู่ใต้เท้า เสียงนั้นดังขึ้น เป็นเสียงร้องแหลมราบเรียบ มันทำให้เขาประสาทกินแต่พวกนั้นก็บอกว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ ที่สำคัญคือต้องเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ตามองเข้าไว้ จริงที่ว่าที่นี่ไร้ที่สิ้นสุด แต่ถ้าคุณเคลื่อนที่อยู่ตลอดก็ดูเหมือนว่าเจ้า 106 จะสับสนหรือคลาดสายตา แล้วคุณก็อาจจะหลุดกลับไปโลกได้โดยบังเอิญ เขาก้าวไปพร้อมท่องคำบรรยายในหัวซ้ำๆเหมือนมันเป็นบทสวดมนต์ โดยทำเป็นลืมส่วนที่ว่าโดยทั่วไปแล้ว 106 จะตามล่าผู้ที่หนีมาได้ไปตลอดกาล

เขาเลี้ยวขวาที่สุดทางเดิน ผ่านทางเดินอีกแห่ง แล้วก็ซ้าย เริ่มเดินเร็วขึ้น ไม่สนใจสายลวดกับท่อเบี้ยวๆผุๆในบางห้องที่เขาผ่าน หรือกองแฉะๆที่ชวนให้เกิดความคิดของ...อะไรสักอย่าง เสียงร้องนั้นดังขึ้นเรื่อย เสียงแหลมๆ โหยหวนกลั้วน้ำลายของเด็กทารก อย่าไปสนใจมัน เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ฝีมือของมัน มันทำให้ที่นี่มีเสียงเหมือนสว่านกรอฟันได้ถ้ามันอยากทำ แดรคก้าวหนักๆไปตามทางเดินด้วยความเร็วที่เกือบจะสูงสุด พยายามจะไม่มองความชื้นที่มากขึ้นเรื่อยของผนัง พื้นผิวที่เปลี่ยนไป ปูนแตกๆที่ทับบนอิฐสีอมเขียว พื้นเปลี่ยนจากไวนีลแตกๆไปเป็นคอนกรีตแล้วก็ดิน

เขาเลี้ยวที่หัวมุมเร็วไปหน่อย เมือกดำหนืดที่พื้นทำให้เท้าเขาลื่นจนเกือบจะล้มลงคุกเข่าในตอนที่เขาจับผนังอิฐแฉะๆนั่นไว้ เขามองเข้าไปในห้องชื้นสลัว เสียงร้องที่ช่วยตัวเองไม่ได้อย่างเดือดดาลนั้นดังมากแล้ว เขาตัวแข็ง มองไปในท่ากึ่งคุกเข่าและจับผนังไว้ มันยืนอยู่กลางห้อง วุ้นสีดำกองอยู่ถึงข้อเท้า ชายชราหันมาช้าๆ ตัวโยกจากข้างไปอีกข้างอย่างเนิบนาบ เสียงร้องนั้นมากจากสิ่งที่เขาถืออยู่

นั่นคือลำตัว ถูกพันไว้ด้วยกลุ่มของสิ่งที่ดูเหมือนลวดหนาม ลวดนั้นสอดเข้าออกผ่านเนื้อหนัง บางจุดนั้นดูเหมือนเลือดไหลออกมาบนผิวหนังเหมือนทอฟฟี่อุ่นๆ ส่วนที่เหลือของของแขนขาเยินๆบิดเบี้ยวและเหยียดออก การเคลื่อนไหวใดๆมีแต่ทำให้ลวดแทงและฉีกมากกว่าเดิม มันไม่มีเส้นขน ผิวหนังของหัวโล้นๆกับคอนั้นเหมือนจะถูกปอกและเน่าเป็นหน้ากากของความเจ็บปวด ส่วนลำคอนั้น...ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง บิดและขึงให้อยู่กับที่ด้วยลวด เสียงเด็กร้องนั้นจริงๆแล้วก็มาจากที่ลำตัวผู้ใหญ่ที่เละเทะนี้ครวญครางอย่างน่าสังเวช

