อธิบายกีตาบ ฟะรีดะตุ้ล ฟะรอเอ็ด ตอนที่ 6
อิหม่านนั้น คือ ใจเชื่อในสิ่งต่าง ๆ ที่ร่อซู้ลนำมา ได้แก่ สิ่งที่พึงรับรู้จากศาสนาในทางฎ่อรูเราะฮ์(1) จุดมุ่งหมายของคำว่า “ เชื่อ” นั้นคือใจคล้อยตามและยอมรับในสิ่งต่าง ๆ(2) ข้างต้น ซึ่งมิใช่แต่เพียงรู้ว่า นะบีเป็นนะบีที่แท้จริงโดยไม่ตามและไม่ยอมรับ(3) ด้วยเหตุนี้จึงไม่เรียกส่วนใหญ่ของกาเฟรที่รู้และเชื่อว่ามูฮัมหมัดเป็นนะบีและร่อซู้ล(4)ว่าเป็นผู้ที่มีอิหม่าน เพราะใจพวกเขามิได้เชื่อ และมิได้ยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่นะบีนำมาเผยแพร่
รู่ก่นอีหม่าน(5)นั้นมี 6 ประการ
1. มีอีหม่าน คือ เชื่อมั่นในอัลเลาะห์(6)
2. มีอีหม่านในมะลาอิกะฮ์(7)
3. มีอีหม่านในบรรดาคัมภีร์(8)
4. มีอีหม่านในบรรดาร่อซู้ล(9)
5. มีอีหม่านในวันสุดท้าย(10)
6. มีอีหม่านในกอดัร ไม่ว่าดีหรือชั่ว กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าดี เช่น การภักดี ( ตออัต) หรือไม่ดี เช่นความชั่ว ( มะอ์ซิยัต ) เกิดขึ้น โดยการกระทำของอัลเลาะฮ์ ( ซบ.) ที่สอดคล้องกับเจตนาของพระองค์ที่มีอยู่แล้วตั้งแต่บรรพกาล ( อะซัลลีย์)(11)
อธิบาย
(1) จิตใจยอมรับเลยโดยที่ไม่ต้องพินิจพิจารณาแล้ว
(2) ในจิตใจนั้นไม่ปฏิเสธต่อสิ่งที่นบีนำมาบอกให้รู้ ดังนั้น อีมานก็คือการยอมรับในตัวนบี และยอมรับในสิ่งที่นบีนำมาบอกให้รู้ อุลามาอ์ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ สมมติว่าผู้ปกครองเมืองได้แต่งตั้งกำนันคนหนึ่งปกครองหมู่บ้าน โดยคนคนนั้นเป็นศัตรูกับเรา การเป็นกำนันของคนคนนั้นเป็น เรื่องจริง แต่ในใจเราไม่ยอมรับ เพราะคนคนนั้นเป็นศัตรูกับเรา การที่ใจเรายอมรับไม่ได้แบบนั้นแหละเป็นการไม่อีหม่าน เช่น อาบูตอลิบ เขารู้ว่านบีมูฮัมหมัด นั้นเป็นนบี แต่ในจิตใจของเขาไม่ยอมรับ
(3) การรู้ว่านบีเป็นนบี แต่ไม่ยอมรับ แบบนี้ไม่เรียกว่าอีหม่าน
(4) ในขณะที่นบีได้ประกาศศาสนาแล้วนั้น คนกาเฟรยังเอาทรัพย์สินมาฝากกับท่าน เพราะท่านนั้นเป็นที่ยอมรับในความซื่อสัตย์ พูดแต่ความจริง จนได้รับการเรียกว่า อัลอามีน หลักฐานที่ว่าคนเหล่านั้นรู้ว่าท่านเป็นนบี ก็คือ อายะห์อัลกุรอ่าน
﴿ يَعْرِفُونَهُ كَمَا يَعْرِفُونَ أَبْنَاءَهُمْ ۖ ﴾ البقرة : 146
