ตอนที่ III

<<ตอนที่ II

เขาผลักประตูงาช้างอย่างระมัดระวังและมันก็แกว่งเข้าด้านในอย่างเงียบกริบ โคแนนมองจากธรณีประตูอันเป็นประกายนั้นเหมือนสุนัขป่าที่อยู่ในสถานประหลาด พร้อมจะสู้หรือหนีได้ในทุกเมื่อ เขามองเข้าไปในห้องใหญ่ซึ่งมีเพดานเป็นโดมทองคำนั้น ผนังเป็นหยกเขียว พื้นงาช้างมีพรมหนาปิดไว้ส่วนหนึ่ง ควันและกลิ่นประหลาดของธูปลอยมาจากเตาไฟบนขาหยั่งทองคำ และเบื้องหลังมันมีรูปปั้นนั่งอยู่บนสิ่งที่ดูเหมือนเตียงหินอ่อน โคแนนมองอย่างตื่นตะลึง รูปปั้นนั้นมีลำตัวของคน เปลือย และเป็นสีเขียว แต่ส่วนหัวนั้นหลุดมาจากฝันร้ายและความวิปลาส มันใหญ่เกินกว่าลำตัวคนและไม่มีลักษณะของมนุษย์ โคแนนมองไปยังหูที่กางกว้างของมัน งวงที่โค้งงอซึ่งสองข้างนั้นมีเขี้ยวงาสีขาวที่ตรงปลายมีลูกกลมทองคำปิดไว้ ดวงตาของมันปิดอยู่ราวกับกำลังหลับ

สิ่งนี้เองคือที่มาของชื่อหอคอยคชสาร เพราะหัวของมันนั้นช่างคล้ายกับเจ้าสัตว์ร้ายที่คนพเนจรชาวเชมิทิชบรรยายไว้ มันคือเทพของยารา เช่นนั้นแล้ว มณีก็ควรอยู่ที่นั่นแต่ถูกปิดบังไว้ในรูปปั้นเพราะมันเรียกว่าหัวใจคชสารหรือไม่?

ตอนที่โคแนนเข้าไปข้างหน้านั้น ตาของเขาก็จับจ้องที่รูปปั้นซึ่งนิ่งสนิท แล้วจู่ๆดวงตาของมันก็ลืมขึ้น! ชาวซิมเมอเรียนนิ่งค้างตรงนั้น มันไม่ใช่รูปเสมือน—สิ่งนี้มีชีวิต และเขาก็ติดอยู่ในห้องของมัน!

การที่เขามิได้คลุ้มคลั่งอย่างบ้าเลือดนั้นเป็นสิ่งที่บ่งชี้ความหวาดกลัวซึ่งทำให้เ​ขาหยุดนิ่ง ณ ตรงที่ยืนอยู่ได้ ผู้เจริญแล้วที่มายืนในที่เดียวกับเขาย่อมจะหาทางหลบเลี่ยงโดยสรุปว่าตนวิปลาสไปแล้ว​ ชาวซิมเมอเรียนนั้นไม่ได้คิดสงสัยสิ่งที่ตนรับรู้เลย เขารู้ว่าเขากำลังประจันหน้ากับปิศาจแห่งโลกโบราณ และการรับรู้สิ่งนั้นทำให้สติความคิดของเขาหายไปยกเว้นเพียงสายตา

งวงของสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนั้นยกขึ้นและควานไปรอบๆ ดวงตาสีบุษราคัมของมันเหม่อมองเหมือนไม่เห็นสิ่งใด แล้วโคแนนก็รู้ว่าอสุรกายตนนี้ตาบอด ความคิดนั้นทำให้ประสาทที่เยือกแข็งของเขาอ่อนลง และเขาก็เริ่มถอยเงียบๆไปทางประตู แต่สัตว์ตนนั้นได้ยิน งวงที่ไวต่อสัมผัสยื่นมาทางเขา แล้วความหวาดกลัวของโคแนนก็ทำให้เขาชะงักลงอีกเมื่อสิ่งนั้นเอ่ยปากเป็นเสียงตะกุกตะ​กักอันแปลกประหลาดซึ่งไม่มีการเปลี่ยนน้ำเสียงหรือจังหวะสูงต่ำเลย ซิมเมอเรียนรู้ว่าขากรรไกรของมันมิได้มีไว้เพื่อพูดภาษาของมนุษย์

