✅กิตาบมิศบาฮุลมุนีร ตอนที่17 หน้าที12
และบางครั้งพวกเขาก็กลายเป็นกาเฟร(คนที่ไม่เข้าใจฮุก่มอากาล แยกแยะฮุก่มต่างๆไม่ถุก) ก็คือการที่เขาเป็นกาเฟร ด้วยกับสาเหตุว่าพวกเขาไม่มีความรู้ ตัวอย่างเช่น การยึดมั่น(เอียะติกอต) ว่าอัลลอฮ์มีสีขาว (จากการยึดมั่นว่าเขาจะเห็นอัลลอด้วยตา(ขณะตื่น) ว่ามีสีขาว/แสงขาว) แต่ถ้าเขาเห็นในขณะที่หลับ นั่นถือว่าฮารุสในทางอากาล แต่ถ้ามีใครอ้างว่าเขานั้นเห็นอัลลอในขณะที่ตื่น เป็นกาเฟร เพราะหาก(เขาอ้างว่า)เขาเห็นอัลลอ(ในขณะที่ตื่น) ด้วยสัมผัสทั้ง5 เพราะฉะนั้นการที่เขาสามารถมองเห็นอัลลอได้ ด้วยตา ว่าเป็นสีขาว นั่นก็คืออะร๊อฏ แต่พระองค์อัลลอนั้นไม่ใช่อะร๊อฏไม่ใช่ญิเรม อัลลอไม่ใช่สสาร ดังนั้นถ้าเขาเห็นว่าอัลลอเป็นสีขาว แสดงว่าอัลลอก็ทรงเหมือนกับมัคโลคนั่นเอง เพราะฉะนั้นเขาก็ตกเป็นกาเฟร (ดังนั้นต้องระวัง ถ้าหากเราไม่มีความรู้ตรงจุดนี้เราอาจจะถูกไชตอนหลอกเราตอนที่เรากำลังจะตาย แม้กระทั่งท่านนาบียังโดนหลอก) เพราะคนที่เชื่อมั่นว่าอัลลอมีสีขาวนั่น นั่นเท่ากับว่าเขาเชื่อมั่นว่าอัลลอเหมือนกับสิ่งที่ถูกสร้างนั่นเอง(อันเนื่องมาจากเขาไม่รุ้จักแยกแยะ สิ่งที่ฮารุส(เห็นอัลลอขณะหลับ)และสิ่งที่มุสตาฮีล(เห็นอัลลอขณะตื่น)ในทางอากาล นั่นเอง) ซึ่งสิ่งนั้นเป็นมุสตาฮีลนั่นเอง (มุสตาฮีลคือ จำต้องไม่จริงสำหรับอัลลอตาอาลา และไม่มีวันจะจริงเด็ดขาด) และคนที่ยึดมั่นว่าอัลลอตาอาลาเหมือนกับมัคโล้ก/ของใหม่ เขาคนนั้นก็จะตกเป็นกาเฟร นั่นเอง เช่น การบอกว่าอัลลอมีทิศทาง(อยู่ข้างบน) แสดงว่าอัลลอต้องมีพิกัด มีที่ตั้ง (แม้กระทั่งจะบอกว่าอัลลออยู่ทุกที่ (ตามที่ถูกกล่าวว่าพวกเราเชื่อแบบนั้น นี่คือคำโกหกของอุลามะอ์วะฮะบีย์ที่มีต่ออุลามะอ์อาชาอิเราะห์)ก็ไม่ใช่แนวทางอะชาอิเราะห์ ที่เชื่อมั่นแบบนั้น(ว่าอัลลอทรงอยู่ทุกที่) แต่ที่จริงแล้วนั้น...
