กีตาบ ตักรีบุลอิควาน
✅ตอนที่ 7 4/5/60 น7 บ2 บน
บิสมิลละห์ฯ พี่น้องทั้งหลายพึงทรายเถิดว่าแท้จริงแล้ว เริ่มต้น(เอาวาลอูฆามอ=รากฐานของศาสนา)ของศาสนานั้นคือการรู้จักอัลลอฮ์ รู้จักในที่นี้คือการรู้จักต่อบรรดาซีฟัตของอัลลอฮ์นั่นเอง การรู้จักนั้นหมายถึงการยอมรับนั่นเอง หมายถึงการยอมรับด้วยหัวใจ ยอมรับต่อ3ประการ ที่เกี่ยวกับอัลลอฮ์นั่นเอง และเขาจะต้องยอมรับต่อร่อซู้ล(รูซุล เป็นคำพหุพจน์ของรอซู้ล) คือการยอมรับเช่นเดียวกับที่กล่าวผ่านพ้น นั่นคือการยอมรับ3ประการซึ่งเกี่ยวข้องกับรอซู้ลนั่นเอง สามประการที่เราต้องยอมรับนั่นคือ
1. วายิบอักลี้ย์(อากาล)
2. มุสตาฮีลอักลี้ย์(อากาล)
3. ยาอิซอักลี้ย์(อากาล)
เราต้องยอมรับซีฟัตทั้งสามอย่างนี้ ทั้งสำหรับอัลลอฮ์ และรอซู้ล เราต้องรู้จักซีฟัต เราต้องรู้จักฮู่ก่มของซีฟัต แต่เราต้องรู้จักฮุก่มอากาลเสียก่อน เราต้องรู้ก่อนว่าวายิบมุสตาฮีลและยาอิซของอากาลเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ผู้เขียนได้บอกแล้วว่าเราจำเป็นต้องแยกแยะให้ออกว่า ฮุก่มอาดัต ฮุก่มอากาล เมื่อแยกแยะออกแล้วก็มาทำความเข้าใจรายละเอียดของฮุก่มอากาลอีก เมื่อรู้จักแต่ละอย่างในฮุก่มอากาลทั้งวายิบมุสตาฮีลและยาอิซแล้ว จะเรียกว่ารู้จักอัลลอฮ์ตาอาลาคือเราถึงจะต้องยอมรับต่อซีฟัตวายิบ มุสตาฮีล และยาอิซต่ออัลลอฮ์ ก่อนจะยอมรับได้เราจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร
อันนี้คือสามประการที่ได้ถูกเรียกว่าฮูก่มอากาล เราจะต้องแยกว่าอันไหนตัวฮุก่ม อันไหนสิ่งที่ถูกฮูก่ม ฮูก่มอากาลสิ่งที่ตัดสินคืออากาล(สติปัญญา)นั่นเอง เรียกว่า ฮ่าเก็ม ส่วนตัวฮู่ก่มนั่นคือคำตัดสิน ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร คำตัดสินก็คือ วุยุบ อิสติฮาละห์ ยาวาซ ส่วนสิ่งที่ถูกตัดสิน คือถ้าสิ่งนั้นถูกตัดสินว่าวุยุบ แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นวายิบ ถ้าหากสิ่งนั้นถูกตัดสินว่าอิสติฮาละห์ แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นมุสตาฮีล และถ้าสิ่งนั้นถูกตัดสินว่า ยาวาซ แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นยาอิซ เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดถึง วายิบ มุสตาฮีล หรือยาอิซ แสดงว่าเราพูดถึง "สิ่งซึ่ง" ถ้าเป็นวายิบ คือสิ่งซึ่งวายิบ ไม่ใช่เป็นฮูก่ม ฮูก่มของมันคือ วุยุบ ส่วนวายิบคือสิ่งที่ถูกฮูก่ม หรือคำว่า อิสติฮาละห์คือตัวฮุก่ม ส่วนส่งที่ถูกฮุก่มคือ มุสตาฮีล เพราะฉะนั้น ตัวของฮุก่มอากาล คือ วุยุบ อิสติฮาละห์ ยาวาซ
