การเดินทางของเคลฟกับดิมิทรี

Clef And Dimitri Hit The Road (16 พฤษภาคม 2557)

"พักงานเหรอ?"

"อย่างน้อยเดือนนึงน่ะนะ" ดร.กลาสว่าพลางใช้นิ้วสัมผัสปุ่มฉุกเฉินที่อยู่ใต้คลิปบอร์ดอย่างเครียดๆ ผู้ที่นั่งตรงข้ามกับเขากะพริบตาสีแปลกนั่น(บ้าเอ๊ย ไม่รู้จริงๆว่านั่นมันสีอะไร)อย่างช้าๆ พร้อมกับอ่านกระดาษสีชมพูในมือ "การตรวจสภาพจิตของพวกคุณระบุว่าพวกคุณไม่ได้พักมาหลายปีแล้ว พวกคุณต้องไประบายอารมณ์สักหน่อย"

"ผมได้พักนะ ไปเที่ยวอิตาลีมา" เคลฟพูดขึ้นเสียง

"ผมไปบาร์ สนุกดี เจอเพื่อนใหม่ด้วย" สเตรลนิคอฟแย้ง

"ปฏิบัติการลับพร้อมหน่วยรบหกนายเพื่อกำจัดเป้าหมายน่ะไม่ใช่การพักร้อน การเข้าโรงพยาบาลห้าอาทิตย์เพราะอวัยวะภายในฉีกขาดก็ไม่ใช่" ดร.กลาสถอนใจ "ฟังนะ ก็แค่ไปพักร้อนซะ ผมไม่สนว่าพวกคุณจะไปทำอะไรที่ไหน ก็แค่ใช้เวลาสักอาทิตย์ที่ไม่ต้องห่วงเรื่องชะตากรรมของโลกนี้น่ะ"

"นั่นมัน...ยากนะ" เคลฟว่า กระดาษในมือถูกพับเป็นหนึ่งในสามส่วนพอดีเปี๊ยบ "น่าจะขอให้ผมหยุดหายใจซะด้วย"

"งี่เง่า" อีกคนที่นั่งตรงข้ามกับนักจิตวิยาพูด ขณะที่ตาจ้องกระดาษสีชมพู "ยังกับว่าพวกเชเชนจะเลิกเป็นเชเชนเพราะมันเหนื่อยยังงั้น สงครามไม่ใช่งานเข้าเช้าเลิกเย็นสักหน่อย"

"ถ้างั้น...ก็ให้การช่วยโลกเป็นเรื่องสำคัญอันดับสองก็แล้วกัน คิดซะว่าเป็น...การดูแลประจำปี คุณเอารถไปตรวจสภาพทุกหมื่นไมล์ แล้วนี่ก็เป็นเวลาที่คุณต้องตรวจสภาพแล้ว" ดร.กลาสถอนใจ

"ให้ผมตรวจสภาพที่อู่ไม่ได้รึไง? บางทีผมอาจจะไปที่ศูนย์ฝึก หรือภาคสนาม..." เคลฟบ่นงึมงำ

"ดื่มว็อดกาก็ได้ ชาวรัสเซียพักร้อนแบบนั้น"

"ไม่ ไม่มีปฏิบัติการภาคสนาม ไม่มีการฝึกซ้อม ไม่มีงานเอกสาร ไม่มีอะไร ก็แค่...ไปพักผ่อน พวกคุณควรได้รับมันนะ ขอให้สนุกกับการพักร้อนล่ะ ท่านสุภาพบุรุษ"

ประตูปิดลงราวกับการปิดฉากอันยิ่งใหญ่ ปล่อยให้คนที่อันตรายที่สุดสองคนในสถาบันยืนที่ทางเดิน มือกำกระดาษสีชมพูราวกับนักเรียนเกเรที่ถูกส่งไปเจอผู้อำนวยการ พนักงานฝ่ายทรัพยากรมนุษย์และฝึกฝนทั้งแผนกนั่งมองหน้าจอด้วยความตึงเครียด มีคนนึงพิมพ์บทสวดวิงสอนพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมาในโปรแกรม Notepad แล้วก็มีอีกคนที่สวดพระสูตรของศาสนาพุทธเบาๆ

สภาพอึดอัดนั้นในที่สุดก็จบลงด้วยเสียงถอนใจของเคลฟ ผู้ใช้กระดาษนั่นถูกท้ายทอยตนเอง "คือว่า" เขาพูด "ได้ยินว่าฤดูนี้บราซิลน่าเที่ยวดีนะ"

บาร์ของสนามบินนั้นออกจะแออัด เต็มไปด้วยผู้โดยสารที่เหนื่อยอ่อน ซึ่งแวะมาหาอะไรดื่มกินก่อนจะพาตัวเองไปกับแอร์บัสหรือโบอิงลำใหญ่ สเตรลนิคอฟกับเคลฟทอดน่องเข้าไปเงียบๆและนั่งลงที่ม้านั่งที่ว่างอยู่แค่สองตัว พยักหน้านิดๆให้บาเทนเดอร์และคนที่นั่งติดกัน เตรียมพร้อมที่จะฆ่าเวลาสองชั่วโมง การแต่งกายของพวกเขาออกจะโดดเด่นและดึงดูดสายตาแปลกๆของคนอื่น สเตรลนิคอฟสวมเครื่องแบบธรรมดากับหมวกสูง ส่วนเคลฟสวมเสื้อฮาวายลวดลายลามกสีฉูดฉาด

เครื่องดื่มของพวกเขาก็บอกตัวตนของพวกเขาได้ชัดเจนมาก บาเทนเดอร์ผู้หัวยุ่งจากวันอันยาวนานชี้มาที่เคลฟแล้วสบตากัน รอคำสั่ง

"บอมเบย์แซฟไฟร์มาตินี คน อย่าเขย่า ใส่น้ำแข็งสองก้อนพอดี ยินกับเวอมุธในอัตรา6ต่อ1 มะกอกสองชิ้น หัวหอมหนึ่ง แล้วถ้านายทำให้เวอมุธแตกล่ะก็ ขอให้พระเจ้าช่วยนายด้วย" เคลฟบอกหน้าตายราวกับว่าบาเทนเดอร์ควรรู้อยู่แล้ว สีหน้าของบาเทนเดอร์อึ้งไปวูบหนึ่ง ก่อนค้อมหัวให้แล้วหันไปทางสเตรลนิคอฟ "คุณล่ะครับ?"

"ว็อดกา"

"กับอะไรครับ?"

สเตรลนิคอฟมองอย่างน่าขยะแขยงที่สุด "...น้ำแข็ง"

"ระบุยี่ห้อหรือเปล่า?"