“นั่นใคร? เจ้ามาทรมานข้าอีกแล้วหรือ ยารา? เจ้าจะทำมันไปเรื่อยๆหรือไร? โอ ยอกโคชาเอ๋ย ความเจ็บปวดนี้จะไม่มีที่สิ้นสุดหรือ?”

น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาอันมองไม่เห็นนั้น แล้วสายตาของโคแนนก็คล้อยไปยังแขนที่ที่เหยียดอยู่บนเตียงหินอ่อน และเขาก็รู้ว่าอสุรกายตนนี้จะไม่ลุกขึ้นมาทำโจมตีเขา เขารู้จักร่องรอยของขื่อคาและรอยตีตราด้วยเปลวไฟอันไหม้เกรียม และแม้จะมีจิตใจแข็งกร้าว เขาก็อดสยดสยองต่อความพิกลพิการที่แตกหักซึ่งตรรกะบอกเขาว่าครั้งหนึ่งนั้นมันเคยเป็​นแขนขาที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับของเขา แล้วความกลัวกับความรังเกียจก็หายไปจากตัวเขา กลายเป็นความเวทนาอย่างเอกอุ ครั้งหนึ่งอสุรกายตนนี้จะเป็นอย่างไรนั้นโคแนนไม่อาจรู้ได้ แต่หลักฐานของความทรมานนั้นทั้งน่าพรั่นพรึงและน่าสมเพชจนเกิดความโศกเศร้าที่เจ็บปว​ดอย่างน่าประหลาดต่อชาวซิมเมอเรียนโดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกเพียงว่าเขากำลังมองดูโศกนาฏกรรมแห่งจักรวาล และเขาก็รู้สึกอับอายขายหน้า ราวกับบาปของทั้งเผ่าพันธุ์นั้นโถมลงใส่เขา

“ข้าไม่ใช่ยารา” เขาพูด “ข้าเป็นแค่หัวขโมย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”

“เข้ามาใกล้ๆให้ข้าสัมผัสเจ้าได้สิ” สัตว์ตนนั้นกล่าวอย่างตะกุกตะกัก และโคแนนก็เข้าใกล้อย่างไร้ความหวาดกลัว ดาบในมือนั้นห้อยลงอย่างไม่ใส่ใจ งวงอันไวต่อสัมผัสยืนออกมาและลูบคลำบนใบหน้าและไหล่ของเขาเช่นเดียวกับการลูบคลำของค​นตาบอด และสัมผัสของมันก็เบาบางเช่นของดรุณี

“เจ้ามิใช่เผ่าปิศาจร้ายของยารา” สัตว์ตนนั้นถอนใจ “มีรอยแห่งความป่าเถื่อนอันบริสุทธิ์ของแดนรกร้างบนตัวเจ้า ข้ารู้จักชนของเจ้าในครั้งโบราณ ซึ่งข้าเคยรู้ในชื่ออื่นเมื่อนานนมมาแล้ว ในยามที่โลกอื่นชูยอดฝังอัญมณีขึ้นสู่ดวงดาว นิ้วเจ้าเปื้อนโลหิต”

“แมงมุมในห้องข้างบนกับสิงโตในสวน” โคแนนพูดเบาๆ “เจ้ายังได้สังหารมนุษย์ในคืนนี้ด้วย” อีกฝ่ายตอบ “และยังมีผู้อื่นตายในหอคอยข้างบน ข้ารู้สึกได้ ข้ารู้”