ดังนั้นฮุก่มอากาลนั้นวายิบในทางชาเราะอ์บนพวกเราคนมุกัลลัฟจะต้องรู้(ถ้าไม่รู้ก็บาป) จะรู้ได้ก็ต้องเรียน ดังนั้นการเรียนให้รู้ก็วายิบ ต้องเรียนจนกระทั่งรู้ วายิบที่เราต้องรู้ฮูก่มอากาลเป็นวายิบวาสาเอล คือเป็นบันไดซึ่งพาไปสู่การรู้สิ่งหนึ่ง/เป้าหมายหนึ่ง (จากกออิดะห์ =บันไดที่นำไปสู่เป้าหมาย) ฮุก่มเหมือนเป้าหมายนั่นเอง การที่เรารู้/รู้จักอัลลอฮ์ ซีฟัตวายิบ มุสตาฮีล และยาอิซ เป็นวายิบ และการที่เราจะเข้าใจและยอมรับตรงนั้นได้ เราจะต้องผ่านความเข้าใจรู้ว่าฮูก่มอากาลคืออะไร เพราะว่าสิ่งที่วายิบ สิ่งที่มุสตาฮีล สิ่งที่ยาอิซ นั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกตัดสินด้วยฮุก่มอากาล เราจะเข้าใจมันได้เราต้องผ่านการเข้าใจฮุก่มอากาลไปก่อน เพราะฉะนั้นความเข้าใจต่อฮุก่มอากาลก็เป็นวายิบด้วยเช่นกัน แต่เป็นวายิบวาสาเอล ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ เราจะไปละหมาดฟัรดู ซึ่งฮูก่มมันคือวายิบ เราต้องอาบน้ำละหมาดก่อน การละหมาดของเราเป็นมักซุดของเราเป็นจุดมุ่งหมายของเรา แต่เราจะต้องอาบน้ำละหมาดเสียก่อน ถ้าไม่อาบน้ำละหมาด ละหมาดของเราก็ไม่เสาะห์ การละหมาดนั้นวายิบ ดังนั้นการอาบน้ำละหมาดก็วายิบด้วยนั่นเอง และก็คือว่าบันไดสำหรับการรู้จักอัลลอฮ์นั้น คือเรานั้นจะต้องรู้ว่า วายิบในทางอากาลนั้นคืออะไร ความหมายคืออะไร มุสตาฮีลทางอากาลนั้นความหมายคืออะไร ฮารุสในทางอากาลนั้นเป็นอย่างไร ความหมายและความเข้าใจต่อสามอย่างนี้เป็นอย่างไร นั่นคือสิ่งที่วายิบที่เราจะต้องรู้ และจุดมุ่งหมายของเราที่เราจะต้องรู้สาม อย่างนี้ เพื่อเราจะได้ยึดมั่นได้ถูกต้องว่าการมีของอัลลอฮ์นั้นเป็นสิ่งที่วายิบ การหนึ่งเดียวของอัลลอฮ์นั้นเป็นสิ่งที่วายิบ ในบรรดาซีฟัตของอัลลอฮ์ นำไปสู่การยึดมั่นที่ถูกต้องให้เข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อสุดท้ายแล้วเราจะได้เกิดการยอมรับในจิตใจแล้วเกิดความยาเกนขึ้น นั้นคือเป้าหมายของเรา แต่ถ้าหากเราไม่ได้ผ่านบันไดตรงนั้นไป เราจะไปไม่ถึงเป้าหมาย มีบางคนไม่เข้าใจวายิบอากาล เช่นเขาเข้าใจว่า ซีฟัตวายิบสำหรับอัลลอฮ์หมายความว่า(ไปฮุก่มว่า) วายิบบนอัลลอฮ์ ถ้าอัลลอฮ์ไม่ทำอันนั้นอันนี้จะเป็นบาป ความเข้าใจแบบนี้ไม่ถูกต้อง เราจึงต้องเข้าใจวายิบอากาลวายิบอาดัตวายิบชาเราะอ์ เป็นอย่างไรเราต้องแยกแยะให้ออกก่อน แยกฮุก่มให้ออกระหว่างอากาลอาดัตและชาเราะอ์เป็นอย่างไร เสร็จแล้วเมื่อเข้าสู่ฮุก่มอากาลเราก็ต้องมาแยกแยะอีกว่า แต่ละฮุก่มนั้นเป็นอย่างไร วายิบ มุสตาฮีล ยาอิซ ในทางอากาลนั้นเป็นอย่างไร เพื่อเราจะได้ยึดมั่นให้ถูกต้อง
