ซุลก็อรนัยน์
เกี่ยวกับตัวของท่านซุลก็อรฺนัยนฺนั้น นักวิชาการโลกมุสลิมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีความเห็นแตกต่างกันไป บ้างว่าเป็นกษัตริย์ซูนาวาสของเยเมน ผู้บุกเบิกทวีปแอฟริกา บ้างว่าเป็น กษัตริย์ไซรัสมหาราชปฐมกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย บ้างก็ว่าเป็นกษัตริย์ดาริอุสแห่งอาณาจักรมิเดีย หรือแม้กระทั่งอเล็กซานเดอร์มหาราชและจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งจีน ผู้ซึ่งบูชารูปปั้น
83 : และพวกเขาถามเจ้า(มุฮัมมัด) เกี่ยวกับซุล-ก็อรฺนัยนฺ จงกล่าวเถิด “ฉันจะเล่าเรื่องราวของเขาให้พวกท่านฟัง”
84 : แท้จริงเราได้ให้อำนาจแก่เขาในแผ่นดิน และเราได้ให้เขาซึ่งทุกสิ่งที่เขาต้องการ
ในหนังสือตัฟฮีมุลกุรอาน ท่านซัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ลักษณะของท่านซุลก็อรฺนัยนฺไว้ดังนี้
1. ฉายา ซุลก็อรฺนัยนฺ “คนที่มีสองเขา” น่าจะเป็นที่รู้จักกันในหมู่พวกยิว เพราะพวกยิวเองที่ยุยงให้บรรดาผู้ปฏิเสธแห่งมักกะฮฺถามท่านรอซูลุลลลอฮฺ ศ็อลฯ ดังนั้น เราจะต้องหันไปดูวรรณกรรมของพวกยิวเพื่อที่จะรู้ว่าใครคือคนที่รู้จักกันว่า “คนที่มีสองเขา” หรืออาณาจักรไหนที่เป็นที่รู้จักกันว่า “คนที่มีสองเขา”
2. ซุลก็อรฺนัยนฺจะต้องเป็นผู้ปกครองและผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถพิชิตดินแดนตั้งแต่ตะวันออกไปจนถึงตะวันตก และด้านที่สามไปจนถึงทางเหนือหรือทางใต้ ก่อนหน้าที่จะมีการประทานอัลกุรอาน มีหลายคนที่เป็นผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น เราจะต้องจำกัดการศึกษาค้นคว้าหาลักษณะของซุลก็อรฺนัยนฺไว้ เพียงหนึ่งในบรรดาคนเหล่านี้
3. ฉายานี้ควรจะใช้กับผู้ปกครองที่สร้างกำแพงอันแข็งแกร่ง ผ่านช่องเขาเพื่อคุ้มครองป้องกันอาณาจักรของเขาจากการบุกรุกของยะอฺญูจญฺและมะอฺญูจญฺ ขณะเดียวกัน เราก็จะต้องหาด้วยว่ากำแพงดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อใดและโดยใคร และกำแพงนั้นติดกับเขตแดนของใคร?
4. นอกจากจะมีลักษณะดังกล่าวข้างต้นแล้ว เขาจะต้องเป็นคนที่เคารพสักการะพระผู้เป็นเจ้า และเป็นผู้ปกครองที่ยุติธรรมคนหนึ่ง เพราะอัลกุรอานได้กล่าวถึงลักษณะเด่นเช่นนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด
และท่าน ซัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี เองก็ได้ลงความเห็นว่า ตามลักษณะดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นสามารถที่จะใช้ได้กับ กษัตริย์ไซรัสมหาราช เพราะตามบันทึกหรือเรื่องเล่าของชาวอิสรออีล เช่นในไบเบิลเองก็ได้กล่าวสนับสนุนถึง “คนสองเขา” ที่พวกอิสรออีลให้ความยกย่อง เพราะกษัตริย์ท่านนี้ได้เข้ายึดอาณาจักรบาบิโลน และได้ปลดปล่อยพวกอิสรออีลให้พ้นจากการเป็นทาสเชลยศึก ( ดูดาเนียล 8:3,20 ) รวมถึงบันทึกที่มีการเรียกขานกษัตริย์ไซรัสมหาราช ว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าและฟื้นฟูนิเวศสถานของพระเจ้า (มัสยิดอัลอักซอ) (ดูเอสรา 1 – 6)
ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งที่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติม นอกเหนือจากเรื่องราวที่มีการบันทึกนั้นก็คือ ความยิ่งใหญ่ของท่านซุลก็อรฺนัยนฺที่พระองค์อัลลอฮฺ ซุบหฺฯ ทรงประทานให้นั้น อย่างน้อยจะต้องมีปรากฏในสิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่นรากฐานอารยธรรมโบราณ โบราณสถาน และวัตถุโบราณต่างๆ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่มาสนับสนุนโองการจากพระองค์ได้เป็นอย่างดี และกษัตริย์ไซรัสมหาราชเองก็ตรงตามประเด็นนี้เช่นกัน
กษัตริย์ไซรัสมหาราชเป็นกษัตริย์ผู้รวบรวมอาณาจักรเปอร์เซีย(หรืออาณาจักรอาคีมินีดโบราณ) มีชีวิตอยู่ในช่วง 559 – 530 ปีก่อนคริสตกาล มีเมืองหลวงที่ใช้ในการปกครองชื่อว่าเมือง Pasargadae ปัจจุบันอยู่ในจังหวัด Fars ของประเทศอิหร่าน ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO
กษัตริย์ไซรัสเป็นปฐมกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย และเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรม เป็นกษัตริย์ผู้ชอบช่วยเหลือ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และใจกว้างต่อศัตรูผู้พ่ายแพ้ เขาเป็นผู้ปลดปล่อยเชลยศึกและทาสให้เป็นอิสระชน และให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาโดยไม่มีการบังคับ
การขุดค้นพบเมือง PASARGADAE
กำแพงเมือง PASARGADAE
คาดว่าเป็นท้องพระโรงเมือง PASARGADAE
อีกสถานที่หนึ่งที่คาดว่าเป็นวิหาร
สถานที่พบภาพสลักของกษัตริย์ไซรัสมหาราช
ภาพสลักของกษัตริย์ไซรัสมหาราช
ลักษณะของมงกุฏที่สวมศรีษะ มีลักษณะเป็นเขาสูง ระหว่างเขามีภาพสลักคล้ายฅนโฑสามใบ
นักโบราณคดีบางท่านบอกว่าหมายถึงแผ่นดินทั้งสามที่อยู่ภายใต้การปกครอง
รูปสลักจำลองของกษัตริย์ไซรัสมหาราช ที่จำลองมาจากของจริงในขนาดเท่ากัน
สุสานของกษัตริย์ไซรัสมหาราช
สุสานของกษัตริย์ไซรัสมหาราช อีกมุมหนึ่ง
คุกที่มีชื่อว่าโซโลมอน(สุไลมาน)
เสาที่มีตัวอักษรโบราณจารึกอยู่
ภาพซูมใกล้ แต่ลักษณะอักษรก็เจือจางเต็มที่
เมือง PASARKADAE จากภาพถ่ายทางอากาศ
ตามประวัติศาสตร์กษัตริย์ไซรัสได้มีคำสั่งให้มีการบันทึกตัวอักษรลงบนกระบอกหิน(CYRUS CYLINDER) ซึ่งเป็นตัวอักษรแรกที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน มีอายุเก่าแก่มากที่สุดที่ถูกค้นพบ (ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ) บันทึกนี้ยังมีการบอกกล่าวถึงการนับถือพระเจ้า และการให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา ด้วยความสมัครใจ ความเป็นมหาราชา และการรวบรวมอาณาจักรต่างๆ ภายใต้การแผ่ขยายอาณาจักรของท่าน ซึ่งข้อความนั้นไม่สมบูรณ์และไม่ต่อเนื่องโดยตลอด เพราะความเสื่อมโทรมของตัวกระบอกเอง
กระบอกหิน CYRUS CYLINDER
ลักษณะตัวอักษรบนกระบอกหิน CYRUS CYLINDER
การแผ่ขยายอาณาจักรของกษัตริย์ไซรัส ยังทิ้งร่องรอยอารยธรรมของเปอร์เซีย เช่นภาษา ตัวอักษร วัฒนธรรม ไปยังเมืองต่างๆ รวมถึงการรับเอาวัฒนธรรมของเมืองที่อยู่ภายใต้อาณัติการปกครอง มาใช้ในเมืองของตนเอง กษัตริย์ไซรัสยังมีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่เรียกว่า IMMORTAL เป็นนักรบที่เก่งกาจจนหาผู้ใดที่จะเทียบเคียงได้ในยุคนั้น และมีระบบการจัดการกองทัพที่ชาญฉลาด มีกองเสบียงที่มีสัตว์เลี้ยงและเกษตรกรเพื่อการเพาะปลูก
ภาพวาดจำลองของเมืองบาบิโลน
สภาพเมืองบาบิโลนที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1932
ครั้งหนึ่งในการเข้ายึดเมืองบาบิโลนในสมัยกษัตริย์นาโบนีดัส กษัตริย์ไซรัสใช้การปิดล้อมโดยไม่มีการทำลายสิ่งใดทั้งสิ้น จนกระทั่งชาวเมืองเปิดประตูเมืองต้อนรับแต่โดยดี และเป็นการเข้าเมืองอย่างสันติ กษัตริย์ไซรัสยังสั่งให้มีการปลดปล่อยทาสและเชลยศึกที่ถูกอาณาจักรบาบิโลนคุมขังมาตั้งแต่ครั้งอดีต โดยเฉพาะชาวอิสรออีล เรื่องราวความทรงธรรมของกษัตริย์ไซรัสยังได้รับการบันทึกจากศาสดาอิสยาห์ที่2 ผู้เป็นเชลยศึกชาวอิสรออีล ผ่านทางไบเบิลอีกด้วย
การขยายอาณาจักรเปอร์เซียยุคกษัตริย์ไซรัส ทางฝั่งตะวันตก
ส่วนดินแดนที่มีร่องรอยของการเดินทัพของกษัตริย์ไซรัสและอยู่ภายใต้อาณัติการปกครองของอาณาจักรเปอร์เซีย มีดังนี้
ทิศตะวันออก ครอบคลุมอัฟกานิสถาน ปากีสถาน จรดประเทศอินเดีย รวมถึงเตอร์กเมนิสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน และคีร์กิสถาน ที่ติดกับมณฑลซินเกียง ประเทศจีนในปัจจุบัน
ทิศตะวันตก ครอบคลุมอาณาจักรบาบิโลน(อิรัก) อาณาจักรยูดาห์(อิสราเอล) อาณาจักรอัสซีเรีย(ซีเรีย) อาณาจักรอียิปต์โบราณ รวมถึงประเทศลิเบีย อาณาจักรลิเดีย(ตุรกี) และอาณานิคมบางส่วนของอาณาจักรกรีก ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของทะเลเอเจียน (ตุรกีและมาซิโดเนีย