“ใช่” โคแนนรำพึง “เจ้าชายแห่งหัวขโมยทั้งปวงนอนอยู่ที่นั่น สิ้นใจเพราะรอยกัดของสัตว์โสโครก”

“เป็นเช่นนั้น—และเป็นเช่นนั้น!” เสียงผิดมนุษย์อันแปลกประหลาดดังขึ้นเหมือนคำสวดเบาๆ “การสังหารในโรงเหล้า กับการสังหารบนหลังคา—ข้ารู้ ข้ารู้สึก และครั้งที่สามก็จะเกิดมนตราซึ่งแม้แต่ยาราก็มิอาจฝันถึง—โอ มนตราแห่งการปลดปล่อย เหล่าเทพขจีแห่งแย็ก!”

อีกครั้งหนึ่งที่น้ำตาไหลรินจากร่างที่ถูกทรมานซึ่งโยกไปมาด้วยอารมณ์อันหลากหลาย โคแนนมองอย่างตื่นๆ

แล้วการสั่นไหวก็หยุดลง ดวงตาอันมืดบอดอ่อนโยนนั้นหันมาทางซิมเมอเรียน กวักงวงเข้า

“โอ ฟังเถิดมนุษย์” สิ่งประหลาดนั้นพูด “ข้าคือสิ่งที่เลวทรามและน่าเกลียดสำหรับเจ้าใช่หรือไม่? ไม่ ไม่ต้องตอบหรอก ข้ารู้ แต่หากข้ามองเห็นเจ้า เจ้าก็จะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเช่นกัน นอกจากโลกนี้ยังมีโลกอื่นอีกมากมาย และชีวิตนั้นก็มีหลายรูปลักษณ์ ข้ามิใช่เทพหรือปิศาจ แต่เป็นเนื้อหนังและโลหิตเหมือนกับเจ้า ถึงแม้ส่วนประกอบจะแตกต่างกันบ้าง และรูปลักษณ์นี้ก็ก่อเกิดมาต่างกัน

“ข้าอายุมากแล้ว โอ มนุษย์แห่งแดนรกร้างเอ๋ย นานมาแล้วที่ข้ามายังดาวดวงนี้พร้อมกับผู้อื่นจากโลกของข้า จากดาวเคราะห์เขียวแห่งแย็กซึ่งหมุนวนอยู่ขอบนอกของเอกภพนี้มาช้านาน พวกเราผ่านห้วงอวกาศด้วยปีกอันทรงพลังที่พาพวกเราข้ามจักรวาลได้เร็วยิ่งกว่าแสง ด้วยว่าพวกเราได้ทำสงครามกับเหล่าราชาแห่งแย็ก แล้วก็พ่ายแพ้และถูกเนรเทศ แต่พวกเราไม่อาจกลับไปได้ ด้วยว่าบนโลกนี้ปีกของเราก็แห้งเหี่ยวหลุดไปจากบ่า ณ ที่นี้ เราได้ตั้งรกรากห่างจากชีวิตของโลก เราได้ต่อสู้กับรูปแบบของชีวิตอันประหลาดและน่าพรั่นพรึงซึ่งครั้งนั้นเดินอยู่บนผืน​ปฐพี เพื่อที่เราจะเป็นที่เกรงขามและไม่มีผู้ใดจะมารุกรานในป่าอันมืดสลัวแห่งทิศตะวันออก​อันเป็นที่พำนักของเรา

