✅กีตาบมิศบาฮุลมุนีร ตอนที่19 หน้าที่13 บรรทัด8 จากด้านบน
ก่อนหน้านี้...ผุ้เขียนได้อธิบายความหมายของวิชาอุซุลุดดีน ซีฟัตวายิบ/มุสตาฮีล/ฮารุส ของอัลลอ และซีฟัตวายิบ/มุสตาฮีล/ฮารุส ของบรรดาท่านร่อซุ้ล
และผู้เขียนได้อธิบายต่อว่าการรู้จักอัลลอตาอาลานั้นไม่ใช่การที่เราไปรู้จักต่อฮากีกัต(แก่นแท้)ของอัลลอตาอาลา ไม่ใช่การไปทำความรู้จักว่าซาตของอัลลอนั้นเป็นอย่างไร (ซาตของอัลลอไม่ใช่ร่ายกายหรือรูปร่าง แต่คือองค์ของพระองค์ ซาตของอัลลอไม่ต้องการที่ว่าง ไม่ต้องการสถานที่ ไม่มีขนาด ไม่มีตำแหน่งที่ตั้ง ดังนั้นการมีของอัลลอเป็นการมีโดยไม่มีสถานที่ หมายความว่าการมีของอัลลอไม่เหมือนสสารคือไม่ต้องการที่ว่างเท่าตัวของมันเอง ที่สิ่งสิ่งนั้นไปแทรกตัวอยุ่ในอากาศ เช่น หนังสือ แทรกตัวอยู่ในอากาศ ในที่ว่างนั้นมีหนังสืออยู่, ปลาว่ายอยู่ในน้ำ ที่ว่างมีปลาอยู่ ดังนั้นทุกๆสสารต้องการที่ว่างซึ่งมันเป็นคุณสมบัติของสสาร (สสาร คือญีเรม ถ้าสสารนั้นสามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆได้อีก เรียกว่า ยีเสม และถ้าสสารอันนั้นเล็กที่สุดจนไม่สามารถแบ่งออกได้อีกแล้วเราเรียกว่า ญีเรมฟิริด(หรือเรียกว่าเญาฮารฟิริด=เรียกตามวิชา มากูลาต, ส่วนที่เรียกว่า ญีเรมฟิริด นั้นเรียกตาม วิชาอุซุลุดดีน) การที่จะบอกว่าอัลลอไม่ได้อยุ่บนฟ้าหรือบนอารัชนั้น ความเข้าใจก็มาจากความรู้อุซุลุดดีนเหล่านี้ เรานั้นไม่สามารถจะบอกได้หรือรุ้ได้ว่าซาตของอัลลอตาอาลานั้นเป็นอย่างไร แต่ที่เรารุ้ได้ซาตของมัคโลกเป็นอย่างไร เราจะได้รุ้ว่าซาตของอัลลอนั้นไม่เหมือนกับของมัคโลก ซึ่งมัคโลกนั้นมีร่างกายเป็นญีเรมเปนอะรอต อยู่ภายใต้การเวลา มีการเกิดการตาย(ไม่มี แล้วมี.แล้วไม่มี) เราไม่ทราบว่าฮากีกัตของอัลลอตาอาลาเป็นอย่างไร แต่สิ่งทีเรารุ้คุณลักษณะของพระองค์ว่า เป็นอย่างไร ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ในอัลกุรอ่าน ซึ่งมีอยู่สองจำพวก คือ
1. อายะห์มัวะกามาต ที่บอกถึงคุณลักษณะของพระองค์อย่างชัดๆว่าเป็นอย่างไร เราเรียกว่าซีฟัตนั้นว่า ซามียะห์ ตัวอย่างเช่น วากัลลามัลลอฮุมูซาตักลีมา แปลว่า พระองค์นั้นทรงมีซีฟัตกาลาม หรือซีฟัตอื่นๆที่บอกไว้อย่างชัดเจน มี20ซีฟัตนั้นเอง