ทิศเหนือ แผ่ขยายจรดเทือกเขาคอเคซัส ที่อยู่ระหว่างทะเลดำและทะเลแคสเปียน ครอบคลุม อาร์เมเนีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบยัน
ทิศใต้ ติดอ่าวเปอร์เซีย อ่าวอาหรับ อ่าวโอมาน และทะเลอาราเบียน
สีเขียวแสดงถึงการขยายอาณาจักรของกษัตริย์ไซรัส
เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติของกษัตริย์ไซรัสตามประวัติศาสตร์แล้ว อาจจะกล่าวได้ว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับท่านซุลก็อรฺนัยนฺในอัลกุรอานเป็นอย่างยิ่ง วัลลอฮุอะอฺลัม
ดูแผนที่เพิ่มเติม เมือง PASARGADAE
อ้างอิง
แหล่งอ้างอิงจากหนังสือ
1. หนังสือตัฟฮีมุลกุรอาน “ความหมายคัมภีร์อัลกุรอาน” อรรถาธิบายโดย ท่านเมาลานา ซัยยิด อบุล อะลา เมาดูดี ฉบับ แปลเป็นไทย โดย อ.บรรจง บินกาซัน เล่ม 4 หน้า 1300 – 1307
2.หนังสือ พระมหาคัมภีร์ อัลกุรอาน พร้อมคำแปลภาษาไทย ของศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรอาน แห่งนครมาดีนะห์ แปลโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย หน้า 711 -714
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ท
ดูอ้างอิงเพิ่มเติมได้ที่หน้า “บท อ้างอิง”
**********************************************************************************
อธิบายความหมาย ซูเราะฮฺอัลกะฮฟฺ อายะฮฺที่ 83-98
ก่อนที่จะเริ่มอธิบายความหมายของอายาตที่ 83 ถึง 110 ของซูเราะฮฺนี้ใคร่จะขอกล่าวโดยสรุปถึงตัวบุคคลและสถานที่ที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้น เพราะเรายังไม่พบหลักฐานยืนยันอย่างแน่นอนนอกจากอัลกุรอานที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ โดยมิได้ระบุว่าซุลก็อรฺนัยนฺเป็นใคร มาจากไหน?
อย่างไรก็ดี ได้มีนักปราชญ์และนักประวัติศาสตร์บางท่านมีความเห็นว่า ซุลก็อรฺนัยนฺคนนี้คืออะเล็กซานเดอร์บุตรของฟิลลิปส์ เป็นกษัตริย์ชาวกรีกปกครองเมืองต่าง ๆ ทางทิศตะวันออกและตะวันตก ถูกขนานนามว่า “ซุลก็อรฺนัยนฺ” เป็นกษัตริย์มุอฺมินซึ่งอัลลอฮฺ ตะอาลาทรงให้เขามีอำนาจปกครองแผ่นดิน เขาได้ปกครองด้วยความยุติธรรมและมีประสิทธิภาพ ระยะเวลาการปกครองของซุลก็อรฺนัยนคือเวลาระหว่างสมัยของท่านนะบีอีซากับสมัยของท่านนะบีมุฮัมมัด อะลัยฮิมัสสลาม มีรายงานแจ้งว่าในอดีตมีกษัตริย์ที่ปกครองแผ่นดิน 4 ท่าน คือ สองท่านที่เป็นมุอฺมินคือ นะบีสุลัยมานและซุลก็อรฺนัยนฺ อีกสองท่านที่มิได้เป็นมุอฺมินคือ นัมรู๊ดและบัคตันสิร
ต่อมาได้มีการสันนิษฐานกันว่าอะเล็กซานเดอร์ผู้นี้มิใช่ซุลก็อรฺนัยนฺที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานเพราะเขาเป็นผู้บูชารูปปั้น ส่วนซุลก็อรฺนัยนฺที่กล่าวในอัลกุรอานนั้นเป็นมุอฺมินผู้ศรัทธา เชื่อมั่นต่อวันแห่งการตอบแทนและวันปรโลก
อะบุลร็อยฮาน อัลบัยรูนีย์ นักโหราศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่า ซุลก็อรฺนัยนฺที่ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอานนี้เป็นชาว ฮิมยัร จากประเทศเยเมน เพราะบรรดากษัตริย์ของฮิมยัรนั้นมักจะมีคำนำหน้าว่า “ซู” เช่น “ซูเนาวาส และ ซูยะซิน“ เป็นต้น แต่ซุลก็อรฺนัยนฺที่ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอานผู้นี้มีชื่อว่า “อะบูบักร ฺอิบน ฺแอฟริกิช” เป็นกษัตริย์จากเมืองฮิมยัร ได้ออกเดินทางพร้อมกับกองทหารของเขาไปยังชายฝั่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านเมืองตูนิสและมอรอกโกและเมืองอื่น ๆ ได้สถาปนาเมืองแอฟริกาขึ้น ดังนั้นในเวลาต่อมาจึงได้ขนานนามทวีปทั้งหมดว่า ทวีปแอฟริกา ซุล-ก็อรฺนัยนฺผู้นี้นักกวีชาวฮิมยัรคนหนึ่งมีความภูมิใจได้กล่าวชมเชยไว้ในบทกลอนของเขา เพราะซุลก็อรฺนัยนฺเป็นชาวเมืองฮิมยัร