“เราได้เห็นมนุษย์เติบโตจากวานร และสร้างนครอันเจิดจ้าแห่งวาลุสเซีย คาเมเลีย คอมมอเรีย และพี่น้องของพวกมัน เราได้เห็นพวกนั้นยื้อต่อการรุกรานจากพวกป่าเถื่อนชาวแอตแลนเทียน กับ พิคท์ และ เลมูเรียน เราได้เห็นมหาสมุทรสูงขึ้นและกลืนกินแอตแลนติสกับเลมูเรีย และหมู่เกาะของพิคท์ แล้วก็เหล่านครอันเจิดจรัสแห่งวัฒนธรรม เราได้เห็นผู้รอดชีวิตแห่งอาณาจักรพิคท์กับแอตแลนติสสร้างจักรวรรดิยุคหินของพวกมัน และกลายเป็นซากปรักหักพังในสงครามอันโหดร้าย เราได้เห็นพวกพิคท์ตกต่ำลงสู่ความป่าเถื่อน พวกแอตแลนเทียนคืนสู่อาณาจักรวานรอีกครั้ง เราได้เห็นชนของเจ้าเจริญขึ้นใต้นามใหม่ในป่าแห่งวานรซึ่งครั้งหนึ่งคือชาวแอตแลนเที​ยน เราได้เห็นทายาทแห่งเลมูเรียนที่รอดจากหายนะมาได้นั้นเจริญขึ้นอีกครั้งจากความป่าเถ​ื่อน และไปยังตะวันตกเป็นไฮร์คาเนียน และเราก็ได้เห็นเผ่าพันธุ์แห่งปิศาจร้าย ผู้เหลือรอดจากอารยธรรมโบราณก่อนที่แอตแลนติสจะจมหาย ได้กลับสู่วัฒนธรรมและอำนาจอีกครั้ง—อาณาจักรซามอราอันสารเลวแห่งนี้

“พวกเราเห็นทั้งหมดนั้นโดยมิได้ช่วยเหลือหรือขัดขวางกฎอันเป็นนิรันดรแห่งจักรวาล แล้วพวกเราก็ตายไปทีละคน ด้วยว่าเราชาวแย็กนั้นมิได้เป็นอมตะ แม้ว่าชีวิตของเราจะเทียบได้กับชีวิตของดาวเคราะห์และหมู่ดาวก็ตาม ที่สุดแล้วก็เหลือข้าเพียงผู้เดียวที่ฝันถึงเวลาแต่การก่อนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพั​งในป่าลึกแห่งคิไท ได้รับการบูชาเช่นเทพเจ้าจากเผ่นโบราณผิวเหลือง แล้วยาราก็มาพร้อมกับความรู้อันมืดมิดที่สืบทอดมาผ่านยุคสมัยแห่งความป่าเถื่อนตั้งแ​ต่ก่อนที่แอตแลนติสจะจมหาย

“ตอนแรกนั้นเขาคุกเข่าแทบเท้าข้าและร่ำเรียนวิชา แต่เขาไม่พอใจในสิ่งที่ข้าสอนให้เขาด้วยว่ามันเป็นมนต์ขาวและเขาปรารถนาในศาสตร์ชั่ว​ร้าย เพื่อที่จะทำให้เหล่าราชาเป็นข้าทาสและเติมเต็มความทะเยอทะยานอันโหดเหี้ยม ข้าตั้งใจจะไม่สอนเขาถึงความลับอันดำมืดซึ่งข้าได้เรียนรู้มาโดยไม่ปรารถนาจากกาลเวล​ายาวนานนั้น

“แต่วิชาของเขามีมากกว่าที่ข้าเคยคาดไว้ ด้วยเล่ห์กลที่ได้มาจากหลุมศพอันมืดมนแห่งสไตเกีย เขาหลอกล่อให้ข้าแย้มพรายความลับที่ข้าไม่ตั้งใจเปิดเผย แล้วก็ใช้พลังของข้ากับข้าเอง เขาทำให้ข้าเป็นทาส อา ทวยเทพแห่งแย็ก ตั้งแต่นั้นมาข้าขื่นขมนัก!