ดังนั้นสิ่งที่วายิบในทางอากาล(สิ่งที่ถูกฮุก่ม) คือสิ่งหนึ่งซึ่งสิ่งนั้นไม่ยอมรับการปฏิเสธมัน มาจากตะเรฟภาษอาหรับ คือสิ่งซึ่งไม่ยอมรับในการจะปฏิเสธมัน ในตะเรฟอันนี้จะไม่มีคำว่าสติปัญญาเข้ามา (ตะเรฟในกีตาบวาสาเอลอิลมูกาลามจะวางเงื่อนไขของสติปัญญาเป็นตัวตัดสิน) ด้วยหมายความว่า ไม่ยอมรับที่จะบอกว่าสิ่งนั้นนั้นไม่จริง หรือสิ่งนั้นนั้นไม่มี (สิ่งที่ตรงข้ามกับมีคือไม่มี สิ่งที่ตรงข้ามกับจริงค่อไม่จริง ) ดังนั้นเมื่อสติปัญญาไม่ยอมรับว่าสิ่งนั้นไม่จริง แสดงว่าสิ่งนั้นจำต้องจริง และถ้าหากสติปัญญาไม่ยอมรับว่าสิ่งนั้นไม่มี แสดงว่าสิ่งนั้นจำต้องมี นั่นเอง
กล่าวโดยสรุป สิ่งที่วายิบคือ สิ่งที่จำต้องจริง หรือจำต้องมี นั่นเอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งซึ่งที่จำต้องมีหรือจำต้องจริงในทางอากาล คือว่า ตรงนี้ไม่ได้เอาสติปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง คือว่าไม่ว่าสติปัญญาจะพินิจพิจารณาแล้วว่าสิ่งนั้นมีหรือจริง ก็ไม่เกี่ยว ตรงนี้ก็คือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราตัดสิน ถ้าเราตัดสินด้วยสติปัญญาว่าสิ่งนั้นจำต้องจริง เราก็ไม่ต้องรอการตัดสินด้วยสติปัญญาแล้ว เพราะไม่ว่าสติปัญญาจะตัดสินว่ายังไงก็ตาม แต่สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่จริงอยู่แล้ว คือไม่ได้เอาสติปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้องนั่นเองในการตัดสิน (เมื่อสิ่งนั้นจริง ไม่ว่าสติปัญญาจะตัดสินว่ายังไงสิ่งนั้นก็จริงอยู่แล้ว จริงด้วยตัวมันเอง)
เช่นนั้นแหละเป้าหมายจากคำพูดของอูลามะอ์ วายิบทางอากาลนั้นคือ สิ่งซึ่งไม่สามารถจะยอมรับด้วยสติปัญญาในการที่จะบอกว่าสิ่งนั้นไม่มี(ตรงนี้เอามาจากตะเรฟภาษาอาหรับ ว่า มาลายุตาเซาวารู้ ฟินอักลี้อาดามูฮู่ ถ้าหากเอาตามตะเรฟอันนี้เราจะเห็นว่าเค้าจะกล่าวเฉพาะสิ่งที่ไม่มี แสดงว่าสิ่งนั้นจำต้องมี แบบนี้ก็ แสดงว่ามีบางส่วนของสิ่งที่วายิบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีแต่ไม่เข้ามาอยู่ในตะเรฟนี้ เช่น วูยูดของอัลลอฮ์และบรรดาซีฟัตนีฟซียะห์และซัลบียะห์ ซีฟัตเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีแต่เป็นสิ่งที่จริง ถ้าหากบอกว่าสิ่งที่วายิบคือสิ่งที่สติปัญญาไม่สามารถยอมรับได้ว่าสิ่งนั้นไม่มี