บางที่คำกล่าวของนักโหราศาสตร์ผู้นี้อาจจะถูกต้องก็ได้ เพราะเราไม่มีสื่อค้นคว้าหาความชัดเจนได้ อีกทั้งเราไม่อาจจะค้นคว้าจากประวัติศาสตร์ที่บันทึกเกี่ยวกับซุลก็อรฺนัยนฺ ซี่งอัล-กุรอานได้เล่าบางส่วนเกี่ยวกับประวัติของเขา เรื่องของซุลก็อรฺนัยนฺก็เหมือนกับเรื่องของส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับประวัติของบุคคลต่าง ๆ ที่อัลกุรอานได้แจ้งให้เราได้รับทราบ เช่นเรื่องของหมู่ชนนูหฺ ฮูด ซอและฮฺและคนอื่น ๆ ประวัติศาสตร์เพิ่งจะบันทึกเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อเทียบกับอายุของมนุษยชาติ ดังนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์แน่นอนว่าไม่มีสื่อค้นคว้าใด ๆ ที่จะใช้เป็นหลักยึดเหนี่ยว ได้นอกจากอัลกุรอานเพราะอัลกุรอานได้พิทักษ์รักษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาในอดีตให้พ้นจากการบิดเบือนและเปลี่ยนแปลงไว้ได้อย่างถูกต้องและแน่นอน
ถ้าหากคัมภีร์อัตเตารอฮฺหรือไบเบิ้ลปลอดจากความผิดพลาด การบิดเบือนและข้อบกพร่องต่าง ๆ แล้วก็อาจจะยึดเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่คัมภีร์อัตเตารอฮฺได้ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นนวนิยาย หรือเป็นเรื่องที่เสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นการเสริมแต่งจากสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งถูกพระราชทานมาจากอัลลอฮฺ ดังนั้นจึงนับได้ว่าคัมภีร์อัตเตารอฮฺหรือไบเบิ้ลมิอาจจะใช้เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ในหนังสือตัฟซีรต่าง ๆ ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างมากมาย แต่ไม่อาจจะยึดเป็นที่เชื่อถือได้ ซึ่งเราจะต้องใช้ความระมัดระวังและความรอบคอบ เพราะได้มีการนำเอานวนิยายและเรื่องราวของอิสราเอลเข้ามาผนวกไว้
ส่วน ยะอฺญูจ นั้นสืบเชื้อสายมาจากพวกตะตาร์และ มะอฺญูจ ก็สืบเชื้อสายมาจากพวกมองโกเลียทั้งสองเชื้อสายมาจากต้นตระกูลเดียวกันคือพวกเตอร์กมีถิ่นพำนักอยู่ทางภาคเหนือของอาเซีย ในอาณาบริเวณของประเทศธิเบตและจีนไปจรดขั้วโลกเหนือและทิศตะวันตกจรดประเทศตุรกีสถาน
นักประวัติศาสตร์ชาวอาหรับและชาวยุโรปใด้เล่าว่า ในอดีตชนชาติเหล่านี้ได้บุกรุกเข้าไปโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน และได้ก่อความเสียหายเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในอาณาบริเวณนั้นอย่างมากมาย
อัลกุรอานได้บันทึกการเดินทางของซุลก็อรฺนัยนฺไว้ว่าได้เกิดขึ้น 3 ครั้ง ครั้งหนึ่งได้ออกเดินทางไปทางทิศตะวันตก อีกครั้งหนึ่ง ไปทางทิศตะวันออก และอีกครั้งหนึ่งไประหว่างภูผาทั้งสอง ดังนั้นขอให้เรามาติดตามการเดินทางทั้ง 3 ครั้งของซุลก็อรฺนัยนฺว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างในระหว่างนั้น
อัลกุรอานได้เล่าเรื่องของซุลก็อรฺนัยนฺไว้ดังนี้
83/18 และพวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับซุลก็อรฺนัยนฺ จงกล่าวเถิด “ฉันจะเล่าเรื่องของเขาแก่พวกท่าน”
พวกยะฮูดได้ใช้ให้พวกกุเรชถามท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ เรื่องชาวถ้ำและเรื่องซุลก็อรฺนัยนฺ ถ้าหากเขา (นะบีมุฮัมมัด) ตอบพวกท่านได้อย่างถูกต้อง เขาคือนะบี ถ้าหากเขา ตอบไม่เป็นที่กระจ่างชัดเขาก็ไม่ใช่นะบี ปรากฏว่าคำตอบเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณมีอยู่ในซูเราะฮฺอัลอิสรออฺ และคำตอบเกี่ยวกับเรื่องชาวถ้ำและเรื่องซุลก็อรฺนัยนฺมีอยู่ในซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟฺ
84-85/18 “แท้จริง เราได้ให้อำนาจแก่เขาปกครองในแผ่นดิน และเราได้ให้แก่เขาทุกสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาจึงมุ่งไปทางหนึ่ง (ทิศตะวันตก)”
อัลลอฮฺตะอาลาได้ทรงให้ซุลก็อรฺนัยนฺมีอำนาจและทรงสนับสนุนให้เขาพิชิตและครอบครองเมืองต่าง ๆ และทรงให้เขาได้รับความสะดวกในการพัฒนาบ้านเมืองและทุก ๆ สิ่งที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตอยู่พร้อมกับกองทหารและบริวารของเขา เขาได้ปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรม และทำให้ประชาชนได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางพร้อมด้วยกองทหาร โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