“เขาพาข้าออกจากป่าลึกแห่งคิไทซึ่งมีวานรเทาเต้นระบำตามเสียงปี่ของนักพรตเหลืองและผ​ลไม้กับไวน์ซึ่งกองถวายไว้บนแท่นบูชาที่แตกหักของข้า ข้ามิใช่เทพของชาวป่าผู้ดีงามอีกแล้ว—ข้าคือทาสของปิศาจในคราบมนุษย์”

น้ำตาไหลจากดวงตาที่มองไม่เห็นนั้นอีกครั้ง

“เขากักขังข้าในหอคอยซึ่งข้าสร้างขึ้นในคืนเดียวตามคำสั่งของเขาแห่งนี้ เขาควบคุมข้าด้วยเปลวไฟและขื่อคา กับการทรมานที่ประหลาดนอกเหนือจากโลกนี้ซึ่งเจ้าไม่มีทางเข้าใจ ด้วยความทรมานนั้น ถ้าข้าปลิดชีพตนได้ก็คงทำเสียนานแล้ว แต่เขาทำให้ข้ายังอยู่—อย่างแหลกเหลว มืดบอด และแตกหัก—เพื่อทำในสิ่งชั่วร้ายของเขา และสามร้อยปีแล้วที่ข้าทำการให้เขา จากเตียงหินอ่อนนี้ ทำให้วิญญาณของข้ามืดดำด้วยบาปแห่งจักรวาล และปัญญาของข้าก็แปดเปื้อนด้วยอาชญา เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่น แต่ก็มิใช่ว่าเขาจะเอาความลับโบราณไปจากข้าได้หมด และของขวัญสุดท้ายจากข้าก็จะเป็นมนตราแห่งโลหิตและอัญมณี

“ด้วยว่าข้ารู้สึกได้ถึงจุดจบที่จะมาถึง เจ้าคือหัตถ์แห่งโชคชะตา ข้าขอร้องเจ้า นำมณีที่อยู่บนแท่นทางโน้นมาที”

โคแนนหันไปยังแท่นทองคำและงาช้างที่ถูกชี้ และยกอัญมณีกลมใหญ่ขึ้นมา มันใสเหมือนผลึกสีแดงเลือด และเขารู้ว่าสิ่งนี้ย่อมเป็นหัวใจคชสาร

“ทีนี้ก็คือมหามนตรา เวทมนต์อันยิ่งใหญ่ที่ก่อนนี้โลกไม่เคยเห็นมาก่อนและจะไม่ได้เห็นอีกในล้านล้านสหัสว​รรษ ข้าร่ายมันด้วยเลือดและชีวิตของข้า ด้วยโลหิตที่เกิดจากอ้อมอกขจีแห่งแย็ก ฝันและทรงอยู่ท่ามกลางห้วงสีน้ำเงินอันไพศาลของอวกาศ

“หยิบดาบของเจ้า มนุษย์เอ๋ย ผ่าหัวใจข้าออกมา แล้วก็รีดมันให้โลหิตไหลลงบนศิลาแดงนั้น จากนั้นเจ้าก็ลงไปตามบันไดนั้นและเข้าไปในห้องไม้กฤษณาซึ่งยารานั่งอยู่ในความฝันอัน​ชั่วร้าย เอ่ยนามเขาแล้วเขาจะตื่น จากนั้นก็วางมณีนี้ลงเบื้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า ‘ยอกโคชาขอมอบของขวัญสุดท้ายและอาคมสุดท้ายให้’ แล้วออกจากหอคอยโดยเร็ว จงอย่ากลัว หนทางของเจ้าจะปลอดโปล่ง ชีวิตของมนุษย์มิใช่ชีวิตของแย็ก และความตายของมนุษย์ก็ไม่ใช่ความตายของแย็ก ช่วยให้ข้าเป็นอิสระจากคุกแห่งเนื้อหนังอันแตกหักมืดบอดนี้ แล้วข้าก็จะกลับเป็นโยกาห์แห่งแย็กอีกครั้งหนึ่ง สวมมงกุฎแห่งอรุณและเจิดจรัส มีปีกที่ใช้โบยบิน กับเท้าที่ใช้เต้นระบำ และดวงตาที่ใช้มองเห็น แล้วก็มือที่ใช้ทุบทำลาย”