2. อายะห์มุตาฉาบิฮาต เป็นอายะห์ที่อ่านแล้วชวนสงสัยว่าพระองค์นั้นมีคุณลักษณะเหมือนกับของใหม่หรือเปล่า เช่น อัรเราะห์มาน อาลัลอัรชิสตาวา คือพระองค์ทรงมีพระนามว่าอัรเราะห์มาน.ทรงอิสตาวาเหนืออารัช คำว่า อิสตาวานี้ มีหลายความหมาย เช่น ประทับ ปกครอง มีอำนาจ ซึ่งความหมายที่แท้จริงนั้นไม่มีใครรู้ได้นอกจากอัลลอตาอาลา แต่เราก็ยอมรับว่าอิสตาวานั้นก็เป็นซีฟัตหนึ่งของพระองค์โดยไม่ได้ปฏิเสธ และเราไม่รุ้ความหมายที่แท้จริงคืออะไร แต่ไม่ใช่การที่จะบอกว่าเป็นการนั่งหรือการประทับของอัลลออยุ่บนอารัช หรือการอยุ่เหนืออารัช แบบมีทิศทางเหนืออารัช สาลัฟบอกว่าให้อ่านอายะห์เหล่านั้นและผ่านมันไปและมอบหมายความหมายนั้นต่ออัลลอตาอาลา เราไม่สามรถรุ้ถึงแก่นแท้ของอัลลอเราเป็นของใหม่ แต่พระองค์นั้นมีมาแต่เดิม แม้กระทั่งแก่นแท้ของตัวเราเองเรายังไม่รุ้เลย ว่าวิญญาณของเรานั้นอยุ่ตรงไหนของร่างกาย
ดังนั้นการที่เรารู้จักอัลลอตาอาลานั้น สิ่งนั้นคือจุดเริ่มต้นและรากฐานของศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าวิชาอุซุลุดดีน (และวิชาอื่นๆเรียกฟุอุรุดดีน=กิ่งก้านสาขาของความรุ้ เช่น วิชาฟิกฮ์) ความสำราญคือถ้าเขาไม่รุ้จักพระเจ้า แน่นอนเอียะติกอต(การยึดมั่น)ของเราจะใช่ไม่ได้ ถ้าเราไม่รุ้จักอัลลอแล้ว การจะไปทำอำมาลอย่างอื่นก็ใช้ไม่ได้ และเช่นเดียวกันได้เรียกวิชานี้ว่า "วิชาเตาฮีด"คือวิชาที่บอกถึงเอกภาพของอัลลอตาอาลา เพราะอะไรที่เราเรียกว่าอิลมุเตาฮีด เพราะว่าคนที่รู้และเข้าใจวิชานี้ เขาได้ให้ความเป็นหนึ่ง(เอกะ)ต่ออัลลอตาอาลา และอีกเช่นกัน เขาเรียกตัวว่าวิชาอิลมูกาลามเช่นกัน เพราะว่าการอธิบายเกี่ยวกับซีฟัตกาลามของอัลลอนั้นยากมาก จนกระทั่งได้นำพามาซึ่งฟิตนะห์ต่อบรรดาอุลามะอ์รุ่นก่อนๆ(เพราะมันมีข้อโต้แย้งมากมาย เช่น ตอนที่ท่านนาบีมุสาพุดกับอัลลอตาอาลา ฝ่ายอะลิสซุนนะวัลญะมาอะห์ทรงเชื่อว่าอัลลอทรงพุดด้วยกับซีฟัตกาลามซึ่งมันอยุ่ที่ซาตของอัลลอตาอาลา แต่ได้ขัดแย้งกับฝ่ายมัวะตาซิละห์ซึ่งเขาไม่เชื่อว่ามีซีฟัตที่ซาตของอัลลอ(เขาเชื่อตามพวกมุลาซาเฟาะห์ ว่าบรรดาซีฟันมาอานีย์นั้นจะมีที่ซาตของอัลลอตาอาลาไม่ได้) เพราะฉะนั้นอัลลอทรงพุดไม่ใช่ด้วยซีฟัตกาลามที่ซาตของอัลลอ และฝ่ายอะลิสซุนนะวัลญามาอะห์นั้นก็แบ่งแยกเป็น2จำพวกอีก คือฝ่ายของอะชาอิเราะห์ ของท่านอะบูฮาซันอัลอัชอารีย์ กับฝ่ายของมะตูรีดียะห์ซึ่งส่วนมากจะถือกันในมัซฮับอิหม่ามฮานาฟี มีความเหมือนกันคือทั้งอะชาอิเราะห์และมะตุรีดียะห์ต่างเชื่อว่าอัลลอนั้นมีซีฟัตกาลามอยุ่ที่ซาตของอัลลอ แต่อะชาอิเราะห์มีความเชื่อว่าการที่นาบีมุสาได้ยินนั้นเพราะอัลลอทรงเปิดฮิญาบให้นาบีมุสานั้นได้ยินซีฟัตกาลามซึ่งอยุ่ที่ซาตของอัลลอเลย เพราะว่าทุกๆสิ่งที่มีนั้นฮารุสในทางอากาลที่จะได้ยิน