หรือจำต้องมี แสดงว่าซีฟัตนีฟซียะห์และซัลบียะห์ก็ไม่เข้าตะเรฟอันนี้ เขาเรียกฆัยรุลยาแมะ คือเอาเข้ามาไม่หมด ในการให้ตะเรฟสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะต้องคัดเอาออกสิ่งที่ไม่ใช่เข้าในตะเรฟ และจะต้องเอาสิ่งที่อยู่ในตะเรฟเข้ามาให้หมด ถ้าเป็นเช่นนั้นถ้าเราใช้ภาษาอาหรับว่า มาลายุตาเซาวารู้ ฟินอักลี้อาดามูฮู่ เราจึงต้องตะเวล อุลามะอ์ตะเวลว่า :อาดามูฮู้ หมายถึง อิงติฟาอูฮุ้ คือ สิ่งที่สติปัญญาไม่ยอมรับว่าสิ่งนั้นไม่จริง ถ้าเป็นแบบนี้จริงที่มีก็เข้าและสิ่งที่จริงก็เข้า ดังนั้นซีฟัตซัลบียะห์ก็และนัฟซียะห์ก็เข้าแล้ว(เพราะทั้งสองเป็นซีฟัตประเภทจริงแต่ไม่มี) เราต้องเข้าใจทีละจุดๆ การแบ่งซีฟัตออกเป็นกี่ประเภท ประเภทจริง,ประเภทมี ประเภทมีก็ต้องแบ่งอีกว่าเป็นของมัคโล่คหรือของอัลลอฮ์ ถ้าเป็นซีฟัตของมัคโล้คสิ่งประเภทมี ก็เป็นอะรอฏ ถ้าเป็นของอัลลอฮ์ก็ซีฟัตมาอานีย์ ถ้าเป็นซีฟัตประเภทจริง แบ่งออกเป็นอัมรุลเอียะติบารีย์ (เป็นความเข้าใจแต่ไม่มี) และอาดามีย์(เป็นชื่อที่บอกการไม่มีสิ่งหนึ่งที่สิ่งหนึ่ง) หรือฮาล คือสิ่งซึ่งอยู่ระหว่างการมีและการไม่มี (ไม่ได้ถึงขั้นมีแต่ก็ไม่ได้ลงถึงขั้นไม่มี) เพราะฉะนั้นสิ่งที่วายิบในทางอากาลคือสิ่งที่จำต้องจริงหรือจำต้องมี ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งประเภทมีก็แสดงว่าสิ่งนั้นจำต้องมี และถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งประเภทจริงก็แสดงว่าสิ่งที่จำต้องจริง ดังนั้นซีฟัตของอัลลอฮ์ ซีฟัตซัลบียะห์และนัฟซียะห์และซีฟัตมะนาวียะห์ซึ่งเป็นซีฟัตประเภทจริง และซีฟัตมาอานีย์ซึ่งเป็นซีฟัตประเภทมี ทั้งหมดนี้นั้นวายิบในทางอากาล
ทีนี้ข้อแยกแยะสิ่งที่วายิบในทางอากาล และวายิบในทางอาดัต แตกต่างกันอย่างไร
วายิบในทางอากาล นอกจากเป็นสิ่งที่จำต้องจริงหนือจำต้องมี แล้วมันจะต้องไม่ยอมรับการจะบอกว่าไม่จริงและไม่มีด้วย คือจริงอย่างไรก็จริงอย่างนั้น เช่น การมีของอัลลอฮเป็นสิ่งที่จำต้องจริง ต่อไปก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นไม่จริง หรือการที่อัลลอฮ์นั้นมีความสามารถเป็นสิ่งที่จำต้องจริงและจำต้องมี(จากกออีเดาะห์ที่ผ่านมาทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ที่จะมีได้ต้องจริงด้วย ถ้าเราพูดถึงสิ่งที่มีสิ่งนั้นต้องจริงด้วยเสมอ) ต่อไปจะไม่ยอมรับการไม่มีและไม่จริง