โคแนนก้าวเข้าหาอย่างไม่แน่ใจ และราวกับรับรู้ถึงความลังเลของเขาได้ ยอกโคชาหรือโยกาห์ก็ชี้ให้ดูที่ที่เขาควรลงมือ โคแนนกัดฟันแล้วแทงดาบเข้าไปลึก โลหิตไหลพุ่งออกมาใส่คมดาบกับมือของเขา และสัตว์ประหลาดนั้นก็ตัวสั้นเทิ้มก่อนจะกลับไปนิ่งสนิท เมื่อแน่ใจว่าชีวิตนั้นได้จากไปแล้ว อย่างน้อยก็ชีวิตในนิยามที่เขาเข้าใจ โคแนนก็เริ่มทำภารกิจอันน่าสะพรึงของตนและดึงสิ่งที่เขารู้สึกว่าควรเป็นหัวใจของสิ่​งประหลาดนั้นออกมา แม้ว่ารูปลักษณ์อันน่าพิศวงของมันจะแตกต่างจากที่เขาเคยเห็นมาทั้งปวง เขาถืออวัยวะที่ยังเต้นอยู่นั้นไว้เหนือมณีอันร้อนแรงแล้วใช้สองมือบีบมัน แล้วหยาดโลหิตก็สาดซัดลงบนศิลานั้น เขาแปลกใจที่มันมิได้ไหลออกไป แต่กลับถูกดูดซับเข้าไปในมณีราวกับฟองน้ำดูดซับน้ำ

เขาประคองอัญมณีนั้นอย่างระมัดระวังออกจากห้องประหลาดจนถึงบันไดเงิน เขามิได้หันกลับไปมอง สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีความเปลี่ยนแปลงแบบหนึ่งเกิดขึ้นกับร่างบนเตียงหินอ่อนนั้น และเขายังรู้สึกด้วยว่ามันมิใช่สิ่งที่ควรมีสายตามนุษย์รู้เห็น

เขาปิดประตูงาช้างลงเบื้องหลังและก้าวลงบันไดเงินไปโดยไม่ลังเล เขามิได้มีแม้แต่ความคิดที่จะละเลยคำแนะนำที่ได้รับมานั้น เขาหยุดอยู่ที่ประตูไม้กฤษณาซึ่งตรงกลางนั้นเป็นหัวกะโหลกเงินที่กำลังแสยะยิ้ม แล้วก็ผลักเข้าไป เขามองเข้าไปในห้องซึ่งดำมืด และก็ได้เห็นร่างผอมนอนเหยียดอยู่บนเบาะไหมดำ นักพรตและพ่อมดยารานอนอยู่ต่อหน้าเขา เขาลืมตาอยู่ท่ามกลางกลิ่นของดอกบัวเหลือง สายตานั้นทอดไกลออกไป ราวกับว่ากำลังจับจ้องห้วงโลกันตร์อันดำมืดซึ่งอยู่เหนือขอบความรู้ของมนุษย์

“ยารา!” โคแนนพูดราวกับเป็นตุลาการที่ประกาศถึงความหายนะ “ตื่นขึ้น!”

ดวงตาคู่นั้นแจ่มใสขึ้นทันทีแล้วกลายเป็นเย็นชาอำมหิตเช่นนกแร้ง ร่างสูงในชุดไหมนั้นยืดตัวขึ้น และก็ยืนค้ำอยู่เหนือชาวซิมเมอเรียน

“อ้ายสุนัข!” เสียงขู่ของเขาเหมือนงูจงอาง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

โคแนนวางอัญมณีลงบนโต๊ะไม้กฤษณาขนาดใหญ่

“ผู้ให้ข้านำมณีนี้มาให้ข้าบอกว่า ‘ยอกโคชาขอมอบของขวัญสุดท้ายและอาคมสุดท้ายให้’”