1. การเชื่อว่าอัลลออยู่ทุกที่ ไม่ใช่เอียะติกอต(การยึดมั่น) ของอะลิซซุนนะห์วัลญมาอะห์ ไม่ใช่การยึดมั่นตามแนวทางของอะบูฮะซัน อัลอัชอารีย์ (อาชาอิเราะห์) ไม่มีตำราเล่มไหนเขียนบอกไว้ว่าอัลลอทรงอยู่ทุกที่ นอกจากว่าผู้อ่านอ่านตำราแล้วเข้าใจผิด
2. การที่บอกว่าอัลลออยู่บนฟ้าหรืออยู่บนอารัช หมายความว่า การที่บอกว่าอัลลอมีทิศทางหรือมีที่อยู่ชัดเจน ย่อมระบุได้ถึงสถานที่ที่อยู่ นั่นหมายถึงอัลลอต้องเป็นสิ่งที่เอาที่ว่าง เอาที่อยู่ ไม่มีหลักฐานในอัลกุรอ่านหรืออัลฮาดิษที่จะบอกว่าอัลลอนั้นมีที่อยุ่ หรือต้องมีที่อยู่เหมือนกับสสาร ที่ต้องการที่ว่าง (แต่ถ้าหากว่าเขามีความเชื่อแบบนั้น แสดงว่าเขาเข้าใจเอาเอง เพราะเขาเข้าใจว่าอัลกุรอ่านไม่สามารถจะตะเวลได้ และได้เอาอัลกุรอ่านอายะห์มุตาฉาบิฮาตมายึดมั่น ทั้งๆที่อายะห์กุรอ่านมุตาฉาบิฮาตนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดเจออายะห์มุตาฉาบิฮาตหรืออายะห์ที่ให้ความสงสัยกับเราว่าอัลลอนั้นมีคุณลักษณะเหมือนกับของใหม่ เมื่อนั้นก็ให้เรากลับไปหาอายะห์อัลกุรอ่านที่เป็นมัวะกามาต (อายะห์อัลกุรอ่านมี2แบบ คือ1. อายะห์มัวะกามาต 1.อายะห์มุตาฉาบิฮาต) (โดยกออิเกาะห์คือ เมื่อเราเจออายะห์มุตาฉาบิฮาต ให้กลับไปหาอายะห์มัวะกามาตเสมอ อายะห์มัวะกามาตก็คือ ลัยซากามิสลีฉัยอ้น หมายถึงไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอเหมือนอัลลอ(ไม่เหมือน ในด้านซาต ซีฟัต และอัฟอาล; ไม่เหมือนในด้านซาต คือมัคโลคนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่สสาร(ต้องเป็นของแข็งของเหลวหรือกาซอย่างใดอย่างหนึ่ง) ซึ่งคุณสมบัติของสสารคือมันต้องการที่อยู่ เอาที่ว่างเท่ากับตัวของมันเอง แต่ซาตของอัลลอไม่ใช่สสารไม่ใช่ยิเรมหรือญิเรม เพราะฉะนั้นซาตของอัลลอจึงไม่ต้องการที่ว่าง ไม่มีขนาด ดังนั้นการไม่มีที่ว่าง หมายความว่า ไม่มีสถานที่ที่อัลลออยู่ที่ระบุได้เพราะพระองค์ไม่ต้องการที่ว่าง ไม่เหมือนกับมัคโลกที่ต้องการที่อยู่ที่ว่าง) ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว การที่เราต้องเรียนรู้ให้เข้าใจฮุก่มอากาล เป็นวายิบชาเราะอ์เช่นกัน เพื่อจะได้แยกแยะให้ออกว่าสิ่งไหนเป็นวายิบหรือฮารุสหรือมุสตาฮีล ในทางอากาล/อาดัต/ชาเราะอ์ จึงวายิบที่คนเราต้องเรียนให้เข้าใจ
อนึ่งสำหรับคำว่า วายิบ นั้นมีหลายความหมาย แต่ว่าที่เราพุดในหนังสือเล่มนี้มี 4 อย่างด้วยกัน นั่นคือ
1. วายิบ ทางชาเราะอ์ ความหมายคือ สิ่งที่ถูกสัญญาไว้ว่าถ้ากระทำสิ่งนั้นก็จะได้รับผลบุญ ถ้าหากว่าละทิ้งก็มีสัญญาว่าจะได้รับโทษ
2. วายิบ ทางอาร็อฎ หรือเรียกว่า วายิบลิฆัยริฮี่ ความหมายคือ วายิบที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะเข้าไปอยู่ในประเภทของยาอิซในทางอากาล(หากเรานำไปเปรียบเทียบกับฮุก่มอากาล) แต่ตัวมันเองนั้นมันกลายเป็นวายิบอาร็อฎ ด้วยกับสาเหตุอย่างอื่นที่เข้ามาทีหลัง เช่น การตายของทุกชีวิต (ถ้าหากไม่ใช่เพราะอัลลอสัญญาไว้ว่าทุกชีวิตต้องตาย ซึ่งการตายนั้นอัลลอจะให้ตายก็ได้ ไม่ให้ตายก็ได้ เมื่อพิจารณาถึงความตายแล้ว มันเป็นยาอิซในทางอากาลเท่านั้น อัลลอจะให้ตายก็ได้ ไม่ให้ตายก็ได้ แต่ที่ทุกชีวิตต้องตายนั้นเพราะอัลลอสัญญาเอาไว้แล้วนั่นเอง หรือการฟื้นคืนชีพก็เช่นกัน เป็นยาอิซในทางอากาล อัลลอจะให้ฟื้นก็ได้ไม่ให้ฟื้นขึ้นมาก็ได้ แต่เพราะอัลลอสัญญาอัลลอเอาไว้ ดังนั้นมันจึงเป็นวายิบอารีฎี (แต่เป็นยาอิซในทางอากาล=เดิมๆ)