สายตาของสเตรลนิคอฟแข็งกร้าวขึ้น มือที่วางบนบาร์กำแน่น "ว็อดกา กับน้ำแข็ง"

เมื่อแอลกอฮอล์มา ทั้งคู่ก็อารมณ์ดีขึ้น แล้วลิ้นก็พริ้วขึ้นตามจำนวนแก้ว หลังจากผ่านไปหนึ่งยก ทั้งสองคนก็เริ่มสนทนาอย่างออกรสชาติ

"เนี่ยนะ ดิมิทรี เหล้าดีเนี่ยมันจะลื่น นายแค่จิบนิดๆ แล้วทั้งรสกับกลิ่นหอมก็จะผสมกันพอให้นายลืมหายใจไปเลย ก็เหมือนสัมผัสจากผู้หญิงสวยๆนั่นล่ะ ทั้งประณีตและหายาก เป็นอะไรที่นายจะถือไว้แล้วก็โชว์ให้ชาวบ้านดูว่านายเป็นไอ้ลูกหมาที่มีรสนิยมแค่ไหน"

"เหล้าเนี่ยนะ? เหล้าไม่ใช่สัญลักษณ์ของรสนิยมนะครับ ด็อกเตอร์เคลฟ เหล้าก็คือเครื่องดื่ม คุณดื่ม แล้วคุณก็เมา จากนั้นคุณก็ดื่มต่อ จนกระทั่งคุณดื่มไปมากพอที่จะสร่างอีกที"

"...ฉันไม่คิดว่านายจะเข้าใจนะ"

บทสนทนาแกล้มเหล้าดำเนินต่อไป ลูกค้าคนอื่นๆก็เริ่มสนใจทั้งสองคนบ้างแล้ว พวกเขาหันหน้าและเก้าอี้มาทางสุภาพบุรุษแต่งตัวประหลาดสองคนที่ถกเถียงและแขวะรสนิยมของอีกคน เมื่อแก้วว็อดกากับมาร์ตินีกองสูงขึ้น การถกเถียงก็หายไปและกลายเป็นการพูดคุยเล่าเรื่องกันแทน

"ฉันอยากเห็นหน้าตอนฉันฆ่ามันน่ะ ดิมิทรี ก็เลยให้สไนเปอร์รออยู่ก่อน นี่นะ ฉันเขาไปข้างหลังมันแบบนี้" ทำมือประกอบ "แล้วก็ใช้ปืนพกฟาดหน้ามัน แล้วมันก็แทงฉัน แล้วก็เกิดอะไรขึ้นสักอย่าง แล้วก็ บลาๆๆ สุดท้ายฉันเข้าโรงพยาบาลไปสองสามสัปดาห์ เป็นช่วงที่ดี"

สเตรลนิคอฟพยักหน้าเห็นด้วย "ที่เชชเนียน่ะ สเบียงเราน้อยตลอดล่ะครับ ผมก็เลยต้องประหยัดกระสุนแล้วใช้ดาบปลายปืนแทนบ่อยๆ" เขาชี้นิ้วมาทางเคลฟ "พวกเชเชนหลายคนโดนเข้าที่หน้ากับคอ ด็อกเตอร์เคลฟ หลายคน เลือดท่วม"

"เคยขับรถถังทับคนมั้ย?"

"รถลำเลียงพลหุ้มเกราะนี่นับมั้ยครับ? พูดเรื่องการต่อสู้ด้วยมือเปล่าดีกว่า คุณหักคอคนมั้ย?"

"ฉันว่ากระดูกสันหลังง่ายกว่านะ ดิมิทรี มีหลายคนชอบท่าบิดหัวหักคอแบบมาตรฐาน แต่ฉันชอบดึงผมแล้วกระทืบที่หลังเต็มแรงมากกว่า ความชอบส่วนตัวน่ะ" สเตรลนิคอฟไม่มีอะไรจะเถียง

"มีทีนึง ภารกิจภาคกลางคืน เราเจอค่ายพวกกบฏในโกดังที่ถูกระเบิด ผมส่งไปสองทีม นะครับ?" ชูขึ้นสองนิ้ว "สองทีม จากทางเข้าสองทาง ส่วนผมปีนเข้าไปทางหน้าต่างคนเดียว มีแค่มีดกับปืนพก พวกมันหลับอยู่ ยามหลับ ทุกคนหลับ เราเข้าไปเชือดคอหอยพวกมันกลางดึก แล้วทิ้งไว้ให้อีกากิน" เขาไอ "ผมมารู้ตอนหลังว่ามีคำสั่งหยุดยิง" แค่นหัวเราะ

"โอ้ ฉันเข้าใจ มีทีนึงนะ ตอนนั้นฉันทดลองเลื่อยยนต์ที่เราคิดว่าเป็นวัตถุที่ต้องเก็บควบคุม แล้วก็กลายเป็นว่าพวกDคลาสก่อจลาจล แล้ว...อ่ะนะ คือฉันถือเลื่อยยนต์อยู่ มีเหตุมันก็มีผลน่ะนะ พอรู้ตัวอีกที ฉันก็ยืนอยู่กลางกองศพพวกDคลาส มือชูเลื่อยยนต์ไว้เหนือหัว ร้องด้วยความบ้าเลือด แล้วใครบางคนก็เข้ามาบอกฉันว่ามันเป็นงานคอสปาร์ตี้ แล้วทีมวิจัยของฉันครึ่งหนึ่งก็ตายแล้ว" แค่นหัวเราะ "ไอ้เลื่อยนั่นก็เป็นแค่เลื่อยธรรมดาด้วย" สเตรลนิคอฟพยักหน้าเศร้าๆ รู้สึกถึงความผิดหวังของเคลฟ เขาหยุดนิดนึงแล้วพูดเบาๆ

"ผมล้อเล่นเรื่องหยุดยิงน่ะ ด็อกเตอร์เคลฟ"

"...อ้อ ฉันไม่ว่ะ มันเป็นงานคอสปาร์ตี้จริงๆ"

ดิมิทรีถอนใจแล้วหันไปสั่งเหล้าอีก แต่ไม่มีใครตอบ เขาชะโงกไปหลังบาร์แล้วก็เห็นบาเทนเดอร์นอนหน้าซีดอยู่ที่พื้น พยายามต่อโทรศัพท์อยู่ สเตรลนิคอฟแค่นหัวเราะแล้วก็เอื้อมไปหยิบขวดมาเอง รินลงแก้วก่อนหันมาทางเคลฟ เขามองผ่านไปด้านหลัง

บาร์ว่างสนิท

"พอคิดดูว่าเราทำงานให้ใครแล้ว พวกนั้นน่าจะหาที่นั่งดีกว่านี้มาให้เรานะเนี่ย" เคลฟบ่น "จริงๆนะ แฮมแซนด์วิชแห้งๆกับน้ำอัดลมครึ่งประป๋องคิดตั้งห้าเหรียญนี่มันปล้นกันชัดๆ"

"ก็ดีกว่าแอโรฟลอทช่วงปี1980นะครับ" ดิมิทรีว่า "อาหารดูเป็นอาหาร ห้องพักเก็บอากาศได้ แอร์ยิ้มให้คุณแทนที่จะตะโกน" เขาเลิกคิ้วให้สาวสวยที่เข็นรถอาหารมาตามทางเดิน "แล้วก็สวยกว่าเยอะด้วย แอร์ของแอโรฟลอทมีแต่ยายอ้วนหน้าเหมือนม้า"

"ไม่รู้สิ หัวบีทต้มกับหนังม้าก็ดีกว่าไอ้...นี่น่ะ เกล็ดเขียวๆนี่อะไรเนี่ย?" เคลฟบ่นอุบ นิ้วจิ้มแซนด์วิช "เศษกิ้งก่าเรอะ?"

"สเปิร์มไอ้682มั้งครับ? เจ้ากิ้งก่ายักษ์นั่นมันจุ่มปากในแซนด์วิชคุณล่ะมั้ง" สเตรลนิคอฟหยอกพลางใช้มือซ้ายทำท่าประกอบ

"ก็หวังว่าจะทำให้มันรสชาติดีขึ้นน่ะนะ ขอโทษนะคุณ? คุณ?" เคลฟยื่นมือข้ามสเตรลนิคอฟจากที่นั่งริมหน้าต่างไปแตะศอกแอร์โฮสเตส "ขอโทษนะ แต่ผมสงสัยว่าคุณจะจำที่ผมสั่งไปผิด ผมสั่งแซนด์วิชชีสกับแฮม ไม่ใช่หนองกับพลาสติก จากรสชาติแล้วผมว่าคุณจำสลับกันหน่อย"

"เหรอคะ" แอร์โฮสเตสถอนใจ "ต้องขออภัยนะคะที่คุณไม่ชอบแซนด์วิช ถ้าคุณอยากขอคืนเงิน..."

