การเอียะติกาฟ
จากกิตาบมุฏละอีน
بسم الله الرحمن الرحيم
การเอียะติกาฟนั้นเป็นสุนัตมุอักกัด ในทุกๆเวลา และโดยเฉพาะ สิบคืนสุดท้ายของเดือนรอมาฎอน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดียิ่ง ( ผลบุญมาก )กว่าเวลาอื่นๆ เพราะเป็นการแสวงหาคืนลัยละตุลก็อดร์
ซึ่งตามทัศนะอิมามชาฟิอีย์ ได้คาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วงสิบคืนสุดท้าย จากเดือนรอมาฎอน แต่คืนที่ได้รับการณ์คาดหวังเหนือคืนอื่นๆ ได้แก่ ค่ำที่เป็นจำนวนคี่ และค่ำที่คาดหวังกว่าค่ำอื่นๆ จากค่ำที่เป็นจำนวนคี่ได้แก่ คืนที่ 21 และ 23 จากเดือนรอมาฎอน
ตามทัศนะอิมามฆอซาลีย์ และท่านอื่นๆ กล่าวว่า ลัยละตุลกอดร จะอยู่ในคืนที่เป็นจำนวนคี่ ในช่วง 10 คืนสุดท้ายของรอมาฎอน ซึ่งพวกเขาได้กล่าวว่า แท้จริงแล้วจะรู้ได้ว่าคืนนั้นเป็นคืน ลัยละตุลก็อดรนั้น ด้วยการพิจารณาวันแรกจากเดือน รอมาฎอน ถ้าหากว่าวันแรกของเดือนรอมาฎอน เป็นวันอาทิตย หรือวันพุธ ลัยละตุลก็อดร จะเป็นคืนที่ 29 ถ้าหากว่าวันแรกของเดือนรอมาฎอน เป็นวันจันทร์ ลัยละตุลก็อดร ก็จะเป็นคืนที่ 21 ถ้าหากว่า. เป็นวันอังคาร หรือวันศุกร์ ลัยละตุลก็อดร ก็จะเป็น คืนที่ 27
ถ้าหากว่า เป็นวันพฤหัส ก็จะเป็น คืนที่ 25 ถ้าหากว่า เป็นวันเสาร์ ก็จะเป็น คืนที่ 23
เชค อะบูฮัสสัน ได้กล่าวว่า ตั้งแต่ฉันบรรลุนิติภาวะ ฉันไม่เคยพลาด ลัยละตุลกอดร โดยการใช้กฎที่กล่าวมา
สำหรับผู้ที่ ทำให้มีชีวิตชีวา ด้วยการปฏิบัติอิบาดัต ในคืนลัยละตุลก็อดร เขาจะได้รับการอภัยโทษ ในบาปที่ผ่านๆมา
ขั้นสูงของการทำอิบาดัต คือการที่ทำให้ค่ำคืนนั้นมีชีวิตชีวาด้วยการปฏิบัติ อิบาดัตทั้งคืน โดยหลากหลายอิบาดัต เช่น ละหมาดสุนัต การอ่านอัลกุรอ่าน การขอดุอาอ์ การซิกร
และขั้นต่ำลงมา ของการทำให้ค่ำคืนนั้นมีชีวิตชีวา ด้วยการทำอิบาดัต ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของค่ำคืนนั้น
และขั้นต่ำสุดของ การทำอิบาดัตในค่ำคืนนั้น คือการละหมาดอิชาอ์เป็นญะมาอะห์ และการตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะละหมาดซุบฮิ์ เป็นญะมาอะห์
และไม่มีการเจาะจง ผลบุญของคืนลัยละตุลก็อดร สำหรับผู้ที่พบคืนลัยละตุลก็อดร ( แต่ผู้ที่ได้พบสิ่งที่แปลกประหลาดนั้นได้ผลยุญมากกว่า ) แต่จะได้ผลบุญ สำหรับผู้ที่ทำให้ค่ำคืนนั้น มีชีวิตชีวาด้วยอิบาดัต ถึงแม้เขาจะไม่พบสิ่งที่แปลกประหลาดใดๆ ในค่ำคืนนั้นก็ตาม
รุกุน ของการเอียะติกาฟ 4 ประการ
1.เนียต
ดังนั้น เอียะติกาฟ ที่ได้บนบานเอาไว้ ซึ่งเป็นฟัรฎูนั้น เช่นกล่าวว่า "ข้าพเจ้าตั้งใจเอียะติกาฟ ฟัรฎู" และสำหรับการเอียะติกาฟสุนัต ให้กล่าวว่า " ข้าพเจ้าตั้งใจเอียะติกาฟ "หรือ "ข้าพเจ้าตั้งใจทำเอียะติกาฟสุนัต"
2 . มัสยิด
ต้องเอียะติกาฟ ในมัสยิด ดังนั้นการเอียะติกาฟในสถานที่อื่นจากมัสยิด ถือว่าใช้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าสถานที่นั้น เป็นที่ที่ใช้สำหรับการละหมาดสักทีก็ตาม
และที่ดีกว่ามัสยิดอื่นๆ ได้แก่มัสยิดที่ใช้สำหรับทำละหมาดวันศุกร์ ( มัสยิดญาเมียะ ) เพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกจากมัสยิดที่เอียะติกาฟนั้น เพื่อไปละหมาดวันศุกร์
3. พักอยู่ในมัสยิด
โดยมีการหยุดพักเป็นเวลาที่เกินกว่า ฏอมะนีนะห์ ( ระยะเวลาการกล่าว ซุบฮานัลลอฮ์ ) ก็ถือว่าใช้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้หยุดนิ่งของบรรดาอวัยวะก็ตาม ดังนั้นถือว่าใช้ได้ ถึงจะมีการเดินไปเดินมาในมัสยิด
แต่ถือว่าใช้ไม่ได้ สำหรับการเดินผ่านมัสยิด โดยคำนึงว่า เดินเข้าไปในมัสยิด ทางประตูหนึ่ง และได้ออกจากมัสยิด อีกทางประตูหนึ่ง
ดังนั้น ถือว่าใช้ได้สำหรับเอียะติกาฟที่ได้บนบานไว้ โดยการหยุดอยู่ในมัสยิด เป็นเวลา หนึ่งพริบตา ( ประมาณ 1 วินาที ) ถ้าหากว่าไม่ได้กำหนดเวลาเอาไว้ ว่าจะเอียะติกาฟเป็นเวลานานเท่าไหร่ ตอนที่บนเอาไว้
4.มัวตะกิฟ
คือ ผู้ที่ทำเอียะติกาฟ โดยมีเงือนไขว่าผู้ที่ทำเอียะติกาฟนั้นคือ
1.เป็นอิสลาม
2.มีสติสัปชัญญะ คือ รู้เดียงสาแล้ว
ดังนั้น การเอียะติกาฟของเด็กที่รู้เดียงสาแล้วนั้น ถือว่าใช้ได้
3.สะอาดจากฮาดัษใหญ่ ( เฮด นิฟาส ยุนุบ )
ดังนั้นถือว่าใช้ไม่ได้ สำหรับการเอียะติกาฟ ของคนบ้า ผู้ที่มีประจำเดือน หรือ เลือดหลังการคลอดบุตร
และผู้ที่มียูนุบ