3. วายิบ ทางอาดัต คือหมายถึง สิ่งนั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพิจารณาในเรื่องของการเกิดขึ้นที่เป็นปกติทั่วๆไปของสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่บอกว่าวายิบในทางอาดัตนี้ก็เข้าไปในยาอิซในทางอากาลเช่นเดียวกัน เช่น เราปลุกมะพร้าว มันจะออกลูกเมื่อ3,4,5ปี แต่ต้องออกลูก นี่คือวายิบในทางอาดัต แต่ถ้าหากเมื่อไหร่มันไม่ออกลูก นั้นแสดงว่ามุสตาฮีลในทางอาดัต และการที่มะพร้าวจะออกลูกไม่ว่าจะ3,4หรือ5ปี เรียกว่าฮารุสในทางอาดัต ส่วนคำว่าวายิบในทางอาดัต ก็คือ มะพร้าวต้องออกลูก(เราสรุปว่าโดยอาดัตแล้วมะพร้าวต้องออกลูก) แต่การที่วายิบที่มะพร้าวต้องออกลูกนั้น มันเข้าไปในฮารุสหรือยาอิซในทางอากาล ก็คือมันจะออกลูกก็ได้ ไม่ออกลูกก็ได้ (เรื่องเดียวกันแต่เราพิจารณาคนละฮุก่มกัน ผลออกมาคนละอย่าง)
4. วายิบ ในทางอากาล คือหมายถึง สิ่งที่จำต้องจริง และจะไม่มีทางที่จะเปลี่ยนเป็นไม่จริง และไม่มีทางที่จะยอมรับในการที่จะบอกว่ามันไม่จริงเด็ดขาด(รับด้านจริงอย่างเดียว) เช่น ซีฟัตวายิบสำหรับอัลลอตาอาลา
และเช่นเดียวกันกับคำว่า มุสตาฮีล คือ มันมีด้วยกัน 3ประการ
1. มุสตาฮีล ทางอาร็อฎ คือหมายถึง สิ่งตรงกันข้ามกับวายิบทางอะร็อฎ เช่นมการตายของทุกชีวิต ดังนั้นเมื่อการตายเป็นวายิบอาร็อฎ ดังนั้นการไม่ตาย(ของสิ่งมีชีวิตใดๆ) เป็นมุสตาฮีลในทางอาร็อฎ แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นการตายหรือการเป็น มันเป็นยาอิซในทางอากาลเท่านั้น
2. มุสตาฮีล ในทางอาดัต คือหมายถึง สิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็นในทางอาดัต เช่น ดั่งตัวอย่างที่ผ่านมาของการปลุกมะพร้าว เมื่อปลุกไปได้สักพักมันต้องมีลูก(วายิบทางอาดัต) แต่ถ้ามันไม่ออกลูกแสดงว่าสิ่งนั้นมันมุสตาฮีลในทางอาดัต หรือการกินข้าว ปกติกินประมาณ2จานก็อิ่ม (เป็นวายิบในทางอาดัต) แต่ถ้าหากกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แสดงว่าเป็นมุสตาฮีลในทางอาดัต
3. มุสตาฮีล ในทางอากาล คือหมายถึง สิ่งที่จำต้องไม่จริง และจะไม่มีวันรับการจริงอีกเด็ดขาด เช่น การไม่มีของอัลลอ มันจำต้องไม่จริงและไม่มีวันเปลี่ยนมาเป็นจริงได้เด็ดขาด
และเช่นเดียวกันคำว่า ฮารุส/ยาอิซ(ภาษาอาหรับ) มีด้วยกัน 4ประการ
1. ฮารุส ในทางชาเราะอ์ คือหมายถึง สิ่งทีทำก็ไม่ได้ผลบุญ ละทิ้งก็ไม่เป็นบาป หรือสิ่งที่ละทิ้งก็ไม่ได้ผลบุญ และละทิ้งก็ไม่เป็นบาป
2. ฮารุส ในทางอาร็อฎ คือหมายถึง....
3. ฮารุส ในทางอาดัต คือหมายถึง ตามตัวอย่างการออกลูกของต้นมะพร้าว มันจะออกลูก3,4หรือ5ปีก็ได้ หรือตัวอย่างการกินข้าวคือจะอิ่มเร็วอิ่มช้า ของแต่ละคนนั่นคือฮารุสในทางอาดัต(กินข้าวแล้วอิ่ม=วายิบในทางอาดัต,กินข้าวเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม=มุสตาฮีลในทางอาดัต) ไม่ว่าจะเป็นวายิบในทางอาดัต,มุสตาฮีลในทางอาดัตหรือยาอิซในทางอาดัต ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้ยาอิซในทางอากาล
4. ฮารุส ในทางอากาล คือหมายถึง การที่อัลลอจะสร้างมุมกินหรือไม่สร้างมุมกินก็ได้ เป็นไปได้ทั้งหมด (มุมกินคือ สิ่งที่เป็นมัคโลคทั้งหลาย (ที่อัลลอจะสร้างก็ได้ไม่สร้างก็ได้ สิ่งเหล่านั้นฮารุส) และมันรับทั้งสองทางคือจะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ (สำหรับสิ่งประเภทมี) หรือจะจริงก็ได้หรือไม่จริงก็ได้(ในสิ่งที่เป็นประเภทจริง) สิ่งที่มีนั้นจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ การมีของมันเป็นฮารุสในทางอากาล แต่ถ้าเป็นสิ่งที่จริงจะจริงก็ได้หรือไม่จริงก็ได้ เช่น การหล่นของลูกมะพร้าว จะหล่นก็ได้ไม่หล่นก็ได้
วัลลอฮุอะลัม