"ผมไม่สนใจเรื่องเงินเวรนั่นหรอก ผมอยากได้แซนด์วิชที่กินได้น่ะ" เคลฟขัด "ผมรู้ว่าตรงไหนสักแห่งในรถนั่น ใต้อสุจิแห้งกับโฟมฟองน้ำ คุณต้องมีของกินได้อยู่แน่ ยังไงก็ช่วยแอ่นก้นงามๆลงแล้วช่วยหาหน่อยได้มั้ย แม่แก้มสวย?"

"อา..." แอร์โฮสเตสว่า เธอหันมาทางเคลฟแล้วยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความสุขเลยสักนิดและเห็นฟันมากไปหน่อย "เข้าใจแล้ว จริงๆแล้วคุณอยากพูดว่าคุณมันไอ้บัดซบ!"

เธอค้อมตัวข้ามดิมิทรี พูดเสียงต่ำและหนักแน่น แต่ได้ยินชัดเจนทั่วห้อง ขณะที่เธอพูดกับเคลฟที่กำลังอึ้ง "ฟังนะ ไอ้โรคจิต ฉันไม่ได้ทำอาหารเฮงซวยนี่ ฉันแค่เสิร์ฟ ถ้าแกมีปัญหาก็เขียนจดหมายถึงพวกที่ทำได้เลย แต่นั่นต้องรอให้เราร่อนลงซะก่อน จนถึงตอนนั้น เรามีเวลาหกชั่วโมงก่อนถึงเซาเปาโล แล้วมันจะเฮงซวยสุดๆไปเลยถ้าฉันต้องมานั่งฟังแกบ่นไปตลอดทาง ฉะนั้นก็หุบปากแล้วกินแซนด์วิชไปหรือไม่ก็หยุดบ่นซะ ไม่งั้นฉันจะใช้เทปกาวปิดปากแล้วมัดแกไว้กับเก้าอี้" เธอยืนตรง "แล้วฉันก็ไม่ได้ชื่อแม่แก้มสวยด้วย ไอ้เวร ฉันชื่อลูซี"

ความเงียบเข้าปกคลุมครู่หนึ่งก่อนจะตามด้วยเสียงปรบมือเกรียวกราว แอร์โฮสเตสเดินต่อไปและบริการเครื่องดื่มให้ผู้โดยสารคนอื่นๆผู้กำลังประทับใจ เคลฟเอนหลังลงแล้วยิ้ม "ฉันชอบเธอแฮะ" เขายอมรับ "เธอกล้า"

"ก็ดีครับ" ดิมิทรีถอนใจ เขาปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็ค่อยๆยืนขึ้น

"จะไปไหนล่ะนั่น?" เคลฟถาม "หนังจะฉายอยู่แล้วนา"

"ไปอึ...แล้วก็ทำเป็นไม่รู้จักคุณด้วย" ดิมิทรีว่า

เคลฟแค่นหัวเราะแล้วก็เอนหัลงเก้าอี้เต็มเหยียดโดยไม่สนใจยายอ้วนที่นั่งโมโหอยู่เบาะด้านหลัง เขากำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วตอนที่มีเสียงกรีดร้องเอะอะดังขึ้น

"อย่าขยับ!" ชายไว้เคราตะโกน มือถือมีดจี้คอลูซี แม่สาวแอร์โฮสเตสอยู่ มีอีกสองคนที่ถืออาวุธแบบเดียวกัน คนหนึ่งถือระเบิดมือที่ดึงสลักออกแล้วไว้เหนือหัวด้วย ทั้งสามคนสวมผ้าโพกหัวและเสื้อลายพราง "เครื่องบินลำนี้เป็นของกองกำลังศักสิทธิ์แห่งสาธาณรัฐเชเชนอิสระแล้ว!"

"อัลลาห์อัคบาร์!" อีกคนตะโกน "พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เชชเนียจงเจริญ!"

"โอย ต้องล้อกันเล่นแน่ๆ" เคลฟคราง

เครื่องบินที่โคลงเคลงเพราะอากาศแปรปรวนทำให้สเตรนิคอฟฉี่ไม่ออก เขารู้สึกว่ามันแปลกดี ถ้าเป็นการโดดจากเครื่องลงไปกลางสนามรบล่ะก็ไม่มียั่น แต่เรื่องง่ายๆอย่างฉี่ในเครื่องบินนี่ยังกับตกนรก เขาโยนเรื่องซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ทิ้งไป นึกโมโหตัวเองที่เป็นไก่อ่อน

เขาเพิ่งควบคุมตัวเองได้และกำลังจะเริ่มทำธุระอยู่แล้วในตอนที่ประตูถูกถีบเปิดออกแล้วใครบางคนก็จับไหล่เขาลากไปที่ทางเดิน เขารีบนุ่งกางเกงพร้อมกับที่ถูกดึงไป ประหลาดใจจนไม่ได้ขัดขืน พวกเชเชนดูเครื่องแบบของเขาแล้วก็เห็นตรารัสเซียบนหมวก เลยพาเขาไปที่ด้านหน้าของเครื่อง

"ถูกจับได้ตอนเอากางเกงลงอยู่รึไง ดิมิทรี?" เคลฟพึมพำขณะที่พวกมันพาสเตรลนิคอฟผ่านแถวนั้น มุขแป๊กสนิท ด้วยไหวพริบ เขาเหวี่ยงเท้าไปที่ทางเดินโดนเข้าที่ข้อเท้าเจ้าเชเชนพอดี ทำหมอนั่นหน้าทิ่มพรมโดยที่ดิมิทรีล้มตามไปด้วย อีกสองคนรีบเข้ามาจะจับเคลฟ คนที่ถือระเบิดตะโกนอย่างโมโหเป็นภาษารัสเซียสำเนียงเชเชน

สเตรนิคอฟจำได้ทันที

พวกมันเป็นเชเชน

พวกมันอยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินของเขา

มีเชเชนอยู่บนเครื่องบินของเขา สามคน

"...นั่นมากไปสามว่ะ" เขาพูดเสียงดัง เคลฟมองแปลกๆที่เขากัดจมูกเจ้าคนที่ล้ม พร้อมกับดึงมีดสั้นออกมาจากรองเท้าแล้วแทงเข้าที่ไต

เคลฟไม่ยอมเสียเวลาและเกือบจะทะยานข้ามหัวผู้โดยสารเบาะหน้าที่กำลังตื่นกลัวไปใส่พวกที่วิ่งเข้ามา เขากระแทกเจ้าคนที่ถือมีดล้มไปกับพื้น เคลฟถอยมาแล้วใช้ฝ่ามือกระแทกเข้าเต็มหน้า หักดั้งจมูกของอีกฝ่าย หมอนั่นครางแล้วเซถอยไป มือกุมจมูกที่เลือดออก ขณะที่เคลฟใช้ท่าไอคิโดบิดข้อมือปลดมีด แล้วก็ใช้มีดนั่นแทงเข้าหัวใจ ขณะที่สเตรลนิคอฟก็ทำคู่ของตนเป็นศพโชกเลือดเละๆเสร็จเรียบร้อย

เหลืออีกคน ซึ่งยังถือระเบิดในมือและดูจะไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงดีในเมื่อแผนมันพังเละเทะ "อย่าขยับ!" เขาร้อง "ฉันมีระเบิดนะ!"