แต่แนวทางมะตุรีดียะห์นั้นเชื่อว่าการที่นาบีมุสาได้ยินอัลลอนั้น เสียงนั้นอัลลอสร้างขึ้น โดยเสียงนั้นเป็นการบ่งชี้ถึงซีฟัตกาลามที่ซาตของอัลลอ สำหรับพวกมัวะตาซิละห์เชื่อว่าเสียงที่นาบีมุสาได้ยินคือเสียงที่อัลลอสร้างขึ้นแต่ที่ซาตของอัลลออนั้นไม่มีซีฟัตกาลาม(กออิเดาะของเขาคือสิ่งที่กอดีมมีได้หนึ่งเดียวเท่านั้นคือซาตของอัลลอตาอาลา) (แต่พวกวะฮาบีย์นั้นจะกล่าวหาว่าอะลิสซุนนะฯนั้นเหมือนกับพวกมัวะตาซิละห์)
และถุกมุ่งหมายด้วยกับหลักฐานซึ่งวายิบต่อคนมุกัลลัฟทุกคน ได้แก่หลักฐานอิจญมาลีย์(หลักฐานแบบรวมๆ) นั่นคือ หลักฐานที่ตัวเขาเข้าใจโดยตัวของเขาเอง แต่ว่าเขานั้นอ่อนแอเกินกว่าที่เขาจะสามารถอธิบายหลักฐานที่เขามี เพื่อจะต่อต้านความฉงนสนเท่ห์ที่ได้เกิดขึ้นแก่เขาเมื่อเขาโดนถาม เช่น เรื่องเล่ามีอยุ่ว่าครั้งหนึ่งท่านอัซมุอีย์ได้เจอกับอาหรับชนบทคนหนึ่ง แล้วท่านได้อ่านอายัตกุรอ่านหนึ่งให้แก่อาหรับชนบทคนนั้นฟัง ความว่า"และในแผ่นดินนั้นมีหลักฐานสำหรับผู้ที่มีความยาเกน และในตัวท่านนั้นท่านไม่เห็นหรอกหรือ(ว่ามีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของอัลลอ)" เมื่ออ่านถึงตรงนี้ อาหรับชนบทคนนั้นก็บอกให้หยุดอ่านแล้วพุดขึ้นว่า การที่อูฐตัวนึงมันมีขี้ ขี้อูฐมันบ่งชี้ถึงการมีตัวอูฐ (หรือเวลาที่เราไปเจอรอยเท้าของคน แม้ว่าเราจะไม่เห็นคนคนนั้น ก็แสดงว่ามีคนอยู่เนื่องจากรอยเท้าที่เราเห็น ดังนั้นแม้เราจะไม่เห็นอัลลอตาอา แต่ผลงานของอัลลอที่เราประจักษ์ชัดในแผ่นดินนี้ ดังนั้นเราต้องอาเกนว่าอัลลอนั้นมี) คือเขานั้นไม่สามารถอธิบายเพื่อให้หายจากความคลางแคลงใจในสิ่งที่ผู้อื่นมาถามเขาหรือสิ่งทีเขาไม่สามารถตอบโต้สิ่งต่างๆที่มาคัดค้าน(เอียะติรอต) เมื่อมีคนอื่นมาโต้แย้ง นี่คือลักษณะของคนที่มีหลักฐานอิจญมาลีย์(แบบพอใช้ๆแบบรวมๆ) แต่ไม่มีหลักฐานตัฟซีลีย์ อนึ่งหลักฐานตัฟซีลีย์ คือแบบแยกแยะแจกแจง คือตัวของเขาเอง/เจ้าของหลักฐานนั้นมีความเข้าใจต่อหลักฐานนั้นๆ และสามารถอธิบายให้เกิดความกระจ่างแจ้งในข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้ง ดังนั้นหลักฐานตัฟซีลีย์เป็นฟัรดูกีฟายะห์ (แต่ถ้าหลักฐานอิจญมาลีย์เป็นฟัรดูอีนคือทุกคนต้องรู้ถ้าไม่รุ้นั้นฮาราม) วายิบต่อทุกๆหนึ่งระยะการเดินทาง(ที่สามารถละหมาดย่อได้=ประมาน90หรือ100กม.) วายิบต้องมี1คนที่รุ้หลักฐสนตัฟซีลีย์ ถ้าในชุมชนนั้นๆไม่มีใครรุ้หลักฐานนี้ก็มีบาปทุกคนในหมู่บ้านนั้น
วัลลอฮุอะลัม