86/18 “จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงดินแดนที่ดวงอาทิตย์ตก เขาพบมันตกลงในน้ำขุ่นดำ เรา (อัลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า “โอ้ ซุลก็อรฺนัยนฺเจ้าจะลงโทษหรือทำความดีต่อพวกเขา”
87/18 “เขา (ซุลก็อรฺนัยนฺ) กล่าวว่า “ส่วนผู้อธรรมนั้นเราจะ ลงโทษเขา แล้วจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของเขาเพื่อพระองค์จะ ทรงลงโทษเขาอย่างรุนแรง”
88/18 “และสำหรับผู้ศรัทธาและกระทำความดีนั้นเขาจะได้รับ การตอบแทนที่ดี และเราจะให้เขาเข้าใจกิจการงานของเราอย่าง ง่ายดาย”
เมื่อซุลก็อรฺนัยนฺได้เดินทางไปถึงชายหาดของมหาสมุทรแอตแลนติก เขาได้พบดวงอาทิตย์กำลังตกลับขอบฟ้า คล้ายกับว่า มันตกลงในน้ำขุ่นดำตามที่เขามองเห็น
ทางตกของดวงอาทิตย์นั้นคือสถานที่ที่ผู้มองเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ทั้งนี้ย่อมแตกต่างกันไปเนื่องจากสถานที่บางแห่งผู้มองจะมองเห็นดวงอาทิตย์กำลังตกหลังภูเขา บางแห่งจะ มองเห็นกำลังตกในน้ำเช่นในท้องทะเลหรือมหาสมุทร และบางแห่งก็จะมองเห็นมันกำลังตกท่ามกลางทะเลทราย เช่นทะเลทรายที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
จากตัวบทนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าซุลก็อรฺนัยนฺได้มุ่งไปยังสุดทางของตะวันตก คือจุดที่ชายหาดของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเรียกกันว่าทะเลมืด และเขาคาดว่า ณ ที่นั้นเป็นจุดสิ้นสุดที่เขา ไปถึงแล้ว ณ ที่นั้นเขาได้เห็นดวงอาทิตย์กำลังจะตก
และอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาได้เดินทางไปถึง ณ จุดหนึ่งซึ่งเป็นปากทางของแม่น้ำแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้นมีทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์และบริเวณนั้นเปรียบเสมือนป่าชายเลนมีน้ำขุ่นดำ และมอง เห็นดวงอาทิตย์กำลังตก แต่เราไม่สามารถจะกำหนดสถานที่ได้อย่างแน่นอน เพราะตัวบท (อัลกุรอาน) มิได้กำหนดไว้ ณ สถานที่นั้น ซุลก็อรฺนัยนฺได้พบหมู่ชนกลุ่มหนึ่ง “เรา (อัลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า : โอ้ ซุลก็อรฺนัยนฺเจ้าจะลงโทษหรือทำความดีต่อพวกเขา” อัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสแก่ซุลก็อรฺนัยนฺในสภาพอย่างไร? จะเป็น วะฮียฺหรือการดลใจหรือเป็นการเล่าเรื่องในขณะที่อัลลอฮฺตะอาลา ทรงให้เขามีอำนาจปกครองเหนือกลุ่มชนเหล่านั้น และปล่อยให้เขา จัดการอย่างอิสระ คือจะให้เขาลงโทษหรือทำความดีต่อกลุ่มชนนั้น แต่ที่สำคัญก็คือซุลก็อรฺนัยนฺได้ประกาศธรรมนูญการปกครอง ในการปฏิบัติต่อกลุ่มชนหรือประเทศที่เขาได้เข้าไปปกครอง คือ “ส่วนผู้อธรรมนั้นเราจะลงโทษเขา แล้วจะถูกนำกลับไปยัง พระเจ้าของเขาเพื่อพระองค์จะทรงลงโทษเขาอย่างรุนแรง และสำหรับผู้ศรัทธาและกระทำความดีนั้น เขาจะได้รับการตอบ แทนที่ดีและเราจะให้เขาเข้าใจกิจการงานของเราอย่างง่ายดาย”
นี่คือธรรมนูญการปกครองที่ดีและยุติธรรม คนดีมีความศรัทธาต่ออัลลอฮฺก็สมควรจะได้รับเกียรติและการยกย่อง และการตอบแทนที่ดีจากนักปกครองหรือหัวหน้า ส่วนผู้อธรรม และคนชั่วจะต้องได้รับการลงโทษและการตอบแทนที่สาสม โดยการปกครองและการปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมเช่นนี้ทำให้ประ ชาชนและผู้อยู่ภายใต้การปกครองมีกำลังใจในการปฏิบัติความ ดีและสนับสนุนกันให้กระทำความดี การอยู่ร่วมกันในสังคม ก็จะบรรลุสู่เป้าหมายคือความผาสุข