พร้อมๆกัน เคลฟกับดิมิทรีเงยหน้าแล้วลุกขึ้นจากศพโชกเลือดราวกับหลุดมาจากฉากในหนังสยองราคาถูก เพียงแต่แทนที่จะเป็นเพลงประกอบสุดระทึกก็มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่นักบินเร่งเครื่อง "ฉันไม่สนว่ะ" เคลฟว่า

ดิมิทรีแค่ยิ้ม เห็นฟันเหล็กเรืองๆ

สายตาของผู้ก่อการร้ายสลับไปมาอย่างหวาดๆระหว่างทั้งสองคน ก่อนจะก้าวถอยหลัง

แล้วนั่นก็เป็นก้าวสุดท้าย ลูซีเตะเข้าที่ข้อพับให้เขาเซไปด้านหน้า ตรงไปทางมีดของสเตรลนิคอฟพอดี เคลฟแย่งระเบิดมาอย่างว่องไว มือกดไปที่ชนวนอย่างระมัดระวัง ฟันเหล็กเปื้อนเลือดของดิมิทรีสะท้อนแสงในห้องพักเป็นประกาย ทำให้ชายคนนั้นได้เห็นภาพก่อนตายที่น่ากลัวที่สุด

เขาดึงมีดออกมาอย่างแรงพอๆกับที่แทงเข้าไป เลือดพุ่งออกมาใส่ผู้โดยสารที่นั่งใกล้ๆ แล้วก็ปล่อยให้ร่างนั้นกองไปกับพื้น เหล่าผู้โดยสารมองการต่อสู้โชกเลือดสั้นๆนั้นด้วยอาการช็อก ไม่มีใครปรบมือขณะที่เคลฟกลับไปนั่งที่โดยถือระเบิดในมือ ส่วนสเตรลนิคอฟก็เดินผ่านไปด้านหลัง

"ต้องฉี่หน่อย"

"เรามีปัญหาแล้วล่ะ" เคลฟบอกเมื่อดิมิทรีออกจากห้องน้ำ เมื่อเทียบกับชายชาวรัสเซียซึ่งเลือดท่วมตัวอย่างน่าขนลุกแล้ว เขากลับไม่มีเลือดเปื้อนสักหยดทั้งๆที่เรื่องสุดโหดนั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน

"ไม่มีปัญหา พวกเชเชนตายหมดแล้ว" สเตรลนิคอฟว่า

"นั่นล่ะปัญหา ผู้ก่อการร้ายตายอยู่สามคนบนเครื่องบิน เครื่องบินที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารที่ปลาบปลื้ม สื่อมวลชน การเป็นวีรบุรุษ ขบวนพาเหรด หน้าพวกเราบนหนังสือพิมพ์? เข้าใจที่ฉันอยากจะบอกไหมเนี่ย?" เคลฟชี้

สเตรลนิคอฟคิดตาม "เรื่องยุ่งยาก" เขาบ่น "ด็อกเตอร์กลาสต้องเทศนาพวกเรายาวเหยียดเรื่องความหมายของคำว่า"พักผ่อน"กับ"การประงำกาย""

"เอาเป็นว่า รอตรงนี้ แล้วพอมีโอกาสก็ตามมา"

แล้วนักวิจัยจมูกโตก็สูดหายใจลึก ยืดไหล่แล้วก็เดินกลับไปที่ทางเดิน ไปทางแอร์โฮสเตสที่กำลังตัวสั่นนิดๆนั่งอยู่ด้านหน้าโดยประคองถ้วยกาแฟไว้ สเตรลนิคอฟไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดอะไรกันเพราะเสียงเครื่องยนต์ แต่ก็เห็นท่าทางได้

เคลฟพูดอะไรบางอย่างขณะที่ยินอยู่แถวหน้า

ลูซีตอบกลับมา สองมือยังถือถ้วยกาแฟ

เคลฟพูดอะไรอีก โค้งไปด้านหน้านิดหน่อย ยิ้ม

ลูซียิ้มตอบ เธอกรอกตาแล้วใช้มือปาดแก้ม

เคลฟพยักหน้าแล้วหัวเราะ เขาใช้มือยันตัวเองไว้กับผนังถัดจากเธอ มองลงไป

ลูซีเริ่มเล่นผมตัวเอง

เคลฟถูคาง

ลูซีลูบหลังหูตัวเอง

เคลฟหลิ่วตา

ลูซีลูบคอตัวเอง

เคลฟเดินกลับไปอีกด้าน ผ่านห้องน้ำไปทางห้องสเบียง

ลูซีขบริมฝีปาก ก่อนตามเคลฟไปทางห้องสเบียง จากนั้นก็มีเสียงปลดตะขอและเปิดประตู

ดิมิทรินับถึงยี่สิบแล้วก็ตามไปที่ห้องสเบียง ทางลงไปห้องเก็บสัมภาระเปิดอยู่ เขาลงไปในห้องมืดนั่น

สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือเคลฟกำลังประคองร่างอันไร้สติของลูซีวางลงไปบนสัมภาระ มีลิปสติกติดคอเสื้อ แล้วเสื้อฮาวายที่กลัดกระดุมไว้ก็ถูกปลดออกนิดหน่อยด้วย เขาโยนพวงกุญแจมาให้สเตรลนิคอฟ "ไปหากระเป๋าพวกเราหน่อยนะ" เขาว่า "คงถูกล็อกไว้ในตู้ไหนสักตู้"

"ด็อกเตอร์" สเตรลนิคอฟพูดอย่างสะกดอารมณ์ "บอกผมหน่อย ทำไมต้องหากระเป๋าตอนนี้?"

"ฉันไม่อยากทิ้งมันไว้ตอนเราโดดลงไปน่ะสิ"

"ผมไม่โดดโดยไม่มีร่มนะ เคยทำมาแล้ว ไม่สนุก กระดูกหักหลายท่อน" สเตรลนิคอฟเปิดล็อคเกอร์ รื้อไปมา แล้วก็คว้ากระเป๋าทำท่าให้เคลฟตามไป "ผมมีความคิดดีกว่านั้น" ทั้งคู่เข้าไปในส่วนลึกขอเครื่องบิน เข้าไปในจุดซ่อมบำรุงที่มีเพียงคนทำความสะอาดจะเคยคลานเข้าไป ผนังอลูมิเนียมสั่นเพราะอากาศที่เคลื่อนอยู่รอบๆ เสียงดังจนแทบหูหนวก ในที่สุด ทั้งคู่ก็มาอยู่ที่ท้องยาน

"ทีนี้ก็รอ"

นักบินได้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามที่พวกเชเชนบอก แต่จริงๆแล้วที่หมายตอนนี้ก็คือสนามบินทหารที่ถูกทิ้งร้างแล้ว คอนกรีตบนรันเวย์นั้นมีรอยแตกเป็นจุดๆโดยมีหญ้างอกขึ้นมาสูง ส่วนท่าอากาศยานก็ถูกรื้อไปนานแล้ว เหลือแต่โรงเก็บสนิมขึ้นกับหอบังคับการร้าง มือเขากระชับที่คันบังคับ ข้อนิ้วขาวและดวงตาตื่นเต้น ตัวยังสั่นจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาไม่เห็นหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูซีก็เล่าให้ฟังแบบละเอียดเลย แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะเนี่ย? เขาอยากได้เครื่องดื่มจริงๆ