ยาราผงะ ใบหน้าที่มืดมนนั้นซีดลง มณีนั้นมิได้ใสดั่งผลึกอีกต่อไปแล้ว ความขุ่นลึกลงไปนั้นเต้นเป็นจังหวะและมีควันอันน่าพิศวงซึ่งเปลี่ยนสีสันผ่านไปมาบนผ​ิวหน้าราบเรียบของมัน ราวกับต้องมนต์สะกด ยาราค้อมตัวเหนือโต๊ะนั้นและใช้สองมือจับอัญมณี มองลงไปในห้วงลึกใต้เงาของมันราวกับมีแม่เหล็กดึงดูดวิญญาณที่กำลังสั่นกลัวของเขาไว​้ โคแนนที่มองอยู่นั้นตอนแรกก็คิดว่าตนตาฝาดไป เพราะในตอนที่ยาราลุกขึ้นจากที่นอนของตนนั้น นักพรตผู้นี้สูงราวกับยักษ์ แต่ตอนนี้เขากลับเห็นว่าศีรษะของยารานั้นเพียงบ่าของตนเท่านั้น เขากะพริบตาอย่างงุนงง และก็เป็นครั้งแรกในคืนนั้นที่เขากังขาต่อสัมผัสของตน ตามด้วยความตกใจเมื่อรู้ตัวว่าร่างนักพรตนั้นกำลังหดลง—เล็กลงไปเรื่อยต่อหน้าต่อตาเ​ขา

เขามองดูด้วยความรู้สึกแปลกแยกออกมาเช่นที่คนมองดูการแสดง ถูกถาโถมด้วยความรู้สึกเหนือธรรมชาติอันทรงพลัง ตอนนี้ซิมเมอเรียนไม่แน่ใจในตัวตนของตนเองแล้ว เขารู้เพียงว่าตนกำลังมองดูหลักฐานภายนอกแห่งการแสดงที่ไม่อาจมองเห็นของอำนาจอันไพศ​าลจากห้วงอื่นอันห่างไกลเกินความเข้าใจของเขา

ตอนนี้ยารามิได้โตไปกว่าเด็กเลย เขานอนแผ่บนโต๊ะราวกับทารกโดยที่ยังกุมอัญมณีไว้ และแล้วพ่อมดก็รู้ถึงชะตากรรมของตนเองแล้วก็กระโดดขึ้น ปล่อยมณีลง แต่เขาก็ยังหดเล็กลง และโคแนนก็เห็นร่างเล็กแคระวิ่งไปมาอย่างคลุ้มคลั่งบนโต๊ะไม้กฤษณา กวัดแกว่งแขนเล็กๆและส่งเสียงแหลมที่เหมือนเสียงของแมลง

ตอนนี้เขาหดลงจนมหามณีตระหง่านเหนือเขาเหมือนภูผา แล้วโคแนนก็เห็นเขาใช้สองมือปิดดวงตาราวกับเพื่อปิดป้องมันจากแสงพร้อมกับที่เดินซนเ​ซเหมือนผู้วิปลาส โคแนนรู้สึกได้ว่ามีอำนาจดึงดูดที่มองไม่เห็นดึงยาราเข้าไปหาอัญมณี เขาวิ่งวนอย่างคลุ้มคลั่งเป็นวงเล็กๆรอบมันสามครั้ง อีกสามครั้งที่เขากระเสือกกระสนจะหันกลับและวิ่งออกไปอีกด้านของโต๊ะ ก่อนที่จะกรีดร้องด้วยเสียงที่สะท้อนเบาๆในหูของผู้ที่มองดู นักพรตผู้นั้นก็ยกแขนขึ้นแล้ววิ่งตรงเข้าหาทรงกลมอันเจิดจ้านั้น