เมื่อซุลก็อรฺนัยนฺได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่าง ดี ในการปกครองของเขาแล้ว เขาก็ออกเดินทางเป็นครั้งที่สองโดยมุ่ง ไปทางทิศตะวันออก ในการเดินทางครั้งแรกของเขาที่กล่าวไว้ว่า เขาได้มุ่งไปยังสุดทางของทิศตะวันตก จนกระทั่งเขาได้เห็นดวง อาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ในครั้งที่สองก็เช่นเดียวกันเขาได้มุ่งไป ยังสุดทางของทิศตะวันออก ความมุ่งหมายดังกล่าวนี้ก็คือ เขาได้ เดินทางไปถึงสถานที่หนึ่งที่เขาเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจาก ขอบฟ้า อัลกุรอานมิได้กำหนดว่าเป็นสถานที่แห่งใดแต่ได้กล่าวถึง ธรรมชาติของสถานที่นั้นและสภาพของหมู่ชนกลุ่มนั้นที่เขาได้ พบเห็น ณ ที่นั้นว่า
“จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงดินแดนที่ตะวันขึ้น เขาพบมันขึ้น เหนือกลุ่มชนหนึ่งที่เรา (อัลลอฮฺ) มิได้มีที่กำบังแดดให้แก่พวกเขา” คือเป็นพื้นที่โล่งกว้างไม่มีที่ราบสูงหรือต้นไม้ให้เป็นที่กำบังแดด ดวงอาทิตย์ได้ขึ้นท่ามกลางหมู่ชนที่ยังมีความป่าเถื่อนไม่มี ความเจริญ คือไม่สวมใส่เสื้อผ้าและไม่มีบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัย แต่ใช้อุโมงค์ใต้ดินเป็นที่พำนักเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นพวกเขาจะกลับ เข้าที่พักและจะออกทำมาหากินเมื่อดวงอาทิตย์ตก ก็ตาดะฮฺ ได้อธิบายเกี่ยวกับอายะฮฺนี้ว่า: ซุลก็อรฺนัยนฺได้เดินทางไปเปิด เมืองต่าง ๆ และได้รวบรวมทรัพย์สมบัติและได้ฆ่าพวกผู้ชาย เว้นแต่ผู้ที่ศรัทธา จนกระทั่งเดินทางไปถึงทางทิศตะวันออก และได้พบกลุ่มชนเปลือยกายพำนักอาศัยอยู่ในอุโมงค์พวกเขา ได้ออกมาทำมาหากินในเวลาเย็นและกลางคืน และจะกลับ เข้าอุโมงค์ในเวลาเช้า
เมื่อซุลก็อรฺนัยนฺเดินทางไปถึงดินแดนสุดทางของทิศ ตะวันออก ซึ่งบางทีอาจจะเป็นชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา และบางทีอาจจะหมายถึงสถานที่ที่อัลลอฮฺตะอาลาได้กล่าวไว้ว่า สถานที่ (ที่เรามิได้มีที่กำบังแดดให้แก่พวกเขา) คือกลุ่มชน ที่มิได้สวมใส่เสื้อผ้า คือเป็นที่โล่งกว้างเตียน
ซุลก็อรฺนัยนฺได้ประกาศธรรมนูญแห่งการปกครองไว้แล้ว เมื่อครั้งเดินทางเข้าไปครอบครองดินแดนทางทิศตะวันตก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวซ้ำอีกในการเดินทางเข้ามา ครอบครองดินแดนทางทิศตะวันออกครั้งนี้ และเขาได้จัดการกับ กลุ่มชนด้วยความยุติธรรม เมื่อเขาได้รับการตอบรับจากประชาชน เป็นอย่างดีแล้วเขาจึงออกเดินทางออกไปเป็นครั้งที่สามโดย มุ่งไปทางทิศเหนือ
“จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงบริเวณระหว่างภูผาทั้งสองเขา ได้พบชนกลุ่มหนึ่งที่เชิงภูผาทั้งสองนั้นเขาเหล่านั้นเกือบจะ ไม่เข้าใจคำพูดซึ่งกันและกัน”
เราไม่สามารถที่จะกำหนดหรือชี้ขาดถึงสถานที่ที่ซุล ก็อรฺนัยนฺเดินทางไปถึงบริเวณภูเขาทั้งสอง ระหว่างภูเขาทั้งสองนั้น เป็นที่ราบคั่นกลาง ณ ที่นั้นเขาได้พบกลุ่มชนหนึ่ง ซึ่งเขาไม่สามารถ จะทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ นอกจากจะใช้สื่อกลางหรือภาษา กลางหรือมีคนช่วยแปลให้เขาเข้าใจความมุ่งหมายของพวกเขาได้ อย่างไรก็ดีเมื่อพวกเขาได้เผชิญหน้ากับเขา พวกเขาได้พบว่าซุลก็ อรฺนัยนฺแและกองทหารของเขาเป็นผู้พิชิตหรือผู้นำที่มีความเข้ม แข็งมีอำนาจและมีความสามารถและความดี พวกเขาจึงเสนอให้เขา สร้างเครื่องกีดขวางปิดกั้นการรุกรานของยะอฺญูจและมะอฺญูจ ซึ่งจะเข้าจู่โจมพวกเขามาทางที่ราบคั่นกลางระหว่างภูเขาทั้งสอง โดยจะเข้ามาปล้นสะดมและก่อความเสียหายให้แก่พวกเขา ซึ่งพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะสกัดกั้นการรุกรานของพวกเหล่า นั้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเสนอซุลก็อรฺนัยนฺให้ดำเนินการเช่นนั้นโดย ที่พวกเขาจะรวบรวมทรัพย์สินเงินทองมามอบให้เป็นเครื่องบรร ณาการเพื่อเป็นการตอบแทนแก่เขา