ปีกเล็กของเครื่องบินลดองศาลงทีละนิด เพิ่มแรงยกและแรงเสียดทาน เครื่องเชิดส่วนหัวขึ้นและค่อยๆลดความเร็วลง เสียงเครื่องยนต์ก็เบาลงด้วย และเครื่องก็ค่อยๆลดระดับลงสู่รันเวย์ด้านล่าง เคลฟกับดิมิทรีรู้สึกว่าเครื่องสั่น ได้ยินเสียงไฮโดรคลอริกทำงานบอกว่าจะปล่อยล้อลงไป

"รอก่อน! รอให้มันช้าลง!" สเตรลนิคอฟตะโกน แต่เสียงก็ดังจนไม่ได้ยิน เคลฟทำหน้างงแต่ก็มีความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงพอ เครื่องบินช้าลง มันอยู่ห่างจากพื้นไม่กี่ร้อยฟิตและลดต่ำลงเรื่อยๆ ฝาครอบเปิดออกแล้วกางล้อออกไป ทำให้ทั้งคู่ถูกลมแรงราวกับจะฉีกเป็นชิ้นๆ พื้นด้านล่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนภาพเบลอๆ คอนกรีตด้านล่างเข้ามาใกล้ขณะที่นักบินนำเครื่องลงถึงพื้น ล้อที่สัมผัสพื้นส่งเสียงขูดขีดน่ารำคาญ

นักบินกดเบรกให้เครื่องหยุด ก่อนหมุนไปจอดที่ปลายรันเวย์ พวกเขาโดดลงจากท้องยานแล้ววิ่งข้ามไปที่แนวไม้ที่อยู่ใกล้ๆ หันกลับมาทันเห็นท่อยางที่เป็นทางให้ผู้โดยสารคนอื่นๆได้ลงจากเครื่องโดยไม่ทุลักทุเลเท่า ทั้งสองคนคุกเข่าลงหลังพุ่มไม้หนา ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา

บนเครื่องบิน ลูซีแตะหัวตัวเองพร้อมกับคราง ไอ้ลูกหมานั่น - เธอเกือบจะชอบเขาอยู่แล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าเขาทำงานให้ใคร เธอถอนใจก่อนใช้โทรศัพท์มือถือต่อสายลับ โทรศัพท์ส่งเสียงให้เธอกดรหัสผ่านซึ่งเธอใส่อย่างช่ำชอง แปลกใจเหมือนกันที่มันถูกในเมื่อเธอยังมึนแบบนี้

"ร้อยโทปาร์คส์รายงาน ฉันมีของที่น่าจะมาจากสถาบันสองรายการ ค้นหาจากตำแหน่งของันแล้วก็เตรียมทีมติดตามไว้ด้วย"

"ฉันต้องยอมรับล่ะ" เคลฟว่า "วิธีของนายดีกว่าจริงๆ"

ทั้งสองคนหลบอยู่ที่แนวไม้สักพัก มองดูทหารหน่วยพิเศษเข้าไปใน เครื่องบินและพาผู้โดยสารออกมา ผู้ชายสวมเสื้อสูทสีดำผูกไทเดินถามผู้โดยสารทีละคน ท่าทางจะหงุดหงิดที่ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ สูงขึ้นไปอีก ชายหนุ่มในชุดพรางแอ่นตัวออกมานอกประตูแล้วอาเจียนลงบนรันเวย์ ในที่สุด พวกคนในชุดพยาบาลก็พาศพที่ห่อแล้วสามร่างลงมาตามทางลาด

"จะอยู่ดูต่อมั้ย?"

"ไม่ล่ะ ฉันเห็นพอแล้ว ไปกันเถอะ"

พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบใต้พุ่มไม้ ข้ามรั้วไฟฟ้าไปโดยใช้คีมตัดลวดกับถุงนอน จากนั้นก็ออกไปยังทะเลทราย ที่ตรงนั้นเป็นทางหลวงสองเลนยาวสุดสายตาที่ผิวแตกเป็นรอยๆอยู่ใต้ดวงอาทิตย์อันร้อนระอุ

"เอาล่ะ" เคลฟพูดยิ้มๆ "ถึงจะไม่ใช่บราซิลแต่ก็นับว่าไกลจากงานพอสำหรับกลาสล่ะนะ โบกรถกันดีกว่า"

"ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าเราอยู่ไหน ถ้าเป็นหุบเขามรณะล่ะก็แย่แน่ ไม่มีคนอยู่เป็นไมล์ๆเลย"

"ไม่มีปัญหา ให้ฉันดูGPSก่อนเถอะ" เคลฟพูดแล้วดึงโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเครื่อง ใช้โปรแกรมแผนที่ "บัดซบ" เขาคำราม "นี่แย่มากเลยนะเนี่ย"

"พวกเราอยู่ไหน? โบลิเวีย? หุบเขามรณะ?"

"แย่กว่านั้นอีก" เคลฟบอก "เท็กซัสน่ะ"

ราวกับนัดไว้แล้ว ความเงียบก็ถูกทำลายโดยเสียงรถกระบะโทรมๆที่เข้ามาตามทางโค้ง ผู้ชายสองคนสวมหมวกคาวบอยแล่นมาใกล้กับทั้งสองคน บนรถประดับด้วยธงของสหภาพ ลูกซองสองกระบอกบนหลังรถ ซากกวางตัวหนึ่งพาดบนกระโปรงหน้า เจ้าคนแปลกหน้าเลื่อนหน้าต่างลงเมื่อรถจอด ผู้ชายที่นั่งข้างคนขับ คาวบอยตาเดียวท่าทางหงำเหงือกซึ่งมีผมสีดำยุ่งๆ ถ่มน้ำยาสูบลงบนรองเท้าสเตรลนิคอฟและพูดเย้ย

"บอกหน่อยได้มั้ยว่าไอ้พวกกิ้งก่าตุ๊ดยิวเม็กซิกันอย่างแกมาทำอะไรที่ชายป่าของเราเนี่ย?" เขาคำราม

เคลฟกับดิมิทรีประสานตากัน "นี่มันหาเรื่องกันแน่ๆ" ดมิทรีบ่น

สเตรลนิคอฟรู้สึกว่าเลือดในตาเดือดพล่าน เขามองชุดพวกนั้นแล้วรู้สึกคลื่นไส้อย่างแรง มีใครมันแต่งตัวแบบนี้ฟะ? เขารู้สึกว่าต้องจัดหมวกให้ตรงเพื่อตอบโต้การแต่งกายสุดเลวร้ายที่เห็น ส่วนเคลฟแค่หัวเราะ

"มองห่ะอะไรอยู่ พวกแกปัญญาอ่อนรึงัย?" เจ้าคาวบอยตาเดียวชะโงกออกมานอกหน้าต่าง ขณะที่คนขับลดเสียงวิทยุซึ่งเมื่อกี้เปิดเพลงของโทบี คีธ ดังลั่น "เฮ้ย ให้เดานะ พวกแกเป็นคอมใช่ป่ะ?" ถ่มน้ำลายอีกที "ชั้นเคยสู้กับพวกเวรหยั่งแกที่เวียดนามว่ะ" คนขับผงกหัว "เค้าเคยสู้กับพวกเวรหยั่งแกที่เวียดนามเว้ย!" รอยยิ้มของเคลฟตอนนี้ดูชั่วร้ายสุดๆ

เขาไม่ใช่คนที่ปล่อยให้การดูถูกแบบนี้ผ่านไป ดิมิทรีใช้นิ้วทิ่มหน้าอีกฝ่ายทันที "พวกมึงไม่รู้จักสงครามหรอกโว้ย! กูสู้ที่เชชเนียทั้งสองครั้งแล้วกูก็เคยเห็นเด็กอมมือที่มีศักดิ์ศรีกว่าพวกมึงด้วย ไอ้ปอดแหก! ปู่กูยึดเบอร์ลินตอนที่โคตรของมึงเอาแต่นั่งเมาหัวทิ่มแล้วหวังว่าไม่ต้องมาออกรบเหมือนพวกกู! ประเทศมึงมีแต่เด็กทั้งนั้น! พวกมึงทั้งหมดล่ะ!" นิ้วเขาสั่นเท่าด้วยความโกรธขณะที่เคลฟกลั้นหัวเราะ ส่วนเจ้าบ้านนอกนั่นมองอย่างงๆ

"อะรัยนะ?"