เมื่อก้มลงไปใกล้ โคแนนก็เห็นยาราปีนขึ้นไปบนผิวโค้งเรียบอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เหมือนกับคนปีนไปบนภูเขาแก้ว ตอนนี้นักพรตนั้นยืนอยู่ด้านบนโดยที่ยังกวัดแกว่งแขน เรียกหาชื่ออันน่าสะพรึงกลัวที่มีแต่ทวยเทพจะรู้จัก แล้วจู่ๆเขาก็จมลงไปยังใจกลางของมณีราวกับคนจมลงไปในน้ำ แล้วโคแนนก็เห็นคลื่นเป็นควันปิดลงเหนือศีรษะเขา ตอนนี้เขาเห็นคนผู้นั้นอยู่ในใจกลางสีแดงเลือดของมณีซึ่งกลายเป็นผลึกใสอีกครั้ง ราวกับกำลังมองเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลออกไปจนดูเล็กจ้อยร่อย และในใจกลางนั้นก็มีร่างสีเขียวมีปีกที่ส่องประกายเข้ามา ร่างของคนกับหัวของช้าง—ซึ่งมิได้พิการหรือตาบอดอีกแล้ว ยาราแกว่งแขนและวิ่งหนีเหมือนที่ผู้วิปลาสหนีโดยมีผู้ล้างแค้นตามไปติดๆ และแล้ว มหามณีก็หายไปในแสงสีรุ้งราวกับฟองสบู่แตก แล้วโต๊ะไม้กฤษณานั้นก็ว่างเปล่า—โคแนนนั้นรู้ได้ว่ามันก็เช่นเดียวกับเตียงหินอ่อนใ​นห้องเบื้องบน ที่ที่ร่างของสิ่งประหลาดจากจักรวาลซึ่งเรียกว่ายอกโคชาและโยกาห์เคยนอนอยู่

ซิมเมอเรียนหันกลับแล้วออกไปจากห้อง ลงไปตามบันไดเงิน เขามึนงงจนมิได้คิดออกจากหอคอยด้วยทางเดียวกับที่เข้ามา เขาวิ่งลงไปตามแอ่งเงาสีเงินที่วนไปมา และก็มาถึงห้องขนาดใหญ่ที่ปลายบันไดเงิน เขาหยุดชะงัก ณ ที่นั้น เขามาถึงห้องของพวกทหารแล้ว เขาเห็นประกายของเกราะเงิน เงาของด้ามดาบฝังเพชรพลอยของพวกนั้น พวกมันฟุบอยู่ที่โต๊ะอาหาร ขนนกที่หมองมัวแกว่งเอื่อยๆเหนือหมวกเหล็กที่ก้มลง พวกมันนอนอยู่ท่ามกลางลูกเต๋าและจอกที่ล้มลงบนพื้นรัตนชาติที่เปื้อนไวน์ และเขาก็รู้ว่าพวกมันตายแล้ว เป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้ จะเป็นเพราะมนตรา หรือเงาของปีกสีเขียวนั้นได้หยุดการสังสรรค์นั้น โคแนนมิอาจล่วงรู้ได้ แต่หนทางของเขาก็ปลอดโปล่ง และประตูเงินนั้นก็เปิดอยู่ให้เห็นแสงอรุณสีขาว

ซิมเมอเรียนออกมายังสวนสีเขียวที่พลิ้วไหว และเมื่อสายลมแห่งรุ่งอรุณพัดกลิ่นหอมเย็นของพืชพรรณที่อุมสมบูรณ์มาสัมผัสกายเขานั้​น เขาก็สะดุ้งเหมือนตื่นจากฝัน เขาหันกลับไปอย่างไม่แน่ใจเพื่อมองดูหอคอยลึกลับที่เขาเพิ่งออกมา เขาต้องมนตรามาหรือ? ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นเป็นความฝันหรือเปล่า? ตอนที่เขามองอยู่นั้นเขาก็เห็นหอคอยแวววาวเอียงกับแสงอรุณสีแดง ขอบริมฝังเพชรพลอยของมันเป็นสะท้อนเป็นประกายกับแสงที่จ้าขึ้น แล้วก็ล้มลงแตกเป็นเศษสว่างไสว