📚กีตาบ ตักรีบุลอิควาน
✅ตอนที่ 5 1/5/60 น5 บ9ล 10ข้อความเสียง
บิสมิลละห์ฯ และพี่น้องท่านจงทราบเถิด บรรดาครูทั้งหลายท่านได้นาสีฮัตได้พูดได้สอนสิ่งที่แท้จริง ครูที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ว่าพวกเหล่านั้น เพียงแค่สอนไปเพื่อจะหากินให้มีกินมีใช้เพื่อให้หากินคล่องเพียงเท่านั้น แท้จริงแล้วสิ่งที่เรากินหรือใช้ในทุกๆวันนี้ สิ่งเหล่านั้น(ริสกี) เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ให้ต่อผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ นั่นคือสิ่งต่างๆที่เรากินใช้อยู่ทุกวันเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ประทานให้แก่เรา แล้วครูที่แท้จริงที่เขาทำการสอนทำการนาซีฮัตตักเตือนทั้งหลายนั้น ไม่ใช่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เรามีกินมีใช้ เพราะสิ่งเหล่านั้นอัลลอฮ์ประทานให้เราอยู่แล้ว ไม่มีใครที่จะมาหักห้ามได้เพราะริสกีนั้นอัลลอฮ์ได้กำหนดไว้แล้ว ถึงแม้ว่าการให้อันนั้นจะเป็นการให้กับผู้ที่เป็นศัตรูของอัลลอฮ์สักทีก็ตาม เช่น คนกาเฟร อัลลอฮ์ฝห้ริสกีให้ลมหายใจให้อาหารให้ปัจจัยยังชีพให้มีกินมีใช้ แม้คนเหล่านั้นจะไม่ศรัทธาและภักดีต่อพระองค์ แต่อัลลอฮ์ก็ให้โดยไม่มีใครมาหักห้ามได้(อัรเราะมาน= อัลลอฮ์ให้ทั้งหมดริสกีต่อทุกคนที่พระองค์ทรงประสงค์)
ดังนั้นสมควรอย่างยิ่งที่เราต้องขอบคุณต่ออัลลอฮ์ตาอาลาในการที่พระองค์อัลลอฮ์ให้เราแตกต่างจากบรรดาสัตว์อื่นๆ เราต้องขอบคุณและสำนึกบุญคุณต่ออัลลอฮ์ให้มากๆ เราแตกต่างจากสัตว์ด้วยกับการที่เรารู้จักการใช้ความคิดและวิจารณญาณ พินิจพิเคราะห์แยกแยะได้ ดังนั้นจงมาเถิดมานั่งเพื่อเรียนบรรดาๆฮู่ก่มอากาลและเช่นกันเราก็ต้องศึกษาฮู่ก่มอาดัตเช่นกัน เพื่อให้เรานั้นเข้าใจผิดพลาดสับสนระหว่างสองฮู่ก่มนี้(ฮู่ก่มอากาลได้ แก่ วุยุบ อิสติฮาละห์ ยาวาซ) เราต้องแยกแยะให้ออกระหว่างสองฮู่ก่มนี้ เช่น ผู้ชายตั้งครรภ์ ฮู่ก่มอาดัต เป็นมุสตาฮีล ส่วนฮู่ก่มอากาลคือ ยาวาซ ที่เราเรียยผ่านมาคือ ไม่ว่าจะเป็นวายิบอาดัต มุสตาฮีลอาดัต หรือฮารุสอาดัต ทั้งหมดนั้นเป็นฮารุสอากาล หรือการที่นาบีผ่าดวงจันทร์ด้วยมือเป็นสองซีก ฮุ่ก่มอาดัตเป็นมุสตาฮีล และฮุก่มอากาลนั้นฮารุส ถ้าเราไม่เรียยเราจะแยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตกเป็นกาเฟรได้ เช่น เรื่องการเอามือผ่าดวงจันทร์ของนาบี ถ้าเราไม่สามารถแยกแยะว่ามันเป็นฮารุสในทางอากาล เรากลับบอกว่ามุสตาฮีลเป็นไปไม่ได้ นำไปสู่การปฏิเสธมัวะญิซาต ซึ่งการปฏิเสธมัวะญิซาตนั้นตกมุรตัด นี่เพราะเราไม่เข้าใจการแยกแยะฮู่ก่ม