สเตรลนิคอฟต่อยเปรี้ยงเข้าเต็มปาก

เจ้าบ้านนอกถลาไปกระแทกเพื่อนร่วมทางลงไปบนพื้นถนน เคลฟเข้าประชิดในชั่วพริบตา ดึงมันขึ้นโดยล็อกแขนไว้ด้านหลัง ได้ยินเสียงข้อต่อที่ฟังน่าเสียวไส้ ส่วนเจ้าตาเดียวตั้งสติได้เร็วอย่างน่าทึ่งและก้าวไปหน้าดิมิทรี "ไอ้คอมปัญญาอ่อน มึงเกือบทำหน้ากูหัก! เป็นห่ะไรวะ แค้นที่แพ้สงครามรึงัย?"

นั่นมันมากไปแล้ว การเหยียดหยามเลือดรักชาติรัสเซียของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้ เขาใช้มือเดียวคว้าคอหมอนั่นลอยจากพื้นแล้วลากไปที่ต้นไม้ตายซากต้นหนึ่ง เจ้าคาวบอยดิ้นสุดฤทธิ์ ทั้งพยายามทุบเขาหรือผลักออกไป แต่สเตรลนิคอฟตัวโตกว่าเยอะ เขาคิดจะจับมันแขวนคอ แต่เพราะไม่มีเชือกเลยเอาเข็มขัดมันมามัดไว้กับต้นไม้แทน เคลฟก็ทำแบบเดียวกับกับอีกคน หัวเข็มขัดรูปดาวดวงใหญ่สะท้อนแสงใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงขณะที่เคลฟกับดิมิทรีเดินไปที่รถกระบะ ปล่อยให้ทั้งสองคนตากแดดอย่างนั้น

"คราวนี้ใครชนะสงครามฮะ ไอ้ทุเรศ?" เคลฟกัดขณะที่ขึ้นนั่งที่นั่งคนขับ ทั้งคู่ขับไปตามทางหลวงเท็กซัสเป็นชั่วโมง ไม่มีอะไรนอกจากฝุ่นทรายและกองหิน ดิมิทรีมองวิวเงียบๆ ภาพทิวทัศน์เวิ้งว้างทำให้เขานึกถึงที่บ้าน เพียงแต่ออกจะแห้งกว่าเยอะ

ย้อนกลับไปไกลโข คาวบอยทั้งสองคนรู้สึกโล่งอกที่ได้เห็นรถออฟโรดสีดำแล่นเข้ามาใกล้ ก่อนที่ชายในเครื่องแบบจะเดินมาทางทั้งคู่ "ตรงเวลาดีจัง" เจ้าตาเดียวพูดวางท่า

"พวกมันเอารถไปรึเปล่า?" ทั้งสองคนพยักหน้า

"ดี พวกมันเสร็จเราล่ะ"

"รถอเมริกันงี่เง่าเอ๊ย" เคลฟทำหน้าบึ้ง ก่อนกระแทกฝากระโปรงรถลงใส่เครื่องยนต์ที่พ่นควันขโมงแล้วเตะใส่กันชนหน้า "เศษขยะงี่เง่า ฟอร์ดนี่มันย่อมาจากFix or Replace Dailyจริงๆด้วย"

"เราน่าจะขับรถรัสเซียดีๆนะครับ อย่างลาดา มันเป็นรถดีนะ ไม่พังง่ายๆหมือนรถอเมริกันห่วยๆหรอก" สเตรลนิคอฟเสนอ

"แกเคยหุบปากเรื่องรัสเซียของแกมั่งมั้ย? ฮะ?" เคลฟตอกกลับ "จริงๆนะ แกนี่มันยังกับว่ามีอารมณ์กับมาตุภูมิจนมองเห็นจากอวกาศได้ยังไงยังงั้น เวรเอ๊ย"

"คุณเคยเบื่อที่จะทำตัวเป็นตัวกวนประสาทชาวบ้านเขามั้ยล่ะ? จริงๆนะ ผมว่าคุณน่ะเอาเสาธงยัดก้นยังได้!" สเตรลนิคอฟขึ้นเสียง

"บัดซบเอ๊ย ดิมิทรี! แกบัดซบ! รัสเซียบัดซบ! แล้วไอ้การพักร้อนบัดซบนี่ก็งี่เง่าบัดซบด้วย!" เคลฟตะโกน เกือบจะเป็นเสียงโอเปรา "ฉันก็แค่อยากไปใช้เวลาบัดซบนอนบนชายหาดที่บราซิล อาบแดดให้ผิวเป็นสีแทนบัดซบ แล้วก็อาจจะ แค่อาจจะน่ะนะ งาบสาวสวยอเมริกาใต้สักคน ใช้เนยโกโก้แล้วก็อาจจะมีแส้หนังด้วยก็ได้ แล้วฉันก็ต้องมาอยู่กลางเท็กซัสที่ไม่มีบัดซบห่ะอะไรเลยเนี่ย มีแค่แกกับฉัน เราอาจจะร้อนตายในเวลาไม่นานนี้ก็ได้!"

"แล้วมันเป็นความผิดของผมตรงไหนล่ะ!?" สเตรลนิคอฟตะโกนกลับไป มือทุบกระโปรงรถที่พังสนิท

"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันโว้ย!" เคลฟตะโกน

ตอนนั้นเอง ที่ทั้งคู่ได้ยินเสียงบีบแตรรถจากด้านหลัง พอหันไปก็เห็นรถคามาโรสีแดงจอดอยู่ข้างทาง รถนั่นส่องประกายราวกับอัญมณี

สาวๆที่นั่งอยู่ก็เหมือนกัน

แม่คนขับมีผมดำยาวสลวยเคลียไหล่ ผิวสีน้ำผึ้งเป็นประกายเพราะเหงื่อออกจากแสงอาทิตย์ร้อนแรงของเท็กซัส เธอย่นปากเหมือนขี้เล่นขณะที่ลดแว่นกันแดดลงให้เห็นแววตาที่กำลังมองสองบุรุษประหลาดด้วยความสงสัย เพื่อนเธอที่นั่งข้างๆ (สาวผมบลอนด์ผิวสีแทนไร้จุดด่างผู้มีดวงตาสีเขียวสวย)โค้งมาแล้วโบกมือให้ ส่วนสาวผมแดงที่เบาะหลังเป่าหมากฝรั่งพร้อมขยิบตา

"เฮ้ หนุ่มๆ" แม่ผมสีดำว่า "ท่าทางรถพวกคุณจะมีปัญหานะ จะให้ไปส่งมั้ย?"