ชายชรามองเขา ใบหน้าหันมา ตามองมาที่ชายผู้พยายามลุกขึ้นยืนตรง ไม่สนใจเสียงฉ่าๆจากรองเท้า พยายามจะไม่คิดว่าส่วนคอนั้นโดนทำอย่างไรจึงส่งเสียงเหมือนเด็กร้องได้…หรือว่าแขนขาของลำตัวที่น่าสงสารนั่นหายไปไหน มันมองเขา ฟันผุๆแยกออกเล็กน้อย แล้วก็หยุดการโยกตัวอย่างช้าๆ มันทิ้งก้อนที่ถูกลวดมัดนั่นลง แขนห้อยลงข้างตัวพร้อมกับที่ก้อนของเนื้อและความเจ็บปวดกระดอนกับพื้นแล้วก็คว่ำลงบนกองสิ่งโสโครกแฉะๆ ทำให้เกิดเสียงร้องใหม่แทรกขึ้นระหว่างการสูดอากาศเข้าไปเป็นฟอง มันหันมาหาเขา แขนห้อยลง ตัวพันไว้ด้วยสิ่งที่เหมือนเศษของผ้าดำชื้น

แดรควิ่ง พุ่งไปเหมือนกวางที่ตื่นกลัว ที่ฝึกมากับสถานการณ์ถูกโยนทิ้งไปกับสายลมแห่งความมืดบอดวิปลาสของสัตว์ที่หนีภัย เขากรีดร้อง หอบ พูด หัวเราะ อะไรก็ได้ที่ช่วยกลบเสียงการฝีเท้ากระตุกๆช้าๆที่ตามมาหลังเขา เขาวิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง ล้มลงแล้วก็กระแทกพื้นเหมือนถูกรถชน อ้าปากหายใจแล้วก็รอจุดจบ กล้ามเนื้อเต้นกระตุ…แล้วก็เริ่มใหม่อีก เสียงฝีเท้ากรอบแกรบเบาๆทำให้เขาไปต่อ ไปต่อ แล้วก็ไปต่อ

เขาไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขาวิ่งอยู่สี่วันก่อนที่ตาเฒ่านั่นจะเริ่มดึงบางส่วนของเขาออกมา

การเก็บกู้เกิดขึ้นในตอนใกล้รุ่งสางซึ่งไม่มีทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ และเมื่อคิดถึงทุกอย่างแล้วก็นับว่าราบลื่นอย่างน่าแปลกใจด้วย SCP-106 ถุกพบอยู่กลางทุ่ง เอาฟักทองใส่ถุงแล้วก็บีบหรือเหยียบให้มันแตก ทีมซึ่งขาดไปคนหนึ่งนั้นได้รับกองหนุนหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะพบตัวมันแล้วก็ไล่มันกลับไปในห้องขังด้วย"ปืนสุริยะ"แฮโลเจนขนาดใหญ่ ซึ่งสมาชิกทีมเก็บกู้สองคนเกือบตาบอดไปจากความมุ่งมั่นที่จะเอาชายชรามาขังไว้อีกครั้งให้ได้

มันนั่งในห้องขังโดยไม่มีการพยายามหนีแม้แต่ขณะเดียว มันนั่งแล้วก็ไม่ทำอะไรอีก หัวเอียงไปข้าง แขนขาห้อยลง สมาชิกMTFคนหนึ่งบอกว่ามันดูเหมือนจะสาแก่ใจแล้วก็ถูกบอกให้หุบปากอย่างเป็นทางการ การหายตัวนั้นถูกทำให้เป็นเรื่องเล็ก การฆาตกรรมถูกปิดบัง กลาเป็นเรื่องที่ไม่คู่ควรจะเป็นข่าว ตำนานพื้นเมืองถูกปล่อยออกไปและอุ้มชูให้เติบใหญ่ โดยรวมๆแล้ว เมื่อนรกยุติลงทุกอย่างก็นับได้ว่าเป็นไปด้วยดี

หลายสัปดาห์ต่อมา ตามที่ฝ่ายสังเกตการณ์ได้ลงไว้ในบันทึกประจำวัน จู่ๆ SCP-106 ก็เอาของเล็กๆสีขาวจำนวนมากออกมา ซึ่งต่อมาก็ก็สามารถระบุได้ว่าเป็นฟันและกระดูกข้อนิ้ว จากนั้นก็เอามากองที่พื้นแล้วเรียงใหม่เป็นกองๆซึ่งดูเหมือนจะไม่มีรูปแบบ ซึ่งในภายหลังนั้นพบว่าแบ่งตามอายุของเหยื่อ มันมองของเหล่านี้อยู่หลายชั่วโมงก่อนจะเก็บกลับ

สิ่งนี้จะมีความสำคัญอย่างไรนั้น ได้สรุปว่าไม่คุ้มค่าที่จะครุ่นคิด