ดังนั้นถ้าหากเรานั้นสับสนแยกไม่ออกระหว่างฮุก่มอากาลและฮุก่มอาดัต ดังนั้นการที่เราจะยึดมั่นกับสิ่งซึ่งมันเกี่ยวข้องกับอัลลอฮ์และร่อซุ้ล และอื่นๆ (เอียะติกอตต่อมาลาอีกะห์ นรก สวรรค์ และอื่นๆ) ก็จะทำให้เกิดความสับสน) สิ่งที่เกี่ยวพันกับอัลลอฮ์และร่อซุ้ลคือซีฟัตวายิบ มุสตาฮีล และยาอิซ นั่นเอง เมื่อแยกแยะไม่ออกก็ทำให้การยึดมั่นไม่มีความหนักแน่นไปด้วย ถึงแม้ว่าเรานั้สจะพูดได้อย่างคล่องปากบอกได้พูดได้ แต่ไม่สามารถอธิบายฮุก่มของสิ่งที่เรายึดมั่นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ถ้าเราไม่เข้าใจด้วยการยึดมั่นไม่หนักแน่น ไม่สามารถแยกแยะฮู่ก่มอากาลออกจากกันได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเราจะบอกว่าเรานั้นยึดมั่นต่ออัลลอฮ์อย่างหนักแน่นแล้ว แต่ทว่ามันเป็นเพียงการกล่าวอ้างเพียงลมปากเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือในใจของเรานั้นจะหนักแน่นจริงหรือไม่ ตรงนั้นแหละที่จะดู ซึ่งโดยแก่แท้แล้วการที่คนคนนึงกล่าวด้วยปากของเขานั้นว่าเขานั้นมีความหนักแน่น โดยแก่นแท้แล้วเป็นผู้ที่ตั้กลี้ดเท่านั้น ซึ่งเขาเชื่อตามคนอื่น เพราะแก่นแท้แล้วเขาไม่สามารถแยกแยะออกระหว่างฮู่ก่มอาดัตและฮู่ก่มอากาล ข้อแตกต่างของมันและรายละเอียดของมัน (ตั้กลี้ด คือ ผู้ที่เชื่อตามคนอื่น เรียกว่า คนมุกอลลิ้ต นั่นเอง) วิชาอุซุลุดดีนนั้น ไม่เหมือนกับวิชาฟิกฮ์ การตักลี้ดตามคนอื่น บางทียังไม่เป็นการเซาะห์อิหม่าน(อิหม่านยังใช้ไม่ได้) แต่วิชาฟิกฮ์เราจำเป็นต้องตักลี้ดตรมคนอื่นเพราะเรานั้นไม่รู้การวินิจฉัย ไม่รู้หลักฐาน ไม่รู้ว่าจะวินิจฉัยยังไงเพราะไม่มีเครื่องมือ ไม่มีความรู้พอที่จะไปวินิจฉัยได้ เพราะงั้นจึงต้องตักลี้ด ตามมัซฮับต่างๆ เช่น มัซฮับชาฟีอีย์ มีวิธีการอาบน้ำละหมาดอย่างไรเราก็ทำตามอยางนั้น เมื่อเราถูกถามถึงหลักฐานเราก็ตอบไม่ได้เพราะเราไม่มีความรู้พอ เราจึงต้องตักลี้ดตามเค้า แต่ถ้าเป็นวิชาอุซุลุดดีน เราจะตักลี้ดไม่ได้ เพราะการตักลี้ดนั้นบางทียังไม่เซาะห์อิหม่าน ถ้าไม่เซาะห์อิหม่านก็เท่ากับไม่เซาะห์จากบรรดาอิบาดัตที่เราทำ