"...ครับ ครับ ใช่ๆ" สเตรลนิคอฟตอบ

"เอาล่ะ มันแคบหน่อยนะ แต่ว่าเบียดเข้ามาเลย! พวกเราจะพาคุณไปส่งในเมืองเอง!" สาวผมดำบอก เธอลุกขึ้นแล้วเปิดประตู เคลฟกับสเตรลนิคอฟเห็นแล้วว่าพวกเธอสวมเสื้อกับกางเกงสั้นเต่อ รองเท้า แล้วก็แทบไม่มีอะไรอีก แต่ละคนหุ่นดีจนนางแบบต้องอิจฉา สัดส่วนสุดอึ๋มทำท่าจะหลุดจากผ้าท่อนบนได้ทุกเมื่อ

เคลฟกับสเตรลนิคอฟหันมามองกันด้วยอึ้งๆ ลืมที่เถียงกันเมื่อครู่ไปหมด "นี่ไม่ใช่เรื่องจริง" เคลฟกระซิบ "ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ ไม่เคยมีใครที่จู่ๆก็มีสาวสวยสามนางมารับกลางทางรกร้างแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อคนนึงผมดำ คนนึงผมบลอนด์ แล้วก็คนนึงผมแดงแบบนี้"

"อย่าสงสัยเลยครับ แค่ยิ้มแล้วก็ไปกันดีกว่า" ดิมิทรีกระซิบตอบ

เคลฟส่ายหัวเมื่อดมิทรีก้าวเข้าไปที่เบาะหลัง ถูกสาวผมบลอนด์กับผมแดงขนาบสองด้าน แล้วก็ยิ้มกริ่มเมื่อถูกทั้งคู่เบียด เคลฟมองขึ้นไปบนฟ้า พูดเบาๆเหมือนบ่น "หาเรื่องกันใช่มั้ยวะเนี่ย?"

แต่เขาก็เข้าไปในรถอยู่ดี

"ว่าแต่ คลับเปลื้องผ้าที่พวกคุณทำงานอยู่ไกลแค่ไหนเหรอ?" เคลฟถามด้วยเสียงดังแข่งกับเสียงรถคามาโร แม่สาวผมดำที่นั่งข้างๆก็แค่ยิ้มแล้วส่ายหัว

พวกเขานั่งรถมาเป็นชั่วโมงแล้ว เคลฟกับดิมิทรีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ไหน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น พวกเขาออกจะสนุกสนานกับการถูกสาวๆคลอเคลียตามใจแบบนี้ เคลฟนั่งที่เบาะหน้าโดยมีสาวผมบลอนด์นั่งตัก มือนึงโอบเอวเธอไว้ส่วนอีกมือก็ถือเครื่องดื่ม เขากระซิบที่หูเธอเบาๆราวกับหนุ่มละตินจอมเจ้าชู้ ทำให้เธอหัวเราะอายๆแล้วก็พลางใช้นิ้วลูบจมูกเขาเป็นการหยอกล้อ เธอยิ้มบางๆแล้วหันไปดูสเตรลนิคอฟกับแม่ผมแดงด้านหลัง ผมสีทองของเธอสะบัดผ่านหน้าเคลฟ

"เอ่อ นั่นเขาทำอะไรคะน่ะ?" เธอแตะบ่าเคลฟ เขาหันไปดู ได้ยินเสียงประมาณว่า "บรบรบรบรบรบ"

"อ้อ ดูเหมือนว่าเขาจะทำเรือยนต์อยู่น่ะ" เธอมองเขางงๆ สเตรลนิคอฟเงยหน้าจากอกอีกฝ่ายนานพอจะพูดภาษาอังกฤษที่ถูกหลักได้ "มันก็คือการใช้ปากอย่างต่อเนื่องไปทั่วหน้าอก"

เธอขำแล้วก็ยื่นเครื่องดื่มให้อีกแก้ว ซึ่งเขาส่งไปให้เคลฟแล้วก็ดื่มฉลองกัน รอยยิ้มของสาวๆกว้างขึ้น พวกเขาหัวเอนไปข้างหนึ่ง รู้สึกว่าเสาโทรศัพท์ที่ขับผ่านไปนั้นดูเบลอๆ เส้นกลางถนนก็กระจายจนถนนเป็นสีเทาสลับขาว ท้องฟ้าหมุนวนเป็นลูกข่าง แล้วก็กลายเป็นความมืดมิด

"เอาล่ะ หลับไปแล้ว" แม่ผมบลอนด์ว่า

อีกสองสาวถอนใจด้วยความผ่อนคลาย "คิดว่าจะไม่ม่อยแล้วซะอีก" แม่สาวผมดำพึมพำ "ถ้าจริงเถอะ นี่เราใช้ฟลูนิทราเซแพมไปเท่าไหร่เนี่ย?"

"สามเท่าของปกติได้" แม่ผมแดงถอนใจ มือผลักสเตรลนิคอฟแล้วกลัดกระดุมเสื้อ "ตานี่ก็ฟัดอกฉันมาตลอดเลยด้วย"

"เอาเถอะ เสร็จงานแล้ว" แม่ผมบลอนด์พูด "คราวนี้ก็ได้เวลาหนุ่มๆทำงานล่ะ"

รถสีแดงคันนั้นเลี้ยวไปตามทางเส้นเล็กซึ่งไม่ปรากฏในแผนที่ ไม่นานก็มีรถSUVสีดำมาสมทบ

ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน มันก็หนาวจริงๆ พวกเขาตื่นแบบมึนๆโดยรู้สึกได้เพียงผ้าปิดตากับมือเท้าที่ถูกมัด เสียงขยับตัวของพวกเขาก้องไปทั่วห้องคอนกรีต ประตูเปิดและปิดลงจากด้านหลัง แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงรองเท้าเข้ามาใกล้และเดินวนรอบๆ จู่ๆผ้าปิดตาก็ถูกกระชากออกทำให้แสงจ้าแยงตา ผู้ชายสามคนยืนตรงหน้าด้วยท่าทางไม่ดีเท่าไหร่ พวกนั้นสวมเครื่องแบบทหารไร้รอยด่างพอดีตัวและมีหลอดไฟสว่างจ้าฉายอยู่ด้านหลัง

สักพักหนึ่ง ตาของพวกเขาจึงปรับสภาพจนแลเห็นสัญลักษณ์ของGOCบนกระเป๋าเสื้อได้

"พวกเราอยู่ไหนวะเนี่ย?" สเตรลนิคอฟถามพร้อมกะพริบตา

"เรื่องนั้นจะบอกว่า ข้อมูลปกปิด ตามที่พวกนายชอบเขียนกันก็ได้" คนนึงตอบ

"พวกแกต้องหาเรื่องกันแน่เลย" เคลฟถอนใจฮึดฮัด

"เปล่า พวกเราไม่ได้หาเรื่อง" ชายในเครื่องแบบตอบแล้วดึงเก้าอี้มานั่งอีกด้าน สัญลักษณ์เหยี่ยวสีทองที่คอเสื้อสะท้อนแสงสลัว "การหาเรื่องจบไปแล้ว ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงจังล่ะ"

เขาดึงไฟแช็กสีเงืนซึ่งมีอักษรว่า "คอมมิวนิสม์ระยำ" สลักไว้ด้านหนึ่งแล้วจุดซิการ์ ควันขาวของมันคลุ้งไปทั่วห้อง "เอาล่ะ" ผู้พันพูด "บอกความจริงมาว่าคนของสถาบันสองคนอย่างพวกแกสองคนคิดจะทำอะไรถึงได้มุ่งหน้าไปที่ที่GOCปฏิบัติการอยู่ พวกแกมีแผนอะไร? และต้องการอะไรที่นี่?"