ความว่า “พวกเขาเหล่านั้นรู้จักนบีมูฮัมหมัด เสมือนกับการที่พวกเขารู้จักลูกๆของพวกเขา”
และ เช่นคำกล่าวของ อับดุลลอฮ์ อิบนุสลาม ยาฮุดีย์ ระดับอาวุโส ในสมัยนบีมูฮัมหมัด ได้กล่าวก่อนที่เขาจะเข้ารับอิสลามในเวลาต่อมา “ ฉันรู้จักเขา (นบีมูฮัมมัด)ในขณะที่ฉันเห็นเขา เหมือนกับฉันรู้จักลูกของฉัน และการรู้จักของฉันต่อนบีมูฮัมมัดนั้น รู้จักดีเสียยิ่งกว่าลูกของฉัน”เพราะมีการบอกลักษณะของนบีมูฮัมมัด ไว้ในคัมภีร์อินญีล เตารอต
(5) ประการที่เป็นสิ่งสำคัญๆ ที่เราต้องเชื่อด้วยจิตใจ
(6) เชื่อว่าอัลลอฮ์ เป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสรรค์ทุกสรรพสิ่ง และทรงทำลาย(ทำให้ตาย)ทุกสรรพสิ่ง และต้องเชื่อว่าอัลลอฮ์นั้นมีลักษณะที่สมบูรณ์ และปราศจากลักษณะที่บกพร่อง
(7) เชื่อว่ามาลาอิกัต นั้นเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ มีจำนวนมากมาย ไม่รู้จำนวนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ มาลาอิกัตนั้น ไม่กินไม่ดื่ม ไม่นอน ไม่มีนัฟซูอัมมาเราะฮ์ (นัฟซูที่ไม่ดี) อนึ่งมัคโล๊คนั้น แบ่งออกเป็นสิ่งที่มีสติปัญญาและไม่มีสติปัญญา สิ่งที่มีสติปัญญานั้นมีด้วยกันสี่อย่าง คือ มาลาอิกัต ญิน ไชตอน และมนุษย์ บางทัศนะได้รวม ญิน กับไชตอนเป็นพวกเดียวกัน มนุษย์กับญิน นั้น กิน ดื่ม และมีนัฟซู สถานที่อยู่ของมาลาอิกัต นั้นคือ อยู่ในชั้นฟ้า และจะลงมาบนโลกเพื่อปฏิบัติตามบัญชาใช้ของอัลลอฮ์เท่านั้น เราไม่สามารถมองเห็นมาลาอิกัตได้ เนื่องด้วยลักษณะที่สวยงามของมาลาอิกัตนั้น ถ้ามนุษย์ได้เห็น จะทำให้เราต้องมองจนกระทั่งไม่สามารถทำอะไรได้เลย ส่วนไซตอนนั้นมีลักษณะที่น่าเกลียด น่ากลัว ถ้าเราได้เห็นก็จะเกิดความตกใจและหวาดกลัว
(8) เชื่อว่าคัมภีร์ที่ประทานลงมาจากฟากฟ้าเพื่อชี้แจงบรรดาฮูก่ม และเรื่องอื่นๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนั้นมี 104 เล่ม 50 ซูฮูฟ ให้แก่ นบีชิส ( อาลัยฮิสลาม) 30 ซูฮูฟ ให้แก่นบีอิดริส ( อ.ล.) 10 ซูฮูฟ ให้แก่นบีอิบรอฮีม ( อ.ล.) 10 ซูฮูฟ ให้แก่นบีมูซา ( อ.ล.) ก่อนที่จะประทานคัมภีร์เตารอต และ อีกสี่เล่มคือ คัมภีร์เตารอต ประท่านให้แก่นบีมูซา( อ.ล.) คัมภีร์ อินญีล ประทานให้แก่นบีอีซา( อ.ล.) คัมภีร์ ซาบูร ประทานให้แก่นบีดาวูด( อ.ล.) คัมภีร์อัลกุรอ่านประทานให้ นบีมูฮัมมัด( ซ.ล.)