แสดงว่าอัลลอฮ์มีความสามารถต่อไปก็ไม่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นไม่มีความสามารถอีกเด็ดขาด แต่ถ้าวายิบในทางอาดัต ยกตัวอย่างเช่น กระดาษเผาไฟ เมื่อกระดาษนั้นสัมผัสกับไฟและกระดาษไม่เปียก ต้องไหม้ เป็นวายิบในทางอาดัต แต่ต่อมามีคนคิดค้นสารเคลือบกระดาษให้มันไม่ไหม้ไฟ เมื่อนั้นสิ่งที่วายิบในทางอาดัตก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ จากกออีเดาะห์ที่บอกว่าสิ่งที่วายิบหรือมุสตาฮีลหรือฮารุสในทางอาดัต ทั้งหมดนั้นฮารุสในทางอากาล
ดังนั้นสิ่งที่จำต้องมีอันนั้นเป็นการมีที่จะไม่รับการไม่มีอีกแล้วโดยเด็ดขาด เช่น ซีฟัตกุดรัตอัลลอฮ์ และทุกๆซีฟัตมาอานีย์ เป็นสิ่บที่จำต้องมี และจะไม่ยอมรับการไม่มีอีกแล้ว และสิ่งซึ่งจำต้องจริงคือทุกๆซีฟัตที่นอกเหนือจากซีฟัตมาอานีย์นั่นเอง คือซีฟัตซัลบียะห์และนัฟซียะห์และซีฟัตมะนาวียะห์ ซีฟัตเหล่านี้จำต้องจริง และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นไม่จริงอีกเด็ดขาด ดังนั้นถ้ากล่าวโดยสรุป วายิบในทางอากาลเป็นประเภทมีและจริง คือ
- ประเภทมี คือ ซาตของอัลลอฮ์ และซีฟัตมาอานีย์
- ประเภทจริง คือ ซีฟัตซัลบียะห์ และสิ่งที่เป็นอัมรุลเอียะติบารีย์(ซีฟัตมะนาวียะห์ตามทัศนะอาบูฮาซันอัลอัชอารีย์=เป็นความเข้าใจแต่ไม่มีสิ่งอื่นเพิ่มขึ้นมาจากซาตและซีฟัตของอัลลอฮ์)และสิ่งที่เป็นฮาล(ตามแนวทางอาบูมังโสรมาตูรีดีย์ บอกว่า ฮาลนั้นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างมีกับไม่มี ถ้ามีต้องมองเห็น แต่ไม่ได้ลงไปถึงขั้นไม่มี).
อีกอันคืออาดามีย์ เหมือนกับซีฟัตซัลบียะห์ ซึ่งทั้งอาดามีย์และซัลบียะห์เป็นอันเดียวกัน คือคำพูดต่างกันแต่ชี้ไปยังสิ่งเดียวกัน และอิสติฮาละตุลมุสตาฮีล คือการปฏิเสธสิ่บที่มุสตาฮีลต่ออัลลอฮ์ เป็นสิ่งที่ไม่มีแต่เป็นสิ่งที่จริง ทุกๆอืสติฮาละตุลมุสตาฮีลเป็นสิ่งที่อาดามีย์/ซัลบียะห์ แต่ไม่ใช่ทุกๆอาดามีย์เป็นสิ่งที่เป็นอิสติฮาละตุลมุสตาฮีล ยกตัวอย่างเช่น อิสติฮาลาตุลมุสตาฮีล เช่น กุดรัต เป็นวายิบสำหรับอัลลอฮ์ เพราะฉะนั้นความอ่อนแอ เป็นมุสตาฮีล การปฏิเสธความควอ่อนแอ คือไม่อ่อนแอ นี่คืออิสติฮาลาตุลมุสตาฮีล ซึ่งไม่มีแต่จริง อิสติฮาลาตุลมุสตาฮีลนี้เป็นซัลบียะห์เป็นอาดามีย์ ทุกๆอิสติฮาลาตุลมุสตาฮีล เป็นซัลบียะห์และอาดามีย์ แต่ไม่ใช่ทุกๆอาดามีย์และซัลบียะห์จะเป็นอิสติฮาลาตุลมุสตาฮีล เช่นการเป็นหมัน บอกถึงการไม่มีบุตร จนหมายถึงการไม่มีเงิน เป็นเฉพาะอาดามีย์และซัลบียะห์แต่ไม่เป็นอิสติฮาลาตุลมุสตาฮีล
วัลลอฮุอะลัม