เคลฟกับสเตรลนิคอฟหันมามองกัน แล้วก็หันกลับไปหาผู้พัน "เราต้องการอะไรเหรอ...จะว่าไงดีล่ะ..." เคลฟพึมพำ

"จะพักผ่อน เมา แล้วก็จุ่มปาก" สเตรลนิคอฟบอก

"โดยไม่มีลำดับแน่นอนนน่ะนะ" เคลฟเสริม

"พยายามทำให้ผิวเป็นสีแทนด้วย" ดิมิทรีพูด

"อาจจะไปแวะพิพิธภัณฑ์กับชิมไวน์ด้วยก็ได้"

"พบผู้คนดีๆ"

"พูดอีกอย่างก็คือ พวกเรามาพักร้อน" เคลฟสรุป

ผู้พันหยิบมีดจากกระเป๋าที่อยู่ข้างๆแล้วปักลงบนโต๊ะ "พกอาวุธมามากไปหน่อยสำหรับคนมาพักร้อนนะ" เขาชี้ แล้วก็เอามีดกับระเบิดขนาดเล็กออกมาวางบนโต๊ะ

"จริงๆแล้วไม่นะ" เคลฟชี้ "ข้อแรกเลย ไม่มีมีปืน"

"ดา มีดเล่มเดียวเอง ไม่ได้เอาขวานมา SVDก็ทิ้งไว้ที่บ้าน" ดิมิทรีเสริม

"เรอะ? แล้วไอ้C-4นี่มันอะไร? ที่เท็กซัสนี่พอๆกับเป็นเจ้าของรถเลยนะ"

"ไม่ได้ต่อชนวนไว้ด้วยซ้ำ ผมไม่โง่นะ ไม่ได้อยากระเบิดเครื่องบินนี่"

"จริงเหรอ? งั้น...พวกแกก็ไม่ได้มาทำภารกิจลับให้สถาบัน? พวกแกไม่ใช่กำลังเสริมที่ฝ่ายปฏิบัติการเรียกไปเมื่อหกวันก่อนเพราะเรื่องของKTE?"

"ไม่ใช่เลยสักนิด"

"ไม่ได้อยากไปเท็กซัสด้วยซ้ำ" ดิมิทรียืนกราน "จะไปบราซิลอ่ะ"

"จริงนะ" ผู้พันพึมพำ ชี้ไปทางจอด้านหลัง ภาพของชายหนุ่มตาสีดำสวมเสื้อฮาวายสีฉูดฉาดก็ปรากฏขึ้น มีคนถือปืนขนาบอยู่ด้วย "นั่นคือสำนักงานของเราที่ริโอ เดอ จาเนโร หมอนั่นหน้าตาคุ้นๆหรือเปล่า?"

ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีมึนๆ แล้วตาของเขาก็เป็นประกาย "ด็อกเตอร์เคลฟ! ดิมิทรี!" เจ้าหน้าที่ยอริคหัวเราะลั่น "พวกคุณมาช่วยผมใช่มั้ย?"

ทั้งคู่มองหน้ายอริคแป๊บนึง ก่อนหันมามองกันเอง แล้วหันกลับไปหาผู้พัน "ไม่เคยเห็นหน้าไอ้หมอนี่มาก่อนเลยในชีวิตนี้" เคลฟโกหก

"เป็นคนแปลกหน้าแน่นอนเลยล่ะ" ดิมิทรีพูด

"...พวกนายต้องล้อฉันเล่นแน่เลย" ยอริคคราง

"...แล้ว หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น" ดร.กลาสถาม นายจิตแพทย์เอามือเท้าคาง มองไปทางสามคนที่นั่งในห้องทำงานของเขาด้วยท่าทางทึ่ง

"คือ..." เคลฟว่า "พวกเราทิ้งยอริคไว้แบบนั้นไม่ได้"

"เราก็เลยหนีออกมา ยิงพวกมันตายหมด" ดิมิทรีเสริมให้จบความ

"แล้วเราก็ขโมยเครื่องบินของGOC..."

"เรือ" ดิมิทรีแก้

"เรือเหรอ?" เคลฟประหลาดใจ "ฉันว่าเครื่องบินนา..."

"รายงานผมเขียนว่าเรือ" ดิมิทรีขยายความ

เคลฟกะพริบตาช้าๆ แล้วยิ้มออกมา "เครื่องบินน้ำน่ะ"

"ดา" ดิมิทรีพูดอย่างปลอดโปร่ง "เครื่องบินน้ำ ถึงได้สับสนสิ"

"ใช่ หลังเรายึดเครื่องบินน้ำของGOC เราก็บินไปริโอ เดอ จาเนโร หายอริคเจอ แล้วก็ช่วยเขาออกมา"

"เข้าใจล่ะ" กลาสพูดเนิบๆ "พวกคุณก็เลยกลับมาทำงานหลังพักร้อนสายงั้นสิ?"

"คือว่า พวกเราบินตรงกลับมาเลยไม่ได้น่ะนา" เคลฟพูด

"GOCมองหาพวกเราอยู่ น่ากลัวมาก"

"ผมไม่อยากกลับไปที่ห้องทรมานอ่ะ" ยอริคครวญ

"พวกเราก็เลยปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว รอให้พวกมันเลิกการตามล่าซะก่อน"

"ปลอมตัว...เป็นนักท่องเที่ยว" กลาสทวน

"เอ่อ...ใช่ เป็นผู้บริหารบริษัทที่กำลังพักร้อน..."

"เข้าใจล่ะ แล้วนั่นก็คือำคำอธิบายเรื่อง..." กลาสไล่สายตาตามเอกสารตรงหน้า "...ค่าที่พักโรงแรมหรู4ดาวหกคืน ค่าอาหารและเครื่องดิ่มของภัตตาคารกว่าห้าพันดอลลาร์ แล้วก็...พระเจ้าช่วย พวกคุณซื้อถุงยางไปเท่าไหร่เนี่ย? แล้วบิกินีหกชุดนี่มันอะไร?"

"...พวกหนูๆเค้าลืมน่ะ" เคลฟตอบ "แล้วก็ไม่ยอมลงอ่างน้ำร้อนแบบเปลือยด้วย"

"...ด็อกเตอร์เคลฟ เจ้าหน้าที่คนดีของผม ผมไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนนะ ทุนพิเศษของสถาบันเราน่ะมีไว้จ่ายฉุกเฉินยามจำเป็นระหว่างปฏิบัติงาน ไม่ใช่เป็นทุนให้คุณจัดสัปดาห์แห่งการผลาญภาษีเล่น แล้วเรื่องของคุณก็นับเป็นการดูถูกสติปัญญาของผมกับ..."

อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับซ้อมกันไว้แล้ว (และก็คงจะซ้อมกันมาจริงๆ) บุรุษทั้งสามก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฮาวายแล้วดึงพาดหัวที่ตัดจากหนังสือพิมพ์สามฉบับวางลงบนโต๊ะต่อหน้ากลาส

วีรบุรุษนิรนามขวางโจรจี้เครื่องบิน

ทหารเท็กซัสถูกยิงตายในทะเลทราย

ริโอนองเลือด! ชายนิรนามสองคนบุกฐานทหารบราซิล

กลาสมองพาดหัวทีละอันแล้วกลับไปมองทั้งสามคน

ยอริคชี้ให้ดูรอยเชือกที่ข้อมือ

เคลฟจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็กยู่ยี่เปื้อนเลือด มีอักษรว่า "คอมมิวนิสม์ระยำ" สลักไว้ด้านหนึ่ง

สเตรลนิคอฟยิ้มกว้างเห็นฟันเหล็กราวกับเป็นใบหน้าของเทวดาตัวน้อยไร้เดียงสา

ดร.กลาสหายใจเข้าลึกๆก่อนซบหน้ากับฝ่ามือ

"พวกคุณต้องหาเรื่องผมแน่ๆ" เขาคราง

จบ