(9) เชื่อว่าบรรดานบีทั้งหมดนั้นมี 124,000 ท่าน ส่วนบรรดารูซูลนั้นมี คีลาฟ 313 หรือ 314 หรือ 315 ท่าน บรรดารอซูลที่ถูกเอ่ยนามในอัลกรุอ่านมีทั้งหมด 28 ท่าน วายิบที่เราต้องจำชื่อให้ได้นั้น 25 ท่าน ( ไม่จำเป็นต้องจำชื่อโดยเรียงลำดับ ถ้ามีการกล่าวชื่อมา ก็สามารถบอกได้ว่าใช่หรือไม่ใช่รอซูลจาก 25 ท่าน ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ) อีก 3 ท่านที่เพิ่มมานั้นมีคีลาฟว่าเป็นนบี หรือ เป็นเพียงวะลียุลลอฮ์ ได้แก่ อาซีซ ลุกมาน ซุนก็อรนัย
(10) ต้องเชื่อว่าวันหนึ่งที่จะมาถึงในภายภาคหน้า เป็นวันที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จะหยุดโคจร ไม่มีความมืดอีกแล้ว วันนั้นคือวันกิยามะห์
(11) ต้องเชื่อว่า ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าดีหรือชั่ว เกิดขึ้นโดยผ่านซีฟัต قدرة ของอัลลอฮ์ ทั้งสิ้น ในการเกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมานั้น เกิดจาก تعلق * ของซีฟัต ของอัลลอฮ์ คือ
1. อัลลอฮ์ทรงรู้ صفة علم ในลักษณะของสิ่งต่างๆที่พระองค์จะทรงสร้างมาตั้งแต่อะซัลลีย์
( เวลาที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ก่อนที่อัลลอฮ์ จะสร้างมัคโล๊ก) เช่นนกตัวหนึ่งที่พระองค์จะทรงสร้าง พระองค์ทรงรู้ว่านกนั้นมีลักษณะอย่างไรในรายละเอียด การรู้นั้นเป็น تعلق علم تنجيز قديم
2. อัลลอฮ์ได้เจาะจง تخصيصโดยซีฟัต الارادة ว่าจะให้สิ่งที่จะสร้างนั้นมีลักษณะอย่างไร เช่น นก ก็จะเจาะจงในรายละเอียด ว่า มีขาสองขา มีปีก มีปาก เป็นต้น ซึ่งการเกี่ยวพันกับซีฟัต الارادة นี้เรียกว่า تعلق ارادة
تنجيز قديم
3. อัลลอฮ์ได้สร้างสิ่งนั้นขึ้นมา ตามที่พระองค์ได้เจาะจงเอาไว้ ตามเวลาที่พระองค์ได้กำหนดไว้ ด้วยซีฟัต قدرة การสร้างขึ้นมานี้แหละเรียกว่า กอดัร ซึ่งเกียวพันกับซีฟัต قدرة เรียกว่า تعلق قدرة تنجيزحدث ส่วน กอฎอ นั้น มีคีลาฟระหว่าง تعلق علم تنجيز قديم กับ تعلق ارادة تنجيز قديم ที่กล่าวมาในข้อ 1,2
หลักฐานอัลกุรอ่านเรื่อง กอฎอ- กอดัร คือ والله خلقكم وما تعملون “อัลลอฮ์ทรงสร้างสูเจ้า และพระองค์ทรงสร้างการกระทำของสูเจ้า” หลักฐานจากอัลฮะดิษ คือ ما شاء الله كان وما لم يشاء لم يكن “สิ่งใดที่พระองค์ทรงปรารถนา สิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้น และสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนา สิ่งนั้นย่อมไม่เกิดขึ้น”
* ความหมายของ تعلق คือ طلب الصفة امرا زائدا علي قيامها بالذت งานอย่างอื่นของซีฟัต ซึ่งนอกเหนือไปจากการสถิต อยู่ที่ซ๊าตของอัลลอฮ์ จากหนังสือ الكفاية العوام หน้า 45