เนื่องมาจากธรรมนูญการปกครองของนักปกครองที่ดีเช่น ซุลก็อรฺนัยนฺนี้ ซึ่งได้ประกาศไว้ว่าจะต่อต้านและปราบผู้ที่ก่อความ เสียหายบนแผ่นดินเขาจึงปฏิเสธข้อเสนอที่พวกเขาจะมอบเครื่อง บรรณาการเป็นการตอบแทนแก่เขา แต่เขาอาสาที่จะสร้างเครื่อง กีดขวางหรือทำนบให้แก่พวกเขา โดยมีเงื่อนไขว่าขอให้พวกเขาช่วย เหลือเขาด้วยกำลังคนและเครื่องมือตลอดจนสิ่งของต่าง ๆ เพื่อใช้ ในการก่อสร้างครั้งนี้ ซุลก็อรฺนัยนฺมองเห็นว่าวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการ อุดช่องว่างระหว่างภูเขาทั้งสอง ดังนั้นเขาจึงขอความร่วมมือจาก กลุ่มชนเหล่านั้น โดยกล่าวว่า “ดังนั้นขอให้พวกท่านจงช่วยฉัน ด้วยกำลัง แล้วฉันจะสร้างกำแพงอย่างแน่นหนากั้นระหว่างพวก ท่านกับพวกเขา พวกท่านจงนำเหล็กท่อนโต ๆ มาให้ฉัน”
เมื่อพวกเขานำเหล็กท่อนโต ๆ มา และวางเรียงอย่างเป็น ระเบียบเป็นกองพะเนินสูงเท่าภูเขาทั้งสองแล้ว เขาได้กล่าวแก่พวก เขาว่า “จงเป่ามันด้วยเครื่องเป่าลม” จนกระทั่งเมื่อมันกลายเป็น ไฟลุกช่วงโชติ เขาได้กล่าวอีกว่า “จงนำเอาทองแดงหลอมเทลงมา ให้ฉันเพื่อจะเทลงไปบนมัน” เมื่อเอาทองแดงหลอมเทลงไปบน เหล็กที่มีไฟลุกโชน จึงทำให้ทั้งสองสิ่งปนกันและทำให้เกิดความ แข็งกล้ายิ่งขึ้น
ในยุคปัจจุบันนี้วิธีทำให้เหล็กกล้ามีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็คือการเอาทองแดงเทปนลงไปในการหลอมเหล็ก จะทำให้เหล็กมี ความแข็งกล้ายิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการเช่นนี้อัลลอฮฺตะอาลาได้ชี้แนะ ให้ซุลก็อรฺนัยนฺกระทำมาก่อนเป็นเวลา 14 ศตวรรษกว่ามาแล้ว
ด้วยการกระทำดังกล่าวเป็นการเชื่อมภูเขาทั้งสองและ เป็น การปิดกั้นช่องว่างและปิดทางผ่านมิให้ยะอฺญูจและมะอฺญูจเข้า ไปรุกรานพวกเหล่านั้นได้ อีกทั้งไม่สามารถที่ขุดโพรงผ่านเข้าไปได้
ซุลก็อรฺนัยนฺได้พิจารณาถึงผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขา ด้วยความภูมิใจที่อัลลอฮฺตะอาลาประทานให้แก่เขาแต่เขาไม่หยิ่ง ยะโสเพราะความสามารถหรือวิชาความรู้ของเขา เขารำลึกถึง และขอบพระคุณอัลลอฮฺตะอาลาอยู่เสมอ และเขาประกาศถึงสิ่งที่ เขาเชื่อมั่นและศรัทธาว่า บรรดาภูเขาและสิ่งกีดขวางทั้งหลาย เหล่านี้จะต้องพังทลายลงก่อนวันกิยามะฮฺอย่างแน่นอน และพื้น แผ่นดินจะกลายเป็นที่ราบเรียบ เขาได้กล่าวว่า
“นี่คือความเมตตาจากพระเจ้าของฉัน ดังนั้นเมื่อสัญญา ของพระเจ้าของฉันมาถึงพระองค์จะทรงทำให้พังทลายลง และสัญญาของพระเจ้าของฉันนั้นเป็นจริงเสมอ”
ประวัติความเป็นมาของซุลก็อรฺนัยนฺจบลงเพียงนี้ ซึ่งเป็น แบบอย่างที่ดีของนักปกครองที่ดีที่ยึดมั่นอยู่บนความยุติธรรม
อัลลอฮฺตะอาลาได้ประทานอำนาจแก่เขาทรงอำนวย ความสะดวกให้แก่เขาในทุกกิจการเขาได้บุกเบิกปราบพวกอธรรมในดินแดนที่เขายาตราทัพเข้าไปทั้งทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ เขาจะไม่หยิ่งจองหองอวดดีและถือตัวเขาจะไม่ยึดเอาการพิชิตหัวเมืองต่าง ๆ เป็นสื่อในการยึดทรัพย์เชลย จะไม่ปฏิบัติ กับประชาชนเยี่ยงการปฏิบัติกับทาส จะไม่เปิดโอกาสให้ประชาชน แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เขาจะแพร่กระจายความยุติธรรมไปทั่วทุกหนแห่ง จะช่วยเหลือบรรดาผู้ล้าหลังและด้อยความ เจริญเขาจะปกป้องการรุกรานจากศัตรูโดยไม่ยอมรับการตอบแทน เขาจะใช้อำนาจและพลังที่อัลลอฮฺตะอาลาประทานให้แก่เขาใน การเสริมสร้างและบูรณะแก้ไข เขาจะขจัดศัตรูที่เข้ามารุกรานอย่าง เฉียบขาด แล้วทุก ๆ ความดีที่อัลลอฮฺตะอาลาประทานให้แก่เขา เขาจะสนองตอบด้วยการกล่าวถึงความเมตตาของอัลลอฮฺ และความโปรดปรานของพระองค์ เขาจะไม่ลืมตัวในขณะที่เขามี อำนาจอยู่ถึงอานุภาพของอัลลอฮฺและพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเขานั้นจะต้องกลับไปหาพระองค์อย่างแน่นอน
------------------------------------------------------------------------------
หลังจากนี้ขอให้เรามาพิจารณาดูว่าใครคือยะอฺญูจและมะอฺญูจ? ขณะนี้เขาเหล่านั้นอยู่ที่ไหน? กิจกรรมของพวกเขาเป็น อย่างไร และจะเป็นไปอย่างไร?