คนมุกอลลิต หรือคนที่เชื่อตามคนอื่น มีคิลาฟอุลามะอ์ บางทัศนะบอกว่ายังเป็นคนกาเฟรอยู่ แต่ทัศนะ ที่แข็งแรงบอกว่าเป็นคนมุมินแต่ว่ายังฮารามต้องถูกลงโทษ (ถ้ามีคนถามว่ามีอัลลอฮ์ไหม เราตอบว่ามี เราเชื่อชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอัลลอฮ์มี ที่เราบอกว่าอัลลอฮ์เราบอกหลักฐานไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์หาหลักฐานให้เห็นว่าอัลลอฮ์ มี เราหาหลักฐานมาบอกไม่ได้) ถึงแม้ว่าเขานั้นจะพูดได้อย่างคล่องแคล่วคล่องปากท่องจำได้หมด แต่เขานั้นไม่มีความเข้าใจ พูดถูกหมดบอกได้หมดแต่ไม่มีความเข้าใจในสิ่งตัวเองพูด ดังนั้นผู้ที่ยึดมั่นตักลี้ดตามคนอื่น ในเรื่องของอากีดะห์/การยึดมั่น ถือว่าเขานั้นขาดทุนอย่างใหญ่หลวง อย่างที่บอกไปว่าบางทัศนะบอกว่ายังเป็นคนกาเฟรอยู่ (การคิดค้นหาหลักฐานเป็นสิ่งทีวายิบที่จะต้องแสวงหา เราเข้าใจหลักฐานแม้เราจะไม่สามารถพูดได้หรือบอกได้ก็ตาม แต่ขอให้เราเข้าใจต่อสิ่งนั้น) เราต้องเรียนให้รู้ให้เข้าใจ ถ้าไม่เรียนให้รู้จะเกิดความเสียหายแก่ตัวเรา
เงื่อนไขคือถ้าหากเราสามารถคิดได้ ไม่ได้มีสติปัญญาที่ผิดปกติไม่ได้ปัญญาอ่อนหรืออย่างอื่น เช่น โง่เขลา ไอคิวต่ำ แต่ถ้าหากเราเป็นคนปกติไม่โง่จนเกินไปมีเหตุผล ถ้าเราไม่รู้จักใบ้สติปัญญาในการหาเหตุผลของการมีอยู่ของอัลลอฮ์ จากบรรดาซีฟัตต่างๆแบบนี้เราจะขาดทุนอย่างยิ่งเพราะเราจะไม่พ้นไปจากคนมุกอลลิต และบรรดาอิบาดัตของเขาที่เขาทำไม่สามารถที่จะมั่นใจได้ว่ามันใช้ได้หรือเปล่า เพราะเราไม่สามารถยาเกน/มั่นใจได้ว่าอิหม่านของเขาใช้ได้/เซาะห์ หรือเปล่า พออิหม่านไม่เสาะห์ อิบาดัตทั้งหลายก็พลอยไม่เสาะห์ไปด้วย นี่คือความสำคัญของการเรียน ว่าทำไมเราจึงต้องเรียนฮู่ก่มอากาลให้เข้าใจฮูก่มของซีฟัตของอัลลอฮ์ ถ้าเราเข้าฮุก่มอากาลมันจะนำพาให้เราเข้าใจซีฟัตของอัลลอฮ์ เราต้องเรียนให้รู้ให้ยึดมั่นได้ถูกต้องเพื่อให้เสาะห์อิหม่านของเรา
โอ้พี่น้องของฉัน ท่านจงรู้เถิดว่าแท้จริงแล้วอิลมูเตาฮีด(อุซุลุดดีน) มันไม่ใช่ความรู้ที่เราเรียนฟาติหะห์และตาฮิยัต เพราะเราอ่านฟาติหะห์นั้นเราไม่ทราบความหมายแต่เราอ่านถูกฮุรุฟ ถูกตัจวีด อ่านถูกต้อง ละหมาดของเราก็ใช้ได้ แต่ถ้าเป็นวิชาอุซุลุดดีนเป็นแบบนี้ไม่ได้ถือว่าไม่เสาะห์ แค่ท่องได้แต่ไม่มีความเข้าใจ ดังนั้นจึงต้องมีครู การเรียนนั้นจึงต้องมีครูแม้มันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตามที เราไม่มีทางมั่นใจได้ว่า ที่เรารู้ที่เราเข้าใจนั้นถูกต้องรึเปล่า แต่ถ้าเราฟังจากผู้รู้ เราจะได้คำตอบที่ชัดเจนยึดถือตามได้ แม้จะเป็นเรื่องที่ง่ายๆแต่เรายาเกน เรายึดมั่นได้ แต่ถ้าหากเรืองนั้นเป็นเรื่องลึกล้ำเราอ่านเอง เราศึกษาเอง จนเข้าใจ มั่นใจว่าตัวเองถูกต้อง แต่เราก็ไม่อาจยาเกน/มั่นใจ ได้เพราะมันเป็นความเข้าใจของตัวเราเอง เพราะอย่างนี้แล้วการเรียนต่างๆจึงต้องผ่านครู "อินนามัลอิลมู บิตตาอัลลู้ แท้จริงแล้วความรู้ ได้มาจากการเรียน" การเรียนต้องมีคนสอนมีคนเรียนและมีการถ่ายทอดวิชาความรู้กัน ดังนั้นวิธีการศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองนั่นไม่ใช่วิธีการหาความรู้ เพราะมันสามารถทำให้เราเข้าใจผิด เรื่องบางเรื่องถ้าเราเข้าใจผิดมันจะทำให้เราหลงผิดไปไกล โดยเฉพาะเรื่องอากีดะห์ บางครั้งอาจจะถึงขั้นกุฟุร ดังนั้นต้องเรียนจากครู แม้จะเป็นกีตาบเล่มเล็กๆก็ตาม ความรู้ที่เราจะเอามายึดมั่นมันต้องผ่านการยาเกน/มั่นใจ ยาเกนโดยการเรียนผ่านครู ครูที่เขาเรียนจากครูของเขา เรื่อยๆขึ้นไปจนถึงท่านนาบี
ดังความเข้าใจจากโตะแนแน้ะ ที่ไม่มีความรู้ ท่องอย่างเดียวโดยไม่ได้พินิจพิเคราะห์ให้เข้าใจ เป็นความยึดติดว่าต้องท่องจำไว้ก่อน แท้จริงแล้วอิลมูเตาฮีดคือวิชาที่ให้ความกระจ่างความสว่างกับเรา การให้ความสว่างอันนั้นโดยการใช้สติปัญญาที่เที่ยงตรง เพื่อให้เห็น เพื่อจะนำมาซึ่งความเข้าใจแต่ละซีฟัต จนกระทั่งเราเกิดความสว่างความเข้าใจแล้ว ปั้นปลายมันจะทำให้เกิดความยาเกน ปลูกฝังความยาเกนในจิตใจของเรา มันจะเกิดความยาเกนได้ต้องผ่านการใช้สติปัญญาพินิจพิเคราะห์ ในวิชาอุซุลุดดีนสิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องคิด จะฟังและท่องอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดและเห็นด้วยตัวเอง เปรียบเทียบเสมือนว่าครูสอนเรา ครูผู้สอนได้แค่บอกเราว่าวิธีการหาหลักฐานเป็นอย่างไร และเราต้องไปคิดต่อว่าหลักฐานมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เปรียบเสมือนคนนึงเห็นดวงจันทร์ ในตำแหน่งที่หาดูได้ยาก เราต้องไปดูให้เห็นเองกับตาของเรา โดยใช้วิธีการที่เขาบอกมาว่าต้องไปดูดวงจันทร์อย่างไร เมื่อไปแล้วเราก็เห็น เห็นด้วยตัวเอง นั่นคือเราเห็นหลักฐานด้วยตัวเอง แม้จะเป็นหลักฐานแบบอิจมาลี้ย์ก็ถือว่าพ้นจากการเป็นคนมุกอลลิตแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจหลักฐานได้ต้องผ่านการพินิจพิเคราะห์ การพินิจพิเคราะห์นี้จึงวายิบบนคนที่มีสติปัญญา
วัลลอฮุอะลัม