คำถามเหล่านี้เป็นการยากที่จะหาคำตอบได้อย่างแน่ชัด เพราะเราไม่รู้จักพวกเขานอกจากสิ่งที่ปรากฎอยู่ในอัลกุรอาน และส่วนน้อยจากฮะดีสที่ศ่อเฮียะฮฺ
อัลกุรอานได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้ ตามคำกล่าวของซุลก็อรฺ-นัยนฺที่ว่า “ดังนั้นเมื่อสัญญาของพระเจ้าของฉันมาถึง พระองค์ ก็จะทรงทำให้มันพังทลายลง และสัญญาของพระเจ้าของฉันนั้น เป็นจริงเสมอ”
ตามตัวบทนี้มิได้กำหนดเวลาว่าเกิดขึ้นเมื่อใด? และสัญญาของอัลลอฮฺนั้นหมายถึงสัญญาของพระองค์ในการทำให้กำแพงพังทลาย บางทีอาจจะเกิดขึ้นแล้วในสมัยที่พวกตะตาร์ได้ออกมา โจมตีและแพร่กระจายในแผ่นดิน และได้ทำลายล้างพวกมะมาลิก (กษัตริย์ต่าง ๆ) อย่างย่อยยับ
และในซูเราะฮฺอัลอัมบิยาอฺ อายะที่ 96 ได้กล่าวเกี่ยวกับ เรื่องนี้ไว้ว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอฺญูจและมะอฺญูจถูกปล่อยออก มาจาก กำแพง พวกเขาจะหลั่งไหลกันลงมาจากทุกทิศทาง และเมื่อสัญญา แห่งความจริงได้ใกล้เข้ามา”
ตัวบทในอายะฮฺนี้ก็เช่นเดียวกันมิได้กำหนดเวลาที่แน่อน ในการออกมาของยะอฺญูจและมะอฺญูจ และเมื่อสัญญาแห่ง ความจริงได้ใกล้เข้ามาแล้ว หมายถึงวันกิยามะฮฺได้ใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งได้เกิดขึ้นในสมัยของท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในซูเราะฮฺอัลเกาะมัร ในอายะฮฺที่หนึ่งที่ว่า “วันกิยามะฮฺได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจัน ทร์ได้แยกออกจากกัน” เวลาในการคิดคำนวณของพระเจ้าย่อมแตกต่างกับการคิดคำนวณของมนุษย์ บางทีระหว่างความใกล้ของ วันกิยามะฮฺกับการเกิดขึ้นจริง ๆ ของมัน อาจจะผ่านไปเป็นล้าน ๆ ปี หรือเป็นศตวรรษ มนุษย์อาจจะมองเห็นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน แต่ ณ ที่อัลลอฮฺนั้นอาจจะเป็นระยะเวลาที่น้อยนิด
ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่า กำแพงได้ถูกเปิดขึ้นแล้วใน ระยะเวลาระหว่าง “วันกิยามะฮฺได้ใกล้เข้ามาแล้ว” จนกระทั่งถึง ปัจจุบันนี้ และการบุกโจมตีของพวกมองโกลหรือมองโกเลีย และพวกตะตาร์ ซึ่งได้แพร่กระจายไปทางทิศตะวันออกนั้น คือ การแพร่กระจายของยะอฺญูจและมะอฺญูจก็อาจจะเป็นไปได้
นอกจากนี้ยังมีรายงานฮะดีสศ่อเฮี้ยะฮฺจากอุมมี่หะบีบะฮฺ บินติอะบีซุฟยาน จากไซหนับบินติญะฮฺชฺ ภรรยาของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตื่นนอนขึ้นและเข้าไปหานางด้วยใบหน้าที่แดงแล้วกล่าวขึ้นว่า “ความพินาศจงประสบแก่อาหรับอัน เนื่องมาจากความชั่วได้ใกล้เข้ามา ในเร็ววันนี้กำแพงยะอฺญูจและมะอฺญูจเปิดขึ้นแล้วเช่นนี้ และท่านได้ชูนิ้วทั้งสอง (คือนิ้วชี้และนิ้วกลาง) ขึ้น ฉันได้ถามขึ้นว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกเราจะประสบกับความหายนะทั้ง ๆ ที่ในหมู่พวกเรามีคนดี ๆ มากมายกระนั้นหรือ? ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า “แน่นอนในเมื่อความ ชั่วได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย”
ความฝันดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อ 14 ศตวรรษกว่ามาแล้ว และได้เกิดเหตุการณ์การบุกรุกโจมตีของพวกตะตาร์ หลังจากนั้น ชนเหล่านี้ภายใต้การนำของโฮลาโก้ได้ทำลายล้างอิทธิพลของอาหรับในสมัยของค่อลีฟะฮฺอัลมุสตะอฺศิมปลายสมัยราชวงศ์อัลอับบาซียะฮฺ และบางทีอาจจะอธิบายความฝันของท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้ อัลลอฮฺตะอาลาทรงรู้ดียิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกสิ่งที่เรากล่าวมานี้เป็นความเห็นชอบของเรามิใช่เป็นการปักใจเชื่ออย่างแน่นอน